เยี่ยมเลยครับ

Facebook ประกาศแยก Group ออกมาเป็นแอปพลิเคชั่นเฉพาะ ทำหน้าที่เป็น Hub หรือศูนย์กลางของทุกๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับ Group ของผู้ใช้งานใน Facebook ตามรายงานจาก Mashable

ทันทีที่เปิดใช้งานแอปพลิเคชั่นนี้ ผู้ใช้งานจะเห็นรายการของกลุ่มต่างๆ ที่เราเป็นสมาชิกอยู่ เรียงลำดับจากกลุ่มที่เราเข้าไปมีส่วนร่วมบ่อยที่สุดมาจนถึงน้อยที่สุด



ถึงแม้ว่า Group จะเป็นฟีเจอร์ใน Facebook หลักอยู่แล้ว แต่จากการสำรวจพบว่ากลุ่มใน Facebook เป็นฟีเจอร์ที่มีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมามีผู้ใช้งาน 700 ล้านคนเป็นสมาชิกของกลุ่มบน Facebook เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมที่มีจำนวน 500 ล้านคน

นอกจากนี้ ผู้ใช้งานเพียงแค่คนเดียวก็ยังเป็นสมาชิกของหลายๆ กลุ่มในเวลาเดียวกัน แอปพลิเคชั่นนี้จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับทุกๆ กลุ่มที่ตนเป็นสมาชิกได้ง่ายขึ้น

การแยกฟีเจอร์นี้ออกมาเป็นแอปต่างหากจะไม่เหมือนกับตอนที่แยก Messenger ออกมา เพราะในขณะนี้ Facebook Group ยังคงเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ใช้งานเท่านั้น ไม่ได้บังคับว่าต้องดาวน์โหลดมาใช้ คาดว่า Facebook น่าจะได้บทเรียนจากคราวที่แล้วมาพอสมควร

ฟีเจอร์เด่นๆ ใน Group จะมีแถบค้นหา (Discovery tab) ที่มีไว้เพื่อแนะนำกรุ๊ปใหม่ๆ ให้ผู้ใช้งานเข้าไปเป็นสมาชิก กลุ่มที่เพื่อนของเราหลายๆ คนเข้าไปเป็นสมาชิก ที่ที่เราอยู่ และความสนใจของเรา เช่น ถ้าเรากดไลค์เพจหมาแมวสัตว์เลี้ยงไว้หลายๆ เพจ แอปพลิเคชั่นนี้ก็อาจจะแนะนำให้เราเข้าไปเป็นสมาชิกกรุ๊ปประกาศรับเลี้ยงหมาแมวจร เป็นต้น

ถ้าให้คิดแบบเร็วๆ ว่าธุรกิจต่างๆ จะได้ประโยชน์อะไรบ้างจาก Discovery tab หรือการที่ผู้ใช้งานเข้าไปมีส่วนร่วมกับกลุ่มต่างๆ ได้สะดวกขึ้น ด้วยลักษณะของ Group ที่จะต่างไปจาก Fanpage ที่แบรนด์เป็นเจ้าของ เป็นไปได้ว่าแบรนด์ต่างๆ จะสามารถจัดการคอมมูนิตี้ของผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น หรือเป็นการเพิ่มช่องทางเพื่อรับฟังปัญหาของลูกค้า
ที่มา: http://mashable.com/2014/11/18...ble%2FSocialMedia+%28Mashable+
Thumbsup.in.th

OLX และ 3 คู่แข่งตลาดซื้อขายออนไลน์แถบอาเซียนและบราซิลควบรวมกิจการ (ของไทย OLX รวมกับ Kaidee.com)
ทุกท่านคงจะเคยได้ยินเว็บไซต์ตลาดขายสินค้าออนไลน์ชื่อดังในไทยอย่าง OLX (เดิมคือ Dealfish) และน้องใหม่อย่าง Kaidee ที่ได้เห็นโฆษณากันอยู่บ่อยๆ ตามสื่อต่างๆ แล้ว แต่ข่าวนี้ถือเป็นข่าวใหญ่มากในวงการนี้ เพราะมีการควบรวมกิจการกับหลายบริษัทที่เป็นคู่แข่งมาก่อน ซึ่งเกิดขึ้นในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงบราซิลและบังคลาเทศอีกด้วย


การรวมตัวกันของ 4 บริษัทที่ทำตลาดซื้อขายของออนไลน์ ได้แก่ Naspers, Schibsted Media Group, Telenor Group, และ Singapore Press holdings (SPH) โดยทั้งหมดตกลงกันที่จะรวมตัวกัน ยุติการเป็นคู่แข่งในตลาดเดียวกันนี้ ซึ่งจะมีผลกับ 4 ประเทศในแถบอาเซียนได้แก่ อินโดนิเซีย, ฟิลิปปินส์, บังคลาเทศ และประเทศไทย ส่วนอีกประเทศคือ บราซิล โดยจะมี OLX เป็นหลัก

เหตุผลที่เกิดดีลรวมตัวกันนี้ ทาง Brad Porteus, CEO แห่ง OLX SEA ได้อธิบายคร่าวๆ ว่า  Online classifieds คือเครือข่ายด้านธุรกิจที่มีผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อ เมื่อหลายเจ้ามาแข่งในตลาดเดียวกัน ทำให้เครือข่ายนี้ต้องหาทางดิ้นรนต่อสู้เพื่อตัวเอง และผู้บริโภคก็ได้รับผลกระทบที่จะเข้ามาใช้งานได้อย่างเป็นประโยชน์ในตลาดที่มีการแข่งขันกันขนาดนี้ การเข้ามารวมกันนี้เราจะช่วยให้สามารถเข้าถึงความต้องการที่มีเพิ่มขึ้นอย่างมากและส่วนให้ตลาดออนไลน์ในแต่ละที่ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

สำหรับช่วงเวลาที่จะเริ่มต้นควบรวมนั้น Brad บอกกับทาง Tech In Asia ว่าการควบรวมกิจการทั้งหมดจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) โดยระยะเวลาที่คาดว่าจะได้รับการอนุมัติจะอยู่ในช่วงเดือนมกราคม 2558 นี้

ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นเมื่อการตกลงทั้งหมด ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติภายในมกราคมปีหน้า

ไทย

OLX ประเทศไทยและ Kaidee.com จะรวมกิจการกัน โดยจะใช้แพล็ตฟอร์มของ OLX
701Search (ที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่าง Schibsted Media Group, Telenor Group, และ Singapore Press holdings (SPH)) เจ้าของ Kaidee.com จะถือหุ้นในบริษัทใหม่ 56% ส่วน OLX อยู่ที่ 44%
ปัจจุบันมีคู่แข่งคือ PantipMarket (ในข่าวจะเน้นคู่แข่งเป็นแนว Classified ทั้งหมดนะครับ)
อินโดนิเซีย

ในอินโดนิเซียจะมี OLX.co.id อยู่แล้ว โดยจะรวมกับ Berniaga.com
Naspers เจ้าของ OLX จะถือหุ้น 64% และ 701Search จะถือที่ 36%
OLX อินโดนิเซียจะเป็นคนจัดการทั้งหมด ทั้งการดึงเอาคนจาก Berniaga, เอาแพล็ตฟอร์มทั้งหมด (เว็บไซต์, แอป) ลิงก์กลับมายัง OLX
ฟิลิปปินส์

701Search เจ้าของ Ayosdito.ph ขายกิจการทั้งหมดให้กับ OLX
ทุกอย่างจะลิงก์กลับมาที่ OLX.ph
คู่แข่งจะเหลือเพียง TipidPC และ TipidCP
บังคลาเทศ

OLX จะรวมกับ Ekhanei.com แต่จะยังคงใช้แพล็ตฟอร์มของ Ekhanei.com อยู่
การโยกทีมงาน จะโยกจาก OLX มายัง Ekhanei.com
บริษัท SNT (เกิดจากการรวมกันของ Schibsted และ Telenor) จะถือหุ้นในบริษัทใหม่ 51% ส่วน Naspers ถิอ 49%
คู่แข่งหลังจากรวมกันเรียบร้อยก็คือ Bikroy
บราซิล

701Search และ Naspers จะถือหุ้นบริษัทใหม่กันคนละครึ่ง
เรียกได้ว่าถือเป็นข่าวใหญ่มากๆ ในวงการธุรกิจนี้ รอจับตามองว่าเมื่อควบรวมกันแล้วจะเป็นอย่างไร และคู่แข่งที่มีอยู่ในแต่ละที่นั้นจะรับมือกับการที่ยักษ์ใหญ่รวมตัวกันแบบไหน

ที่มา: Tech in Asia, blognone
http://thumbsup.in.th/2014/11/...d-sea-online-market-companies/

ขอบคุณครับ

Google ขอเชิญคุณเข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาออนไลน์ สดผ่าน YouTube ฟรี! ร่วมรับฟัง ซักถาม และพูดคุยกับเรา ในหัวข้อ “เจาะเทรนด์ปลายปี โฆษณา AdWords อย่างไรดีช่วงเทศกาล”


เทศกาลแห่งการจับจ่ายมาถึงแล้ว ในช่วงเวลาสำคัญของปีเช่นนี้ คุณสงสัยหรือไม่ว่า

ลูกค้าเริ่มหาซื้อของขวัญปีใหม่กันตอนไหน?

ช่วงเทศกาลมีการแข่งขันสูง ต้องทำ AdWords อย่างไรถึงประสบความสำเร็จ?

เพียงแค่ปรับคำโฆษณาพอหรือไม่? เพิ่มงบประมาณจะคุ้มหรือเปล่า?

อยากวัดผลเฉพาะช่วงปีใหม่ทำอย่างไรดี?

รวมไปถึงเทคนิคใหม่ๆในการลงโฆษณา AdWords!

มาพูดคุยกันใน วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน 2557 เวลา 11.00 – 12.00 น.
https://plus.google.com/app/ba...ts/c7j5svpolkfnokdodb60kb6m6jk

หลังจากได้รับเสียงบ่นไม่น้อย เจ้าพ่อเครือข่ายสังคมอย่าง Facebook ประกาศพร้อมลดจำนวนโพสต์โฆษณาหรือ promotional Page post ลงในปี 2015 หรือปีหน้า บนความหวังว่าจะช่วยให้พื้นที่ข่าวสารหรือ News Feed ของผู้ใช้มีความน่าสนใจมากกว่าเดิม


Facebook นั้นระบุว่าจะลดปริมาณ “overly promotional Page posts” หรือพูดง่ายๆ ว่าโพสต์โฆษณาที่มากเกินไปจากหน้า News Feed ของผู้ใช้ในช่วงปีหน้า คาดว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นผลมาจากการสำรวจความเห็นของผู้ใช้ที่บอกตรงกันว่าต้องการเห็นโพสต์โฆษณาที่น้อยกว่าปัจจุบัน

ขอบเขตโพสต์โฆษณาที่การสำรวจพบว่าผู้ใช้ต้องการอ่านน้อยกว่านี้ ได้แก่ โพสต์ที่ต้องการโน้มน้าวให้ซื้อสินค้าหรือติดตั้งแอปพลิเคชัน รวมถึงโพสต์ที่เน้นการประชาสัมพันธ์ และโพสต์ที่นำเนื้อหาจากโฆษณามาดัดแปลงใหม่


สิ่งที่น่าสนใจจากการตัดสินใจครั้งนี้ คือ Facebook ยืนยันว่าการลดจำนวนโพสต์โฆษณานี้จะไม่กระทบกับทั้ง Pages หรือเพจที่ไม่ได้ชำระค่าโฆษณากับ Facebook รวมถึงแบรนด์ที่ทุ่มทุนทำแคมเปญโฆษณาบนเครือข่ายสังคมอันดับ 1 เนื่องจาก Facebook ต้องการปฏิวัติให้เพจบน Facebook มีการออกแบบ โพสต์ หรือประกาศข่าวสารที่น่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิม เรียกว่าเป็นการลดจำนวน”โพสต์ที่มีความเป็นโฆษณามากเกินไป”

นี่ถือเป็นการเริ่มหันมาให้ความสนใจกับกระแสความต้องการของผู้ใช้ หลังจากที่เราเห็น Facebook ติดตามและพยายามแทรกโฆษณาบนพื้นที่ News Feed ของผู้ใช้มานาน จุดนี้ Facebook ระบุว่าจะเข้ามาควบคุมปริมาณและเนื้อหาของ promotional post มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้เห็นข้อมูลที่น่าสนใจจากเพจต่างๆมากขึ้น

แน่นอนว่าข่าวนี้เป็นสัญญาณแสดงว่านักการตลาดและนักโฆษณาทั่วโลกต้องตื่นตัวและหันมาสรรหาการนำเสนอ content น่าสนใจแทนการโฆษณาแบบโจ่งแจ้งอย่างเต็มที่

แต่อีกทางหนึ่ง สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือ ค่าโฆษณาที่อาจจะต้องนำมาพิจารณาใหม่ เพราะคงจะต้องใช้ทุนหนาขึ้นเพื่อให้ได้ค่า KPI ที่เทียบเท่ากับในปัจจุบันนี้
ที่มา : VentureBeat
http://thumbsup.in.th/2014/11/...reduce-promotional-page-posts/

จริงครับ. 

ใช่ครับ ไม่ใช่ทุกคนจะเห็น.

ใครลองทำตามได้ผลยังไง มาบอกกันบ้างนะครับ

.infoครับ

ต้องลองขอบคุณครับ

ผ่านกันไวๆครับจะได้ช่วยอุดหนุน 

อดเลย

คงไม่เป็นไรครับ แค่ครั้งเดียว

สำรวจพบ 24% ของโฆษณาสินค้าแบรนด์เนมบน Facebook มาจากเว็บไซต์ปลอม เสี่ยงถูกขโมยข้อมูลบัตรเครดิต

นักวิจัยด้านความปลอดภัยในโลกไซเบอร์เก็บตัวอย่างจากโฆษณาบน Facebook นับพันชิ้นและพบว่า 1 ใน 4 ของโฆษณาเหล่านั้นมาจากเว็บไซต์ขายสินค้าแบรนด์เนมที่พยายามลอกเลียนแบบเว็บไซต์ทางการของแบรนด์เหล่านั้น

และสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือข้อมูลบัตรเครดิตของผู้ใช้งานนั่นเอง

ดูแบบผ่านๆ แล้วอาจจะรู้สึกว่าโฆษณาพวกนี้มันใกล้เคียงกับของจริงมาก และเมื่อคลิกเข้าไปแล้ว มันจะพาเราไปในเว็บไซต์ที่ดูเหมือนของจริงเช่นกัน ทำให้ผู้ใช้งาน Facebook บางส่วนเชื่อว่าตัวเองกำลังซื้อสินค้าแบรนด์เนมของจริงในราคาถูก

rayb-ban

ผลการศึกษานี้บอกกับเราว่าควรคิดให้ดีก่อนซื้อสินค้าแบรนด์เนมราคาถูกที่เห็นโฆษณาอยู่ใน Facebook เพราะมีความเป็นไปได้ว่ามันจะเป็นของปลอม

นักวิจัยทดลองด้วยการสร้างแอคเคาท์ปลอมขึ้นมา 12 แอคเคาท์ และเลือกสุ่มตัวอย่างโฆษณาใน Facebook จำนวน 1,067 ชิ้น ในจำนวนนี้มีโฆษณาสินค้าประเภทแฟชั่นและแบรนด์เนมจำนวน 180 ชิ้น ซึ่งมีโฆษณาจากเว็บไซต์ขายของแบรนด์เนมปลอม 43 ชิ้น เว็บไซต์เหล่านี้จะใช้เทคนิคหลอกล่อ (เช่น ราคาถูกมาก ลดราคาเยอะมาก) ดึงให้ผู้ใช้งาน Facebook คลิกเข้าไป หน้าตาของเว็บก็จะเหมือนของจริงแทบทุกอย่าง ตั้งแต่ URL และโลโก้ของบริษัทที่สนับสนุนระบบรักษาความปลอดภัยของการชำระเงินในเว็บไซต์

นักวิจัยยังบอกอีกว่าโดยมากแล้วโดเมนเนมของเว็บไซต์เหล่านี้ถูกจดทะเบียนในจีน และอีเมลของผู้ที่เป็นเจ้าของก็เป็นแอคเคาท์ของจีน ซึ่งมันก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าแอคเคาท์เหล่านี้จะดำเนินการโดยบริษัทในจีน ถึงแม้นักวิจัยจะบอกว่ามีหลักฐานหลายๆ อย่างที่ชวนให้เข้าใจไปแบบนั้น

ประเด็นของบทความนี้ก็คือ นักวิจัยออกมาเรียกร้องว่า Facebook ควรจะดูแลและปกป้องผู้ใช้งานจากเว็บไซต์เหล่านี้ ถึงแม้ว่า Facebook จะยังไม่ได้ให้คำตอบเกี่ยวกับข้อเรียกร้องดังกล่าวแบบตรงๆ แต่โฆษกของ Facebook ก็ได้ให้สัมภาษณ์ผ่าน Bloomberg ว่าทางบริษัทก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ สำหรับเรื่องนี้ และกำลังพยายามถอดโฆษณาเหล่านี้ออกไป รวมทั้งยังรับฟังการร้องเรียนเว็บไซต์สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์จากผู้ใช้งานอีกด้วย

ข้อมูลที่ Mashable นำเสนอมานี้เป็นเพียงข้อมูลจากการวิจัยเท่านั้น จริงๆ แล้วบอกได้ยากมากว่ามีโฆษณาสินค้าปลอมแปลงเหล่านี้อยู่เป็นจำนวนเท่าไรใน Facebook และถูดถอดออกไปเท่าไร เนื่องจากทาง Facebook ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเหล่านี้กับสาธารณะ ไม่เหมือนกับที่ Google เคยออกมาชี้แจงว่าได้ถอนโฆษณาแบบนี้ออกไปมากกว่า 350 ล้านชิ้นในปี 2013 และเกือบๆ 220 ล้านชิ้นในปี 2012 ผ่านรายงานความโปร่งใส หรือ transparency report ของบริษัท
ที่มาhttp://thumbsup.in.th/2014/11/that-facebook-ad-you-clicked-on-may-be-for-counterfeit-goods/ :'(

หลายบริษัทคงจะเคยได้ใช้งานแอปพลิเคชันสำหรับทำงานที่มาจาก Google และ Microsoft กันบ้างแล้ว ตอนนี้มีข่าวออกมาว่าโซเชียลมีเดียชื่อดังอย่าง Facebook ก็กำลังจะก้าวเข้ามาในธุรกิจนี้ด้วยในชื่อตามรายงานข่าวว่า “Facebook at Work”



มีแหล่งข่าวไม่เปิดเผยชื่อมาแจ้งกับ Financial Times ว่า Facebook ซุ่มทำแอปเพื่อใช้ในสำนักงานและองค์กรโดยเฉพาะ ซึ่งรูปแบบของ Facebook ที่ใช้ในองค์กรนี้จะมีคุณสมบัติที่เหมือนกันกับที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นหน้า News  Feed, การมี Group เพื่อพูดคุย, การแชท โดยจะมีส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นมา ได้แก่ เครื่องมือเพื่อใช้ในการทำงานจัดการเอกสาร เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกัน (เหมือน Drive ของ Google เป๊ะ)

สำหรับการใช้งานนั้นจะใช้บัญชีแยกจากบัญชีส่วนตัว และจะไม่มีข้อมูลที่ถูกดึงมาจากบัญชีส่วนตัวมาแสดงผลในส่วนนี้อย่างแน่นอน

ในตอนนี้ทาง Facebook กำลังเริ่มทดสอบในส่วนนี้อยู่ในลอนดอน

ลักษณะเหล่านี้มันก็เหมือนกับที่ทาง Google (Google Apps), Microsoft และ IBM ให้บริการอยู่

ส่วนตัวมองว่า Facebook เล็งเห็นช่องว่างที่จะเข้ามาเติมเต็มการใช้งานภายในบริษัท ซึ่งปัจจุบันนี้บริษัทหลายแห่งก็เลือกใช้ Facebook มาเป็นเครื่องมือช่วยในการทำงาน, การปรึกษางาน หรือใช้ในการประกาศบางอย่างให้พนักงานได้รับรู้ การออกมาของเครื่องมือจาก Facebook นี้ก็น่าจะช่วยให้การทำงานภายในองค์กรทำงานได้ดีกว่าเดิม

ที่มา: Mashable
http://thumbsup.in.th/2014/11/rumor-facebook-at-work/

K 'perat_ 

ขอบคุณครับ

 

ขอบคุณthaiseoboard ครับ

แยอะจัง

ขอบคุณครับ

เยี่ยมไปเลย