สมัยนี้ lifestyle ในการใช้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปอย่างมาก และคงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าในตอนนี้เราอยู่ในยุคที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในหลายๆ ด้าน การใช้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปอย่างมาก อย่างตอนนี้ยอดคนดูที่เข้าโรงหนังก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ ลองถามตัวเองว่าเดือนนึงเข้าโรงหนังกี่ครั้ง เผลอๆ บางคนปีนึงยังไม่เคยไปดูหนังที่โรงเลยด้วยซ้ำ

ตั้งแต่ผู้เขียนเกิดจนจำความได้ ไล่ไปตั้งแต่หนังกลางแปลง มาเป็นโรงหนังขนาดใหญ่จอเดียว “Stand alone” อย่างพระโขนงรามา สกาล่า ลิโด ฯลฯ จนมาถึงยุคโรงหนังในห้างสรรพสินค้าที่มีหลายโรงหลากหลายเรื่องให้เลือกชมทั้งในระบบดิจิตอล หรือระบบ 3D ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจใกล้ตายในไม่ช้า

เพราะเทรนด์ใหม่ที่จะเข้ามาแทนที่ตลาดอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอนาคตอันใกล้นี้ก็คงหนีไม่พ้น ภาพยนตร์ออนไลน์ สตรีมมิง ซึ่งตอนนี้ Warner Bros ได้มีการประกาศรูปแบบการจัดฉายภาพยนตร์แบบใหม่โดยภาพยนตร์ที่จะออกฉายในปี 2021 จะฉายผ่านทางสตรีมมิงของตัวเอง คือ HBO Max และจะฉายชนกันในวันเดียวกับวันที่หนังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์

ซึ่งถ้าเป็นการฉายแบบปกตินั้น ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ จะต้องถูกฉายก่อนในโรงภาพยนตร์ประมาณ 3 เดือน ถึงจะได้นำเอามาฉายบนวิดีโอสตรีมมิง หรือช่องทางอื่นได้ แต่เมื่อ Warner Bros ได้มีการเปลี่ยนรูปแบบการฉายใหม่ มันก็พร้อมเสิร์ฟผู้บริโภคถึงบ้านได้ในทันที จะได้ไม่ต้องไปถึงห้างสรรพสินค้าเพื่อดูหนัง


ไอเดียในการบริโภคหนังแบบนี้ต้องมีการเปลี่ยนแน่นอนในอีกหลายผู้ให้บริการ เพื่อสอดคล้องกับพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีเครือข่ายไฮสปีดให้มีประสิทธิภาพความคมชัดระดับ HD โดยที่ Internet ที่บ้านของใครหลายคนช่างเร็วเสียเหลือเกิน และแน่นอนกระแสวัฒนธรรมการเสพอุปกรณ์เทคโนโลยี จะมีส่วนช่วยผลักดันธุรกิจภาพยนตร์ออนไลน์ให้เข้าสู่ความนิยมอีกด้วย



ปล. โลกหมุนไปตลอด ธุรกิจก็ต้องมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ยุคโรงหนังในห้างก็ใช่ว่าจะอยู่ยงคงกระพัน ถ้าไม่แพ้พิษโรคดิจิตอลเสียก่อน


credit http://www.atimedesign.com/web.../warner-bros-disrupts-theater/

ในช่วงที่เกิดวิกฤต COVID-19 ระบาดอยู่ในตอนนี้ ทำให้หลาย ๆ บริษัทต้องออกมาตรการ Work from Home หรือทำงานจากที่บ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการพบเจอกัน ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส โดยหันไปติดต่อกันทางอื่นแทน

ซึ่งหนึ่งในช่องทางการสื่อสารฮอตฮิตที่สุดในช่วงนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้น Zoom บริการการประชุมทางไกลทางวิดีโอ โดย Zoom ที่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ตอนนี้หลายๆคนชอบที่จะใช้ประชุมงานออนไลน์ขณะต้องทำงานอยู่บ้านในช่วงสกัดกั้น COVID-19 จนตอนนี้ได้กลายเป็นแอพประชุมทางไกลที่เติบโตรวดเร็วที่สุด


แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ที่ COVID-19 เริ่มที่จะดีขึ้นเมื่อวัคซีนป้องกันนั้นใกล้ประสบผลสำเร็จ จากทั้งบริษัท Pfizer, BioNTech และ Moderna ได้รายงานผลการทดลองในตอนนี้ให้ได้เห็นว่าวัคซีนต้าน COVID-19 ได้ผลถึง 95% แล้ว และในปี 2564 นี้ ผู้คนจะเริ่มกลับเข้ามาทำงานได้ตามปกติเหมือนเดิม

ในปี 2564 ก็ต้องมาดูกันว่า Zoom จะยังคงรักษาตลาดให้เติบโตและยังคงดีอยู่เหมือนกับในปีนี้หรือไม่ เพราะก็ต้องไม่ลืมว่ายักษ์ใหญ่ อย่าง Microsoft ที่มี Microsoft Teams, Google ที่มี Google Meets และ Apple ที่มี FaceTime ก็พร้อมเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดนี้ออกไปจาก Zoom แน่นอน


ที่มา http://www.atimedesign.com/webdesign/zoom-2021/

Control Panel ของ Windows นั้นเกิดมาตั้งแต่ปี 1985 ที่มาพร้อมกับ Windows 1.0 เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่มีประโยชน์และโดดเด่นที่สุดใน Windows ซึ่งมีมาอย่างยาวนาน ที่ผู้ใช้มักเปิดเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ในระบบ Windows ไม่ว่าจะถอนการติดตั้งโปรแกรม เซตอัพหน้าจอ หรือติดตั้งไดรเวอร์บางอย่าง เป็นต้น

แต่ตอนนี้ Windows 10 กำลังจะยกเลิกการใช้งาน Control Panel ลง โดยล่าสุด Microsoft ก็บอกเองว่า Windows 10 อัปเดตถัดไปจะไม่มี Control Panel ให้ใช้อีกต่อไป ซึ่งถ้าหากผู้ใช้พยายามเปิด Control Panel มันก็จะวิ่งเข้าไปที่หน้า Settings ของ Windows หรือถ้าใครจะเข้าไปในส่วนของ Programs and Features ก็จะถูกพาไปที่หน้า Apps & features แทน





Microsoft กล่าวว่าในส่วนของแอปการตั้งค่าที่ทำให้ผู้ใช้ต่างถูกพาไปยังหน้า Apps & Features ในส่วนของ Settings แทนแม้จะพยายามเปิดหน้า Programs and Features เดิมนั้น มันจะสามารถทำให้ Windows 10 นั้นจัดการได้ง่ายยิ่งขึ้น และมีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอน สำหรับคนที่ไม่คุ้นก็อาจจะงงๆหน่อยนะจ๊ะ


ที่มา: http://www.atimedesign.com/webdesign/rip-control-panel/

ตอนนี้เพื่อนๆ เป็นกันบ้างหรือเปล่าครับที่ Google Search Console ไม่สามารถ Submit url ได้ ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่า Google มีการอัพเดทอะไรบ้างในช่วงที่ผ่านมา โดยมันจะฟ้องว่า “การดำเนินการของหน้าเว็บถูกปิดใช้ชั่วคราว”



ผู้เขียนก็เลยลองเข้าไปค้นดูจนเจอก็พบว่าหน้าตาของ Google Search Console มันเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจากสำนักข่าวต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับ SEO อย่าง searchengineland ก็ไม่ได้มีบทความอะไรที่รายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้

จนกระทั่งมาได้เจอทางเข้าใหม่สำหรับในการ Submit url (การ submit url ทำให้หน้าเว็บนั้นๆ index เร็วขึ้น) ก็เลยอยากจะแนะนำเพื่อนๆ ลองเข้าไปให้ใช้กัน เพราะก็ไม่รู้ว่าจะมีการอัพเดทอะไรต่อไปอีกในอนาคต

เข้าทางนี้



คลิ๊กที่ปุ่มนี้



คลิ๊กที่ลิ๊งค์นี้



ก็จะเจอช่องให้ Submit url



เป็นอันเสร็จจ้า



ที่มา http://www.atimedesign.com/webdesign/submit-url-google/

เดี๋ยวพรุ่งนี้มาอัพเดทข่าวให้นะครับ วันนี้ขอตัวไปก่อนเน่อ 

น่านไง เป็นกันหลายคนเลย

หลังจากที่มีการบล็อคเว็บไซต์ Pornhub ในไทยเมื่อวันที่ 2 พ.ย. ที่ผ่านมา ก็ได้สร้างกระแสความไม่พอใจกับผู้ชมชาวไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะสาวกคอหนังผู้ใหญ่ เพราะเนื่องจากทางการไทยได้บอกว่าเว็บไซต์ดังกล่าวนั้นมีเนื้อหาไม่เหมาะสม และมีความผิด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 โดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

แต่ก็มีหลายๆคน ก็พยายามที่จะหาช่องทางเพื่อเข้าไปดูให้ได้ไม่ว่าจะผ่านทาง VPN หรือการเปลี่ยน IP Address แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว Pornhub ทำให้ทุกคนสามารถเข้าไปดูเว็บไซต์ Pornhub ได้แล้ว เพียงแค่เปลี่ยนจาก .com เป็น .org เท่านั้น ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย แหม่..งอกใหม่ได้เร็วจริงๆเลยนะ ^^

ทั้งนี้จากสถิติเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ Pornhub เว็บไซต์สำหรับคอหนังผู้ใหญ่ชื่อดัง ได้เปิดเผยยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ประจำปีออกมาว่า กรุงเทพมหานคร ติดอยู่ในอันดับที่ 10 ในการจัดอันดับ 20 เมืองที่เข้าเว็บไซต์ Pornhub มากที่สุดในโลก โดยอันดับ 1-3 เป็นของนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ลอนดอน อังกฤษ และปารีส ฝรั่งเศส ตามลำดับ



ที่มา http://www.atimedesign.com/webdesign/pornhub-org/

เมื่อช่วงเที่ยงกว่าๆ ของวันนี้ 9 พ.ย. มีรายงานว่า ผู้ใช้ไลน์หลายรายต่างประสบปัญหาในการใช้งาน เนื่องจากไม่ไม่สามารถทำได้ทั้งการส่งข้อความ รูปภาพ และโทรออก

โดยในมือถือข้อความจะขึ้นข้อความเก่าค้างไว้ไม่มีการอัพเดท และบนเครื่องคอมพิวเตอร์จะแจ้งว่าระบบไม่เสถียรและค้าง ทำให้กระแสเทรนด์บนทวิตเตอร์ในไทย #ไลน์ล่ม ขึ้นอันดับ 1 ทันที และผู้ใช้พากันบ่นเรื่องการใช้งานไลน์ว่าไม่สามารถใช้งานได้



ซึ่งในทวิตเตอร์ได้มีรายงานว่า บริการไลน์ ไม่ใช่แค่ล่มในไทยแค่ที่เดียว แต่ยังล่มและใช้งานไม่ได้ในอีกหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา โดยเบื้องต้นยังไม่มีทราบถึงสาเหตุ แต่ขณะนี้ก็กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมเเล้วใน LINE ปกติ แต่สำหรับ LINE Official Account ยังคงใช้งานไม่ได้อยู่ในตอนนี้ และทำให้ธุรกิจหลายภาคส่วนไม่สามารถที่จะโต้ตอบกับลูกค้าได้ ดังภาพที่เห็น

LINE Official Account







ที่มา http://www.atimedesign.com/webdesign/line-down-thailand/

ก่อนหน้านี้รูปแบบใหม่ของ Facebook ยังได้ให้ผู้ใช้สามารถเลือกที่จะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้เหมือนเป็นการทดลอง แต่พอมาช่วงเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา Facebook รูปแบบเก่าก็ได้มีการปิดการใช้งานไปอย่างถาวร โดยไม่สามารถที่จะกลับไปใช้งานได้อีกต่อไป

ซึ่งหน้าตาใหม่ของ Facebook ในปี 2020 นี้ หลายๆคนก็อาจจะไม่ชอบ และต้องมาเริ่มทำความเข้าใจใหม่ เพราะมีการปรับเปลี่ยน UI (User Interface) หลายอย่างมาก ปรับเปลี่ยนทั้งหน้า Profile, Fanpage และ Group ซึ่งพวกเราก็คงต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับดีไซน์ใหม่กันหมดเลยทีเดียว


แต่ตอนนี้เรามีวิธีที่จะทำให้เพื่อนๆ สามารถกลับไปใช้ Facebook ในรูปแบบเก่าได้อีกครั้ง (Classic design) แค่เพียงติดตั้งส่วนขยายของ Google Chrome ที่มีชื่อว่า Switch to Classic design on Facebook https://chrome.google.com/webs...cckmjgaoejmbedngcoiakblhacbog/ ลงไป ก็จะทำให้ Facebook ของเรากลับมาเป็นเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ได้แล้ว

โดยหลังจากที่ติดตั้งส่วนขยายเสร็จแล้วให้เราคลิ๊กที่ไอคอนส่วนขยายแล้วกดเลือกเป็น Classic Facebook design แล้วก็กดปุ่ม Reload all Facebook tabs เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ ส่วนถ้าใครจะกลับมาใช้เวอร์ชั่นใหม่ก็สามารถเปลี่ยนกลับไปได้เช่นกัน


เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ตอนนี้พวกเราก็ได้กลับมาใช้ Facebook ในเวอร์ชั่นที่คุ้นเคยแล้ว



ที่มา http://www.atimedesign.com/webdesign/facebook-classic-again/

ยินดีครับ

ตอนนี้ Google ได้ทำการอัพเดทระบบการค้นหาเพิ่มขึ้นหลายอย่างเพื่อใช้ในการค้นหาข้อมูลแบบอัตโนมัติ ในการตรวจสอบข้อเท็จจริงสำหรับข่าวสาร และอื่นๆ โดยการอัพเดทครั้งนี้จะครอบคลุมถึงระบบของ Google Search และ Google News ผ่านอัลกอริทึม “BERT” นำมาประมวลผลในทุกภาษาเพื่อให้มีความน่าเชื่อถือ และรวดเร็วมากที่สุด

ซึ่งสิ่งที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในการที่ใช้อัลกอริทึม BERT เข้ามาช่วยนั้นก็คือ มันจะถูกนำมาใช้ในเรื่องของข่าว และจับคู่เพื่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่จะมีการการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังใกล้เข้ามาถึงนี้ รวมไปถึง Google จะทำงานร่วมกับ Wikipedia มากขึ้น ตรวจจับข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องมากที่สุด



อันที่จริงแล้วอัลกอริทึม BERT ของ Google นั้นก็คือ AI อย่างนึงที่สร้างขึ้นมาเพื่อที่จะทำความเข้าใจในการอัพเดทข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของการค้นหาใน Google เพื่อให้มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะมีการเชื่อมโยงระหว่างข่าว และบทความต่างๆ อีกทั้งยังสามารถทำความเข้าใจและแยกแยะข้อมูลได้ดีมากกว่าแต่ก่อน

โดยทาง Google ก็ได้กล่าวว่าขณะนี้สามารถตรวจจับข้อความของข่าวได้ภายในไม่กี่นาทีหลังจากที่มีการอัพเดทข่าวจากหลายสำนัก หรือบทความที่มีการเขียนอัพเดทขึ้นทุกวัน ที่ในอดีตอาจใช้เวลาประมาณ 40 นาที (อดีตก็ยังไว) และบางครั้งอาจพบข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง แต่ตอนนี้ Google สามารถตรวจจับข้อความค้นหาข่าวแบบเร่งด่วนได้เร็วมากขึ้น

ซึ่งสำหรับพวกเรา Google Search ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากในการทำ SEO แต่อยากให้คิดถึงในเรื่องของคอนเทนต์และพยายามปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดีมีคุณภาพและน่าเชื่อถือต่อไป เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับผู้ใช้ให้มากที่สุด

BERT อัลกอริทึมคืออะไร
มันก็คือเทคโนโลยี่ในการสร้างเครือข่ายสำหรับการประมวลผลภาษาแบบธรรมชาติ (NLP) ซึ่ง BERT นั้นย่อมาจาก (Bidirectional Encoder Representations from Transformers) การเข้ารหัสแบบสองทิศทาง และมันสามารถเข้าใจภาษาได้มากกว่าคนทั่วไป โดย Google ได้กล่าวว่า BERT นั้นจะช่วยให้เข้าใจความแตกต่างในคำที่เราใช้ค้นหาได้ดียิ่งขึ้นและมีการจับคู่คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกันมากขึ้นนั่นเอง


ที่มา http://www.atimedesign.com/web...sign/google-bert-match-stories

รู้ได้ไงอะ

คุณเบน ฟรีคิก หรือที่เหล่าแฟนบอลรู้จักกันดีในนาม นายกเบน เจ้าของเว็บไซต์ Soccersuck.com ได้ประกาศขายเว็บไซต์ดังกล่าว พร้อมทั้งระบบ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ได้แก่เว็บ Soccersuck, เซิร์ฟเวอร์ 3-4 ตัว, Facebook Page, Twitter Soccersuck, ระบบบอร์ดที่ลงทุนไปเป็นล้าน, จำนวนสมาชิกภายในเว็บ, ระบบหลังบ้านที่วางเอาไว้, แบรนด์เว็บ, พนักงาน และนักข่าวทั้งหมด ผ่านทาง Facebook ส่วนตัว เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา



ซึ่งล่าสุด Soccersuck ก็ได้ประกาศว่าได้ทำการขายเว็บให้บริษัท บอลไทย 2020 จำกัด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ballthai.com) โดยไม่เปิดเผยจำนวนเงินในการซื้อขายแต่มีเอกสารสัญญาและยื่นเสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฏหมาย

ทั้งนี้คุณเบนได้บอกในประกาศว่า จากการที่เขาได้นั่งคุยกับบริษัท บอลไทย 2020 เขามองเห็นภาพตัวเองสมัยเริ่มทำเว็บใหม่ๆ และมีไอเดียหลายอย่างที่เห็นตรงกันว่าตอนนี้ Soccersuck ขาดอะไรบ้างและต้องเสริมจุดไหนบ้าง ซึ่งเจ้าของใหม่ยืนยันว่าจะรักษาจุดแข็งเดิมเอาไว้ทุกอย่างโดยจะไม่เปลี่ยนความเป็น Soccersuck และจะดำรงไว้ซึ่งสโลแกน “เว็บโป๊ที่มีข่าวบอลบังหน้า” เอาไว้จนกว่าชีวิตจะหาไม่.. โดยคุณเบนจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา และทำหน้าที่ดูแลเว็บบอร์ดเหมือนเดิม แต่จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับรายรับและรายจ่ายภายในเว็บอีกแล้ว



เว็บไซต์ Soccersuck.com นั้น เป็นเว็บไซต์ที่อัพเดตข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอลทั่วโลก มีระบบบอร์ดที่รวมเอาเหล่าคนที่ชื่นชอบฟุตบอลจากหลากหลายทีมมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ส่วนสาเหตุที่ได้ตัดสินขายเว็บไซต์นั้น นายกเบนได้เปิดเผยว่า ตนอยากจะพักผ่อน และอยากจะไปหาอะไรอย่างอื่นทำ ซึ่งถึงตอนนี้แล้วก็คงต้องทำเหมือนเดิมนะจ๊ะท่านนายกเบน ^^


credit http://www.atimedesign.com/webdesign/soccersuck-sold-out/

ส่วนใหญ่พวกนี้เขาทำเว็บเสร็จก็แทบไม่เข้ามาดูเลยครับ ถ้าไม่มีพนักงานประจำมานั่งดูแลจริงๆ

ใช่ครับเพราะส่วนใหญ่ที่เสี่ยงคือให้อัพเดท plugin หรือไม่ก็ให้อัพเดทเวอร์ชั่น wp
อย่าง plugin ฟรีถ้าไม่อัพเดทบ่อยๆ จะมีช่องโหว่ อ้ออีกอันนึง theme ถ้าไปเอาของฟรีมานี่ระวังกันให้ดีเลยครับ

จากประสบการณ์ผมนะ ถ้าไม่เข้าเดือนนึงนี่ก็เสี่ยงแล้ว บางคนเข้าทุกสัปดาห์ แต่ผมเข้าทุกวัน

ขอบคุณมากครับ แก้ไขเรียบร้อยแล้วครับผม

content ยังไงก็ king ครับ

ได้มีข่าวรายงานมาว่า Apple อาจกำลังซุ่มทำ Search Engine เป็นของตัวเองบนหน้าเว็บไซต์ เนื่องจาก Apple มีเครื่องมือค้นหาที่สนับสนุนการค้นหาบน Siri กับ Spotlight อยู่แล้ว และคาดว่ากำลังจะพัฒนาระบบผลการค้นหาบน Siri และ Spotlight ให้ฉลาดยิ่งขึ้น

เพราะทุกวันนี้ Apple เองก็มี Google ในการที่ต้องใช้เป็นเครื่องมือค้นหาหลักบน iPhone เพื่อค้นหาข้อมูล แต่ล่าสุดได้มีการพบว่ามีการอัปเดตในหน้าเว็บ “Applebot” เว็บสำหรับรวบรวมข้อมูลเพื่อนักพัฒนาเว็บไซต์ ที่ถูกพบโดยนาย Henshaw ซึ่งเขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในการรวบรวมข้อมูลบนเว็บ Applebot นั้นมีความผิดปกติในการค้นหาระหว่างข้อมูลบนมือถือกับเดสก์ท็อป


อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรที่สามารถยืนยันได้ในตอนนี้เนื่องจากยังไม่มีประกาศที่เป็นทางการจาก Apple ออกมา มันเป็นเพียงแค่การสังเกตการณ์เท่านั้น ซึ่งถ้าหาก Apple คิดที่จะสร้าง Search Engine เพื่อเอามาใช้เองจริงๆ ก็จะเสียเงินหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปีที่ Google ต้องจ่ายให้เพื่อเป็นเครื่องมือค้นหาเริ่มต้นหลักในผลิตภัณฑ์ของตัวเอง

แม้ Google นั้นจะเป็นเบอร์หนึ่งของ Search Engine ของโลก อยู่เหนือ Bing, Yahoo, DuckDuckGo และ Baidu มาอย่างยาวนาน เพราะด้วยความฉลาดของระบบการค้นหาของ Google จึงทำให้คนทั้งโลกที่ต้องการค้นหาข้อมูลต่างๆ พากันมาใช้ Google กันหมด ซึ่งถึงแม้ว่า Apple ยังไม่ได้เปิดเผยว่าจะสร้างระบบนี้ขึ้นมาเพื่อแข่งขันกับ Google โดยตรง แต่ก็ไว้วางใจไม่ได้เด็ดขาดเพราะ Apple นั้นก็มีอิทธิพลต่อผู้ใช้งานอย่างมากมายในปัจจุบัน

ถ้ามันเป็นจริง อีกหน่อยเราอาจจะต้องทำ SEO บน Apple Search กันแล้วก็ได้นะครับเพื่อนๆ ไว้คอยติดตามดูกันต่อไปนะครับ


ที่มา http://www.atimedesign.com/webdesign/apple-search-engine/