ขอบคุณครับ ตัวนี้ใช้งานคล้ายกับ artisteer แต่ดีตรงที่ไม่ต้องเสียเงิน แต่.. ไม่รู้ว่ามีวาระซ่อนเร้นในไฟล์ template หรือเปล่านะครับ 

และยังคงลบจุดบอดที่ artisteer เองก็ยังลบไม่ได้ นั้นคือ การแทรกตำแหน่ง module ลงไปในส่วนตรงกลาง template (ก่อนถึงเนื้อหาหลัก) ซึ่งจะสังเกตได้ว่า template ที่ใช้โปรแกรม artisteer เองหรือเว็บนี้ ก็ยังไม่สามารถแทรกโมดูลให้หลากหลายเหมือน template ที่เขาเขียนขายกัน

แต่.. ก็ประหยัดเวลาไปได้มากเลยทีเดียว เหมาะสำหรับคนที่อยากสร้าง template เองแบบง่ายๆ ขึ้นมาก่อน แล้วค่อยเอามาประยุกต์ยัดโค้ดแทรกโมดูลลงไป เพื่อต่อยอดให้ได้ template ที่ตรงกับที่เราต้องการมากที่สุดอีกทีก็ดีเหมือนกันครับ  ประหยัดเวลาไปได้เยอะเลย

ปัญหาคือว่า คุณต้องการย้ายไป joomla 1.5.x ใช่ไหมครับ

ถ้าใช่ แล้ว url เดิมที่ gg index ไป เป็นอะไรบ้างครับ ถ้าเป็น url แบบเดิมของ mambo โดยคุณเปิดใช้คำสั่ง sef เพื่อให้ url เป็นตัวเลข ก็จะได้เป็น

hxxp://domainname.com/content/view/post id/category id

ปัญหาเรื่องข้อมูลการย้ายมานั้นไม่ยากครับ แต่ปัญหาที่สำคัญกว่าคือ url ต่างๆ ที่ gg index ไปแล้วนั้น ระบบ joomla 1.5.x นั้น มันไม่ได้เรียงแบบ mambo นะครับ!!!

เพราะว่า เมื่อคุณใช้ joomla แล้วเปิดใช้ url sef friendly (แบบไม่ใช้ component sh404) คุณจะได้ url เป็น

hxxp://domainname.com/id post-alias (หรือหากใน mambo คุณไม่เคยใส่ชื่อในช่อง alias มาก่อนเลย url คุณจะได้เป็น)
hxxp://domainname.com/date of post (เช่น 10-05-2010)

ปัญหาหลักจึงไม่ได้อยู่ที่ข้อมูลมันจะมาครบหรือไม่ เพราะมันมาครบได้แน่ๆ แต่.. ปัญหาคือ index gg ของคุณทั้งหมด มันจะไม่เจออีกต่อไป!!!

ทางแก้มี 2 ทางเลือก

1. ลง joomla 1.5.x  แล้วไปแก้ไขบทความทั้งหมดในช่อง alias เป็น url เดิมของ mambo   อันนี้อึด ถึก มึน เท่านั้น เพราะต้องทำมือทั้งหมดเพื่อให้ได้ url ตามที่คุณต้องการ (ตามที่ gg index ไปหมดแล้ว)
2. ลง joomla 1.5.x ใหม่ไป แล้วใช้ตัว sh404 ช่วย เพื่อ redirect ไปยังหน้าใหม่ ซึ่งคุณก็ต้องทำมือเองทั้งหมดเช่นกัน และทางที่ดีคือ ควรจะไปใช้คำสั่ง 301 ด้วย เพื่อ bot มันจะได้รู้ว่า คุณได้ย้าย url นี้ไปแล้ว

ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่นะครับ ถ้าเป็นเว็บที่ทำเงินอยู่แล้ว มี traffic ดีอยู่แล้ว ผมคงไม่ทิ้งไป ผมจะใช้ mambo ตามเดิม แต่จะไปสร้างเว็บใหม่แล้วใช้เว็บ mambo เป็นตัวยิงลิงก์ไปยังเว็บใหม่ เพื่อดันให้เว็บใหม่เรามีคนเข้ามากขึ้น pr ดีขึ้น และ bot มาเร็วขึ้นครับ

ปล. อันนี้เป็นแค่ความคิดเห็นนะครับ พิจารณาก่อนให้ดีก่อนตัดสินใจ
ปล2. จะเปลี่ยนเป็น 1.5.x ทั้งที ก็รอเปลี่ยนเป็น 1.6 ไปเลยสิครับ ของใหม่นี่สุดยอด ไม่แพ้ wordpress เลย (เพราะหลายอย่างใน wordpress พี่ joomla ก็เอาเขามารวมใน 1.6 เช่นกัน  ) รวมถึงการเปิดโอกาสใช้ url ภาษาไทย ซึ่งฝั่งมาให้ใน core file คำสั่ง redirect ก็ถูกแถมมาให้ใน core file เลยด้วย ไ่ม่ต้องพึ่งพา component เพื่อเปลี่ยน url หรือ สั่ง redirect อีกต่อไป

คาดว่าเป็นที่ template ครับ แก้ไขทีไ่ฟล์ css ของ template vm ซึ่งผมเองไม่เคยใช้ครับ เลยไม่รู้จะแนะนำยังไงดี แต่ถ้าได้เห็นตัวอย่างก็น่าจะดูให้ได้ครับว่า เกิดข้อผิดพลาดที่ class หรือ id อะไร ครับ  

เพราะว่าโดยปกติคนที่เขียน template เองนั้น เขาอาจจะไม่ได้ดูว่า class หรือ id ที่ login จากหน้า front end นั้น ระบบ joomla เรียก class หรือ id อะไรบ้าง ทำให้เขียน css ไม่ครอบคลุมครับ 

มีทางแก้ 3 ทางครับ

1. สร้างเท็มเพลตใหม่เฉพาะหน้านี้ขึ้นมา โดยเอาของเก่ามาแก้ แล้ว save เป็นอีกชื่อหนึ่ง แบบนี้จะง่ายกว่าสำหรับคนที่แก้เืท็มเพลตไม่เป็น
2. ไปกำหนดตำแหน่งโมดูลใหม่ ในเท็มเพลตเดิม จากนั้นสร้างโมดูลใหม่ขึ้นมาแล้วกำหนดในตำแหน่งที่ต้องการ (about us) จากนั้นในโมดูลนั้นให้ใช้การแทรกรูปภาพเอาเลยครับ แบบนี้อยากให้มันกว้าง สูง เท่าไร ยัดรูปไปได้ตามใจแน่นอน  

ปล. การสร้างเท็มเพลตจากโปรแกรมนี้ผมเคยลองใช้แล้ว โดยมากมันจะแก้ไขไม่ได้ เพราะโครงสร้างหลักของมันคือ ให้คุณเลือกได้แค่

           Header
Left     Body        Right
          Footer

ซึ่งในการใช้งานจริง ในส่วนของ Body นั้น เรา (ผู้ใช้) ก็อยากจะแทรกสารพัดโมดูลลงไป แต่โปรแกรมมันไม่ให้ครับ ต้องยัดด้วย 2 มือเราเอง  

3. หรือจะลองแก้ไข css ก็ได้ครับ โดยไปปรับเพิ่มโมดูลในไฟล์เท็มเพลต index.php อาจจะตั้งเป็น user1 ก็ได้ครับ แล้วไปกำหนดให้มันแสดงเฉพาะบางหน้าที่เราต้องการ จากนั้นให้ใช้ module class พิเศษ โดยเขียน css เพิ่มเป็น

.ชื่อคลาสอะไรก็ได้{
width: 100%;
height: กำหนดความสูงที่ต้องการ;
display:block;
background-color:กำหนดค่าสีที่ต้องการ;
padding-top:กำหนดระยะห่างระหว่างคำว่า about us กับกรอบโมดูลด้านบน
padding-bottom:กำหนดระยะห่างระหว่างคำว่า about us กับกรอบโมดูลด้านล่าง
font:กำหนดรูปแบบตัวอักษร
color:กำหนดค่าสีตัวอักษร
size:กำหนดขนาดตัวอักษร
}

ลองดูนะครับ 

ถ้าให้สมาชิกเข้ามา (สมัคร + login) แล้วเข้ามาโพสเนี่ย มี component ชื่อ jomsocial ครับ แต่ถ้าถึงขั้นว่า member เปลี่ยนหน้าตาเว็บได้เองเลย อัพโหลดไฟล์แก้ไขหน้าเว็บด้วยเนี่ย ผมยังไม่เคยเห็นนะครับ ถ้าความต้องการคือจะทำระบบ blog เหมือน bloggang ก็คงต้องโม Joomla กันยกเครื่องทีเดียว  อาจจะลองไปศึกษา wordpress mu ก่อนก็ได้นะครับ พอดีผมไม่ค่อยถนัดกับ mu เลยไม่สามารถแนะนำได้ครับ

ตรงจุดนั้น เขาสร้าง module ขึ้นมาครับ ตำแหน่งคือ User5 ครับ ลองไปดูในระบบนะครับว่า user 5 มันเป็นอะไร ถ้าซื้อมาก็ลองติดต่อผู้ขายนะครับ แต่ถ้าโหลดเถื่อนมา.. อันนี้ตัวใครตัวมันครับ  เพราะการมานั่งแกะเท็มเพลตที่พวกมืออาชีพเขียนเนี่ย บางทีฝรั่งมันก็วางยาไว้ก็มีครับ แก้ผิดนิดเดียว เท็มเพลตเน่าไปเลย 
 

คำว่าเนื้อหาอยู่ด้านบนเนี่ย ใช่คำพูดว่า สวัสดีจ้า ขอต้อนรับเข้าสู่ ... ใช่หรือเปล่าครับ ถ้าใช่ละก็ ง่ายๆ ครับ คือ

1. เขาใช้ component virtuemart ครับ (มีลงโมดูลอื่นๆ เพิ่มเติมที่เกี่ยวกับ virtuemart ด้วย)
2. เมื่อลงแล้ว เขาก็ set ให้หน้า component นี่้เป็นหน้าแรกของเว็บ
3. ปรับแต่ง template โดยแทรกโมดูลลงไป โมดูลที่ว่าก็คือ เนื้อหา สวัสดีจ้า ขอต้อนรับเข้าสู่ ... นั้นแหละครับ

หากเข้าใจการสร้างเท็มเพลต การวาง layout ต่างๆ ก็จะเข้าใจได้ไม่ยากครับ

ถ้าเป็นผมนะครับ

1. ลง joomla - ได้บทความ, News ข่าวประจำวัน
2. ลง Component Joomla webboard มีหลายตัวให้เลือก หรือจะลง phpbb แล้วใช้ bridge (เชื่อม Username ระหว่าง Joomla กับ phpbb)
3. Directory สารบัญ link ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็ใช้ตัว joomla ที่มีมาปกติก็ได้ หรือถ้าไม่ชอบ component ใน joomla ก็หาโหลดได้ครับ เช่น sobi
4. เกมส์คลายเครียด ก็อาจจะใช้เกม flash (อัพเกม flash โดยตรงขึ้น host แล้วแทรก 1 เกม / 1 บทความ) หรือหากไม่ชอบก็มี component เำกี่ยวกับเกมโดยเฉพาะครับ (รู้สึกจะมีทั้งฟรีและเสียเงิน)

+1 ให้แล้วครับ 

Acer จริงๆ เข้ามาในไทยแรกๆ สมัยนั้นจำได้ว่าราคาถูกมากๆ ถูกกว่า IBM (thinkpad), HP, VIAO มากหลายเท่า ทำให้คนไทยหันไปซื้อใช้มากเพราะราคาถูก

ผมเองก็เคยมีประสบการณ์การซื้อคอมในงานคอมแบบนี้แหละครับ ขอบอกว่า.. มันไม่ได้ลดเยอะหรอกครับ มันจะเอาของแค่ 5-10 ชิ้นมาตั้งราคาถูกๆ ขายแบบถูกมากๆๆๆๆๆ เพื่อเรียกคนเข้าไป พอไปถึง ก็จะบอกว่า ของหมด เพราะมีคน (วงใน) ซื้อไปตั้งแต่งานยังไม่เปิดแล้ว หรือไม่ก็ต้องซื้อของในงานก่อนเท่านั้นเท่านี้บาทเพื่อไปเสี่ยง (จับฉลากตอนเย็นๆๆๆๆๆๆๆ ใครจะไปรอ) ว่าจะได้สิทธิไหม 

เคยซื้อ PC ของ Acer ตอนนั้นเป็นรุ่นล่าสุด ซื้อไปให้ญาติใช้ เพราะเห็นว่าญาติไม่มีความรู้เรื่องคอม เลยคิดว่าการซื้อเครื่องที่มีแบรนด์และรับประกันน่าจะเหมาะกับเขามากกว่า จำได้ว่าซื้อไปเกือบ 4 หมื่นกว่า (ของ Acer) เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดของเขาในวันนั้น ปรากฏว่า... Mainboard รุ่นนั้น มันผิดพลาดอะไรไม่รู้ครับ ลง Windows XP ไม่ได้ เพราะว่าใส่แผ่นแท้ไปแล้ว มันไม่เห็น Harddisk น่าจะมาจากเพราะว่า Harddisk เป็นแบบ SATA2 เลยโทรไปถามที่ศูนย์ นี่คือคำพูดที่ช่างที่ศูนย์พูดกับผม ผมจำได้ดีจนถึงวันนี้

ช่าง - พี่ต้องใช้ driver sata ที่อยู่ในเว็บครับ
ผม - ก็โหลดมาแล้ว แต่ mainboard คุณมันไม่สามารถ boot จาก USB ได้อะ มันมีให้เลือกแค่ drive a, c, cd rom แล้วจะให้ผมทำไง
ช่าง - งั้นพี่ก็ต้องใช้แผ่น disk drive a ครับ
ผม - เออ.. แผ่น drive a อะ ผมหาได้นะ แต่ว่า.. สเปคเครื่องนี้มันไม่มี drive a ครับพี่.. จะให้ผมทำไง
ช่าง - เออ... (นิ่งเงียบไป.. นานเหมือนโลกหมุนเต้นระบำรอบตัวเองไป 2 รอบ) งั้นพี่คงต้องไปซื้อ drive a มาติดตั้งครับ ราคาแค่ 400 บาทเองครับ
ผม - เอ้ย.. (ปรี๊ดแตก) ผมซื้อคอมราคา 4 หมื่นมา.. แต่ลอง window ไม่ได้ ผมต้องไปเสียเงินซื้อ drive a มาอีก 400 เพื่อใช้ลง window อย่างเดียวเหรอครับ ลงแล้วจะได้ใช้ format กี่ครั้งเชียว แล้วทำไมคุณทำเครื่องมาไม่ตรวจให้ดีว่า bios มันรองรับหรือยัง
ช่าง - ถ้าอย่างนั้นคุณพี่ก็ต้องรอให้ทางเรา update bios ครับ
ผม - เมื่อไรละครับ
ช่าง - เออ... (โลกหมุนรอบตัวมันอีก 2 รอบ) อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ เพราะว่าเครื่องรุ่นนี้ที่ขายไป เพิ่งจะมาวันนี้วันแรกเลยครับ
ผม - แล้วตกลงผมต้องเป็นคนรอเหรอ ทำไมคนเสียเงินแล้วไม่ได้ใช้ของต้องเป็นคนรอด้วย (วะ)
ช่าง - ....
ผม - งั้นผมขอคืนของ
ช่าง - คืนคงไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าคุณซื้อในงานคอมแบบนี้ แล้วก็ซื้อผ่านซัพพลายเออด้วย ถ้าจะคืนจริงๆ ก็ต้องยกกลับไปคืนที่ร้านซัพพลายเออครับ ทางศูนย์ Acer ไม่รับคืนเครื่องทุกกรณีครับ
ผม - (:X โคตรปรี๊ดแตก) งั้นผมก็จะโทรไปแจ้งธนาคารที่ผมเพิ่งรูดไปว่าขออายัดรายการนี้ เพราะสินค้าที่ซื้อมันเสีย ใช้งานไม่ได้ พี่ก็ไปคุยกับซัพพลายเออของพี่เองละกัน...
ช่าง - เดี๋ยวครับ ไม่ทราบซื้อจากร้านไหนครับ
ผม - ชื่อร้าน ..... ซื้อจากงาน C o m m a r t ที่ศิริกิต
ช่าง - งั้นขอชื่อพี่และเบอร์โทรครับ เดี๋ยวผมจะประสานงานให้

จากนั้นผมก็ให้เบอร์ไว้

ผม -  แต่ผมคงต้องโทรไปบอกธนาคารก่อนนะครับ
ช่าง - เดี๋ยวผมติดต่อให้เลยครับ พี่รอ 5 นาทีนะครับ เผื่อทางซัพพลายเออโทรมา

5 นาทีผ่านไป...

ซัพพลายเออโทรมาแบบหัวเสีย ตอนแรกหาว่าผมผิด ผมก็อธิบายไปอีกรอบ สุดท้ายยกเครื่องไปคืนที่ร้านที่สาขาฟอจูน พร้อม cancel ยอดที่รูดวันนั้นไป จนได้คุยกับซัพพลายเออ ตอนหลังมันก็บอกว่า มันไม่รู้หรอกว่ารุ่นนี้ใช้ได้ไม่ได้ เพราะว่าเขา (ศูนย์) ส่งของมาว่า ตัวนี้รุ่นใหม่ พร้อมขาย จะสั่งกี่ตัว เขาก็สั่งมาขาย แต่เวลามีปัญหา ทางศูนย์จะโบ้ยไปหาคนขาย (ซัพพลายเออ) ตลอด

จริงๆ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ได้เจอกับยี่ห้อนี้ เพราะญาติผมใช้ notebook ยี่ห้อนี้ ซื้อรุ่น Ferrari มา ราคา 8 หมื่น แต่ไม่แถม driver อะไรมาให้ มันบอกว่า.. พี่ไปโหลดในเว็บ... แล้ว windows ลิขสิทธิที่แถมมา ก็ต้องไป back up เอาเอง ถ้าจะให้มัน back up window ลิขสิทธิ + driver คิดตัง...

ตรูซื้อ 8 หมื่น ต้องมาโหลดเอง write ลงแผ่นเอง ต้องมา ghost harddisk เอง... เจริญจิต

หลังจากนั้นมา ผมก็ลาขาดจากแบรนด์นี้ไปเลย ไปหา Thinkpad ที่อึด ถึก ทน ดีกว่าเยอะครับ 

จริงๆ plugin ที่ผมแนะนำไปก็ใช้หลักการคล้ายกันครับ เพียงแต่จะตัดตอนเนื้อหาหลังจาก intro text ทั้งหมด.. ว่าแต่... แล้ว bot มันยังเก็บได้เหมือนเดิมอะ อันนี้ไม่เคยลอง 

ลองใช้ plugin ชื่อ Login to read full text นะครับ


รายละเอียดคร่าวๆ คือ คนดูทั่วไปจะเห็นเนื้อหาเว็บ แต่จะอ่านเนื้อหา (กดคลิ๊กที่ read more) ไปไม่ได้ เพราะจะถูกบังคับให้ login หรือสมัครสมาชิกก่อน คนดูทั่วไปจะเห็นแค่เนื้อหาในส่วนของ intro text เท่านั้น แค่ลง plugin แล้วเปิดใช้งานก็ใช้งานได้แล้วครับ

จริงๆ ข้อจำักัดในส่วนนี้ ถูกแก้ไขให้ดีขึ้นใน version 1.6 ครับ แต่ 1.6 ตอนนี้เป็น beta version ซึ่งถ้าออกมาจริงๆ ต่อไป joomla เราสามารถกำหนดให้ user แต่ละแบบ ทำอะไร เห็นอะไร ได้มากน้อยแค่ไหน ได้มากกว่านี้เยอะเลยครับ 

โอเคครับ ผมเข้าใจความต้องการของคุณผิดไปครับ..

สิ่งที่คุณกำลังต้องการคือ.. ลง joomla แล้วให้มันมี flash intro ฝังใน joomla เลยใช่ไหมครับ แบบว่า... เปิดมาแล้ว ตรงกลางเว็บก็เป็นไฟล์ flash ในขณะที่ส่วนอื่น เช่น ด้านบน ด้านข้าง ยังคงเป็นเนื้อหาของ joomla อยู่

ถ้านี่คือสิ่งที่คุณกำลังมองหาอยู่ละก็.. ไม่ต้องคิดไรมากครับ ลง joomla  ไปตามปกติ แล้วเอาไฟล์ flash ไปแทรกใน โมดูล แล้วตั้งให้โมดูลนี้แสดงในหน้าแรก (เท่านั้น) ก็เป็นอันเสร็จครับ

ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถโหลด flash intro ฟรีๆ ในเนตมาใช้ได้ แล้วมาปรับให้เข้ากับ template joomla (ดูขนาดความกว้างและความสูงของไฟล์ flash แล้วมาปรับให้เข้ากับขนาดกับตำแหน่งโมดูลใน joomla)

หากไม่รู้จะแทรกไฟล์ flash ยังไงในโมดูล.. ก็เอาโค้ดนี้ไปใส่ในโมดูลที่ต้องการ แต่ต้องไปสั่้งใน global config เลือกปิด text editor ก่อนนะครับ


หากอ่านแล้วงงๆ ไปยืนอ่านหนังสือที่ผมเขียนก็ได้ครับ (สร้างเท็มเพลต Joomla! & Mambo ง่ายๆ ด้วยตัวเอง) ที่ร้านหนังสือ se-ed, นายอินทร์ บทที่ 7 หน้า 322

ถ้าทำเว็บให้ลูกค้า ลูกค้าเน้นความสวยงามครับ

แต่ถ้าทำเว็บของตัวเอง ผมเน้นความเรียบง่ายและโหลดเร็ว

เรียบง่ายหมายถึง

1. เปิดเว็บแล้ว ไม่ต้องมีคำเตือนว่า ต้องไปโหลดนั้นนี่โน้นเพิ่ม.... สูเจ้าจึงจะดูเว็บตรูได้ 
2. เห็นองค์ประกอบที่เราต้องการสื่ออย่างเด่นชัด (เน้นการวางข้อมูลตาม Heat Map)
3. ดูแล้วไม่เหมือนอยู่ในสวนสนุก เป็นเว็บสายรุ้ง สีสันตัดกันอย่างกับไปงานวัด 

ปล. การออกแบบหน้าเว็บจะสื่อให้เห็นถึงความเป็นตัวตนของเจ้าของหรือผู้ออกแบบครับ สไตล์ใครสไตล์มัน ไม่มีผิดถูก 

ความรู้ในนั้นมันเก่ามากแล้วครับ amazon เปลี่ยนกฏไปนานพอควร วิธีการจึงเอามาใช้ได้ไม่เต็มที่ แต่ถ้าจะเอาไปประยุกต์ยิงเข้าหน้าเว็บตัวเองแล้วดันเว็บตัวเองให้เกิด อันนี้ก็อีกเรื่องครับ วงการ aff มันมาเร็วไปเร็วครับ เทคนิคดีๆ เขาไม่บอกกัน ที่บอกคือมันเริ่มจะเสื่อม หรือมีแววว่าจะไม่ขลังแล้ว

ง่ายนะครับคือ

1. สร้างไฟล์ flash แล้วเอาไฟล์ swf ไปแปะใน file html
2. save file html นั้นเป็น index.html หรือ index.htm ก็ได้
3. อัพโหลดไปไว้ใน folder root ของ domain เช่น domain ชื่อ abcd.com ก็ไปวางไว้ (แม้ว่าเราจะลง joomla ใน root domain ก็ตาม)
4. พอเปิดหน้าเว็บ browser จะอ่านค่า index.html หรือ index.htm ก่อนครับ เพราะไฟล์ .htm หรือ .html จะใหญ่กว่า .php (browser ให้ความสำคัญมากกว่า จึงอ่าน .htm กับ .html ก่อนเสมอ)
5. ในไฟล์ flash นั้นหรือไฟล์ .html ก็ให้ทำ link ไปยังไฟล์ index.php อีกที (หน้าแรกของ joomla)

แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วครับ 

ถ้าคุณต้องการทำเว็บเพื่อขาย ads เช่น banner ในตำแหน่งหน้าเว็บ, แทรก banner ในบทความ, กำหนดให้ป้ายมันเปิดปิดหน้าไหนก็ได้เพื่ออัพราคา เช่น ป้ายนี้แสดงเฉพาะหน้าหมวดอาหาร อีกป้าย (ตำแหน่งเดียวกัน) แสดงในหมวดคอมพิวเตอร์ ... Joomla คือคำตอบครับ แม้ว่า Wordpress จะทำได้ แต่การมานั่งจัดการกับ banner แบบลงรายละเอียดแบบทีละหมวด ทีละหน้า Wordpress ทำได้ยากครับ ซึ่ง Joomla มีระบบ (component และ module รวมถึง plugin แทรก module ในบทความ) มาให้พร้อม ทำให้คุณบริหารจัดการป้่ายโฆษณาต่างๆ ได้ง่ายและประัหยัดเวลา นอกจากนั้น ในระบบป้าย banner ของ joomla ยังมีส่วนของการบันทึกรายละเอียดของลูกค้า เช่น เบอร์โทร email และการตั้งให้ป้ายนี้ปิดตัววันไหน (ป้ายหมดอายุ) ซึ่งเหมาะกับการทำเว็บเพื่อขาย ads มากครับ

Joomla มี component เีกี่ยวกับการจัดการ banner เยอะพอสมควร มีให้เลือกเยอะครับ ลองหาดู (ตัวที่มีมาพร้อมใน script ยังบริหารจัดการได้ไม่เต็มที่) ยิ่งหากคุณต้องการให้ลูกค้าของคุณ login เข้ามาเพื่อแก้ไขป้่าย, เติมเงินเพื่อต่ออายุป้าย, ดูสถิติป้ายโฆษณา Joomla (Component แบบนี้ชื่อว่า iJoomla Ad Agency แต่เป็นแบบเสียเงินนะครับ แต่แลกกับระบบที่คุณปล่อยให้ลูกค้าจัดการป้ายได้ตลอด 24 ชม. ดูสถิติได้ตลอด ก็ไม่แพงหรอกครับ ราคาก็ $99.99 คำนวนแล้วก็ประมาณ 3200 บาท เก็บค่าป้ายไม่กี่รายก็คืนทุนแล้วครับ)

หรือหากไม่ต้องการแบบเสียเงิน ก็มีเยอะบานตะไท เพียงแต่ไม่มีระบบให้ลูกค้า login เข้ามา ฟรีๆ ดีๆ ก็มีให้เลือกเยอะ เช่น FlexBanner

มาดูข้อดีข้อเสียของ Joomla เมื่อเทียบกับ Wordpress เฉพาะการวาง Ads นะครับ
ข้อเสียของการลง Ads ผ่าน ระบบ Joomla  
1. คุณไม่สามารถแทรก Ads คั่นกลางระหว่าง Post ในหน้า Frontpage หรือหน้า Blog ได้ครับ (ซึ่ง Wordpress ทำได้ดีในจุดนี้ โดยใช้ plugin Adsman หรือตัวอื่น)
2. การจะแทรกตำแหน่้งโฆษณาัฝั่งลงในบทความ คุณต้องใช้คำสั่งเรียกโมดูลขึ้นมาในบทความเลย คือ {loadposition ชื่อโมดูล} ซึ่งถ้าเป็น Wordpress จะมี Plugin ช่วย และสามารถกำหนดให้มันแสดงที่ส่วนบน ส่วนกลาง หรือส่วนท้ายของบทความ... แต่............. เนื่องจาก Joomla เป็นการใช้คำสั่งเรียกโมดูล คุณจึงสามารถเปิดและปิดโมดูลนั้นได้ง่ายๆ  และกำหนดจุดที่จะให้ Module นั้นแสดงในบทความได้ตรงความต้องการ ซึ่ง Wordpress นั้นจะแสดงแค่ด้านบน กึ่งกลาง (วัดจากตัวอักษรทั้งหมดในบทความนั้น) และส่วนท้าย ทำให้หากคุณใช้ Joomla คุณเลือกตำแหน่งได้สบายๆ

ข้อเสียของการลง Ads ผ่านระบบ Wordpress
1. กำหนดวันหมดอายุ, ขายแบบ CPM ฯลฯ ไม่ได้ ใส่ได้แค่ code และกำหนดตำแหน่ง (ซ้าย กลาง ขวา) เท่านั้น หากอยากได้ตำแหน่งที่หลากหลาย คุณต้องไปแก้ไขใน theme
2. การจะให้ plugin ทำงาน คุณอาจจะต้องแก้ไข theme บ้าง (บางครั้ง)
3. ตำแหน่งในการแทรกป้ายโฆษณา ถ้าคุณให้ป้ายโฆษณาแสดงผลผ่าน widget ก็จะได้แค่ ซ้าย กลาง ขวา ในขณะที่ Joomla นั้น คุณใช้คำสั่งเรียกโมดูลขึ้นมา จะแทรกตรงไหนก็ได้ และสามารถกำหนดตำแหน่งโมดูลเพิ่มเติมได้อีกสารพัด สังเกตได้จาก template joomla ที่เป็นแบบขาย จะแบ่งหน้าเว็บออกเป็นกล่องๆ แต่ละกล่องก็ใส่ป้ายโฆษณาที่แตกต่างกันลงไปได้ ซึ่งจุดนี้ หากคุณไม่ใช้เซียน wordpress จริงๆ ทำไม่ได้ครับ เพราะต้องมาโม theme กันเยอะพอควร
4. ไม่มีระบบให้ลูกค้า login เข้ามาดูสถิติ (Joomla มีแต่เป็น component แบบเสียเงิน)
5. Wordpress ไม่มีระบบ หลาย theme ใน 1 เว็บ เช่น หน้าหมวดคอมพิวเตอร์ กับหน้าหมวดอาหาร ถ้าเป็น wordpress theme จะต้องใช้อันเดียวกัน แต่ถ้าเป็น Joomla คุณเลือกได้เลยว่า หมวดไหนอยากได้ template ไหน ซึ่งแต่ละ template คุณยังวางจุดเพื่อขาย ads ได้แตกต่างกันอีก ทำให้อัพราคาได้แตกต่างกัน จุดนี้ถือว่าเป็นจุดอ่อนมากของ wordpress เพราะไม่สามารถทำหลาย theme ในเว็บเดียวได้ Joomla กินขาดตรงนี้ครับ ยิ่งคุณออกแบบ template เองได้ คุณก็สามารถออกแบบ template ให้แต่ละหมวดมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน แล้วป้ายโฆษณาอาจจะมีขนาดหรือจุดที่แตกต่างกันก็ได้ครับ เหมือนอย่างเว็บ sanook.com ที่หน้าแรกกับหน้าในจะไม่เหมือนกัน ป้ายโฆษณาก็เก็บราคาไม่เท่ากัน เนื้อหาในแต่ละหมวด ก็ออกแบบหน้า template ไม่เหมือนกันครับ

ลองกด Ctrl + F5 ในโปรแกรม Web Browser นะครับ เพราะบางที Browser มันเก็บ cache รูปครับ

การทำเว็บขายของ ประเด็นหลักไม่ได้อยู่ที่ว่าจะใช้เครื่องมืออะไรทำนะครับ แต่ประเด็นคือ คุณมีแผนธุรกิจแล้วหรือยังครับ 

1. คุณจะขายของ (หรือบริการ) อะไร
2. ใครเป็นลูกค้าคุณ
3. ลูกค้าคุณอยู่ที่ไหน เขามีพฤติกรรมยังไง
4. คุณมีแผนจะเสนอการขายเขาอย่างไร
5. ทำไมลูกค้าต้องสินค้าหรือบริการของคุณ
6. คุณมีรูปแบบการรับ order การจัดส่งสินค้า (หรือบริการ) การ stock สินค้า (ถ้ามี) และการบริหารและจัดการลูกค้าอย่างไร
7. คุณมีเงินลงทุน เวลา แรงงาน ความรู้ความสามารถอื่นๆ มากน้อยแค่ไหนที่ต้องใช้เพื่อประกอบกิจการ ถ้าไม่มีจะได้จัดหา เตรียม หรือจัดจ้างผู้อื่้นมาทำ

ส่วนจะใช้เครื่องมืออะไรทำเว็บ อันนั้นมันปลายเหตุครับ เอา 7 ข้อนี้ก่อน.. ถ้ามีคำตอบที่แน่นอนแล้ว ค่อยมาว่ากัน 

คนที่ทำธุรกิจ online โดยมากมักไม่ได้เตรียมตัวมากเท่าไร นึกอยากขายอะไรก็โดดลงสนามเลยทันที ทำให้ระบบการจัดการทำได้ยาก บางครั้งตัวเองกลายเป็นระบบเสียเอง ทำให้เหนื่อยมาก ไม่สามารถมีอิสระภาพทางด้านเวลา กลายเป็นภาระที่ต้องแบกไปอีก แต่ถ้าเราวางแผนได้อย่างรัดกุม มันจะช่วยทำให้เราประหยัดเวลาไปมากครับ

เอาใจช่วยผู้ประกอบการนะครับ 

ปล. ถ้าอยากทำ template joomla สวยๆ ก็ลองศึกษาวิธีสร้าง template ได้ครับ ลองไปอ่านในหนังสือที่ผมเขียนก็ได้ครับ หรือจะใช้วิธีซื้อ template จากผู้อื่นมาใช้ก่อนเพื่อความรวดเร็วก็ได้ครับ (ขึ้นอยู่กับทุน และความสามารถครับ) แต่โดยมากผมจะแนะนำสำหรับคนที่ทำธุรกิจจริงจัง อาจจะใช้ template เสียเงินไปก่อน (หากไม่มีเวลาศึกษาจริงๆ) จากนั้นเมื่อระบบทุกอย่างเริ่มลงตัว ค่อยมาหัดเขียนเองจะได้ template ที่สวยถูกใจ และโดนใจเรามากกว่าครับ

คำถามนี้ดูแล้วน่าจะเป็นคำถามสุดคลาสิกตลอดการ.. เมื่อคุณเริ่มใช้ CMS จะใช้อะไรดี....

ถ้าเทียบเฉพาะระบบมาตราฐาน (ที่มากับตัว script ต้นฉบับนะครับ) ณ เวลานี้ (เท่านั้น)

Wordpress ทำทุกอย่างด้าน On Page ให้คุณเกือบเสร็จแล้ว คนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร ก็สามารถทำอันดับดีๆ ได้
- gen code ออกมา ให้เนื้อหาคุณ โค้ดสะอาด แถบจะเป็น tabless
- มีการใช้ h1, h2 ฯลฯ มาให้พร้อม
- ระบบ permalink ที่เรากำหนดชื่อ url แต่ละบทความได้เอง
- ระบบ auto ping ที่ฝังมาใน script

แต่... Joomla ก้ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะครับ เพราะอย่าลืมว่า On Page นั้น Google ให้ความสำคัญประมาณ 10-25% เท่านั้น... แต่อีกมากกว่า 75% มันวัดกันที่ link network ครับ

ถ้าถามว่า CMS ตัวไหนทำ SEO ได้ดีในระยะสั้น ก็อาจจะเป็น wordpress (ถ้าทำแค่ install script แล้วเริ่มใส่เนื้อหาแล้วไม่ได้โปรโมทด้วยวิธีใดๆ เลย แค่ลงเฉยๆ แล้วลงเนื้อหา เดี๋ยว bot มาเองครับ เพราะ auto ping มันเรียกมา)

แต่ในระยะยาวนั้น ทั้ง wordpress, joomla ก็ทำได้ดีไม่ต่างกันครับ

Joomla จะได้เปรียบเรื่องการแบ่ง หรือ กำหนดตำแหน่งในหน้าเว็บ ให้หลากหลาย ทำให้เราสามารถใส่เนื้อหา ป้่ายโฆษณา หรืออื่นๆ ที่ต้องการ ตามจุดที่เรากำหนดได้ง่ายกว่า Wordpress (Wordpress ก็ทำได้ แต่อาจจะต้องใช้ Plugin หรือการแก้ไขที่ theme เอง) เพราะ Joomla ถูกออกแบบมาให้แสดงผลได้ตามตำแหน่ง Module

ต้องถามว่า.. วันนี้คุณจะทำเว็บเพื่ออะไรมากกว่าครับ...

ถ้าเน้นทำเว็บเพื่อเป็นฐานให้ network หรือเว็บทำเงินตัวอื่นๆ (เว็บนี้เป็นฐานยิง link ให้เว็บทำเงินตัวอื่น) ผมแนะนำ wordpress
แต่ถ้าเป็น money site หรือเว็บหลัก ที่ต้องการรายได้ที่หลากหลาย ทั้งรายได้จากค่าโฆษณา banner การขายของ ฯลฯ จะ wordpress หรือ joomla ก็ทำได้ดีไม่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับความชอบและถนัดครับ

....เหมือนวรยุทธของจอมยุทธ ที่ไม่มีอะไรเป็นสุดยอดวิชาหรอกครับ มันอยู่ที่ผู้ใช้วรยุทธมากกว่า