Ram มันเป็นตัวช่วยในการเก็บข้อมูลครับ ถ้าใช้ไม่เต็ม เพิ่มไปก็ไม่เกิดประโยชน์ (ไม่เร็วขึ้น) / แต่ถ้าใช้เกิน จะทำให้ช้าลงครับ

สมมุติว่า คุณมีพนักงานหยิบสินค้า 2000 คน

- คุณใช้คนหยิบของทำงาน 1500 คน (โดยที่อีก 500 คนว่างงาน และจะไม่ทำงานจนกว่า 1500 คนนั้นจะไม่ว่างจริง ๆ) ...ต่อให้คุณเพิ่มคนงานเป็น 4000 คน มันก็มีผลเหมือนเดิมครับ ไม่เร็วขึ้น เพราะ คนทำงานจริงแค่ 1500 คน (ว่างงาน เพิ่มจาก 500 ไปเป็น 2500 คน)



- อีกตัวอย่างนึง มีคนบอกว่า Ram เหมือนโอ่งใบหนึ่ง ใส่น้ำยังไม่เต็มเลย แต่คุณก็ไปเปลี่ยนเป็นโอ่งใบใหญ่กว่าเดิม มันก็มีค่าเท่าเดิม

น่าจะประมาณนั้นครับ 

ตอนนี้น่าจะเป็นเพราะ Core Algorithm Update ที่มีมาตั้งเต่ช่วงต้นเดือน / กลางเดือน มีนาคม 2018 นะครับ (เห็นว่า Google จะทดลองปรับแบบนี้ ปีนึง 4-5 ครั้ง เพื่อเรียนรู้และปรับปรุงผลการค้นหาให้โดนใจ user มากขึ้น)

การปรับลักษณะนี้ จะมีผลดีกับบางเว็บ และไม่ดีกับบางเว็บ

ใน SearchEngineWatch บอกไว้ว่า Pattern ในลักษณะเดียวกันนี้ (Ranking Drop แทบหาย) ก็เกิดขึ้นกับบางเว็บมาก่อน ในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ 2018

https://searchenginewatch.com/...ost-out-and-what-can-we-learn/


เนื้อหาเป็นการวิเคราะห์และสมมุติฐานนะครับ ไม่ได้เป็น Fact เพราะฉะนั้นมันอาจจะไม่ได้เป็นตามนั้นเสมอไป

....

Google has suggested that this update has nothing to do with the quality of content, and instead focuses on improving the quality of the SERPs.

Google บอกว่า อัพเดทนี้ไม่เกี่ยวกับคุณภาพของเนื้อหา แต่เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพของ "ผลการค้นหา"

.....

Content that matched user intent was safe

เนื้อหาที่ตรงกับสิ่งที่ User ค้นหา ไม่มีผลกระทบ (คำบางคำมีความหมายได้หลายอย่าง ทำให้มันไม่ตรงใจ User พวกนี้แหละมีผลกระทบ ... เช่น Apple สำหรับ User อาจหมายถึง ผลไม้ หรือ บริษัท Apple ก็ได้ ...... New Zealand สำหรับ User อาจหมายถึง ข้อมูลทั่วไปของนิวซีแลนด์ / สถานที่ท่องเที่ยวของนิวซีแลนด์ / แผนที่ของนิวซีแลนด์ )

.....

If it is algorithmic testing, you most certainly won’t be the only one involved. Other sites will follow the exact same pattern down to the day.

ถ้ามันเป็นการทดสอบ Algorithm คุณจะไม่ใช่เพียงคนเดียวที่โดนกระทบ เว็บอื่น ๆ จะมีผลกระทบเช่นกัน

.....

Google has confirmed that sites that experienced ranking drops as a result of the broad core update aren’t necessarily doing anything wrong. As I stated at the beginning of this article, the losses that we did observe were short-lived and not drastic

Google คอนเฟิร์มว่า เว็บที่อันดับตกเพราะ Core Update ไม่ได้ทำอะไรผิด อย่างที่เรา [SearchEngineWatch] บอกไว้ตั้งแต่ตอนต้นบทความ การสูญเสียที่เราวิเคราะห์ดูมีระยะสั้นและไม่รุนแรงมาก

....

If you want to make sure that your content is insulated against future updates of this kind, focus on creating content that puts the searcher first and will satisfy user intent. But above all: don’t panic.

ถ้าคุณอยากให้เว็บของคุณได้รับการป้องกันจาก Update แบบนี้ในอนาคต จงมุ่งไปที่การสร้างเนื้อหาสำหรับ User และ ตอบโจทย์สิ่งที่เค้า Search หา .. แต่ เหนือสื่งอื่นใด อย่าตื่นตระหนก

....

หวังว่าจะช่วยได้บ้างนะครับ  

อาจจะเป็น Algorithm Update นะครับ ของต่างประเทศอัพตอนสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

https://www.seroundtable.com/g...onfirms-core-update-25390.html

ของบ้านเราอาจจะเพิ่งมาวันนี้ เพราะเห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงชัด ๆ วันนี้


ถ้าดูจาก https://algoroo.com/ ก็จะเห็นว่ามี Algorithm เปลี่ยนแปลงวันสองวันนี้ด้วยเช่นกัน  


เพิ่มเติมครับ: Algorithm ตัวที่ว่านั้น Google บอกว่าเป็น Core Algorithm อัพเดท (อัพเดทในส่วนหลัก) ... โดยที่ไม่บอกว่าเปลี่ยนแปลงอะไร ถ้าใครโดน Algorithm อันนี้เล่นงาน เค้าบอกว่า "แก้ไม่ได้" (เพราะเป็นการปรับจากส่วนหลัก ไม่ใช่ Penalty) แค่อัพ Content คุณภาพขึ้นมาก็พอ

ปัญหาคือ เว็บคุณภาพบางเว็บก็โดน 

ผมจำได้ว่าคุณแชร์วิดีโอด้านธุรกิจมากมายให้สมาชิก TSB ได้เข้าไปดูกัน แสดงว่าคุณเป็นคนศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม หามุมมมองใหม่ ๆ อยู่เสมอ น่าจะต่อยอดไปได้อีกไกลนะครับ

ส่วนตัวแล้วผมคิดว่า หากคุณตอบคำถามที่ว่า "ทำไมลูกค้าต้องซื้อกับคุณ?" ได้ คุณก็น่าจะมีโอกาสในการเพิ่มยอดขายได้ (ทุกวันนี้คนจะเข้ามาทำธุรกิจ มักมองข้ามลูกค้าไป และตั้งคำถามแรกว่า "ทำอะไรถึงจะรวย?" ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว หากทำให้ลูกค้ามาซื้อกับคุณได้ ไม่ว่าจะอาชีพอะไร เราก็น่าจะรวยได้หมดแหละ ไม่ว่าจะขายก๋วยเตี๋ยว ขายหมูปิ้ง ขายลูกชิ้น ขายผลไม้ ขายขนมหวาน ... )

ใครคิดยังไงผมไม่รู้ แต่ผมเชื่อแบบนั้น

อ่าผมหมายถึงเว็บเดิมที่เป็น Table สำหรับ PC คือ มันถูกจัดเรียงไว้สวยงาม แล้วพอจะมาทำให้เป็น Responsive มันจะช้า เพราะต้องคงความสวยงามทั้ง การจัดซ้ายบ้าง ขวาบ้าง เอาไว้ใน PC แต่ต้องจัดกลางในมือถือ ดังนั้นการทำ Mobile Site ในเว็บเก่า ๆ สำหรับผม มันก็เลยเร็วกว่าครับ เพราะไม่ต้องแคร์การจัดวางใน PC

ส่วนเว็บใหม่ ๆ ผมก็ออกแบบอย่างง่าย ๆ ไว้ เพราะจะได้ทำให้แสดงผลได้ง่ายทั้งใน PC และ Mobile (โดยใช้ Div นั้่นแหละครับ) แต่จริง ๆ สกิลการออกแบบ Layout ผมอาจจะไม่ถึงก็ได้นะครับ เลยทำให้ช้า ฮ่า ๆๆๆๆ  

ผมใช้ Mobile site แต่เป็น URL เดิมนะครับ ก็หาวิธีเช็คว่าเป็นมือถือหรือเปล่า แล้วแสดงผลจาก ไฟล์ A (คอม) กับ File B (มือถือ) 

มีผลระทบกับ SEO ไหม? เท่าที่ใช้มาประมาณ 2 ปีกว่า คิดว่าไม่มีนะครับ ทุกอย่างโอเคดี

ข้อดี
- จัดการปรับแต่งได้ตามใจและรวดเร็ว

ข้อเสีย
- เวลาอัพเดทข้อมูล ต้องอัพทั้ง 2 ไฟล์
- มันไม่ Responsive ซะทีเดียว เพราะแยกไฟล์ ดังนั้นพวก tablet หรือ โน๊ตบุ๊คขนาดเล็ก ก็ยังแสดงผลแบบ PC อยู่

เอาจริง ๆ Responsive ก็ดีกว่านะครับ แต่ใช้เวลา Develop ค่อนข้างช้า ทำแบบ Mobile Site เร็วกว่าจริง โดยเฉพาะกับเว็บที่เคยมีแต่เวอร์ชั่น PC อย่างเดียวมาก่อน ส่วนพวกเว็บที่ทำใหม่ ๆ ก็จะพยายามออกแบบให้เป็น Responsive ไว้เลย (อันนี้ไม่ใช่สาย CMS นะครับ พวก CMS ก็ใช้ theme ที่ responsive ไปเลย ง่ายสุด)

ปล.เพิ่มเติม ส่วนตัวแล้ว คิดว่าการมี URL 2 อันไม่น่าจะเป็นปัญหานะครับ ทำ SEO แค่อันหลักอย่างเดียว เพราะถ้าใช้มือถือเข้าอันหลัก มันก็จะ redirect มาที่ Mobile Site อยู่แล้ว

ส่วนตัวแล้ว ผมว่าการที่อันดับลดลงกะทันหัน ส่วนใหญ่เกิดจาก 2 เรื่องนี้ครับ: Content กับ Backlink

- คุณผลิต Content คุณภาพ หรือ สายเทาครับ?
- คุณได้ Backlink มาด้วยวิธีไหน? (เคยไปจ้างทำ SEO ไหม)

แนะนำการซื้อปริ้นเตอร์ครับ

ผมมองว่ามกรณีนี้ มันไม่ใช่ การลงทุนซื้อเครื่องปริ้นต์ นะครับ แต่เป็นการลงทุนซื้อความรู้ ความรู้อยู่คู่กับเราไปจนตาย อ่าน 10 บทความ ถ้าคุณเข้าใจ และประยุกต์ได้ จะนำมาเขียนบทความได้หลากหลาย เกิน 10 บทความครับ ความรู้ที่ได้ยังนำมาบอก มาแนะนำพ่อแม่พี่น้อง ผองเพื่อน ได้อีกต่างหาก

ในขณะที่จ้างเขียนบทความ ผู้เขียนอาจจะเขียนได้ไม่ตรงใจเรานัก และจ้างเขียนไม่กี่งาน ก็ได้ปริ้นเตอร์เครื่องนึงแล้วด้วย

ผมมองว่าประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ อยู่ที่ว่า คุณอยากเขียน หรือไม่อยากเขียน มากกว่า (คนส่วนใหญ่ชอบอย่างหลัง แต่ต้องหาวิธีควบคุมคุณภาพเอาเองนะคร้าบบบบ  )

เอ่อ เรื่อง จะเอาคำว่า Google custom search ออกนี่ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าได้ไหม เพราะเคยแต่ลองปรับ style ของ Search bar ดูครับ

เท่าที่ทราบคือ ปรับได้ 2 ที่

- https://cse.google.com/all อันนี้ลองเข้าไปเล่นดูก่อนก็ได้ครับ มันมี Theme พื้นฐานให้เลือกอยู่ (แล้วค่อยมาปรับ style เพิ่มทีหลัง)
- การปรับโดยใช้ style

การปรับ style ไม่น่าจะผิดกฏนะครับ เพราะเห็นคุยกันใน Google Forum อยู่หลายกระทู้ แต่เรื่อง คำว่า Google custom search อันนี้ไม่แน่ใจครับ

มันใส่ css สไตล์ได้นะ ลองเอา code style ด้านล่างนี้ ไปใส่ไว้ใต้ปุ่ม search ดูละกันนะครับ

จริง ๆ https น่าจะเป็น Ranking Factor ที่ไม่มีผลเท่าไรนะครับ (มีแต่ไม่เยอะ)

การเปลี่ยน HTTPS เป็นเรื่องของการกังวลใจด้านความปลอดภัยในการถูกดักเก็บข้อมูลที่ไม่ได้เข้ารหัสไว้ มันไม่ใช่แค่ Login แล้วเก็บ Password ได้ แต่เป็นการแอบดูพฤติกรรมของเป้าหมาย ว่าเข้าหน้าเว็บอะไรบ้าง ดูรูปอะไรบ้าง ซึ่งการได้ข้อมูลดังกล่าวไป อาจทำให้ได้ประโยชน์บางประการ


ถ้าในแง่ SEO การเปลี่ยนมาเป็น HTTPS โดยไม่มีความรู้ ไม่ได้ Redirect หรือ Redirect ไม่ถูกต้อง จะส่งผลเสียในเรื่องอันดับได้ รวมถึงผู้เปลี่ยนได้ถูกวิธี ส่วนมากจะประสบปัญหา Traffic ตกในช่วงแรก เพราะ Google มองว่า HTTP://www.example.com เป็นคนละเว็บกับ HTTPS://www.example.com ทำให้ต้องทำการคำนวนคุณภาพของเว็บ และ Backlink ใหม่นั่นเอง

เห็นมีประกาศรับสมัครอยู่นะ มีระบุเงินเดือนด้วย

http://www.thaiseoboard.com/in...7038.msg5318045/topicseen.html

ลองดูครับว่าทำได้ไหม

อีกอย่าง คนที่พอมีความรู้ด้าน SEO ก็มีโอกาสหาเงินด้วยตนเอง จาก IM อีกเยอะนะครับ

ที่จริงผมเห็นข่าวมาหลายวันแล้วนะครับ แต่ไม่เห็นคนใน TSB บ่นกันมาก เลยคิดว่าคงไม่โดนกระทบกันเท่าไร

เว็บส่วนใหญ่ของผม ก็ทรง ๆ นะครับ มีดีขึ้นบ้างเล็กน้อย สงสัยคู่แข่งจะทำสายขาวกันเยอะ หุหุ (สำคัญคือ รู้สึก Google ไม่ได้บอกด้วยว่า Update อะไร)

ถ้าเป็นตั้งแต่ประมาณวันที่ 25 เดือนที่แล้วก็ ใช่นะครับ

http://searchengineland.com/go...rolling-since-june-25th-277942

ผมว่ามันจะเป็นแบบนี้นะครับ (ตัวเลขสมมุตินะครับ)

ตอนแรก
Facebook + Google = กำไร 50,000 ล้าน  

ตอนหลัง
Facebook + Google ชาร์จเงินเพิ่ม = กำไร 50,000 ล้านเท่าเดิม  + 10,000 ล้านภาษีให้รัฐบาล

สรุป
- ผู้ประกอบการ ต้องจ่ายเพิ่มให้กับ Facebook + Google เป็นค่าภาษี
- ผู้บริโภค ต้องจ่ายให้กับ ต้นทุนผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้นจากค่าภาษี
- ก็เหมือน Facebook และ Google ไม่ได้จ่ายภาษี แต่เป็นเรา ๆ ครับที่จ่าย


ผมเห็นด้วยนะครับที่บริษัทต่างชาติ ควรจ่ายเงินให้รัฐบาล แต่เราจะทำยังไง ให้มันไม่มาลำบากระบบเศรษฐกิจเราเองเนี่ย อันนี้ล่ะที่ยาก

กสทช ก็แค่เข้า Youtube แล้วดูไปเรื่อย ๆ สมมุติมีโฆษณา สบู่ทำให้ขาว ออกมา 1 ก็ทำการ Record ไว้ เก็บหลักฐาน + ตามไปดูเว็บหลัก เก็บเบอร์ติดต่อ หมายเลขโอเนเงิน ชื่อผู้รับโอน

ง่าย ๆ เลย ดู ๆ อยู่ โฆษณาไทยอันไหนโผล่มา เป็นอันว่าซวย ประมาณนั้นครับ 


สรุปตอนนี้ คือ ต้องลุ้นให้ตกลงกันได้ครับ ไม่งั้นหนักแน่ - -'

สาย Youtube ที่จะเกิดขึ้นแน่ ๆ เลย คือ ห้ามคนลงโฆษณาผ่าน Youtube ถ้าลงมีโทษ ข้อหา ส่งเสริมบริษัทเถื่อน

ผลเสียที่ตามมาคือ ถ้า โฆษณาไทยไม่ลง Youtube แล้วคนทำ Youtube จะทำอย่างไร จะเอาเงินจากไหนซื้อมาม่า


ส่วน Google Adwords อันนี้ไม่แน่ใจว่าเข้าข่าย "กิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์" หรือไม่ (คิดว่าไม่น่าเข้าข่ายนะ แต่ถ้าเอาเข้าจริง ถ้าเล่น Youtube กับ Facebook ได้ เดี๋ยว Adwords ก็ตามมา ทำให้คนทำ Adsense โดนกระทบแน่ ๆ)

จริง ๆ แล้วแต่เคสนะครับ จะนานจะเร็วเนี่ย

เห็นว่าเคสไหนแบบชัดเจนเลยว่า ไม่ใช่ Spam / ใช่ Spam  นี่จะรวดเร็วทันใจมากครับ

แต่r;dเคสที่อยู่กลาง ๆ ไม่แน่ชัดเนี่ย บางเคสก็ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ แต่บางคนบอกได้ถึง 3 สัปดาห์เลยทีเดียว ซึ่งแล้วแต่ว่าช่วงนั้นจะมีคนขอ Reconsideration Request มากหรือน้อย

ของผมมีประสบการณ์ตรง โดนคล้าย ๆ คุณ Pure Spam จาก New Domain ซึ่งใช้เวลาประมาณ 8-10 วัน กว่า Google จะตอบกลับครับ

แต่ว่ากันว่า Pure Spam นี่ ไม่ค่อยมีปัญหามากนะครับ เพราะไม่ใช่ Domain ที่โดนเล่นงานเรื่อง Backlink มา น่าจะเอามาทำต่อได้

แบบนี้ได้ไหมครับ (คร่าว ๆ นะครับ)

สร้าง Table มาใหม่ 1 อัน เพื่อเก็บ ไฟล์1 ไฟล์2 ไฟล์3
ในตารางนี้ สร้างฟิลด์ที่เก็บค่า status (ทำงานอยู่ / ว่าง) และ ฟิลด์ตัวเลข เพื่อเก็บค่า Record เริ่มต้น และ ฟิลด์วันเวลาที่เริ่มดำเนินการ


พอ Cron สำหรับ ไฟล์1 ทำงาน
- ก็ให้ทำตาม Process ที่คุณทำไว้เดิม
- บวกกับ ให้ทำการ Update ข้อมูลใน Table ที่สร้างขึ้นมาใหม่ ว่าไฟล์1 ทำงานอยู่นะ เริ่มต้นที่ 0 (record ที่ 0)


พอ Cron สำหรับ ไฟล์2 ทำงาน
- ก็ให้เช็คก่อนว่ามีไฟล์อื่นทำงานอยู่มั้ย (กรณีนี้ คือไฟล์1)
- ถ้าไม่มี ก็ให้ทำตาม Process ที่คุณทำไว้เดิม ซึ่งก็คือ จะทำอะไรก็ทำตามของเดิมไปได้เลย เพรา record ที่ทำ มันไม่ชนกันกับไฟล์อื่นอยู่แล้ว
- แต่ถ้ามี ก็ให้ทำตาม Process ที่คุณทำไว้เดิม + ระบุ Record เริ่มต้นให้ต่อจากของเดิมไปอีก 40 (เช่น record ที่ 0 + 40 = 40) กรณีนี้อาจต้องเช็ควันเวลาของ Record ที่ถูกดำเนินการล่าสุดด้วย เช่น ไฟล์ 3 อาจดำเนินการก่อน 2 ทำให้ Record ที่ควรจะเริ่มไม่ใช่ 0+40 แต่เป็น 40 + 40 = 80

- ให้ทำการ Update ข้อมูลใน Table ที่สร้างขึ้นมาใหม่ ว่าไฟล์2 ทำงานอยู่นะ เริ่มต้นที่ ....


พอ Cron สำหรับ ไฟล์3 ทำงาน
ก็เหมือน ไฟล์ 2 นั่นแหละ

ลองดูครับ เขียนโปรแกรมอยู่แล้วน่าจะพอเข้าใจว่าหมายถึงอะไร


* จริง ๆ แล้วทั้งหมดนี้ทำเป็นไฟล์เดียวได้ แต่ตอนแรกทำแบบหลาย ๆ ไฟล์ก่อนดีกว่า ตรรกะง่ายกว่า ถ้าทำได้แล้ว อยากใช้ CronJob ไฟล์เดียวประยุกต์เอา

** เพิ่มเติมครับ เหมือนเคยอ่านเจอว่า Database ที่เป็น MyISAM จะถูกล็อก ทำให้เพิ่มข้อมูลในเวลาเดียวกันไม่ได้ แต่ถ้าเป็น InnoDB จะสามารถทำได้ครับ

ความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมจับใจความได้ว่า อย่าลิ้งค์ไปหน้ารวมสินค้า แต่ให้ลิ้งค์ไปหน้ารายละเอียดสินค้าโดยตรงนะครับ

โดยเฉพาะตรง For Example

"However, you may not use Special Links to link to the Amazon Site from references to products on your Site that are not “Products” as defined in the Agreement. For example, you cannot link to the Amazon Site with a link for “shoes”, however you can link to the Amazon Site with a Special Link to a specific shoe Product detail page."

you cannot link to the Amazon Site with a link for “shoes”. (สังเกตุตัวเติม s)

แต่ว่า

you can link to the Amazon Site with a Special Link to a specific shoe Product detail page.

ไม่แน่ใจนะครับว่าถูกไหม แต่ผมว่าถ้าเป็นแบบคุณ eyejan ว่า อาจจะโดนเก็บกันเต็มกระดานเลยก็ได้นะครับ