ไม่ได้เข้ามาที่บอร์ดนานมากๆ
เข้ามาอีกทีหาทางไปไม่ถูกเลยฮะ
.
.
พอดีมีคนถามเกี่ยวกับเรื่องภาษีในอีเบย์มาครับ เลยลองเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้อ่านดูครับ
ถ้ามีข้อสงสัยก็สอบถามได้ครับ จะคอยเข้ามาดูเรื่อยๆฮะ
.
.
อ่านบทความเต็มๆได้ที่นี่ครับ
http://tax.bugnoms.com/tax/ebayer-should-pay-tax/ หากมีปัญหาเกี่ยวกับภาษีปรึกษาที่ Facebook Page ได้นะครับ
http://www.facebook.com/TaxBugnoms .
.
คำถาม : เรื่องการเสียภาษี สำหรับรายได้บนธุรกิจออนไลน์ ( อาทิเช่น ค้าขายบนเวบไซด์อีเบย์ ) สำหรับบุคคลธรรมดานั้นมีหลักเกณฑ์อย่างไรบ้างครับและหากมิได้ทำการเสียภาษี ทางหน่วยงานผู้จัดภาษีจะทราบได้อย่างไรครับ
.
.
คำตอบ : เพื่อให้เข้าใจง่าย ผมจะแยกพิจารณาเป็นข้อๆตามนี้ครับ
1. รายได้จากการขายสินค้าในอีเบย์นั้น ถือเป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือที่เราเรียกว่า “เงินได้พึงประเมิน” หรือไม่?คำว่า “เงินได้พึงประเมิน” หมายถึงเงินได้ของบุคคลใดๆ หรือหน่วยภาษีใดข้างต้นที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม ของปีใดๆ หรือเงินได้ ที่เกิดขึ้นในปีภาษี ได้แก่
1. เงิน
2. ทรัพย์สินซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน ที่ได้รับจริง
ที่ได้รับจริง
3. ประโยชน์ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน (เกณฑ์เงินสด)
4. เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้
5. เครดิตภาษีตามที่กฎหมายกำหนด
ดังนั้นการขายสินค้าในอีเบย์นั้น ย่อมถือเป็น “เงินได้พึงประเมิน” แน่นอนครับ โดยในกรณีนี้ ผมตีความว่าเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8 ซึ่งได้แก่ เงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง การขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในประเภทที่ 1 ถึงประเภทที่ 7
เพราะการขายของในอีเบย์นั้น ก็คือ เงินได้จากการธุรกิจการพาณิชย์ นั่นเอง !!
(เปรียบเสมือนธุรกิจร้านซื้อมาขายไป แต่การขายในอีเบย์นั้น ก็เหมือนการซื้อสินค้า และส่งขายไปยังต่างประเทศ)
2. รายได้จากอีเบย์ มาจากแหล่งใดบ้าง?โดยแหล่งที่มาของเงินได้ จะแบ่งเป็นเงินได้จากแหล่งในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งเงินได้จากแหล่งต่างๆ นี้จะต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่นั้นจะต้องพิจารณาตามลำดับดังนี้
1. เงินได้เกิดจากแหล่งในประเทศ หมายถึง เงินได้ที่เกิดขึ้น หรือเป็นผลสืบเนื่องจากมี
1.1 หน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย หรือ
1.2 กิจการที่ทำในประเทศไทย หรือ
1.3 กิจการของนายจ้างในประเทศไทย หรือ
1.4 ทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย (ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า ฯลฯ)
2. เงินได้เกิดจากแหล่งนอกประเทศไทย หมายถึง เงินได้ที่เกิดขึ้นหรือเป็นผลสืบเนื่องจากมี
2.1 หน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศ หรือ
2.2 กิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือ
2.3 ทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ
ซึ่งในกรณีการขายของในอีเบย์นั้น จากการตีความของผมนั้น จะถือเป็นแหล่งเงินได้ในประเทศครับ เนื่องจากเป็นกิจการที่ทำในประเทศ แม้ว่าลูกค้าต่างประเทศจะเป็นผู้ชำระเงินให้กับเราก็ตาม ซึ่งหากจะเปรียบเทียบกับเป็นประเภทธุรกิจแล้วก็คงเหมือนกับ “ธุรกิจส่งออก” สินค้าครับ
ดังนั้น รายได้จากการขายสินค้าในอีเบย์จะต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีทั้งจำนวน ซึ่งในส่วนนี้จะแตกต่างกับรายได้ทางอินเตอร์เน็ตในกรณีที่มีรายได้จากเวปไซด์ของเราที่ตั้งอยู่ใน Hosting ต่างประเทศ เพราะกรณีดังกล่าวจะถือว่าเป็นแหล่งเงินได้ที่เกิดจากนอกประเทศไทยครับ (ผมตีความในส่วนนี้เป็นกิจการที่ทำในต่างประเทศ/ทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ)
3. รายได้เท่าไรจึงจะต้องเสียภาษี และวิธีการคำนวณภาษีเงินได้นั้น จะทำอย่างไร?รายได้จากการขายสินค้าในอีเบย์ จะต้องยื่นแบบแสดงรายการก็ต่อเมื่อมีเงินได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าเมื่อคำนวณภาษีแล้วจะมีภาษีต้องชำระเพิ่มเติมหรือไม่ก็ตาม ดังนี้ครับ
ผู้มีเงินได้จากการทำธุรกิจการค้าทั่วไปที่มิใช่เกิดจากการจ้างแรงงานที่ได้รับในปีภาษีนั้น (ตั้งแต่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม)
- กรณีไม่มีคู่สมรสต้องมีเงินได้พึงประเมินเกิน 30,000 บาท
- กรณีมีคู่สมรสไม่ว่าฝ่ายเดียวหรือทั้งสองฝ่ายต้องมีเงินได้พึงประเมินรวมกัน เกิน 60,000 บาท
ส่วนการคำนวณภาษีเงินได้นั้น ผมขอแนะนำเฉพาะในส่วนของการหักค่าใช้จ่าย มีรายละเอียดดังนี้ครับ
เงินได้จากการขายสินค้าในอีเบย์ ถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8 ซึ่งกฎหมายยอมให้เลือกหัก ค่าใช้จ่ายวิธีใดวิธีหนึ่ง คือ
- หักตามความจำเป็นและสมควร หรือ
- หักเป็นการเหมาในอัตราร้อยละตามที่กฎหมายกำหนด
ซึ่งในส่วนนี้ผมคิดว่า ชาวอีเบย์ทั้งหลายควรจะเลือกหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา จะถือว่าสะดวกและรวดเร็วในการคำนวณครับ โดยสามารถหักได้ถึง ร้อยละ 80 เนื่องจากการขายสินค้าในอีเบย์นั้นจะถือว่าเป็นรายได้ตามข้อ (25) จากตารางการหักค่าใช้จ่าย คือ การขายของนอกจากที่ระบุไว้ในข้ออื่น ซึ่งผู้ขายมิได้เป็นผู้ผลิต ตัวอย่างเช่น รายได้ 1 ล้านบาท จะหักค่าลดหย่อนได้ถึง 0.8 ล้านบาท เรียกว่านำมาคำนวณภาษี (ก่อนหักลดหย่อนอื่นๆ) จำนวน 200,000 บาทเท่านั้นเองครับ
4. ข้อควรระวังผู้ที่มีรายได้จากการขายเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องระวังในส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มครับ เพราะถ้าหากมีรายได้ถึง 1.8 ล้านบาทเมื่อไรแล้วละก็ จะต้องมีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยครับ
5. การตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ในปัจจุบันเป็นอย่างไร?ในปัจจุบันนั้น ผมคิดว่า สรรพากรมีนโยบายที่จะกำกับดูแลและตรวจสอบธุรกิจ E-Commerce เพิ่มขึ้น และมีการสำรวจตรวจตราธุรกิจนอกระบบอย่างรัดกุมขึ้นนะครับ ถึงแม้ว่าหลายๆคนจะบอกว่า ยังไม่โดนตรวจสอบ หรือไม่จำเป็นต้องเสียภาษีเพราะไม่เคยเสียมานานแล้ว ซึ่งผมก็มักจะเตือนไปว่าอย่าชะล่าใจกันนะครับ เพราะถ้าหากถูกเจ้าหน้าที่ทําการตรวจสอบ นอกจากจะต้องชําระภาษีแล้ว อาจจะต้องชําระเบี้ยปรับเงินเพิ่มอีกด้วยครับ
.
.
อย่างไรก็ตามข้อมูลทั้งหมดนี้ ผมขอเน้นย้ำไว้อีกครั้งว่า เป็นการสรุปและตีความเองตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องและความเข้าใจของผม ซึ่งอาจจะมีข้อผิดพลาดได้นะครับ หากท่านใดทราบข้อมูลที่ถูกต้อง รบกวนแจ้งข้อมูลให้ผมเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงให้ถูกต้องต่อไปนะครับ
.
.
อ่านแล้วหวังว่าคงจะพอช่วยชาวไทยเสียวได้บ้างนะครับ
หรือว่าเราจะมาผิดที่แฮะ