ไม่รู้ว่าผิดกฎไหม แต่เอาข่าวสารมาบอก

https://airportthai.co.th/wp-c...uploads/2019/02/AOTJob2019.pdf

ไม่ใช่รหัสผ่านอีเมล์โดยตรง แต่ควรตั้งรหัสผ่านการใช้งานแต่ละระบบแต่ละเว็บไซต์ ไม่ให้ตรงกับรหัสผ่านอีเมล์

ความคิดเห็นส่วนตัวของผมตรงๆไทยเสียประโยชน์เหมือนเดิมและอาจจะเสีนประโยชน์มากกว่าเดิมแต่แจ็คหม่าได้ประโยชน์เต็มๆ

ผู้ผลิตคือชาวสวน ผู้จัดจำหน่ายคือคนกลางพ่อค้าชาวจีน ผู้ค้ารายย่อยคือพ่อค้าแม่ค้า

แจ็คหม่ามันมีธุรกิจอาลีบาบามันธุรกิจซื้อลาซาดา มันคือ ผู้จัดจำหน่าย+ผู้ค้ารายย่อย

ยกตัวอย่างเรื่องทุเรียนการที่อาลีบาบาขายทุเรียนแปดหมื่นลูกในหนึ่งนาทีนั้นแสดงให้เห็นว่ายอดความต้องการซื้อทุเรียนจากไทยไปจีนมากมายขนาดไหน  แต่ไทยละเลยตรงจุดนี้ทั้งๆที่ไทยสามารถส่งสินค้าไปจีนโดยตรง แต่ไม่มีนักธุรกิจในไทยลงทุนทำได้เลย ปล่อยให้พ่อค้าชาวจีนมาซื้อเหมาจากสวน ต่อมาแจ็คหม่ามองเห็นโอกาสมันก็เข้ามาทำกำไรแทนพ่อค้าชาวจีนที่ซื้อเหมาจากสวนนั่นเอง

ความคิดเห็นนอกเรื่องตอนนี้เลิกใช้lazadaแล้วหันมาใช้shopeeแทน
สนับสนุนธุรกิจที่เป็นเจ้าของโดยคนไทยกันดีกว่าครับ

-

 

TrueMove H เผลอเปิดสตอเรจบน S3 ออกสาธารณะ ข้อมูลภาพบัตรประชาชนลงทะเบียนเลขหมายหลุดจำนวนมาก

Niall Merrigan นักวิจัยด้านความปลอดภัย เฝ้าการสร้าง bucket สำหรับสตอเรจใน S3 และทดลองสแกน แล้วพบ bucket ที่มีโฟลเดอร์ชื่อว่า truemoveh/idcard อยู่ภายใน พร้อมกับโฟลเดอร์ย่อยตามปีและเดือน

เมื่อทดสอบเปิดไฟล์ขึ้นมา จึงเห็นว่าเป็นไฟล์ภาพบัตรประชาชน โดยไฟล์ตัวอย่างขีดคร่อมไว้ว่า "ใช้เพื่อลงทะเบียนเลขหมายใหม่กับทรูมูฟเอชเท่านั้น"

โฟลเดอร์มีข้อมูลรวม 32 กิกะไบต์ เป็นของปี 2016 14.5 กิกะไบต์ ของปี 2017 8.3 กิกะไบต์ และ 2018 อีก 2.2 กิกะไบต์

Merrigan ติดต่อทาง TrueMove H ผ่านทางเฟซบุ๊กวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา และได้รับคำตอบว่าให้อีเมลไปทาง truemovecare@truecorp.co.th เมื่ออีเมลมา เจ้าหน้าที่ได้ตอบกลับมาว่าให้โทรเข้าสำนักงานใหญ่ จนกระทั่งวันที่ 4 เมษายนทาง truemovecare จึงได้ตอบกลับอีกครั้งว่ากำลังแก้ไข

Merrigan ตรวจสอบสตอเรจว่าปิดไปแล้วเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา รวมเวลาจากการแจ้งครั้งแรกนานกว่าหนึ่งเดือน
https://www.blognone.com/node/101492


ด่วน! เรื่องใหญ่ และอันตรายมาก True จะรับผิดชอบอย่างไร เมื่อข้อมูลบัตรประชาชน หลุดไปสู่สาธารณะจำนวน 4 หมื่น กว่ารูป
https://m.pantip.com/topic/37561690

TrueMove H ไม่น้อยหน้า Facebook กรณีเคมบริดจ์อนาลิติกา ทำข้อมูลลูกค้ารั่ว 46,000 ราย
http://christogo.blogspot.com/...move-h-facebook-46000.html?m=1

TA Orange ชื่อเว็บ True.co.th
TRUE ชื่อเว็บ truecorp.co.th

มาตรฐานด้านความปลอดภัย
สมมุติถ้าเขาปล่อยโดเมนชื่อTrue.co.thแล้ว
คนที่ได้ไปตั้งหน้าเว็บ
ทรูยกเลิกการให้บริการนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ทรูสมัครสมาชิกรับฟรีบลาๆเพื่อล้วงเอาข้อมูลของลูกค้าทรูไปทำผิดกฎหมายหรือเอาไปให้เครือข่ายอื่นที่เป็นคู่แข่งจะเกิดอะไรขึ้น

รูปปลากรอบ

.co.th   ย่อมาจาก commercial in Thailand หมายถึง บริษัทหรือองค์กรที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย

บริษัท (จำกัด) หมายถึง องค์กรธุรกิจที่เกิดจากการรวมกันของบุคคลที่มีจุดประสงค์เดียวกันและสนใจร่วมกันทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อแสวงหาผลกำไร โดยเป็นหุ้นส่วนร่วมลงทุนก่อตั้งบริษัทตามที่กฎหมายกำหนด ชื่อของบริษัทจะถูกตั้งขั้นเพื่อใช้อ้างอิงแทนกลุ่มบุคคลและบริษัทที่จัดตั้งขึ้น มีสภาพเป็นเป็นนิติบุคคล (legal person)

การจดทะเบียนบริษัทและขั้นตอนการดำเนินธุรกิจ

1.การจดทะเบียนบริษัท ต้องมีผู้เริ่มก่อการและผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป
2.การจดทะเบียนบริษัท มีเงื่อนไขเกี่ยวกับการลงทุน โดยแบ่งทุนออกเป็นหุ้นแต่ละหุ้นมีมูลค่าเท่ากัน และหุ้นแต่ละหุ้นมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 5 บท
3.ผู้ถือหุ้นแต่ละคนรับผิดชอบหนี้สินเฉพาะ ในส่วนที่ตนเองลงทุนและรับผิดชอบไม่เกินในส่วนที่ยังชำระค่าหุ้นไม่ครบ ซึ่งถือเป็นการจำกัดความรับผิดชอบทางการเงินของผู้ถือหุ้น
4.มีการแบ่งปันผลกำไรขาดทุน กรณีผลกำไรจ่ายเป็นเงินปันผลตามจำนวนหุ้นที่ผู้ถือครอง
5.การจดทะเบียนบริษัทจะเสียภาษี ในอัตราร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ กรณีเป็นธุรกิจ SME เสียภาษีตามอัตราก้าวหน้าร้อยละ 15-30
6.ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ “บริษัทจำกัด” ต้องขึ้นจดทะเบียนและมีสถานะเป็นนิติบุคคล
สรุป บริษัท จำกัด  คือรูปแบบของการดำเนินธุรกิจที่จัดตั้งขึ้นด้วยการแบ่งเงินทุนเป็นหุ้นมี มูลค่าเท่า ๆ กัน ผู้ถือหุ้นซึ่งก็คือเจ้าของกิจการต้องรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนเองจ่ายเงินลงทุน


ประเภทของบริษัท(จำกัด)
สำหรับประเทศไทย บริษัทจำกัดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่บริษัทเอกชนจำกัดและบริษัทมหาชนจำกัด

1.บริษัทเอกชนจำกัด ตั้งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 1095 “อันว่าบริษัทจำกัดคือบริษัทประเภทซึ่งจัดตั้งขึ้นด้วยการแบ่งทุนเป็นหุ้นมีมูลค่าเท่าๆ กันโดยมีผู้ถือหุ้นไม่ถึงหนึ่งรอยคนรวมทั้งนิติบุคคล(ถ้ามี)ผู้ถือหุ้นดังกล่าวต่างรับผิดชอบจำกัดเยงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนยังส่งให้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นที่ตนถือ”

2.บริษัทมหาชนจำกัด ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด พ.ศ. 2535 ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 15 “บริษัทมหาชนจำกัดคือบริษัทประเภทซึ่งตั้งขึ้นด้วยความประสงค์ที่เสนอขายหุ้นต่อประชาชนโดยผู้ถือหุ้นมีความรับผิดจำกัดไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ต้องชำระและบริษัทดังกล่าวได้ระบุความประสงค์เช่นนั้นไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ”

เปิดเข้าไปดูแล้วพบว่า ปกติครับ

BitCoinFutures ครับ


https://siamblockchain.com/201...-cboes-bitcoin-futures-launch/

อีกหนึ่งช่องทางครับ ไม่อยากได้สกุลเงินดิจิตอลมาเก็บไว้ในมือ แต่ทำยังไงให้ได้กำไรแม้ว่าราคามันจะสูงขึ้นหรือราคามันจะลดลง

สเปรดแคบ
เลเวอร์เรจที่ 1:50
ซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน
เงินฝากขั้นต่ำต่ำสุด (เริ่มต้น USD 1)
ไม่มีเงินฝากสูงสุด
ไม่ต้องเป็นเจ้าของ Bitcoin เพื่อการซื้อขาย

 

นายเบน คิง ผู้อำนวยการ Google ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า กูเกิลได้ร่วมกับ เทมาเส็ก ในการทำวิจัยในหัวข้อ e-Conomy Southest Asia Spotlight 2017 เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียนตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า จำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในภูมิภาคนี้เติบโตสูงมากมีจำนวนถึง 330 ล้านราย จากจำนวน 260 ล้านรายในปี 58 ในจำนวนนี้กว่า 90% ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ ซึ่งคาดว่าจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเมื่อถึงปี 63 จะเพิ่มขึ้นเป็น 480 ล้านราย คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า1.8 เท่าตัว


“เศรษฐกิจดิจิทัลของ ภูมิภาคเอเชียนตะวันออกเฉียงใต้ในปี 60 มีมูลค่าสูงถึง 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เติบโตจากปี 58 ที่มีมูลค่า 3.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งธุรกิจที่มีการเติบโตสูง คือ ธุรกิจการท่องเที่ยวออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ สื่อออนไลน์ และธุรกิจรถนั่งร่วมเดินทาง และคาดว่าเมื่อถึงปี 68 บริการออนไลน์เหล่านี้จะมีมูลค่าขึ้นไปถึง 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ”


นายเบน คิง กล่าวต่อว่า การเติบโตของเศรษฐกิตดิจิทัลในภูมิภาคนี้ส่งผลให้ปัจจุบันมี สตาร์ทอัพในระดับยูนิคอร์น หรือบริษัทที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯแล้ว 7 ราย คือ แกร็บ (Grab) แพลตฟอร์มการเดินทาง ,ลาซาด้า( LAZADA ) แพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ , ซี(sea ) ผู้ให้บริการเกมออนไลน์และแอพพลิเคชั่น ช้อปปี้ ( Shopee) , เรเซอร์( RAZER) ผู้ผลิตอุปกรณ์เกมมิ่ง , โก เจท (Go-Jek) บริการเรียกรถรายใหญ่ในอินโดนีเซีย , โตโคพีเดีย(Tokopedia )บริการ C2C Marketplace ในอินโดนีเซีย และ ทราเวลโลก้า ( traveloka) ผู้ให้บริการจองตั๋วเครื่องบินและโรงแรม




สำหรับประเทศไทยพบว่าเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยมีการเติบโตตามที่คาดการณ์ไว้ โดยปีที่ผ่านมามีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ จากปี 58 ที่มีมูลค่า 5.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดการณ์ว่าเมื่อถืงปี 68 จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 3.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยในปี 58 ที่ผ่านมา ประชากรคนไทยที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตแล้วประมาณ 38 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 55% ของจำนวนประชากร ซึ่งคาดการณ์ว่า เมื่อถึงปี 68 จะเพิ่มขึ้นเป็น 59 ล้านคน คิดเป็น 84% ของจำนวนประชากร


“ในปี 60 ที่ผ่านมา ธุรกิจการท่องเที่ยวออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ สื่อออนไลน์ และธุรกิจรถนั่งร่วมเดินทาง ของไทยมีการเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และ ธุรกิจบริการรถร่วมเดินทาง ที่มีการเติบโตเป็น 2 เท่าโดยมีมูลค่าเป็น 1.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ จากปี 58 ที่มีมูลค่า 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือมากที่สุดในโลก เฉลี่ยวันละ 4.2 ชั่วโมง”


นายเบน คิง กล่าวต่อว่า เมื่อถึงปี 68 เศรษฐกิจดิจิตอลของไทยของไทยจะเติบโตเพิ่มมาก เป็น 3.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นไปทิศทางเดียวกันของภูมิภาคอาเซียน โดยแบ่งเป็น ธุรกิจการท่องเที่ยวออนไลน์ 6,200 ล้านเหรียญสหรัฐ , ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ , สื่อ ออนไลน์ 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และ ธุรกิจบริการรถร่วมเดินทาง 600 ล้านเหรียญสหรัฐ


“ ระบบนิเวศอินเทอร์เน็ตของประเทศไทยกำลังเฟืองฟู ไม่มีเวลาใดที่ดีที่สุดในการเริ่มทำธุรกิขในประเทศไทยเท่าช่วงเวลานี้อีกแล้ว แต่ ไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากผู้ใช่งานและโครงสร้างพื้นฐาน ความพร้อมด้านการชำระเงิน การขนส่ง การไว้วางใจจากลูกค้า และการระดมทุน ฯลฯ”


อย่างไรก็ตามทางกูเกิลมุ่งมั่นสนับสนุนประเทศไทยให้เข้าถึงโอกาสจากการเติบโตทางดิจิทัลดังกล่าว รวมถึงการให้ความช่วยเหลือในธุรกิจทุกระดับให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงบริการใหม่ๆ เพื่อพัฒนาชีวิตของผู้บริโภค อาทิเช่น  Datally เครื่องมือควบคุมการใช้งานดาต้าแบบเรียลไทม์ และ Files Go บริการรับ-ส่งไฟล์ระหว่างอุปกรณ์แอนดรอยด์ ที่ได้เริ่มให้บริการในช่วงปลายปีที่ผ่านมา

ที่มาdailynews

ถ้าblockchainมันดีจริง แล้วสถานบันทางการเงินทั่วโลกยอมรับ ผมว่ารอดูสกุลเงินดิจิตอลของจริงกันดีกว่าครับ

สกุลเงินดิจิตอลข้างล่างนี้มันต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน 


USDCOIN
GBPCOIN
EURCOIN
JPYCOIN
HKDCOIN
MYRCOIN
SGDCOIN
BNDCOIN
PHPCOIN
IDRCOIN
INRCOIN
CHFCOIN
AUDCOIN
NZDCOIN
CADCOIN
SEKCOIN
DKKCOIN
NOKCOIN
CNYCOIN
MXNCOIN
ZARCOIN
KRWCOIN
TWDCOIN
KWDCOIN
SARCOIN
AEDCOIN
MMKCOIN
BDTCOIN
CZKCOIN
KHRCOIN
KESCOIN
LAKCOIN
RUBCOIN
VNDCOIN
EGPCOIN
PLNCOIN
LKRCOIN
IQDCOIN
BHDCOIN
OMRCOIN
JODCOIN
QARCOIN
MVRCOIN
NPRCOIN
PGKCOIN
ILSCOIN
HUFCOIN
PKRCOIN
THBCOIN

SEOเงิบตรงไหน สมัครใหม่ตั้งกระทู้ใหม่มาป่วน ไร้สาระ 

•เมื่อคนซื้อสินทรัพย์เพราะเชื่อว่าราคาจะขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่คำนึงว่าราคาที่ซื้อขายอยู่นั้นได้เกินมูลค่าที่แท้จริงไปมาก ยิ่งราคาสินทรัพย์สูงขึ้นไปเท่าไร ก็ไม่ต่างจาก 'ฟองสบู่' ที่ถูกอัดลมเข้าไปไม่หยุดยั้ง
•ฟองสบู่ครั้งแรกที่โลกจารึกไว้ คือเหตุการณ์ Tulipomania เมื่อราว 400 ปีก่อน แต่มนุษย์ก็ไม่เคยได้บทเรียน และเกิดฟองสบู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะเป็นการปั่นราคาหุ้นบริษัท South Sea ฟองสบู่ดอตคอมรับคริสต์ศตวรรษที่ 21 รวมถึงฟองสบู่ราคาบ้านในสหรัฐอเมริกาหรือที่เราอาจคุ้นหูว่าวิกฤตซับไพรม์
•ราคาบิตคอยน์ที่พุ่งขึ้นสูง ค่อนข้างเข้าเค้ากับวงจรฟองสบู่ และกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่หวังเข้าซื้อบิตคอยน์เพื่อกอบโกยกำไร โดยไม่คำนึงถึงมูลค่าที่แท้จริงของบิตคอยน์ เป็นภาวะตาม ‘ทฤษฎีคนที่โง่กว่า (Greater Fool Theory)’ โดยนักเก็งกำไรหวังว่า จะมีคน (ที่ช้าและโง่กว่า) มาซื้อสินทรัพย์ไปในราคาที่สูงกว่า


ภาพ Flora’s mallewagen (1640) โดย Hendrik Gerritsz Pot ถ่ายทอดเหตุการณ์ Tulipomania แสดงกลุ่มคนผู้ร่ำรวยที่นั่งรถนำหน้าพร้อมกับเทพีแห่งดอกทิวลิป ในขณะที่มวลชนข้างหลังวิ่งตามอย่างสิ้นหวัง (ภาพจาก commons.wikimedia.org)

แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะทำให้หลายคนหมดเนื้อหมดตัว แต่มนุษย์ก็ยังไม่เรียนรู้จากบทเรียน (ราคาแพง) และยังติดกับดักสร้างฟองสบู่จาก ‘ความบ้าคลั่งของมวลชน’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่ข่าวลวงปั่นราคาหุ้นบริษัท South Sea ในอังกฤษเมื่อปี 1720 ฟองสบู่ตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่น เมื่อราวปี 1986-1991 และฟองสบู่ดอตคอมรับคริสต์ศตวรรษที่ 21 แต่ที่ลืมไม่ได้ คือฟองสบู่ราคาบ้านในสหรัฐอเมริกา ที่เราคุ้นหูว่าวิกฤตซับไพรม์ หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์

หลังจากวิกฤตครั้งแล้วครั้งเล่า การศึกษาการเกิดวิกฤตจึงได้รับความสนใจมากขึ้นหลังจากที่ถูกมองข้ามมานานแสนนาน โดยนักเศรษฐศาสตร์ผู้วางรากฐานในประเด็นดังกล่าวคือ ไฮแมน มินสกี (Hyman Minsky) ที่ศึกษาความไม่มั่นคงทางการเงิน (Financial Instability) และพยายามอธิบายการเกิดขึ้นของฟองสบู่ในระบบเศรษฐกิจ โดยแบ่งออกเป็น 5 ขั้นคือ

1. เปลี่ยนผ่าน (displacement) ซึ่งเกิดจากนวัตกรรมหรือแนวโน้มอะไรบางอย่างที่ส่งผลให้ความคิดของนักลงทุนเปลี่ยนแปลงไป เช่น ความนิยมทิวลิปอย่างท่วมท้น หรือความเชื่อว่าบริษัทเทคโนโลยีคืออนาคตของระบบเศรษฐกิจ เป็นยูนิคอร์นที่นักลงทุนเฝ้าฝันหา (แม้ว่า ณ ขณะนั้นจะขาดทุนย่อยยับอยู่ก็ตาม)

2. พุ่งทะยาน (boom) ราคาสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นช้าๆ หลังจากที่การมองโลกของนักลงทุนเริ่มเข้าซื้อ สื่อมวลชนจะเริ่มให้ความสนใจกับเทรนด์ที่เกิดขึ้น ดึงให้สาธารณชนเข้ามาศึกษาและคล้อยตามการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ยิ่งคนหมู่มากเชื่อในสินทรัพย์มากเท่าไร ราคาก็จะยิ่งพุ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น เพราะหลายคนกลัวที่จะพลาดขบวนรถ อดเก็งกำไรกลายเป็นเศรษฐี ซึ่งโอกาสแบบนี้อาจมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต

3. เพ้อคลั่ง (Euphoria) เมื่อกระแสจุดติด ราคาสินทรัพย์ก็พุ่งสูงขึ้นติดลมบน ถึงระดับที่สูงจนน่าใจหาย เช่น ราคาอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นก่อนฟองสบู่จะแตก ขายอยู่ที่ตารางฟุตละ 140,000 ดอลลาร์สหรัฐ ที่หากคูณกับอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบันก็ร่วมๆ ห้าล้านบาท หรือเหล่าหุ้นอินเทอร์เน็ตที่ซื้อขายกันราคาสูงลิบลิ่ว แม้ว่าบริษัทจะไม่เคยมีกำไร จังหวะนี้ยังเป็นช่วงที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญออกมา ‘ฉาบความเชื่อ’ ว่า นี่แหละคือราคาบนความเป็นจริงใหม่ ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นอยู่ในระดับเพ้อคลั่ง



4. ฟันกำไร (Profit Taking) หลังจากราคาพุ่งสูง เหล่าผู้ที่ยังครองสติได้ก็ฉวยจังหวะฟันกำไร แต่ความยากอยู่ที่การยับยั้งชั่งใจไม่ให้โลภมาก เพราะหากกะจังหวะผิดนิดเดียว ฟองสบู่ก็จะเข้าสู่ขั้นที่ 5 แต่หากเลือกจังหวะให้ดีก็มีโอกาสกลายเป็นมหาเศรษฐีได้แบบไม่รู้ตัว

5. ฉิบหาย (Panic) ตรงนี้คงไม่ต้องเล่าอะไรมาก เพราะหลังจากฟองสบู่แตก หากใครยังถือครองสินทรัพย์ไว้ก็เป็นอันหมดตัว เพราะหลังจากราคาเริ่มกระตุกลงจนคนเริ่มเทขาย สินทรัพย์ก็เริ่มกลายเป็นหมาหัวเน่าเพราะมีแต่คนอยากขายแต่ไม่มีใครอยากซื้อ เมื่อสินทรัพย์ขาดสภาพคล่อง ก็ยิ่งกดดันให้คนที่อยากขายแข่งกันลดราคา สุดท้ายก็ไม่ต่างจากครกไหลลงภูเขา ที่คงต้องใช้เวลานานกว่าจะมีโอกาสไต่ขึ้นไปเป็นฟองสบู่ครั้งใหม่

ภาวะฟองสบู่ถูกเรียกขำๆ ว่าเป็นปรากฏการณ์ตาม ‘ทฤษฎีคนที่โง่กว่า (Greater Fool Theory)’ โดยเราจะเข้าซื้อสินทรัพย์เพื่อเก็งกำไร และคาดหวังว่าจะมีคนที่โง่กว่าเรามาซื้อสินทรัพย์ไปในราคาที่สูงกว่า แต่เมื่อวันหนึ่งราคาสินทรัพย์นั้นตกฮวบและเราขายให้ใครไม่ได้ รู้ตัวอีกที เราก็กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่โง่ที่สุดในตลาดเสียแล้ว บางคนก็แซวว่าพวกคนที่ไม่ยอมซื้อสินทรัพย์ช่วงราคาขึ้นน่ะนะ โง่ยิ่งกว่าคนที่เชื่อว่ามีคนที่โง่กว่าซะอีก เพราะเห็นโอกาสทำกำไรแต่ไม่ยอมใช้ให้เป็นประโยชน์

ย้อนกลับมาสู่ปัจจุบัน กับคำถามง่ายๆ ว่าสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์กำลังจะกลายเป็นฟองสบู่หรือเปล่า ?

สกุลเงินดิจิตอลมันโหดกว่าหุ้นปั่นนะพี่
ราคา1-2ปีก่อนหน้านี้ราคาเท่าไรกันเล่า สูงสุดคืนสู่สามัญ
ช่วงที่ราคาขึ้นวันละ10%-20%ทำเป็นดีใจได้กำไร ตั้งกระทู้ใหม่เยอะมาก ทั้งสายขุด ทั้งสายเทรด
ตอนนี้ราคาลงวันละ10-20%เศร้าไหมล่ะ กระทู้หายไปหมดล่ะ

https://www.thnic.co.th/doc/SLD5_Donation-Method-THA.pdf

ค่าจด10,000บาท
ค่าธรรมเนียมรายปี100,000บาท

12.00น. = 10,241$
08.00น. = 8,980$
        =-1,261$
ขณะที่ฝั่งเอเชียกำลังนอนหลับฝันดี แปดชั่วโมง ฝั่งยุโรปเทขายสกุลเงินดิจิตอลกันอย่างหนัก แปดชั่วโมง

บิทคอยก็แค่หุ้นปั่น ขาขึ้นได้กำไรมาอวดให้เม่าเข้าร่วมวง  ขาลงขาดทุนลุกออกช้าจ่ายรอบวง

โพสเมื่อ 09:44:09 แต่ราคาต่ำสุดคือช่วงหลังจากเวลา 10.00