จริงๆ แล้ว joomla สามารถประยุกต์ไปได้หลากหลายครับ หากเข้าใจจริงๆ พื้นฐานที่ต้องมีในการจะประยุกต์ก็มี

1. การใช้งาน joomla (พื้นฐานและ advance)
แบบพื้นฐาน - รู้ว่าแต่ละคำสั่งทำงานอย่างไร component พื้นฐานของ joomla สามารถไปทำอะไรได้บ้าง โมดูลแต่ละอัน config อย่างไรให้แตกต่าง (เช่น module latest news จะทำอย่างไรให้มันแสดงผลออกมาแตกต่างกัน หรือมีหน้าตาต่างกัน แม้ว่าจะใช้ module เดียวกันก็ตาม)

แบบ advance คือการมองภาพรวมและสามารถจับเอา component หรือ module หรือ plugin ที่มีอยู่ (มหาศาล) มาปรับใช้ให้เหมาะในแต่ละงาน จะปรับใช้ได้ คุณต้องเคย "เล่น" และ "ลอง" ในเครื่องคุณมาอย่างโชกโชน คุณถึงจะรู้ว่า component แต่ละตัว เอาไปทำอะไรได้บ้าง

หรือถ้าระดับ expert เทพมาจุติ ก็เขียนมันเองตามความต้องการไปเลย 

2. การปรับแต่ง template (พื้นฐานและ advance)
แบบพื้นฐาน - คือการปรับแต่งตำแหน่ง การแก้ไข css เบื้องต้น (เอาของเขามาโม) การกำหนดให้แต่ละหน้าเว็บแสดง template ไม่เหมือนกัน ฯลฯ

แบบ advance - เขียน template เองให้กับเว็บ joomla คุณควรจะมีความรู้ด้าน html, php, css เพื่อสร้าง template ให้สวยโดนใจ นอกจากนั้นหากต้องการใช้ component ตัวไหน ก็ควรจะปรับแต่ง template component ต่างๆ (เช่น virtue mart) ให้เข้ากับหน้าเว็บ

หรือถ้าระดับ expert เทพองค์เดิมมาจุติ  ก็นี่เลยครับ ยัด ajax, java และสารพัดสคริปเทพลงไปให้ template ของท่านแตกต่างและ โค-ตระ โดดเด่น แบบที่เขาขายกัน

3. ศึกษา component อื่นๆ อย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าเราเขียน component ใช้เองไม่เป็น (ต้องรอชาวบ้านเขียนมาแจกหรือขาย) เราต้องหัดเล่นให้เป็นครับ เวลาอยากทำเว็บอะไร จะได้มีข้อมูล นึกภาพออกว่า ออ.. แบบนี้ใช้ component หรือ module นี้ได้ เป็นต้น

เป็นกำลังใจให้ครับ 

ลองลบไฟล์ component นี้ออกไปจากโฮสต์ (ให้แน่ใจว่าลบเกลี้ยงทั้ง folder component และ folder admin/component รวมถึง plugin อื่นๆ ถ้ามี) จากนั้นไปใน database ลบ table ของ component นั้นทิ้ง แล้วค่อยโหลด version ล่าสุดของ component นี้มาลงครับ

ปล. หากทดสอบใน localhost (เครื่องตัวเอง) แล้วลงได้ แต่ไปลงในโฮสต์จริงลงไม่ได้ ก็น่าจะเป็นที่โฮสต์เขาตั้งค่าบางอย่างครับ

ถ้าพูดถึงการทำเว็บที่ใช้เฉพาะตัว core file รับรองว่า Joomla ไม่ช้าครับ ไม่แตกต่างกับ wordpress หรือการเขียน html ธรรมดาสักเท่าไร

แต่มันจะช้าก็ต่อเมื่อมีปัจจัยอื่นๆ เสริม เช่น

1. ไปลง component, module, plugin อื่นๆ เยอะเกินไป (บาง component ที่เน้นสวยงาม พวก slideshow ฯลฯ จะหน่วงเว็บมาก : ประมาณ 35% ของความช้า)
2. โฮสติ้งที่เช่า อันนี้คือสาเหตุใหญ่และพบบ่อย โฮสไทยโฮสนอก มีผลแตกต่างกันแบบเห็นได้ชัดเจน เช่น ถ้าเราไปเช่าโฮสนอก (พวกโฮสเกเตอร์) เวลาเข้าเว็บจะช้ากว่าเว็บที่เก็บไว้ที่โฮสไทย (อันนี้ประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ นะครับ : ประมาณ 30% ของความช้า)
3. ไม่ได้ update patch หรือตัว component หรือ plugin ที่ลงไปนั้นดันมี bug ทำให้ช้า หรืออืด บางครั้งถึงกับผิดพลาดขึ้น error ทำ database เน่าไปเลยก็มี (: ประมาณ 20% ของความช้า)
4. config ใน global config ไม่ถูก แต่จากที่เล่ามา ผมว่าไม่น่าพลาดในจุดนี้ (ประมาณ 5% ของความช้า)
5. ไฟล์หน้าเว็บอุดมไปด้วยรูปภาพที่ใหญ่เกินไป แต่ถ้าคุณเล่นเนต hi-speed รูปใหญ่แค่ 50k 10 รูปในหน้า มันก็เร็วครับ ยกเว้นกรณีที่คุณไปใช้ component ย่อรูปอัตโนมัติ (ต้นฉบับเป็นรูปใหญ่) แล้วให้มันย่อเอง เพราะ component นี้จะต้องทำงานทุกครั้งที่โหลดหน้าเว็บ (: ประมาณ 5% ของความช้า)
6. คนเข้าเว็บเยอะมากๆ จน share host มันอืด, หรือเนตบ้านเราเองก็อืดไปเหมือนกัน ประมาณว่ามาเจอช่วงเวลาที่คนใช้เนตเยอะๆ (อันนี้ก็เคยเจอเหมือนกัน : ประมาณ 5% ของความช้า)

ที่เขียนมานั้น มาจากการใช้งานส่วนตัวนะครับ ประสบการณ์ตรงอย่างเดียว เพราะเชิงเทคนิคแล้วผมไม่ทราบจริงๆ  

ตอนนี้จะทำเว็บอะไรใหม่ๆ จะลงแต่ core file ครับ component อื่นๆ ที่ไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ลงเลยครับ

แนะนิดนึงนะครับ ถ้าใช้ ควรจะหา host ที่เขาไม่โหดนะครับ เพราะว่า.. ตัว plugin ตัวนี้ ถ้าเราเพิ่มบทความใหม่เข้าไป (แม้ว่าจะสั่งให้ publish ในวันข้างหน้าก็ตาม) มันก็ ping ครับ  เคยลองแล้วแต่หนัก host น่าดู

ดูจากอาการแล้ว น่าจะเป็นที่ CSS ครับ

แต่ถ้าเปิดดูใน Firefox, Opera หรือ Browser อื่นๆ แล้วทุกตัวปกติ มีแต่ IE เท่านั้นละก็ คงจะต้องเขียน CSS เฉพาะ IE เท่านั้นละครับ 

ไม่ทราบว่า เครื่องอื่นที่ว่า ตั้งค่าขนาดหน้าจอเท่าไรครับ

800x600
1024x764
1440x900
ฯลฯ

แล้ว template นั้นเขียนกำหนดความกว้างแบบ fix หรือเป็นแบบ %

ถ้าเป็น % มันจะยืดหดขยายตามหน้าจอคอมพิวเตอร์ครับ ซึ่งสัดส่วนต่างๆ อาจจะผิดเพี้ยนได้

แยกกลุ่มเป้าหมายไปเลยครับ

ฺBasic, Advance, Tip

3 เล่ม จัดไปอย่าให้เสีย อิอิ 

ตอนผมเขียนหนังสือ template joomla เองยังกระอักเลือดเลยครับ  เพราะถ้าจะเขียนเล่มเดียว ก็ต้องเขียนให้ทั้งมือใหม่ มือกลาง และพวก expert ที่อยากรู้ tip ต่างๆ ด้วย 

เดี๋ยวนี้เห็นคนชอบดูหนังจากเน็ตกันเยอะ ประเภทว่า 1 เรื่อง ซอยออกเป็น 5-6 คลิป (เช่น M-Thai) อยากทราบเรื่องกฏหมายครับว่า

1. กรณีที่เราเอาหนังแผ่น (ลิขสิทธิ) ที่เราซื้อมาเอง มาอัพเป็นคลิป ให้ดูได้ในเว็บ (ไม่สามารถโหลดไปดูได้) แบบนี้ถือว่าผิดกฏหมายละเมิดลิขสิทธิหรือไม่
2. ถ้าผิด ทำไมเว็บ MThai, Youtube ถึงยังอยู่ได้ (มีทั้งหนัง ละครหลังข่าว และอีกสารพัด)
3. ถ้าไม่ผิดกฏหมายละเมิดลิขสิทธิ จะติด Adsense ได้หรือไม่ (ผิดกฏของ adsense ไหม)

ที่ถามเพราะอยากทราบเป็นแนวทางครับ 

ประกันชีวิตมีหลายแบบให้เลือก แต่ถ้าจะให้เลือกจริงๆ รวมๆ แล้วจะมีเพียง 2 รูปแบบนะครับ

1. อยู่แล้วคุ้ม
2. ตายแล้วคุ้ม

อยู่แล้วคุ้ม คืออะไร
- เน้นการคุ้มครอง เช่น จ่ายเบี้ย 20 ปี คุ้มครองชีวิตถึงอายุ 99
- จ่่ายเบี้ยน้อย (อาจจะมีหรือไม่มีปันผล) แต่เน้นคุ้มครอง, ค่ารักษา, โรคร้ายแรง (มะเร็ง, เอดส์, ฯลฯ)
เหมาะกับผู้ที่คิดว่า ชีวิตเรา ไม่มีใครมาตีค่าว่า มีค่ามากแค่ไหน เราคิดว่าชีวิตเรามีค่าแค่ไหน ก็ซัด (ซื้อ) ไปให้เต็มที่ (เท่าที่กระเป๋าเราจะสามารถ)

ซึ่งการซื้อแบบนี้ คุณแทบจะไม่ต้องกังวลว่า เกิดอนาคตเป็นโรคนั้นโรคนี้จะหาเงินที่ไหนมารักษาตัว... นี่คือ ตัวอย่างของคำว่า "อยู่แล้วคุ้ม"

ตายแล้วคุ้ม คืออะไร
- ส่งจำนวนปีน้อย (เช่น 5 ปี คุ้มครอง 20 ปี) ถ้าไม่ตายภายใน 20 ปี รับเงินคืนกี่เท่าก็ว่ากันไป (แต่โดยมาก จะได้ผลตอบแทนน้อยมาก เผลอๆ น้อยกว่าเอาเงินซื้อประกันไปฝากธนาคารอีก)
- เน้นคนที่มีภาระเบื้องหลัง เช่น กำลังผ่อนบ้าน, ผ่อนรถ, มีลูกอ่อน, ลูกกำลังเล็ก หรือเราเป็นเสาหลักหาเงินในบ้าน เกิดเราพลาดพลั้งขึ้นมา เป็นอะไรไปก่อนที่ลูกๆ จะโตพอหาเลี้ยงชีพได้ เงินก้อนที่ (ครอบครัวหรือผู้รับผลประโยชน์จะได้รับ) ก็น่าจะเพียงพอให้เขามีชีวิตที่ดี เช่น ทำประกันวงเิงิน 1 ล้านบาท มอบผลประโยชน์ให้ลูก (ลูกอายุ 1 ขวบ) หากคุณเป็นอะไรไปภายใน 20 ปีข้างหน้า ลูกก็จะได้รับเงิน 1 ล้าน อย่างน้อยลูกก็น่าจะพอมีเงินสำหรับการเรียน การใช้จ่ายต่างๆ เป็นต้น

นี่คือนิยามของคำว่า "ตายแล้วคุ้ม"

ชีวิตเรานี้ไม่มีบริษัทใดกล้ามาตีค่าหรือให้มูลค่าชีวิตเรานะครับ ยกเว้นบริษัทประกันเท่านั้น เมื่อก่อนผมค่อนข้างจะเบื่อ แต่เดี๋ยวนี้มองโลกเปลี่ยนไป เข้าใจมากขึ้น ประกันเป็นสินค้าชนิดเดียวในโลกที่ตอนซื้อ เราไม่คิดอยากจะใช้ แต่ถ้าเราไม่ซื้อมันไว้ พอเวลาที่เราต้องการจะใช้มัน ต่อให้คุณมีเงินมากแค่ไหน เขาก็ไม่ขายให้ครับ

การติดหน้าแรกหรือหน้าอื่นๆ ไม่เกี่ยวว่า .com เท่านั้นจะง่ายกว่านะครับ

แต่ที่เขานิยมจด .com เพราะว่า ถ้าเว็บคุณดังแล้ว (แต่ดันจดเป็น .co.cc หรือ .info หรือดอทอื่นๆ ที่คนทั่วๆ ไปไม่รู้จัก) คนทั่วไปเขาอาจชินกับการพิม .com มากกว่า ทำให้อาจเสียโอกาสให้คู่แข่งได้ครับ

นอกจากนั้นดอทอื่นๆ ก็อาจจะมีราคาที่แพงกว่าครับ เช่น .asia, .mobi ที่แพงกว่า .com มาก

อีกเรื่องคือ ในตัว browser เอง ก็รองรับ .com ครับ เช่น คุณลองพิมพ์คำว่า sanook เฉยๆ ใน Firefox มันจะวิ่งไปที่ sanook.com ให้เองครับ

ขออนุญาตแนะนำตามที่ผมเข้าใจนะครับ

1. ตอนนี้เจอเว็บเราต้อง search คำว่า a ดินสอ ถึงจะเจออยากให้ search คำว่าดินสอ แล้วติด หน้าแรกอะคะ
- ก็ปรับให้เนื้อหาทั้งหมดใช้คำว่า ดินสอ ให้โดดเด่นครับ การเว้นวรรค ก็ช่วยได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ต้องทำให้ไม่น่าเกลียดจนคนอ่านงงๆ กับเนื้อหา เนื่องจากว่าภาษาไทยจะพิมพ์ติดกันหมด ไม่เหมือนภาษาอังกฤษครับ การเว้นวรรคช่วยได้ส่วนหนึ่ง (เท่านั้น)

2. สมมติว่าเราติดหน้าแรกแล้ว ทำอย่างไรให้มันติดหน้าแรกแบบนี้ตลอด ส่วนตัวคิดว่า ต้อง submit ทุกวัน หาคนเข้าเว็บเราบ่อยๆ แล้วก็ปรับแก้โค๊ดโดย แก้keywordตรง <title> <h1-6> เป็นประจำ
- การ submit ในที่นี้หมายถึงอะไรละครับ ใช้การไป submit ในเว็บ directory หรือเปล่าครับ ถ้าใช่ อันนั้นก็แนะนำว่าทำไปเรื่อยๆ ครับ เพราะมีเว็บ directory เกิดใหม่เรื่อยๆ แต่ไม่แนะนำให้ไป spam หรือ comment spam นะครับ   เพราะว่าเว็บคุณจะ "เน่า" ในสายตาของคนดู
- การปรับ kw, h1 ฯลฯ ไม่จำเป็นต้องปรับมาก ยกเว้นว่า คุณมีการเพิ่มเนื้อหาเข้าไปอีก หรือคิดว่า kw ต่างๆ และปัจจัยแบบ off page (พวก tag html ทั้งหลาย) ยังไม่ดีพอ ก็สามารถปรับได้ครับ แต่เมื่อทำไปสักพัก มันก็จะหมดสิ่งที่คุณจะต้องทำในส่วนของ off page แล้วครับ
- แนะนำว่า ลองหาระบบหรือ script ที่ผู้ชมสามารถโต้ตอบได้ เช่น ไปเปิด facebook, twiiter รอ แล้วลิงก์กลับมายังเว็บ, ระบบ email subscriber, SMS Alert ฯลฯ เวลาที่คุณมีข่าว หรือโปรโมชั่นใหม่ๆ ก็เป็นอีกทางเลือก

*** การโปรโมตให้เว็บคุณมีคนเข้าไม่ยาก แต่จะทำอย่างไรให้คนอยากกลับมาดูเว็บคุณอีกทุกๆ วัน นี่คือโจทย์ที่ยากกว่าครับ
*** คุณอาจจะโปรโมตให้คนเข้าเว็บได้วันละแสน แต่ต้องทำ ต้องเหนื่อยทุกวัน แต่จะดีกว่าไหมว่า ทำให้เว็บโตแบบยั่งยืน คนเข้าอาจจะไม่ต้องเยอะ แต่กลับมาซ้ำๆ และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

ปล. อันนี้แค่ความคิดเห็นผมนะครับ  

ผมเจอทั้งคนไทยและฝรั่งครับ คนไทยโพสข้อความเสนอบริการทุกชนิด เช่น MLM (ทั่วฟ้าเมืองไทย) , เสนอจดโดเมนบ้างละ รับทำเว็บบ้างละ (ทั้งๆ ที่เว็บของผมไม่ได้เป็นเว็บสอนทำเว็บไซต์ มันก็ยังหน้ามึนมาโพส) พวกฝรั่ง (หรือคนไทยแต่ทำเนียนเป็นฝรั่งหรือเปล่าไม่รู้) ก็จะทำตัวเป็นคุณหมอ มาเร่ขายยารักษาโรค ED กันให้เกลื่อน   ประมาณว่า กินแล้วคึก สู้ศึกได้ยาวนาน อะไรประมาณนี้

ผมแค่กังวลว่า ถ้าเราไม่เริ่มสอนสั่งกันให้ดี ต่อไปนักสร้างเว็บหน้าใหม่ๆ ก็จะทำตาม จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เห็นกันจนชิน และสุดท้ายมันก็จะเป็นสิ่งที่เรายอมรับกันได้ในที่สุด  

จำไม่ได้แล้วว่าเคยเห็นหนังสือเล่มไหนแนะนำว่า เวลามีเว็บไซต์ใหม่แล้วอยากโปรโมทให้คนทั้งโลกได้เห็น ให้คุณทำดังนี้

1. ใช้ kw ที่คุณคิดว่าลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายคุณใช้ค้นหาใน Google
2. จะเห็นรายชื่อเว็บเหล่านั้นขึ้นมา
3. เข้าไปในเว็บเหล่านั้น แล้วไปตั้งกระทู้ หรือ comment โดยโฆษณาสินค้า, บริการ หรือเว็บไซต์ของคุณให้ชาวโลกได้รับรู้

!!!ยิ่งโปรโมทมาก ยิ่งได้รับผลกลับมามาก!!!

สาธุชนหมู่มากจึงได้เิดินตามเส้นทางนี้กันอย่างล้นหลาม.. เืนื่องจากฟรี!! แถมบางคนก็เอาไปประยุกต์ต่อยอดเป็น เปิดรับจ้างโพสรายวัน 50 เว็บ 50 บาท ฯลฯ

ด้วยอานิสงค์ของการโปรโมตมาก Google Bot จึงรีบเข้าไปดูในเว็บนั้นอย่างฉับไว ยิ่งกว่าการ submit โดยตรงกับ Google เสียอีก

นานวันเข้า แปรเปลี่ยนเป็นวัฒนธรรมอันสืบทอดต่อๆ กันมาว่า การไปโพสแล้วแทรกลิงก์เว็บตัวเองนั้น ถือเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง (อันนี้ไม่ได้หมายถึง ลิงก์ในลายเซ็นตามบอร์ดต่างๆ แต่พูดถึงการไปโพสแสดงความคิดเห็น แต่สิ่งที่โพสคือข้อความโฆษณาล้วนๆ หาใช่้เนื้อหาสาระใดๆ ไม่)

ที่เห็นเด่นชัด และเชื่อว่าเหล่า webmaster ทุกคนครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องได้พอเจอคือ ข้อความเชิญชวนของเหล่าบรรดา MLM ทั่วฟ้าเมืองสยาม เหตุใดเหล่าเขาจึงมาแวะเวียนและเจิมข้อความเหล่านั้นเอาไว้ คำตอบหาได้จาก การ (สั่ง) สอนของบรรดาเหล่าผู้นำ (มือใหม่และหน้าเก่า) MLM เมืองไทย ที่ (สั่ง) สอนลูกทีมตัวเองให้ไปโพสข้อความโฆษณาตามกระทู้, บทความต่างๆ ให้เกลื่อนอินเทอร์เน็ต  (ที่ผมรู้ว่ามาจาก MLM เพราะผมเองก็เคยทำ MLM และได้รับการสั่งสอนเยี่ยงนี้เช่นกัน หากไม่มีเงินลงโฆษณาเป็นป้าย ก็โพสมันเข้าไป วันละ 50-100 เว็บ)

ถึงเวลาหรือยังที่สังคม Webmaster ที่มีโอกาสได้สอนเหล่า Webmaster หน้าใหม่ (และหน้าเก่าบางคน) ให้รู้ถึงมารยาทอันดี และการกระทำที่ถูกต้องในการโปรโมตเว็บ

- Facebook.com ดังได้ หาใช่มาจากการไล่ spam comment หรือโพสกระทู้เป็นล้านๆ หน้าไม่
- hi5.com เคยดังมากในเมืองไทย ก็หาใช่มาจากการไล่ spam comment แบบบ้าเลือด
- ฯลฯ เว็บดังๆ หลายเว็บไม่ได้ใช้วิธีนี้

แต่... คนไทยยังสอนคนไทยด้วยกันเองว่า ให้ทำแบบนี้ แล้วเว็บของท่านจะไปสู่ระดับโลก 

ถึงเวลาหรือยังที่เราจะช่วยกันสั่งสอนคนสร้างเว็บรุ่นใหม่ๆ ให้มีความคิดที่ "สร้างสรรค์" กว่านี้

ขอบคุณที่ฟังผมบ่น 

ถ้าเป็นผมนะ ผมจะแยกราคาครับคือ

1. ราคาค่าออกแบบ + จัดทำ template
2. ค่าถ่ายรูป
3. ค่าโดเมน + host
4. ค่าจัดทำ (เหมาทุกรายการสินค้า)
5. ระบบ webboard
6. ระบบ slide show
7. ระบบ EMS Tracking
8. ระบบ Facebook
9. ระบบ subscriber
10. ระบบ stat

เทคนิคการแยกราคาแบบนี้ จะทำให้คุณสามารถอัพราคาได้ เพราะลูกค้าจะเห็นว่า มีหลากหลายระบบให้ทำ แม้ว่าบางอันคุณอาจจะไม่ต้องเขียนเอง แค่เอา code ของคนอื่นมาใช้ เช่น ระบบ webboard, stat ฯลฯ แต่.. ถ้าคุณ config ค่าไม่เป็น มันก็ใช้ไม่ได้ ดังนั้นค่าใช้จ่ายที่ลูกค้าจ่าย คือค่าความรู้ที่คุณมีครับ ดังนั้นจะคิดถูกคิดแพง ขึ้นอยู่ว่า คุณคิดว่าประสบการณ์และความรู้ของคุณมีค่าที่เหมาะสมแค่ไหน 

ถ้าลองแยกงานออกมาให้ลูกค้่าเห็นเป็นระบบแบบนี้ หากคุณเสนอราคาที่ 10,000 บาท (สมมตินะ) ก็เท่ากับว่า ลูกค้าจะคำนวนในใจว่าระบบละ 1000 บาท ซึ่งถือว่าถูกมากๆ แต่ถ้าคุณไม่แยก แล้วบอกว่า ขอ 10,000 บาท ลูกค้าทำเว็บไม่เป็นเขาจะรู้สึกว่ามันสูง  (ทั้งๆ ที่เงินเท่ากัน)

ยิ่งคุณบรรยายแต่ละระบบว่าทำอะไรได้บ้างในใบเสนอราคา คุณก็ยิ่งสามารถอัพราคาไปได้อีก (ยิ่งคุณ config และปรับแต่งให้มันโดนใจลูกค้ามากแค่ไหน = เงินที่คุณจะได้รับก็มากขึ้น)

ให้เปิดไฟล์ param.ini ครับ แล้วแก้ไขได้เลย ส่วนมากค่าต่างๆ เราจะเห็นในหน้า admin อยู่แล้ว แต่ถ้าแก้ในหน้า admin ไม่ได้ ก็แก้ด้วยมือเราเลยครับ ด้วยการเปิดไฟล์ param.ini ด้วย notepad จากนั้นแก้ไขค่าต่างๆ เช่น

^
^
อ้างอิงจาก template ja_purity ตัวมาตราฐานที่ติดมากับ joomla

จะเห็นว่า มันมีค่าที่ให้เราปรับได้เยอะแยะ เพียงแต่เราจะเข้าใจคำสั่งของมันหรือไม่

หรืออีกวิธีคือลองลง joomla ในเครื่องเราเองก่อน แล้วปรับ template ให้ได้ตามที่ต้องการ จากนั้นค่อย copy file param.ini ไปทับของเดิม (ถ้ากลัวว่าจะทับไม่ได้ก็ลบมันทิ้งไปแล้วอัพขึ้นไปใหม่ก็ได้) 

อันนี้แนวของผมนะครับ ผมจะแยกราคาออกเป็น

1. ค่าจดโดเมน และค่าเช่า host (เสนอราคาไป) แต่ลูกค้าสามารถเลือกไปจดเองก็ได้

2. ค่าออกแบบ template ซึ่งก็จะแยกออกไปอีกว่า

2.1 ลูกค้าออกแบบเป็น (มีไฟล์ psd อยู่แล้ว แต่ต้องการให้เราแปลงเป็น template) อันนี้ราคานึง

2.2 ลูกค้าแค่เพ้อๆ ว่าอยากได้แบบนั้นแบบนี้ ขอสีประมาณนี้ (แบบนี้ก็ราคานึง จะแพงกว่าแบบ 2.1 เพราะงานออกแบบต้องใช้เซลสมองมากกว่า  )

3. ค่าจัดทำ (convert) ให้เป็น template (มีหรือไม่มีก็ได้)

4. ค่าพิมพ์งาน + ถ่ายรูป + scan รูป (ถ้ามี) เพราะลูกค้าบางรายมีแต่ข้อมูลที่เป็นกระดาษยังไม่ได้พิมพ์เป็นไฟล์ .txt มาให้

5. จำนวนข้อมูลที่จะให้ใส่ เช่น ถ้าเป็นเว็บขายของ มีสินค้ากี่รายการ จะเสนอราคาต่อชิ้นหรือแบบเหมารวม อันนี้ก็แล้วแต่เรา

6. ค่าดูแลหลังเสร็จงาน ซึ่งโดยปกติ ผมจะดูแลลูกค้าให้ 1 ปี หลังจากทำเสร็จแล้ว และให้สิทธิในการอัพเดทเนื้อหาได้ 4 ครั้ง (อัพเดท ไม่ได้แปลว่าเพิ่มเนื้อหานะครับ ถ้าเพิ่มเนื้อหาค่อยเสนอราคา หรือแล้วแต่เราครับว่า ลูกค้าโอเคไหม เราพอใจทำ หรือได้มาตอนแรกเยอะหรือยัง   บางทีผมก็แถมให้ ไม่มีตายตัว)

7. ค่าทำ SEO อันนี้เสนอไปคร่าวๆ ว่าจะทำอะไรให้เขาบ้าง เช่น submit ให้กับเว็บในเครือของเรา, ลง adword ให้ (ใช้คูปองที่ได้ฟรีจากโฮส) ฯลฯ

8. ระบุระยะเวลาเสร็จงานแต่ละแบบอย่างชัดเจน เช่น ออกแบบ mockup เสร็จภายใน 7 วัน หลังจาก mockup เสร็จ ลูกค้าจะปรับแก้ก็ปรับไป เมื่อ mockup เสร็จก็เป็นขั้นตอนการจัดทำ ไม่เกิน 30 วัน อะไรประมาณนี้  

9. ในใบเสนอราคาควรระบุเงื่อนไขทุกอย่างให้ครบถ้วน จะได้ไม่ต้องมาโวยวายหัวเสียกันภายหลัง

10. ผมจะทำคู่มือการใช้งานเว็บให้ลูกค้าด้วย แม้ว่าลูกค้าจะทำเองไม่เป็นก็ตาม เพราะว่าอย่างน้อยเขาจะได้อ่าน หรือให้คนอื่นที่เขาดูแลเว็บมาอ่านบ้าง ยกเว้นกรณีเสนอราคาบริการเหมาจ่ายแบบรายเดือน เพื่อช่วยดูแลให้เขาไปด้วย แบบนี้ก็อีกราคานึง

11. หากเอา template ฟรี หรือของเถื่อนมาใช้ คุณต้องเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมดนะครับ ไม่ว่าจะเป็นรูปประกอบเว็บ ไอคอน ฟอนต์ ฯลฯ หรือหากไปลบ credit ผู้สร้างหรือคนขาย template เขามาเจอ คุณจะซวยเป็นคนแรก และชื่อคุณจะเน่าไปในวงการ เพราะลูกค้าจะโดนฟ้องเอา ดังนั้นจุดนี้ต้องระวังให้ดี อย่าไปคิดว่าเว็บลูกค้าไม่น่าจะโดนอะไร เพราะถ้าโดนขึ้นมา คนแรกที่ซวยคือลูกค้า และเขาก็จะโยนมาให้เรา ดังนั้นต้องระวังและรับผิดชอบให้มากครับ

ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการคุยกันครับ ที่เหลือ จะเรียกราคามากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความพอใจของเราและลูกค้าครับ ผมเคยรับงานราคาหลายหมื่นเพราะตอนไปคุย ก็เดาได้เลยว่า รายนี้แก้บ่อยแน่ๆ เพราะชอบเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แบบนี้ผมก็เรียกสูง เพราะเราเสียเวลาทำหลายรอบ แต่บางรายทำแบบเรียบๆ ไม่เรื่องมากผมก็เรียกแค่หลักพันครับ  

เดี๋ยวนี้บางครั้งผมเห็นคนทำเว็บต่างแข่งกันเสนอ (ลด) ราคาแข่งกัน  โดยไม่สนว่างานจะออกมาดีหรือเปล่า ขอให้ได้งานก่อน สุดท้ายก็ทิ้งงาน งานไม่จบ และทำให้ชื่อของคนทำเว็บแบบ freelance เสียไปหมดด้วย (บางทีบริษัทที่รับทำเว็บก็ทิ้งงานก็มีเยอะเหมือนกัน) ดังนั้นราคาต้องดูด้วยว่า ถ้าเราเรียกราคาเท่านี้แล้ว เราสบายใจที่จะทำ จะแก้กี่ครั้งเราก็ยังสบายใจ และภูมิใจที่ได้ทำ เพราะเป็นผลงานอีกชิ้นในประวัติการทำงานของเรา... นั้นแหละครับคือราคาที่เหมาะสมสำหรับเรา 

ใช้ Dreamweaver version อะไรครับ

ถ้าเป็น CS5 เราสามารถแก้ไข / โม template แล้วเห็นผลแบบ realtime ได้เลยครับ (ต้องลง joomla ใน localhost ก่อน จากนั้นกำหนด site ด้วยการ config database ครับ) แต่ถ้าเป็น CS4 ลงไป DW มันก็แค่ทำหน้าที่เหมือน Notepad (แต่ดีหน่อยที่มีตัวช่วยในการเขียน code ครับ)

หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องหา extension มาเสริมครับ

ปล. จริงๆ มันอยู่ในบทสุดท้ายของหนังสือ  DW CS5 ที่ผมเขียนอยู่ (กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิตแล้วครับ แหะๆ  )

ลองดูตัวนี้ครับ ส่งตรงจาก DW โดยเฉพาะ

wordpress + smf (โม template ให้เข้ากัน) ก็ได้ครับ
หรืออีก 5 ตัว พร้อมคำรีวิว (ของฝรั่งนะครับ)
ลองอ่านและลองเอามาเล่นในเครื่องเราก่อนก็ได้ครับ

หรือ joomla + kunena หรือ Agora หรืออีกสารพัดตัวเลือกครับ
ทั้งหมดคือ.. ฟรีครับ 

ตัว Mootools Upgrade ถูกเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ 1.5.19 ครับ โดยเมื่อเรา upgrade หรือลงใหม่นั้น ตัว Mootools Upgrade จะ disable ตัวเองไว้ แต่ถ้าคุณเปิดไปละก็.. มันจะทำการเขียน JHTML ซึ่งจะมีผลสำหรับ template ที่มีกาีรเรียกใช้คำสั่ง Javascript ครับ และเพราะว่ามันมีการเขียนไฟล์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งอาจจะทำให้ template ที่คุณใช้นั้น กับ browser บางตัว ทำให้เกิดอาการ เอ๋อเหรอ  ขึ้นมาทันที  แต่ปิดไว้ก็ได้ครับ ถ้าคุณไม่ได้ต้องการใช้คำสั่งนี้ อ่านข้อมูลเต็มจากเว็บ joomla ได้ครับที่