อยู่เพื่ออยู่ครับ ก็คิดว่าชีวิตเป็นเพียงเรื่องสมมุติ สิ้นสุดสมมุติด้วยการตาย ไม่มีใครหนีจากความตายได้นั่นคือไม่มีใครหนีความจริงได้
ในเมื่อชีวิตคือสมมุติ แต่จิตล่องลอยไร้ชีวิตคือโลกจริง ฉะนั้นทุกคนจึงพ้นความสมมุติด้วยการตายทั้งหมด แล้วเมื่อพ้นโลกสมมุติ
แล้วถ้าเราไปเกิดใหม่ชาติหน้า เท่ากับเราจากสมมุติเก่าในชาติปัจจุบันด้วยความตาย ไปสู่สมมุติใหม่ในชาติหน้า ถ้าเราไม่เวียน
ว่ายตายเกิดอีกแล้ว คือจบลงที่ชาติปัจจุบันตายแล้วไม่เกิดใหม่อีก พ้นไปจากสังสารวัฏจึงพ้นจากสมมุติทั้งปวงไปสู่ความจริง
ฉะนั้นเราจะเอาอะไรกันมากมายกับโลกสมมุติ ยังไงจบลงแค่ตายอยู่แล้ว แต่โลกแห่งความเป็นจริง แม้ข้ามภพชาติก็ยังตาม
หลอกหลอนเรา จากอดีตชาตินานมาแล้วจนถึงชาติปัจจุบัน ถ้าเราเข้าถึงเมื่อไหร่ยอมรับมันเราก็หลุด ทั้ง ๆ ที่บาปกรรมนั้นไม่ได้
ทำในชาติปัจจุบัน แสดงว่าอะไรที่เป็นความจริงแม้แต่เราจะเวียนว่ายตายเกิดแล้วกี่ชาติก็พ้นไปจากความจริงไม่ได้
เช่นโลกสมมุติ เราไปฆ่าคนตาย 1 คน ศาลฎีกาตัดสินประหารชีวิตเราแล้ว แต่ถ้าเราตายก่อนที่จะถูกประหาร กฎหมาย
ก็ทำอะไรเราไม่ได้ ลงโทษก็ไม่ได้ ถือว่าสิ้นสุดสภาพแห่งคดี แต่โลกแห่งความเป็นจริง กรรมที่เราไปฆ่าคนนั้นยังติดตามเราไป
ถึงชาติหน้าแล้วทุกชาติตลอดกาลจนกว่าเราจะสำนึกแล้วยอมรับมัน
โลกสมมุติเริ่มต้นด้วยการเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต สิ้นสุดสมมุติด้วยการตายในชาตินั้น ส่วนโลกจริงเวียนว่ายตายเกิดไม่มีผลให้ยุติจากผลนั้นได้
นี่คือความต่างระหว่างโลกจริงกับโลกสมมุติที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่ผมเคยอธิบาย
ในเมื่อชีวิตคือสมมุติ แต่จิตล่องลอยไร้ชีวิตคือโลกจริง ฉะนั้นทุกคนจึงพ้นความสมมุติด้วยการตายทั้งหมด แล้วเมื่อพ้นโลกสมมุติ
แล้วถ้าเราไปเกิดใหม่ชาติหน้า เท่ากับเราจากสมมุติเก่าในชาติปัจจุบันด้วยความตาย ไปสู่สมมุติใหม่ในชาติหน้า ถ้าเราไม่เวียน
ว่ายตายเกิดอีกแล้ว คือจบลงที่ชาติปัจจุบันตายแล้วไม่เกิดใหม่อีก พ้นไปจากสังสารวัฏจึงพ้นจากสมมุติทั้งปวงไปสู่ความจริง
ฉะนั้นเราจะเอาอะไรกันมากมายกับโลกสมมุติ ยังไงจบลงแค่ตายอยู่แล้ว แต่โลกแห่งความเป็นจริง แม้ข้ามภพชาติก็ยังตาม
หลอกหลอนเรา จากอดีตชาตินานมาแล้วจนถึงชาติปัจจุบัน ถ้าเราเข้าถึงเมื่อไหร่ยอมรับมันเราก็หลุด ทั้ง ๆ ที่บาปกรรมนั้นไม่ได้
ทำในชาติปัจจุบัน แสดงว่าอะไรที่เป็นความจริงแม้แต่เราจะเวียนว่ายตายเกิดแล้วกี่ชาติก็พ้นไปจากความจริงไม่ได้
เช่นโลกสมมุติ เราไปฆ่าคนตาย 1 คน ศาลฎีกาตัดสินประหารชีวิตเราแล้ว แต่ถ้าเราตายก่อนที่จะถูกประหาร กฎหมาย
ก็ทำอะไรเราไม่ได้ ลงโทษก็ไม่ได้ ถือว่าสิ้นสุดสภาพแห่งคดี แต่โลกแห่งความเป็นจริง กรรมที่เราไปฆ่าคนนั้นยังติดตามเราไป
ถึงชาติหน้าแล้วทุกชาติตลอดกาลจนกว่าเราจะสำนึกแล้วยอมรับมัน
โลกสมมุติเริ่มต้นด้วยการเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต สิ้นสุดสมมุติด้วยการตายในชาตินั้น ส่วนโลกจริงเวียนว่ายตายเกิดไม่มีผลให้ยุติจากผลนั้นได้
นี่คือความต่างระหว่างโลกจริงกับโลกสมมุติที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่ผมเคยอธิบาย
มีเรื่องตื่นเต้นๆเล่าให้ฟังไหมครับท่าน ผมชอบอ่าน
ไม่มีล่ะครับ เสี่ยงมีมาม่าสุกรสับ ช่วงนี้ไม่หิวไม่ค่อยอยากกินเท่าไหร่