ตอบเท่าที่ทราบนะครับ

1. สมัครใหม่แล้วไลน์ไอดีหายไป ให้ลองเข้าไปตั้งเป็นชื่อเดิมได้นะครับ ถ้ายังไม่มีคนใช้งานน่าจะตั้งได้ เพราะบัญชีเก่าถูกคนร้ายลบทิ้งไปหมดแล้ว ความปลอดภัยของบัญชีขึ้นกับ Username กับ Password ที่่เราตั้งครับ ถ้าเราตั้งแบบง่ายๆ เช่น ใช้ Username เป็นเบอร์โทร 089-xxx-xxxx และ Password เป็นคำที่เดาได้ง่าย เช่น iloveyou หรือ 123456789 อะไรทำนองนี้ก็จะแฮคข้อมูลได้ง่ายครับ ดังนั้น การตั้ง Username กับ Password สำคัญครับ

2. ถ้าทิ้งไลน์ไอดีเดิมแล้วเราไปใช้ไลน์ไอดีใหม่ คนร้ายจะสามารถใช้ไลน์ไอดีเก่าของเราด้วยเบอร์โทรอื่น อันนี้คิดว่าได้นะครับ ดังนั้น ถ้าเราต้องการใช้ไอดีไลน์เดิม ให้รีบตั้งชื่อเป็นของเราไว้ก่อนจะดีกว่า
การสมัครใช้บัญชีไลน์ควรทำเองจะปลอดภัยที่สุดครับ การให้ผู้อื่นสมัครแทน เท่ากับเราเอาข้อมูล Username กับ Password ให้คนๆนั้นไป หลังจากนั้นเค้าจะทำอะไรกับบัญชีของเราก็ได้ครับ

3. ไม่จำเป็นต้องล้างเครื่องนะครับ ถ้าเราสงสัยว่าโดนมัลแวร์ ให้โหลดโปรแกรมสแกนไวรัสสำหรับมือถือ เช่น Kaspersky ลองเข้าไปโหลดที่ Google Play Store สำหรับ Android หรือ itune สำหรับสาวกแอปเปิ้ลหรือ ios ครับ

4. ย้ำว่าถ้าเราตั้ง Username กับ Password ดีแล้ว และไม่เคยให้ใครทราบข้อมูลเหล่านี้ ยากมากครับที่จะแฮคได้ เพิ่มเติมนิดนึงว่า หากมีเมลแปลกๆขอข้อมูลไลน์เรา เช่น ขอ Username หรือ Password โดยอ้างว่าเป็นบริษัทไลน์ติดต่อมา อย่าหลงเชื่อนะครับ ไม่ต้องสนใจให้ลบทิ้งไปเลย ไม่มีบริษัทไหนในโลกนี้ที่เค้าจะขอข้อมูล username กับ password จากลูกค้าไม่ว่าจะเป็นธนาคาร facebook google เค้าไม่จำเป็นต้องขอ เพราะเค้ามีข้อมูลเหล่านี้อยู่แล้วครับ

จากที่เล่ามารวมๆคิดว่า คนร้ายน่าจะเป็นคนไทย เพราะขอให้ญาติโอนเงิน และคนที่น่าสงสัยที่สุด คือ คนที่รู้ข้อมูล Username กับ Password ของเรา ซึ่งเจ้าของกระทู้น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่าใคร???

ผมก็เจอปัญหาเดียวกันครับ 

วิธีการที่จะทำให้เค้าหยุด คือ คุณต้องเก็บหลักฐานการก๊อปปี้ของเค้าไว้ โดย capture หน้าที่เค้าคัดลอกบทความของคุณไป
จากนั้นเตรียมหลักฐานที่แสดงให้ตำรวจเห็นว่า คุณเป็นผู้ผลิตหรือเป็นผู้สร้างบทความหรือเนื้อหานั้น และเนื้อหาถูกเผยแพร่เมื่อไหร่ ?

อย่างไรก็ตาม มีบทความบางประเภทที่ไม่มีลิขสิทธิ์ เช่น ข่าว พยากรณ์อากาศ ผลฟุตบอล เพราะถือว่าเป็นข้อเท็จจริงใครจะเผยแพร่ก็ได้

ถ้าคุณอยากให้เค้าหยุด อาจจะลองติดต่อไปตามที่เพื่อนในบอร์ดให้ข้อมูลมาก่อนก็ได้ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงคุณอาจจะต้องแจ้งตำรวจ
เพื่อดำเนินคดีและแจ้ง Google เพื่อให้ทราบว่าเว็บที่ติด Adsense อันนี้ละเมิดลิขสิทธิ์ผลงานของคุณ ถ้าคุณแจ้ง Google ไปว่าคุณ
เป็นเจ้าของผลงานและพิสูจน์ได้ เว็บมีแนวโน้มจะถูกแบน Adsense ครับ

ใช้ลิ้งค์นี้แจ้ง Google ได้เลยครับ https://support.google.com/ads...contact/violation_report?hl=th

รออ่านนะครับ ติดตามผลงานพี่มาตลอดแม้จะยังไม่เคยขายของผ่านอีเบย์ แต่ก็ได้ความรู้ดีดีทุกครั้ง 

ส่วนตัวแล้วผมรู้สึกบอร์ดนี้เงียบกว่าแต่ก่อนมากครับ

ปกติแล้วผมเข้าบอร์ดนี้เป็นประจำเพื่อมาตอบคำถามครับ สาระความรู้ก็พอได้อยู่บ้างแต่ถ้าเทียบกับ 4-5 ปีก่อนความรู้ที่แชร์กัน
ลดลงไปมากอย่างน่าใจหาย

ในความเห็นของผมส่วนหนึ่งที่คนไม่ค่อยอยากแชร์เพราะเกรงว่าจะถูกเลียนแบบครับ คนไทยส่วนมากคิดเองไม่ค่อยเป็นโดยเฉพาะ
เรื่องการทำเว็บหรือสร้างเนื้อหา ขโมยได้ก็ขโมย ลอกได้ก็ลอก ดัดแปลงได้ก็ดัดแปลง เน้นแต่จะให้คนเข้าเว็บอย่างเดียว
ไม่ค่อยได้คิดถึงคนที่เข้ามาบริโภค ข้อมูลกันสักเท่าไหร่ ? ว่าเค้ารับข้อมูลแล้ว นำไปใช้แล้วจะมีประโยชน์หรือมีโทษอย่างไรบ้าง ?
คนที่เข้าบอร์ดนี้มีทั้งคนทั่วไปที่เข้ามาหาความรู้ พวกนักเลียนแบบที่พร้อมจะขโมยทุกอย่าง รวมถึงมิจฉาชีพจริงๆ

อีกอย่าง แชร์แล้วได้อะไรครับ ? มีแต่คนรอรับไม่มีคนให้กลับ คิดว่าคนอยากจะแชร์อะไรดีดีกันอีกไหมครับ ? จนสุดท้ายคนที่เข้า
มาอ่านในบอร์ดนี้ก็มักจะเป็นมือใหม่ที่รอแต่จะรับอย่างเดียว พวกปรมาจารย์จึงมีเหลือน้อยลงเต็มทีเพราะเค้าออกไปหากินหรือรับงานทำ
ยังจะได้เงินและมีประโยชน์มากกว่า

ผมยังเข้ามาบอร์ดนี้ประจำเพื่อช่วยเหลือพี่น้องท่านอื่นในส่วนทีพอช่วยเหลือได้ แต่ที่เล่าให้ฟังเป็นความรู้สึกส่วนตัวและยังอยากเห็น
Thaiseoboard ดีขึ้นและอยู่คู่ชาวไทยไปอีกนานแสนนาน
 

ถ้า copy บทความลงเว็บลองแจ้ง Google เข้ามาตรวจสอบได้ครับ
https://www.google.com/webmast...s/tools/dmca-notice?pli=1&

ถ้า copy บทความลงเฟสบุ๊คก็แจ้ง facebook เข้ามาตรวจสอบได้เช่นกันครับ
https://www.facebook.com/help/400287850027717/

หรือถ้าคุณจะเอาเรื่องก็แจ้งความได้เลยครับ ศาลตัดสินว่าผิดเรึยกค่าเสียหายได้เป็นหลักหลายหมื่น
ถึงหลายแสน กฎหมายลิขสิทธิ์คุ้มครองตรงนี้อยู่แล้ว

ถ้าทำ Adsense อยู่ก็อาจจะโดนแบนบัญชีครับ

จริงๆแล้วผมก็เคยเจอนะครับ เว็บที่ไปจ้างคนเขียนบทความแล้วนำมาลงบล็อก เสร็จแล้วผมไปเจอโดยบังเอิญ บทความที่เค้านำมาลง
มีส่วนหนึ่งเป็นบทความของผมที่ค้นคว้าและเขียนขึ้นเอง สาเหตุน่าจะเกิดจากคนเขียนบทความนำเนื้อหาจากหลายเว็บมายำรวมกันครับ
อ่านก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง เนื้อหายาวนะแต่อ่านแล้วจับประเด็นไม่ได้และนำไปใช้ไม่ได้ด้วย เขียนเรียก traffic อย่างเดียวครับ

นักเขียนบทความรับจ้างในไทย ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยได้คุณภาพ เพราะเค้าไม่รู้จริงในสิ่งที่เค้าเขียน หลักการเขียนบทความที่แท้จริง คือ
คนเขียนต้องรู้จริงและมีความเข้าใจในเรื่องที่เขียน เขียนบทความให้คนเข้าใจและได้ประโยชน์ แล้ว traffic จะเป็นผลพลอยได้ตามมาทีหลังครับ

ตอบคำถามนะครับ

ตอบข้อ 1 นะครับ - คุณรับผิดชอบในกรณีนี้ครับ เพราะซื้อขาดจากกันมาแล้วและหลักฐานที่คู่กรณีมี คือ เว็บของคุณที่มีเนื้อหาของเค้าอยู่
ทางแก้ คือ ให้สอบถามไปทางคู่กรณีนะครับว่า เนื้อหาที่บอกว่านำของเค้ามา คือ ส่วนไหน ? และขอดูต้นฉบับก่อน จากนั้นลองตรวจสอบดูว่า
จริงหรือเปล่าครับ ? ถ้าคุณพิจารณาแล้วว่าจริง เราไปเอาของเค้ามาจริง ก็คงปลดบทความนั้นลงและขอชดใช้ค่าเสียหาย แต่ถ้าคุณมั่นใจว่าไม่ใช่ก็ให้เค้าไปฟ้องเอาครับ

ตอบข้อ 2 นะครับ - อันดับแรกให้เก็บหลักฐานเป็นรูปภาพ โดยการแคปหน้าจอไว้นะครับ เสร็จแล้วถ้าคุณจะเอาเรื่องเค้าแบบไม่รู้ตัว ก็ไปโรงพัก
แจ้งตำรวจได้เลย แต่ถ้าคุณต้องการไกล่เกลี่ยให้แจ้งไปที่เจ้าของเว็บนะครับ เรียกร้องค่าเสียหายตามความเหมาะสม ส่วนใหญ่แล้วถ้าเจ้าของเว็บเค้า
รู้ว่าคุณจะเอาเรื่องเค้า เค้าจะประนีประนอมด้ว ถ้ายิ่งดื้อแพ่งมีแต่จะเสียกับเสีย

ประเด็น คือ คุณต้องมีหลักฐานพิสูจน์ให้ได้ว่า บทความที่เขียนขึ้นเป็นของคุณจริง ถ้าพิสูจน์ไม่ได้คุณอาจจะเงิบได้ หลังจากที่แจ้งตำรวจไปแล้วครับ
ง่ายสุด คือ จดทะเบียนลิขสิทธิ์ให้กับบทความของคุณทุกอันครับ ลองเข้าไป google แล้วค้นหาคำว่า จดลิขสิทธิ์ ดูนะครับ ข้อมูลเพียบ

เรื่องโทษของการละเมิดลิขสิทธิ์ไม่ได้เบาอย่างที่หลายคนคิดนะครับ ปรับกันหลายหมื่นถึงหลายแสน แถมมีโอกาสติดคุกครับ
https://th.wikipedia.org/wiki/...%8C%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2

พอจะมีแหล่งที่มาไหมครับ ? ขอเป็นลิ้งค์นิดนึงจะได้ลองเข้าไปอ่านดู

ก่อนอื่นเลยเราต้องรู้หลักการก่อนครับว่า Adwords อนุญาตให้เราโฆษณาแบบไหนได้บ้าง ?

ในกรณีของคุณ ผมเข้าใจว่าคุณต้องการโฆษณาให้กับลูกค้าสองคนที่มีอาชีพเดียวกันเลยมีความจำเป็นต้องใช้คำค้นหาเดียวกันใช่ไหมครับ ?
คือคำว่า "รถเช่า"

สมมุติว่าชื่อบริษัทรถเช่า คือ บริษัทเอ และ บริษัทบี นะครับ

สิ่งที่คุณสามารถทำได้ คือ

1. ใช้คำค้นหาคำว่า "รถเช่า" แล้วเขียนโฆษณาสองอัน
อันแรกส่งไปที่หน้า Article ของรถเช่าบริษัทเอ
อันที่สองส่งไปที่หน้า Article ของรถเช่าบริษัทบี
โดยให้โฆษณาทั้งสองอันอยู่ใน Adgroup เดียวกัน (และแน่นอนว่าต้องอยู่ใน Campaign เดียวกัน)
เสร็จแล้วไปที่ Campaign setting ให้เซตการแสดงโฆษณาเป็นแบบ "หมุนเวียนอย่างเท่าเทียม (rotate evenly)" หรือ"หมุนเวียนไปเรื่อยๆ (rotate definitely)"
รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านที่นี่ครับ https://support.google.com/adwords/answer/112876?hl=th

>> ผลที่ได้คือ โฆษณาทั้งสองบริษัทจะสลับกันแสดงอย่างเท่าเทียม อยู่ในเว็บเดียวกันได้ไม่ต้องทำเว็บใหม่ แต่มีข้อเสียคือ ต่างคนต้องแบ่งลูกค้าที่เข้ามาชมกันคนละครึ่งครับ

2. ใช้คำค้นหาคำว่า "รถเช่า" แล้วทำโฆษณาแยกเว็บกันไปเลยครับ เช่น

บริษัทเอใช้ domain name เป็น company-a.com
บริษัทบีใช้ domain name เป็น company-b.com

ถ้าทำแบบนี้โฆษณาทั้งสองบริษัทจะสามารถแสดงพร้อมกันในคำค้นหาเดียวกันได้ ข้อดีคือ ลูกค้าทุกคนได้เห็นโฆษณาของทั้งสองบริษัทแบบเต็มๆ ข้อเสียคือ ต้องทำเว็บเพิ่มครับ

คิดว่าน่าจะพอช่วยอะไรได้บ้างนะครับ

กระทู้นี้ดีมากๆอ่านแล้วได้มุมมองที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไปครับ +1 ครับ

รอดูไปก่อนนะครับสักอาทิตย์นึง คือ มันเป็นไปได้หลายกรณีมากครับ เสร็จแล้วลองส่งกราฟมาให้ผมดูครับเผื่อจะเห็นอะไรมากกว่านี้
ข้อมูลเท่านี้บอกอะไรยากครับ ที่ผมแนะนำไปในอีกกระทู้ก่อนหน้า ถ้าลองนำไปทำน่าจะช่วยให้อะไรๆดีขึ้นครับ

ถ้าดูจากภาพที่แสดงไว้นะครับ ไม่ต้องคิดอะไรมากเลย เขียนโฆษณาไม่เข้ากับคำค้นหา

คำค้นหา = ถุงมือ

โฆษณาอันแรก ขึ้น Headline ว่า "ถุงมือหนัง ถุงมือยาง ผ้า"
โฆษณาอันที่สอง ชึ้น Headline ว่า "TJJtm ผลิต-จำหน่ายถึงมือผ้า"
โฆษณาอันที่สาม ขึ้น Headline ว่า "ถุงมือคุณภาพสูง ราคาถูก"

สำหรับผมแล้วทั้งสามเจ้านี้เขียนโฆษณาได้ไม่ค่อยตรงกับคำค้นหาครับ เพราะคนเราถ้าค้นคำว่าถุงมือ
อาจจะหมายถึง เรื่องอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับถุงมือ เช่น ถุงมือไหมพรม ถุงมือผ่าตัด ถุงมือยาง ถุงมือกันหนาว
เป็นไปได้เยอะแยะเลยครับ ดังนั้น ในมุมมองของผม โฆษณาเหล่านี้มีคนคลิกน้อยหรือมี CTR ต่ำครับ
ไม่แปลกเลยที่ Google จะเอามาไว้ข้างล่าง เพราะเอาไว้ข้างบนสุดสามอันดับแล้วไม่ค่อยมีคนคลิก
อย่าลืมนะครับว่า Google ให้ความสำคัญกับผู้ใช้อันดับหนึ่ง กล่าวคือ ต้องการให้ค้นหาได้ตรงกับความต้องการ
โดยใช้เวลาน้อยที่สุดครับ

ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าในหน้าผลการค้นหาที่นำมาแสดงไม่มีโฆษณาอันไหนเลย
ที่อยู่ด้านบนสุดหรือ top area ทั้งๆที่มีคนลงโฆษณาถึง 3 คน นั่นแสดงให้เห็นถึงการเขียนโฆษณาที่ไม่
สอดคล้องกับคำค้นหา ส่งผลให้มี CTR ต่ำนั่นเอง

ถ้าเป็นผมจะแก้การเขียนโฆษณาใหม่ และใช้คำค้นหาคำอื่นที่เฉพาะเจาะจงมากกว่าคำว่า "ถุงมือ" เช่น
ถ้าเราขายถุงมือยาง ก็อาจจะเขียนว่า "ถุงมือยางคุณภาพดีมากราคาถูก" แล้วประมูลคำว่า "ถุงมือยาง"
เพื่อให้อัตราการคลิกโฆษณาหรือ CTR สูงขึ้นครับ ส่วนการประมูลหรือปรับบิดเพิ่มเป็นเรื่องที่ต้องทำทีหลัง
เพราะถึงเราจะปรับบิดไป โฆษณาเราอาจจะขึ้นที่หนึ่งได้ก็จริง แต่รับรองได้ว่าถ้า CTR ยังแย่ วันใดวันหนึ่ง
อันดับโฆษณาก็จะตกลงมาอยู่ข้างล่างแบบเดิมอยู่ดีครับ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความสลับซับซ้อนของ Google ผมเองก็วิเคราะห์ไปตามประสบการณ์และความเข้าใจส่วนตัว
ดังนั้น ไม่ขอสรุปว่าอะไรผิดถูกนะครับ เพราะต่างคนต่างมุมมองต่างประสบการณ์ต่างความคิด แค่อยากแสดงความ
เห็น เผื่อเป็นประโยชน์กับพี่น้องท่านอื่นครับผม

น่าจะมีชื่อสำนักพิมพ์และผู้เขียนในหนังสือหรือเปล่าครับ ?
หรือมีช่องทางติดต่อแล้วแต่ติดต่อไม่ได้ แบบนั้นหรือเปล่าครับ ?

การเลือกใช้ประเภทของคีย์เวิร์ด ที่เป็นการค้นหาแบบกว้างก็น่าจะมีส่วนครับ เพราะจะมีคนเห็นโฆษณาเยอะ มีโอกาสที่จะมีคนคลิกโฆษณาเยอะ งบประมาณหมดเร็วได้
แนะนำให้ลองหาคีย์เวิร์ดที่เป็นแบบวลี แบบตรงทั้งหมดและตัวแก้ไขการทำงานแบบกว้าง จากนั้นให้พยายามใส่การทำงานแบบเชิงลบเข้าไปจะช่วยให้ประหยัดงบได้มาก
และมีกำไรเพิ่มขึ้นได้ครับ ลองอ่านตรงนี้ดูนะครับ https://support.google.com/adwords/answer/2497836?hl=th

ในอีกกรณีหนึ่ง การเลือกการโฆษณาแบบเร่งก็มีส่วนทำให้งบประมาณหมดเร็วครับ ลองอ่านรายละเอียดตรงนี้นิดนึงครับ
https://support.google.com/adwords/answer/2404248?hl=th

อ่านดูแล้วไม่เข้าใจตรงไหน ? ถามได้ครับ

ถามนิดนึงนะครับ

1. ทราบได้อย่างไรว่าโดนคลิกบอมบ์ครับ ?
2. คุณตั้งค่าการประมูลแบบไหนครับ ? เพราะการที่งบประมาณหมดเร็ว ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการตั้งรูปแบบประมูลด้วย

แนะนำแบบนี้นะครับ

1. นิ่งไว้ครับ ถ้ามันไม่ได้ทำให้เราเสียเงินมากจนไม่สามารถรับได้ เค้าทำไปสักพักแล้วเราไม่แสดงอาการอะไรเค้าจะเลิกไปเอง
2. แจ้งให้ Adwords บล็อก IP ต้องสงสัย แต่วิธีนี้จะทำให้คุณเสียลูกค้าที่ใช้ IP นี้ไป
3. โดยปกติแล้ว Adwords จะมีระบบการป้องกันการทำ click fraud หรือคลิกบอมบ์อยู่แล้ว ถ้าไม่เชื่อคุณลอง search ให้โฆษณา
ในคีย์ไหนก็ได้แสดง ถ้าทำซ้ำๆหลายครั้ง โฆษณาจะไม่แสดงครับ และถ้าระบบตรวจเจอว่าคลิกไหนเป็นคลิกบอมบ์ระบบจะไม่คิดเงินครับ

รายละเอียดในจดหมายแจ้งว่า เว็บไซต์ของคุณขัดต่อนโยบายของ Google Adwords ครับ ทำให้เค้าไม่อนุญาตให้คุณทำการโฆษณาได้ ดังนั้น
โฆษณาตัวไหนที่ชี้ไปยังเว็บๆนี้จะถูก disapproved หรือจะพูดง่ายๆก็คือ "ไม่แสดงโฆษณา" นั่นแหละครับ

จากนั้นเค้าก็แนะนำวิธีการแก้ไขมาให้คุณ

1. สาเหตุที่เค้าแจ้งมาคือ เว็บไซต์ของคุณที่ใช้โฆษณาติดมัลแวร์ มัลแวร์หรือซอฟแวร์ที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ต้องถูกลบหรือกำจัดออกไปครับ
ไม่แน่ใจว่าเว็บคุณไปติดมัลแวร์ได้อย่างไร ? อันนี้ต้องลองตรวจสอบดูหลายอย่างครับ เช่น โฮสที่เราฝากเว็บไซค์ ธีม ปลั๊กอิน ส่วนใหญ่แล้ว
เว็บที่มีปัญหาลักษณะนี้มักจะโหลดของฟรีมาใช้ เช่น ธีมฟรี ปลั๊กอินฟรี ซึ่งของฟรีพวกนี้จริงๆแล้วไม่ฟรีนะครับ มักจะมีของแถมคือ มัลแวร์ฝ้ง
ตัวอยู่ข้างในด้วย ไม่แน่ใจว่าคุณใช้สคริปต์ตัวไหนในการสร้างเว็บ ? ถ้าเป็น wordpress จะมีปลั๊กอินที่ช่วยจัดการในเรื่องนี้ครับ

2. เมื่อกำจัดมัลแวร์ได้แล้วให้แจ้งไปที่ Google Adwords อีกทีหรือเรียกว่า resubmit เพื่อให้ Google Adwords พิจารณาอีกรอบหนึ่ง

ถ้าคุณยังแก้ไขปัญหาไม่ได้แล้วไป resubmit บัญชีของคุณจะถูกแบนนะครับ ดังนั้น ต้องเคลียร์ปัญหาให้จบก่อนจริงๆค่อย resubmit ไปนะครับ

การแก้ไซต์ที่ถูกระงับ https://support.google.com/adwords/answer/1704383?hl=th

คิดแบบนี้นะครับ

1. ถ้าเราไม่มีประสบการณ์อะไรเลย การจ้างทำเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ เพราะถ้าเราลองผิดลองถูกด้วยตัวเองแต่แรก โดยไม่มีที่ปรึกษาเลย
ส่วนใหญ่จะล้มเหลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง

2. ผลกำไรคุ้มที่จะจ้างผู้เชี่ยวชาญไหม ? ถ้าธุรกิจของเราสร้างกำไรได้มากเดือนละ 50,000 - 100,000 บาท การจ้างผู้เชี่ยวชาญเดือนละ
3000 - 5000 บาท ไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ

3. ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและหัดไปทำด้วย (ถ้าเรามีความขยันและอยากเรียนรู้) ผมเชื่อว่าผู้เชี่ยวชาญที่คุณจ้างมา เค้าพร้อมที่จะตอบ
ข้อสงสัยหรือคำถามของคุณอยู่แล้วครับ

4. ค่าจ้าง Adwords ยิ่งถูกยิ่งไม่น่าจ้างครับ เพราะคนทำ Adwords เป็นมีหลายระดับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า แพงแล้วจะดีเสมอไป เวลาเลือก
ให้เราเลือกราคากลางๆ เช่น 2500 - 3500 ขึ้นไป ทั้งนี้ ราคาอาจจะสูงกว่านี้ก้อได้ ถ้าผู้เชี่ยวชาญมีการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อให้ยอดขายเพิ่มขึ้นด้วย
ลองจ้างดูก่อนสัก 3 เดือน ถ้าดีจริงก็พอจะเห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านยอดขายและกำไร อย่างไรก็ตาม สินค้าจะขายได้หรือไม่ ประเด็นหลัก
จะอยู่ที่ตัวสินค้าว่าได้มอบคุณค่าให้กับลูกค้าสมราคาหรือเปล่า ? ถ้าสินค้าเราดีจริงราคาเหมาะสมยังไงก็ขายได้ แต่ถ้าสินค้าไม่ดี ราคาไม่เหมาะสม
โฆษณา Adwords ยังไงก็ขายยากครับ ซึ่งประเด็นตรงนี้ คนทำการตลาดที่เก่งและดีเค้าจะวิเคราะห์ให้คุณก่อนลงมือโฆษณาครับ ถ้าดูแล้วมันไปได้
เค้าก็จะบอกคุณว่าไปได้ เข้าช่องนี้ได้นะ แต่ถ้ามันเข้าลำบากเค้าก็ต้องบอกให้คุณทราบถึงความเสี่ยงต่างๆ ไม่ใช่หลับหูหลับตาโฆษณาอย่างเดียว

5. ถ้าบัญชีถูกแบน ต้องไปดูสาเหตุนะครับว่า โดนแบนจากอะไร แก้แบนเป็นเรื่องที่ทำได้ครับ และผมก็ทำมาแล้วด้วย

อ่านดูตามลิ้งค์นะครับ Google เค้าอธิบายไว้แบบละเอียดเลยจ้า

https://support.google.com/adwords/answer/2393014?hl=th
https://support.google.com/adwords/answer/2393016?hl=th

สำหรับผมนะ Facebook หา Leads ได้เยอะจริงครับ cost per action ถูกจริง แต่ Lead ที่ได้ไม่ค่อยเปลี่ยนเป็นลูกค้าหรือ Unqualified