งานเข้าคนอีคอมเมิร์ซนะครับ
(อ่านฉบับเต็มที่นี่
http://www.thailandlawyercente...&Id=538973917&Ntype=19 )
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
“ขายตรง” หมายความว่า การทำตลาดสินค้าหรือบริการในลักษณะของการนำเสนอขายต่อผู้บริโภคโดยตรง ณ ที่อยู่อาศัยหรือสถานที่ทำงานของผู้บริโภคหรือของผู้อื่น หรือสถานที่อื่นที่มิใช่สถานที่ประกอบการค้าเป็นปกติธุระ โดยผ่านตัวแทนขายตรงหรือผู้จำหน่ายอิสระชั้นเดียวหรือหลายชั้นแต่ไม่รวมถึงนิติกรรมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
“ตลาดแบบตรง” หมายความว่า การทำตลาดสินค้าหรือบริการในลักษณะของการสื่อสารข้อมูลเพื่อเสนอขายสินค้าหรือบริการโดยตรงต่อผู้บริโภคซึ่งอยู่ห่างโดยระยะทางและมุ่งหวังให้ผู้บริโภคแต่ละรายตอบกลับเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงนั้น
ถ้าเจ้าหน้าที่จะตีความคำว่า สื่อสารข้อมูลเพื่อเสนอขายสินค้าหรือบริการ
"โดยตรง" ต่อผู้บริโภค ซึ่งอยู่ห่างโดยระยะทาง....
ว่าการใช้สื่อทุกสื่อ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ แฟนเพจ อินสตาร์แกรม ไลน์ โทรศัพท์ไปหา หรือขายแบบ ทีวีไดเร็กซ์ นั้น ถือเป็นการตลาดแบบตรงทั้งหมด ซึ่งก็ตีความไปได้
มาตรา ๒๗ ห้ามมิให้ผู้ใดประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง เว้นแต่จะได้จดทะเบียนการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงตามพระราชบัญญัตินี้
และ
มาตรา ๔๗ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๒๐ หรือมาตรา ๒๗ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่
แต่ช้าก่อน... ผมคิดว่าพรบ.นี้ ใช้คุ้มครองผู้บริโภคจากธุรกิจเครือข่าย แบบขายตรง และใช้การตลาดแบบตรง คือพวก mlm
ถ้าเจ้าหน้าที่จะตีความว่า การใช้เว็บไซต์ การโฆษณาในสื่อต่างๆ ใช้สื่อต่างๆในการขายสินค้า เป็นการตลาดแบบตรงทั้งหมด
เช่นนั้นทุกธุรกิจก็เป็นการตลาดแบบตรง เพราะไม่ว่าจะโฆษณาลงในสื่อใด ก็ เป็น
"การสื่อสารข้อมูลเพื่อเสนอขายสินค้าหรือบริการโดยตรงต่อผู้บริโภค
ซึ่งอยู่ห่างโดยระยะทางและมุ่งหวังให้ผู้บริโภคแต่ละรายตอบกลับเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบธุรกิจ"
ทั้งสิ้น
เช่นนั้นทุกธุรกิจก็ต้องขึ้นทะเบียนธุรกิจที่ทำตลาดแบบตรงใช่หรือไม่
เช่นขายแชมพูสระผม โฆษณาลงในหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เว็บไซต์ แบบนี้ก็ต้องขึ้นทะเบียนทั้งหมดหรือไม่
หากจะตีความว่า ลูกค้าต้องชำระค่าสินค้าหรือบริการก่อน โดยยังไม่เห็นสินค้า แล้วจึงได้รับสินค้าหรือบริการหลังจากชำระเงินแล้ว
ตรงนี้ก็ไม่ได้ระบุลงในบรรทัดใดของกฎหมาย เพียงแต่เจ้าหน้าที่ตีความเข้าข้างตัวเองเท่านั้น
ส่วนที่ ๒
การประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง
มาตรา ๒๗ ห้ามมิให้ผู้ใดประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง เว้นแต่จะได้จดทะเบียนการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๒๘ ข้อความในการสื่อสารข้อมูลเพื่อเสนอขายสินค้าหรือบริการของผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๒๙ ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภค ในส่วนที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคด้านการโฆษณามาใช้บังคับแก่การสื่อสารข้อมูล เพื่อเสนอขายสินค้าหรือบริการของผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงโดยอนุโลม โดยให้ถือว่าอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี และให้ถือว่าอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ
ซึ่งถ้าดูมาตราด้านบน ก็บอกเพียงว่า ให้ใช้กำหมายคุ้มครองผู้บริโภคในหมวดการโฆษณา มาบังคับใช้เท่านั้น
ทั้งหมดจึงไม่สามารถตีความได้ว่า การพาณิชย์อิเล็คทรอกนิค เป็นการตลาดแบบตรง
แต่เหนือสิ่งอื่นใด เบื้องหลังของเรื่องนี้ แท้ที่จริงแล้วก็คือต้องการให้คุณไปแสดงตัวต่อรัฐ เพื่อยื่นแบบ
เสียภาษี เท่านั้นเอง
เนื่องจากระยะหลังอัตราการขึ้นทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ลดลงอย่างมาก
ทั้งๆที่มีผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นมาก ทำให้การจัดเก็บภาษีทำได้ยากและไม่เป็นไปตามเป้า
จริงๆบทกำหนดโทษ หากไม่จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ก็น่ากลัวไม่แพ้กัน
(อ้างอิง พรบ. พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์)
http://www.etda.or.th/etda_web...p/webroot/files/1/files/26.pdf หมวด 6 บทกำหนดโทษ
มาตรา 44 ผู้ใดประกอบธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่แจ้งหรือขึ้นทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาตาม มาตรา 33 วรรคหนึ่ง หรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งห้ามการประกอบธุรกิจของคณะกรรมการตาม มาตรา 33 วรรคหก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน หนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 45 ผู้ใดประกอบธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตาม มาตรา 34 ต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 46 บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่กระทำโดยนิติบุคคล ผู้จัดการหรือผู้แทนนิติบุคคลหรือผู้ซึ่งมีส่วนร่วมในการดำเนินงานของนิติบุคคลต้องรับผิดในความผิดนั้นด้วย เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่า ตนมิได้รู้เห็นหรือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดนั้น
ซึ่งถ้าจะเอาจริงๆ แค่เรื่องทะเบียนพาณิชย์ ก็ตายแล้วครับ ไม่ต้องเอาถึง พรบ.ขายตรง+การตลาดแบบตรงก็ได้
ซึ่งถ้าเราไปขึ้นทะเบียนทั้งสองที่ แล้วไม่ไปยื่นแบบประเมินภาษี ซักพักก็จะมีจดหมายจากสรรพากรมา เชิญเราไปให้ปากคำ
และกระบวนการคิกบัญชีภาษีย้อนหลังก็จะเริ่มขึ้น ใครขายดี ก้โดน Vat ย้อนหลังด้วย (ตัวนี้โหดที่สุด ดดนกันเป็นล้าน)
สุดท้าย จะขึ้นทะเบียนหรือไม่ ถ้าถามผม ผมว่าไปขึ้นเถอะครับ ดีกว่ามาโดนเรียกทีหลัง
แล้วจะเสียภาษีดีมั้ย? ก้เสียไปเถอะครับ ดีกว่าโดนย้อนหลัง
แล้วถ้ายอดขายเกินล้านแปดต่อปี ต้องจดแวตมั้ย ก็ไปจดเป็นนิติบุคคลบริษัท แล้วก็ขึ้นทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มครับ vat นี่อย่าคิดมาก ลูกค้าจ่ายไม่ใช่เราจ่าย
เพราะถ้าคุณกลัวภาษี คุณจะไม่มีวันโต ก็จะต้องหลบอยู่ในซอกในรู กลัวเค้าจับได้ ไม่ได้เป็นบริษัท เวลาโดนจับได้ เสียภาษีบุคคละรรมดาแพงกว่าบริษัทด้วย ถ้าไม่มีจ่ายโดนฟ้อง กลายเป็นบุคคลล้มละลาย
ถ้าบริษัทไม่มีจ่าย โดนฟ้อง นิติบุคคลล้มละลายไป กรรมการบริษัทไม่เกี่ยว
สรุปสุดท้าย ถ้าอยากจะทำเป็นงานอดิเรกเล็กๆ ทำๆเลิกๆ ก็ซ่อนตัวให้ดี ชื่อนามสกุล ที่อยู่ เลขที่บัญชี ปิดให้มิด แต่รับรองไม่มีวันโต
ถ้าคิดใหญ่ฝันใหญ่ อยากขยายกิจการ ก็จดๆไปเถอะครับ จ่ายตามจริง ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ
ถ้ามีเจ้าหน้าที่พวกนี้ออกมาขยับตัว นั่นหมายความว่า มาตราการถอนขนห่านเริ่มขึ้นแล้วนั่นเอง