เคยสังเกตไมครับว่า หลายต่อหลายครั้งที่เราพิมพ์ชื่อเว็บลงใน URL แล้ว กด Enter
มักจะปรากฏ URL ว่า https// ขึ้นมา อย่างเช่น
https://www.google.com 
'
แม้ว่าเราจะไม่ได้เป็นฝ่ายพิมพ์ก็ตามทีนะ
HTTPS หรือเจ้า Hypertext Transfer Protocol Secure ก็คือโปรโตคอลการเรียกใช้งานของเว็บไซต์ ที่ส่งผ่านไปตามแหล่งต่างๆ และถูกเข้ารหัส
เพื่อความปลอดภัย มีการตรวจสอบสิทธิ์ และข้อมูลมาแล้ว
ส่วน
SSL ก็คือ เทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการส่งข้อมูล
บนอินเทอร์เน็ต ทั้งในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นต่างๆ ที่จะทำให้เว็บไซต์ของเราถูกดัก
จับข้อมูลได้ลำบากขึ้น หรือมีชื่อว่า
Secure Socket Layer ครับ หรือถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ
ก็คือ
ใบรับรองดิจิทัล หรือบงบอกว่า เว็บนี้มีการเข้ารหัสข้อมูลไว้นั่นเอง รู้สึกปลอดภัยขึ้นไมครับ
ซึ่งสามารถแยกออกเป็น 3 รูปแบบ จากง่ายที่สุด ไปยากที่สุด ดังนี้
1.Domain Validation SSL Certificate (DV)รูปแบบนี้จะจดทะเบียนได้ง่าย และรวดเร็วที่สุด แค่ผู้ให้บริการ SSL ตรวจสอบว่า
เจ้าของโดเมน หรือชื่อเว็บ มีใครเป็นเจ้าของ (ไม่มีการตรวจสอบเชิงลึก) โดยใช้เวลา
ประมาณ 1-2 ชั่วโมง
2.Organization Validation SSL Certificate (OV)รูปแบบระดับองค์กร โดยจะมีการตรวจสอบเชิงลึกมากขึ้นจากรูปแบบที่หนึ่ง โดยตรวจ
สอบทั้งตัวเจ้าของโดเมน และฝั่งองค์กรว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ผ่านกรมพัฒนาธุรกิจ
การค้า และอาจต้องยื่นเอกสารบางประการที่ฝั่งผู้ให้บริการ SSL ขอเพื่อยืนยันตัวตน
หรือธุรกิจนั้นๆ และอีกทั้งต้องใช้เวลาตรวจสอบมากกว่า โดยใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน
3.Extended Validation SSL Certificate (EV)รูปแบบ Extended Validation เป็นการตรวจสอบที่เข้มงวดที่สุด
เพราะนอกจากจะตรวจในแบบแรก และแบบที่สอง มาแล้ว ยังมีการตรวจสอบข้อมูล
เกี่ยวกับ การจัดตั้งบริษัท องค์กร ระยะเวลา มีความน่าเชื่อถือมากขนาดไหน โดยใช้เวลา
ประมาณ 5-14 วัน ตัวอย่างอย่างเช่น ธนาคารต่างๆ ในประเทศไทย จะเป็นรูปแบบนี้ทั้งหมด
สรุปไว้ก่อน (เมียตามไปทานข้าว)
สรุปคือ
https เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีในเว็บไซต์ เพราะนอกจากการเข้ารหัสข้อมูลเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณ
แล้วยังช่วยให้ Google หรือ Search Engine อื่นๆ ตีค่าความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์เราสูงขึ้นด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณกำลังทำ SEO. จบบริบูรณ์ ครั้งหน้ามาเขียนต่อว่า SSL ดียังไง!