ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

  แสดงกระทู้
หน้า: [1] 2 3 ... 21
1  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / Re: โดน Hack Paypal โดนหักบัญชีไปพันกว่าบาท เมื่อ: 16 สิงหาคม 2013, 13:46:11
วันที่ 15 /08/56 ทางpaypal ได้ตัดสิน และคืนเงินกลับมาให้แล้ว พันกว่าบาท ครับ







2  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / โดน Hack Paypal โดนหักบัญชีไปพันกว่าบาท เมื่อ: 14 สิงหาคม 2013, 14:13:00
วันนี้ (14 สค.56 ) ไปกด ATM กสิกรไทย ดูปรากฎว่า เงินหายไปจากบัญชี พันกว่าบาท วันที่ 11 ส.ค. 56  ก็แปลกใจว่าหายไปได้ยังไง

เลยไป check ที่ K-cyber Banking ดู ปรากฎว่า โดนหักจาก Paypal เข้าบัญชี ของ นาย JonathanLeger จึงไปเคลมที่ Paypal ว่าสินค้าตัวนี้ เราไม่ได้สั่งซื้อเลย ไม่รู้จะได้เงินคืนหรือเปล่า

จัดการเปลี่ยน Password ของ Paypal ทันที และถอนเงินออกจากบัญชีกสิกรไทย หมดเลย

ยังไงเพื่อนๆ คนที่ใช้paypal อยู่ตรวจสอบเงินบัญชีเสมอ นะครับ

3  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / Re: ตอนนี้มีปัญหา SMSขยะส่งมาแล้วหักเงิน จะแก้ไขยังไงดีครับ เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2013, 10:22:22
โทรไปที่ call center แล้วยกเลิกแล้วครับ

ของผมใช้บริการของ DTAC ครับ
4  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / ตอนนี้มีปัญหา SMSขยะส่งมาแล้วหักเงิน จะแก้ไขยังไงดีครับ เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2013, 10:07:44
ตอนนี้มีปัญหากับ SMSขยะที่ส่งมาแล้วหักตังค์มือถือ ครั้งละประมาณ 21 บาท เพื่อนท่านใดมีประสบการณ์ กรุณาช่วยบอกวิธีแก้ไข

อยากยกเลิก SMS ขยะเหล่านี้มากเลยครับ ส่งมาบ่อย และเงินก็โดนหักไปเรื่อยๆ ครับ

5  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / กฟน.ประกาศงดจ่ายไฟบางพื้นที่ กทม.-นนทบุรีวันนี้ ( 27 เมษายน 2556) เมื่อ: 27 เมษายน 2013, 10:57:23
 การไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน. ประกาศงดจ่ายกระแสไฟฟ้าชั่วคราวบางพื้นที่วันนี้ (27 เม.ย.) เนื่องจากมีความจำเป็นต้องทำงานเกี่ยวกับสายป้อนไฟฟ้าแรงสูง เพื่อพัฒนาและบำรุงรักษาระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน โดย กฟน.จำเป็นต้องงดจ่ายกระแสไฟฟ้าชั่วคราวบางพื้นที่ดังกล่าวต่อไปนี้ พื้นที่ในกรุงเทพมหานครตั้งแต่ซอยเจริญกรุง 107 แยก 33 ถึงซอยเจริญกรุง 107 แยก 42 ถนนเจริญกรุง , ซอยประเสริฐมนูกิจ 29 (ซอยมัยลาภ) ตั้งแต่ปากทางเข้าหมู่บ้านอารียา ถึงซอยประเสริฐมนูกิจ 2 (หมู่บ้านเฟรนชิฟ) ถนนประเสริฐมนูกิจ, ซอยศรีอยุธยา 2 และซอยศรีอยุธยา 4 (ดับตลอดซอย) ถนนเจริญกรุงไฟฟ้าดับระหว่างเวลา 08.30 - 15.30 น. และในซอยพัฒนาการ 30 ตั้งแต่สะพานข้ามคลองบ้านม้า ถึงคอนโดรอยัลคาสเทิล ถนนพัฒนาการ ตั้งแต่เวลา 08.30 - 16.30 น.พื้นที่นนทบุรี บริเวณตั้งแต่หมู่บ้านนครทองปาร์ควิวล์ 1, หมู่บ้านเดอะเกรซ ถึงหมู่บ้านปิยะวรารมย์ ถนนบางกรวย-ไทรน้อย, ซอยกรุงเทพนนท์ 7, ซอยเสนาสฤษดิ์เดช 1 ถึงซอยเสนาสฤษดิ์เดช 11, ซอยวัดกำแพง 11, สฤษดิ์เดชคอนโดมิเนียม, สกายเวย์แมนชั่น, หมู่บ้านนนท์กาญจน์ ถนนติวานนท์ ไฟฟ้าดับระหว่างเวลา 08.30 - 15.30 น.

        กฟน.จึงขออภัยมาในความไม่สะดวก หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ กฟน.ทุกเขต ตามหมายเลขโทรศัพท์ที่อยู่ด้านหลังใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้า หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร.1130 ตลอด 24 ชั่วโมง

ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    27 เมษายน 2556 10:38 น.
6  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / Re: เตือนราคาทองอาจหลุด 17,500 บาท สมาคมฯ ยันวิกฤตรอบนี้ ร้านทองไม่ถึงขั้นปิดกิจการ เมื่อ: 18 เมษายน 2013, 11:24:38
ทองคำร่วงต่ออีก 350 บาท ทองแท่งขายที่บาท 18,600 บาท

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 เมษายน 2556 10:36 น.

ราคาทองคำยังร่วงต่อเนื่องอีก 350 บาท โดยทองแท่งขายที่บาทละ 18,600 บาท และทองรูปพรรณบาทละ 19,000 บาท
       
       สมาคมค้าทองคำประกาศราคาทองคำ วันนี้ (18 เม.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ราคาทองคำแท่งรับซื้อที่บาทละ 18,500 บาท ขายออกบาทละ 18,600 บาท ทองรูปพรรณ รับซื้อที่บาทละ 18,237.48 บาท ขายออกบาทละ 19,000 บาท
       
       โดยราคาปรับลดลง 350 บาท เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า (17 เม.ย.) เมื่อเวลา 14.58 น. (ปรับราคาครั้งที่ 8 ในรอบวัน) ซึ่งทองแท่ง รับซื้อที่บาทละ 18,850 บาท ขายออก 18,950 บาท ทองรูปพรรณ รับซื้อที่บาทละ 18,571 บาท ขายออกบาทละ 19,350 บาท
7  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / Re: ชมรมร้านทองฯ เตือนนักลงทุนราคาทองผันผวนมีความเสี่ยงสูง เมื่อ: 18 เมษายน 2013, 10:55:34
ทองคำร่วงต่ออีก 350 บาท ทองแท่งขายที่บาท 18,600 บาท

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 เมษายน 2556 10:36 น.

ราคาทองคำยังร่วงต่อเนื่องอีก 350 บาท โดยทองแท่งขายที่บาทละ 18,600 บาท และทองรูปพรรณบาทละ 19,000 บาท
       
       สมาคมค้าทองคำประกาศราคาทองคำ วันนี้ (18 เม.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ราคาทองคำแท่งรับซื้อที่บาทละ 18,500 บาท ขายออกบาทละ 18,600 บาท ทองรูปพรรณ รับซื้อที่บาทละ 18,237.48 บาท ขายออกบาทละ 19,000 บาท
       
       โดยราคาปรับลดลง 350 บาท เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า (17 เม.ย.) เมื่อเวลา 14.58 น. (ปรับราคาครั้งที่ 8 ในรอบวัน) ซึ่งทองแท่ง รับซื้อที่บาทละ 18,850 บาท ขายออก 18,950 บาท ทองรูปพรรณ รับซื้อที่บาทละ 18,571 บาท ขายออกบาทละ 19,350 บาท
8  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / ชมรมร้านทองฯ เตือนนักลงทุนราคาทองผันผวนมีความเสี่ยงสูง เมื่อ: 18 เมษายน 2013, 10:37:48
ชมรมร้านทองฯ เตือนนักลงทุนราคาทองผันผวนมีความเสี่ยงสูง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 เมษายน 2556 10:32 น.

 นายวรพงษ์ เลาหะสราญ ประธานชมรมร้านทอง จ.ตรัง กล่าวว่า ในเดือนธันวาคมของทุกปี ทางชมรมร้านทองจะมีหนังสือเวียนไปยังสมาชิกให้เข้าร่วมประชุมใหญ่ เพื่อพบปะสังสรรค์ และร่วมพูดคุยปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วลงมติให้ปิดร้านพร้อมกันในวันที่ 13 เมษายน เพื่อให้สมาชิกได้พาครอบครัวไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศในช่วงวันหยุดสงกรานต์ และเปิดให้บริการวันที่ 22 เมษายน ซึ่งบังเอิญกับที่ราคาทองลงในช่วงที่ร้านทองหยุดยาวพอดี จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้น หลังจากราคาทองคำในตลาดโลกปรับราคาลดลงอย่างรวดเร็วช่วงวันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนจำนวนมากต่างรอซื้อทองคำเพื่อหวังเก็งกำไร แต่ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะร้านจำหน่ายทองใน จ.ตรัง ที่มีอยู่ทั้งหมด 50 ร้าน ได้พร้อมใจกันปิดร้านตั้งแต่วันที่ 13 เมษายนและจะเปิดให้บริการในวันที่ 22 เมษายนนี้ จนเกิดกระแสวิจารณ์ว่า สาเหตุที่ร้านทองนัดปิดให้บริการพร้อมกัน เพราะต้องการหนีประชาชนที่แห่มาซื้อทองเก็งกำไร

        นายวรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองช่วงนี้ลดลง เนื่องจากธนาคารกลางไซปรัสประกาศขายทอง ส่งผลให้กลุ่มประเทศยูโรโซนมีแนวโน้มเทขายทองตามตลอด จนการประกาศตัวเลขจีดีพีของจีนที่ต่ำกว่าคาดการณ์ถึงร้อยละ 8 รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจของอินเดีย

        อย่างไรก็ตาม มองว่าแนวโน้มราคาทองในสัปดาห์นี้ มีโอกาสปรับขึ้นได้ จึงเตือนนักลงทุนระวังการเก็งกำไร ให้ระมัดระวังและศึกษาข้อมูลให้ดี เพราะมีความเสี่ยงในการลงทุนสูง
9  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / เตือนราคาทองอาจหลุด 17,500 บาท สมาคมฯ ยันวิกฤตรอบนี้ ร้านทองไม่ถึงขั้นปิดกิจการ เมื่อ: 18 เมษายน 2013, 07:21:27
เตือนราคาทองอาจหลุด 17,500 บาท สมาคมฯ ยันวิกฤตรอบนี้ ร้านทองไม่ถึงขั้นปิดกิจการ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    17 เมษายน 2556 18:28 น.

คาดราคาทองคำยังปรับลงได้อีก แนะชะลอลงทุน ชี้ หากไม่สามารถยืนเหนือจุดต่ำสุดเดิมที่ 1,308 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือบาทละ 18,000 บาทได้ ก็มีโอกาสจะลงไปต่ำสุดถึง 1,250 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 17,500 บาทได้ ด้านสมาคมค้าทอง มั่นใจ วิกฤตในรอบนี้ คงไม่ถึงกับทำให้ร้านค้าทองต้องปิดกิจการลง เพราะส่วนใหญ่มีการป้องกันความเสี่ยงไว้ดีอยู่แล้ว
       
       น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ราคาทองคำยังมีโน้มปรับลดลงต่อเนื่อง โดยหากหลุดระดับ 1,400-1,420 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 19,000-19,300 บาท มีโอกาสที่จะปรับลดลงไปอยู่ที่ระดับ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณบาทละ 18,000 บาท ไม่สามารถยืนเหนือจุดต่ำสุดเดิมในช่วง 2 ปีก่อนที่ 1,308 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 18,000 บาทได้ ก็มีโอกาสจะลงไปต่ำสุดถึง 1,250 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือบาทละ 17,500 บาทได้
       
       ดังนั้น กลยุทธ์สำหรับในช่วงนี้ แนะนำนักลงทุนชะลอการเข้าซื้อ และหากราคาทองใกล้บาทละ 19,000 บาทให้ทยอยขาย พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และช่วงนี้ยังไม่เหมาะซื้อเพื่อถือลงทุนระยะยาว
       
       “ทองคำปรับขึ้นมารอบนี้ยาวนานถึง 12 ปี ดังนั้น รอบนี้จึงมีโอกาสปรับลดลงได้ ซึ่งต้องดูปัจจัยต่างๆ ประกอบด้วย ส่วนการซื้อขายในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฟิวเจอร์ส) นั้น ยอมรับว่าลูกค้าของบริษัทมีการถูกบังคับขาย (ฟอร์สเซลล์) บ้าง แต่ไม่มากนัก”
       
       ด้านนายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า แนวโน้มหลังจากนี้ไปเชื่อว่าราคายังสามารถปรับลดลงได้อีก เนื่องจากนักลงทุนประเมินไว้ว่าราคาทองคำในช่วงนี้คงไม่สามารถยืนเหนือ 1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณ 20,000 บาท ดังนั้น จึงอยากให้ผู้สนใจลงทุนในทองคำรอดูสถานการณ์อีกระยะหนึ่ง
       
       สำหรับราคาทองคำที่ร่วงลงมาแรงขนาดนี้ นายพิชญา มั่นใจว่า คงไม่ถึงกับทำให้ร้านค้าทองได้รับผลกระทบหรือต้องปิดกิจการลง เพราะส่วนใหญ่ร้านค้าทองก็มีการป้องกันความเสี่ยงไว้ดีอยู่แล้ว

10  อื่นๆ / Cafe / หายนะ “ทอง” เมื่อ: 18 เมษายน 2013, 07:10:05
หายนะ “ทอง”

โดย สุนันท์ ศรีจันทรา    17 เมษายน 2556 14:36 น.

 ประมาณ 3-4 ปีที่ผ่านมา คนไทยตกอยู่ในภาวะตื่นทอง ปริมาณนักเก็งกำไร “ทองคำ” เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมาก แต่วันนี้ คนที่แห่เล่นทองทั้งหลายกำลังหมดเนื้อหมดตัว
       
       ช่วงที่ประเทศไทยกำลังเฉลิมฉลองงานในเทศกาลสงกรานต์ ร้านค้าทองปิดทำการ 4 วันติด ราคาทองคำในตลาดโลกดิ่งลงเหว ตั้งแต่คืนวันศุกร์และต่อด้วยคืนวันจันทร์ รวมสองวันราคาทองคำในตลาดตกลงไปเกือบ 200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
       
       จากระดับ 1,560 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลงไปต่ำสุดที่ประมาณ 1,320 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนจะดีดตัวขึ้นมายืนอยู่แถว 1,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในคืนวันอังคาร
       
       ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศ ปิดเมื่อวันศุกร์ที่บาทละ 21,250 บาท ในราคาที่ร้านทองเสนอซื้อ และเสนอขายบาทละ 21,350 บาท แต่ล่าสุดเช้าวันพุธเสนอซื้อบาทละ 18,900 บาท เสนอขายบาทละ 19,000 บาท
       
       เพียงชั่วข้ามไม่กี่คืน ราคาทองคำรูดมหาราชถึงบาทละ 2,350 บาท และไม่มีใครขายหนีตายได้ทัน ใครที่ซื้อทองไว้ขาดทุนกันป่นปี้ ยิ่งกักตุนมาก ยิ่งเจ็บมาก
       
       คนที่เก็บทองคำแท่งไว้ ยังพอมีทางออก เพราะถือทองคำไว้ลูบๆ คลำๆ เพื่อปลอบประโลมใจได้ และเมื่อยังไม่ขายก็ยังไม่ขาดทุน
       
       แต่คนที่เล่นทองคำกระดาษหรือโกลด์ฟิวเจอร์ส ต้องหมดเนื้อหมดตัวในทันที เพราะจะถูกโบรกเกอร์บังคับขาย หากลูกค้าไม่นำเงินมาวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพิ่ม เนื่องจากหลักทรัพย์ที่วางค้ำประกันไว้ ไม่สามารถครอบคลุมราคาทองคำที่ร่วงลงไป
       
       ราคาทองคำที่ถล่มทลายลงครั้งนี้ ทำให้คนไทยจำนวนมากเสียหายหนักต้องสูญเงิน เนื่องจากสินทรัพย์ทองคำด้อยค่าลง
       
       การที่คนไทยตื่นไปเล่นทองกัน เพราะแรงกระตุ้นจากหลายด้าน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาทองคำพุ่งขึ้น โดยไม่กี่ปีราคาทองคำแท่งเพิ่มขึ้นจากระดับประมาณบาทละ 8,000 บาท พุ่งขึ้นไปสูงสุดที่บาทละประมาณ 27,000 บาท
       
       ราคาทองคำที่พุ่งขึ้นอย่างหวือหวา ทำให้คนอยากรวยและแห่ไปเก็งกำไร
       
       นอกจากนั้น การจัดตั้งตลาดอนุพันธ์หรือ “ทีเฟค” โดยมี “ทองคำ” เป็นสินค้านำร่อง เปิดการซื้อขายทองคำกระดาษหรือโกลด์ฟิวเจอร์ส ก็ทำให้เกิดการโหมกระพือการเล่นทอง
       
       ทองคำกระดาษซื้อขายกันด้วยรูปแบบสัญญา โดยอายุสัญญาไม่เกิน 6 เดือน เริ่มต้นด้วยสัญญาซื้อขายทองคำน้ำหนัก 50 บาท วางเงินค้ำประกัน 50,000 บาท ซึ่งเงิน 50,000 บาท ปกติจะซื้อทองคำแท่งได้ประมาณ 2 บาท แต่เมื่อซื้อขายทองคำกระดาษ จะซื้อขายทองคำได้ถึง 50 บาท
       
       ทองคำกระดาษได้แตกสัญญาการซื้อขาย จากสัญญาซื้อขายทองคำน้ำหนัก 50 บาท เหลือสัญญาละ 10 บาท เพื่อดึงให้นักลงทุนที่มีเงินน้อยสามารถเข้ามาเล่นได้ โดยเป็นแผนขยายฐานผู้เล่น เพื่อที่จะมีค่าต๋งหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น
       
       เพราะคนที่มีเงินวางค้ำประกันเพียง 10,000 บาทเศษ สามารถซื้อขายทองคำน้ำหนัก 10 บาทได้
       
       โบรกเกอร์ตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สเริ่มต้นมีเพียงไม่กี่ราย แต่ล่าสุดมีถึง 41 ราย โดยได้ค่าต๋งจากการซื้อขายทองคำกระดาษสัญญาละ 500 บาท สำหรับการซื้อขายทองคำ 50 บาท และสัญญาละ 100 บาท จากการซื้อขายทองคำ 10 บาท
       
       ตลาดอนุพันธ์และโบรกเกอร์ค้าทองคำ ร่วมมือกันโหมกระพือประชาสัมพันธ์ โฆษณาจูงใจปลุกเร้าให้ประชาชนเข้ามาเล่นทองคำกระดาษ โดยอ้างว่าเป็นทางเลือกใหม่ของการลงทุน และบรรยายสรรพคุณของความร่ำรวยจากการเก็งกำไรทองไว้อย่างสวยหรู
       
       ทั้งที่รู้ว่า ทองคำกระดาษ คือ การเล่นพนัน เป็นการเดิมพันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย มีฝ่ายหนึ่งได้ จะต้องมีฝ่ายหนึ่งเสีย แต่คนที่ได้แน่ๆ คือ โบรกเกอร์และตลาดอนุพันธ์ ซึ่งเป็นเสือนอนกินรอชักค่าต๋ง
       
       ช่วงราคาทองคำขาขึ้น ทองคำกระดาษซื้อขายวันละประมาณ 15,000 สัญญา แต่เมื่อราคาทองคำอ่อนตัว ปริมาณการซื้อขายลดฮวบ ล่าสุดซื้อขายประมาณวันละ 2,000 สัญญา
       
       ใครก็ตามที่เป็นต้นคิดการเปิดตลาดซื้อขายทองคำกระดาษ ควรต้องเป็นผู้ที่ถูกรุมประณาม เพราะทองคำกระดาษ ไม่มีประโยชน์ต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจ นอกจากการเปิดบ่อนพนันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ส่งเสริมให้คนมาเล่นได้เสีย โดยหวังรวยบนความเพ้อฝัน
       
       ไม่มีตัวเลขแน่ชัดว่า ประเทศไทยมีทองคำอยู่ในจำนวนเท่าใด กี่ร้อยหรือกี่พันตัน แต่ทุกตันมูลค่าลดลงไปแล้วประมาณตันละ 180 ล้านบาท
       
       ราคาทองคำที่ดิ่งลงมาในช่วงเวลาไม่กี่วัน ทำให้สินทรัพย์ทองคำของประเทศไทยด้อยค่านับแสนล้านบาท
       
       คนที่ครอบครองทองคำไว้ ไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่งหรือทองคำกระดาษ ต้องบาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ
       
       แม้แต่โบรกเกอร์ทองคำกระดาษ ก็จะเจ๊งไปด้วย เพราะถูกลูกค้าชักดาบ ไม่ยอมจ่ายส่วนต่างราคาทองคำที่ขาดทุน
       
       ร้านค้าทองที่มีทองไว้เต็มตู้ ก็ขาดทุนกันบานเบอะ หรือโรงรับจำนำก็อยู่ในข่ายเจ๊งเป็นลูกโซ่ เพราะลูกค้าที่นำทองมาจำนำไว้ คงไม่มาไถ่คืน
       
       ราคาทองคำโลกถล่มทลายครั้งนี้ นำไปสู่โศกนาฏกรรมนักเก็งกำไรครั้งใหญ่ ธุรกิจค้าขายทองคำพังแทบทั้งระบบ
       
       อย่าถามใครว่า แนวโน้มราคาทองคำจะเป็นอย่างไร จะขึ้นหรือลงเมื่อไหร่ เพราะประเทศไทยไม่มีใครรู้จริงเรื่องราคาทองคำ มีแต่คนขี้โม้และอวดรู้เท่านั้น เพราะถ้ามีคนรู้จริง คนไทยคงไม่เจ๊งกันทั้งประเทศ
       
       วิกฤตทองคำที่ประเทศและประชาชนได้รับ เป็นผลพวงของการส่งเสริมลัทธิเก็งกำไร มอมเมายั่วยุให้คนไทยอยากรวยรัด โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงและผลกระทบต่อสังคม
       
       ถ้ายึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ไม่โหมกระพือการเก็งกำไร จนเกิดการหมกมุ่นไขว่คว้าความร่ำรวยอย่างเพ้อฝัน คนไทยจำนวนมากคงไม่ตกเป็นเหยื่อของทองคำ
       
       แต่ลัทธิเก็งกำไรระบาดไปทุกหัวระแหงแล้ว เล่นทั้งบ่อนและบอล เล่นทั้งหวยและหุ้น เล่นทั้งที่ดินและคอนโดฯ เล่นทั้งทองและน้ำมัน
       
                 จะปลุกให้คนไทยตื่นจากการแสวงหาช่องทางรวยรัดอย่างเพ้อฝันกันอย่างไรดี เพราะเห็นแล้วว่า การเก็งกำไรอย่างบ้าคลั่ง กำลังนำประเทศและประชาชนไปสู่หายนะ

11  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / ราคาทองคำดิ่งลงอย่างรุนแรง ทุบสถิติในรอบ 30 ปี ผวาข่าว ธ.กลางยุโรป เทขายทองสำรอง เมื่อ: 16 เมษายน 2013, 14:25:37
ราคาทองคำดิ่งลงอย่างรุนแรงมากที่สุดในรอบ 30 ปี หลังมีข่าวธนาคารกลางหลายประเทศในยุโรปเตรียมนำทองคำสำรองในมือ 13 ตัน ออกขายในตลาด เพื่อระดมทุนแก้ปัญหาหนี้สิน
       
       น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ กล่าวว่า ราคาทองคำช่วงสงกรานต์ในตลาดโลกลดลงอย่างรุนแรง จากราคาเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา อยู่ที่ 1,580 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลงมาอยู่ที่ 1,320 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือลดลงถึง 260 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ถือเป็นการปรับลดลงแรงที่สุดตั้งแต่ปี 2526 หรือในรอบ 30 ปี แต่เนื่องจากสมาคมค้าทองคำและตลาดอนุพันธ์ ปิดทำการ ในช่วงวันหยุดสงกรานต์ และจะเปิดอีกครั้งวันพรุ่งนี้ ซึ่งคาดว่านักลงทุนบางส่วนอาจจะอยู่ในสถานการณ์ตื่นตระหนก คาดว่าสมาคมค้าทองคำจะประกาศราคาทองต่ำกว่าบาทละ 20,000 บาท โดยอาจจะลงมาถึง 18,000 บาท
       
       อย่างไรก็ตาม ขอให้นักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ไปก่อน โดยให้แนวรับของราคาทองไว้ที่ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากยืนอยู่ได้ ก็มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ แต่หากรับไม่อยู่ก็จะไปที่แนวรับ 1,250 ดอลลาร์ต่อออนซ์
       
       สำหรับสาเหุตที่ราคาทองคำลดลงแรงในช่วงนี้ เนื่องจากมีข่าวว่า ธนาคารกลางของไซปรัส เตรียมขายทองคำที่ถืออยู่ 13 ตัน เพื่อระดมทุน 400 ล้านยูโร เพื่อแก้วิกฤตหนี้ ทำให้เกิดความวิตกว่า ธนาคารกลางของอิตาลีที่ถือทองคำอยู่ 2,000 ตัน, กรีซและโปรตุเกสที่ถือทองคำรวมกัน 300 ตัน อาจจะเทขายทองคำออกมาเช่นกัน ประกอบกับกองทุนต่างๆ ได้เทขายทองคำออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งยิ่งเป็นการซ้ำเติมทำให้ราคาทองคำลดลงต่อเนื่อง

ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 เมษายน 2556 13:21 น.
12  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / กฟน.แจ้งงดจ่ายไฟบางพื้นที่ กทม. 4-9 เม.ย.นี้ เมื่อ: 03 เมษายน 2013, 20:53:34
การ​ไฟฟ้านครหลวงประกาศ งดจ่ายกระ​แส​ไฟ​ในหลายพื้นที่ ระหว่างวันที่ 4 - 9 ​เมษายน 2556

​การ​ไฟฟ้านครหลวง มี​ความจำ​เป็นต้อง​ทำงาน​เกี่ยวกับสายป้อน​ไฟฟ้า​แรงสูง ​ทั้งนี้​เพื่อพัฒนา​และบำรุงรักษาระบบ​การจ่ายกระ​แส​ไฟฟ้า​ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ​เพื่อ​ให้​เกิด ​ความปลอดภัย​ใน​การปฏิบัติงาน ​การ​ไฟฟ้านครหลวง​จึงจำ​เป็นต้องงดจ่ายกระ​แส​ไฟฟ้า​เป็น​การชั่วคราวบางพื้นที่​ในบริ​เวณดังกล่าวดังต่อ​ไปนี้

วันพฤหัสบดีที่ 4 ​เมษายน2556
กรุง​เทพมหานคร
​เวลา 08.00 น.-17.00 น.
- ตั้ง​แต่คลองรางตัน ​ถึง​แยกประชาอุทิศ 76 ถนน​เลียบทางด่วนกาญจนาภิ​เษก

วัน​เสาร์ที่ 6 ​เมษายน 2556
กรุง​เทพมหานคร
​เวลา 08.30 น.-15.30 น.
- ตั้ง​แต่ปากซอยสาธุประดิษฐ์ 49 ​ถึง ปากซอยสาธุประดิษฐ์ 53 ถนนสาธุประดิษฐ์
- ซอย​โชคชัย 4 ตั้ง​แต่​แฟลตตำรวจ​โชคชัย ​ถึงซอย 7 ถนนลาดพร้าว

วันอาทิตย์ที่ 7 ​เมษายน 2556
กรุง​เทพมหานคร
​เวลา 08.30 น.-15.30 น.
- ตั้ง​แต่ปากซอย​เจริญกรุง 107 ​ถึงซอย​เจริญกรุง 107 ​แยก 7 ถนน​เจริญกรุง
- ซอย​โชคชัย 4 ตั้ง​แต่ซอย 14 ​ถึงซอย 22 ถนนลาดพร้าว

วันจันทร์ที่ 8 ​เมษายน 2556
กรุง​เทพมหานคร
​เวลา 08.00น.-17.00 น.
- ตั้ง​แต่คลองราง​โพธิ์ ​ถึงสาม​แยกวัดจันทร์​แก้ว​เพชร ถนนวัดจันทร์​แก้ว​เพชร
- ซอยวัดคลองสวน ตั้ง​แต่ปากซอย ​ถึง ปากซอยคลองสวนบ้านล่าง ถนน รพช.
- ตลาดบางกะปิ ซอยลาดพร้าว 123 ถนนลาดพร้าว

วันอังคารที่ 9 ​เมษายน 2556
กรุง​เทพมหานคร
​เวลา 08.30น.-15.30 น.
- ซอยลาดพร้าว 64 ​แยก 14 ถนนลาดพร้าว

ดังนั้น ​ผู้​ใช้​ไฟฟ้าที่​ใช้​ไฟจากสายป้อน​ไฟฟ้า​แรงสูงตาม ถนน ซอย ​และคลองที่​แยกจากที่​แจ้งข้างต้น จะ​ไม่มีกระ​แส​ไฟฟ้าตามวัน​และ​เวลาดังกล่าว

​การ​ไฟฟ้านครหลวง​จึงขออภัยท่าน​ผู้​ใช้​ไฟฟ้ามา ณ ​โอกาสนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถาม​เพิ่ม​เติม​ได้ที่​การ​ไฟฟ้านครหลวงทุก​เขต ตามหมาย​เลข​โทรศัพท์ที่อยู่ด้านหลัง​ใบ​เสร็จรับ​เงินค่า​ไฟฟ้า ​หรือสอบถามผ่าน Call Center ของ​การ​ไฟฟ้านครหลวง หมาย​เลข​โทรศัพท์ 1130 ตลอด 24 ชั่ว​โมง

13  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / “โอบามา” ลงนามคำสั่งตัดงบอัตโนมัติ $85,000 ล้าน หลังเจรจาคองเกรสล้มเหลว เมื่อ: 02 มีนาคม 2013, 13:04:01
  รอยเตอร์ - ประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งตัดลดงบประมาณรายจ่ายของรัฐลงทั้งระบบ เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา(1) หลังการเจรจากับฝ่ายรีพับลิกันเพื่อบรรลุข้อตกลงหลีกเลี่ยงมาตรการดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จ ซึ่งการหั่นรายจ่ายแบบเหมารวมนี้อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และบั่นทอนความพร้อมของกองทัพ
       
       “การตัดงบประมาณอาจยังไม่มีผลกระทบต่อทุกฝ่ายในทันที แต่ความเดือดร้อนจะเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไปครอบครัวชนชั้นกลางจะเริ่มสัมผัสได้ถึงความยากลำบาก” โอบามา ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว หลังเสร็จสิ้นการประชุมกับบรรดาผู้นำเดโมแครตและรีพับลิกันในสภาคองเกรส
       
       เมื่อคืนวานนี้(1) โอบามาลงนามประกาศใช้มาตรการตัดงบแบบเหมารวม หรือ “ซีเควสเตรชัน” (sequestration) ซึ่งจะมีผลให้หน่วยงานภาครัฐทั้งหมดถูกตัดงบรวมทั้งสิ้น 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งแต่วันนี้(2) ไปจนถึงวันที่ 1 ตุลาคม โดยครึ่งหนึ่งจะมาจากงบของกระทรวงกลาโหม
       
       ชัค เฮเกล ผู้นำเพนตากอนคนใหม่ กล่าวเตือนว่า การหั่นงบกองทัพครั้งนี้จะทำให้ภารกิจด้านการทหารทั้งหมดตกอยู่ในความเสี่ยง
       
       แม้คองเกรสและ โอบามา จะยังพอมีเวลาอีกหลายสัปดาห์ที่จะยับยั้งมาตรการซีเควสเตรชัน ซึ่งเป็นกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของสภาคองเกรสเมื่อปี 2011 เพื่อแก้ไขวิกฤตงบประมาณสหรัฐฯในช่วงนั้น ทว่าทั้ง 2 ฝ่ายก็ยังไม่มีท่าทีรอมชอมกันได้
       
       พรรคเดโมแครตประเมินว่า การตัดงบประมาณทั้งระบบจะก่อปัญหาตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นความล่าช้าในการสัญจรทางอากาศ, กระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยอาหารที่ช้าลง อันจะทำให้เกิดภาวะขาดแคลนเนื้อสัตว์ในตลาด, การยกเลิกสัญญาระหว่างเอกชนกับภาครัฐ และความเสียหายต่อเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นทั่วประเทศ โดยเฉพาะเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งฐานทัพต่างๆ
       
       หัวใจของวิกฤตงบประมาณครั้งนี้ก็คือความเห็นไม่ลงรอยระหว่างฝ่ายเดโมแครตกับรีพับลิกันเกี่ยวกับวิธีที่จะลดยอดขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะ 16 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีที่มาจากการทำสงครามต่อเนื่องหลายปีในอิรักและอัฟกานิสถาน รวมถึงเม็ดเงินที่รัฐบาลใช้อัดฉีดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
       
       โอบามา ต้องการให้รัฐตัดงบประมาณบางส่วนควบคู่ไปกับการขึ้นภาษี ขณะที่รีพับลิกันก็ไม่ปรารถนาที่จะอ่อนข้อในเรื่องภาษีอีก หลังจากที่เคยยอมไปแล้วครั้งหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยง “หน้าผาการคลัง” (fiscal cliff) เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา
       
       ความโกรธเกรี้ยวจากสังคมน่าจะเป็นแรงกระตุ้นที่ดีที่สุดที่จะทำให้รัฐบาลและคองเกรสยอมหันหน้าเข้าหากัน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการตัดงบประมาณที่จะแผ่ซ่านไปทั่วทุกภาคส่วนภายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
       
       การตัดงบอัตโนมัติ 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯอาจฟังดูไม่มากมายเมื่อเทียบกับงบรายจ่ายรวมของรัฐบาลสหรัฐฯที่สูงถึง 3.7 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี แต่เนื่องจากโครงการสวัสดิการสังคมและประกันสุขภาพต้องได้รับการปกป้องไว้ ทำให้ภาระส่วนใหญ่จะไปตกอยู่กับพนักงานรัฐมากกว่าประชาชนที่ได้รับการอุดหนุนโดยตรง
       
       รัฐบาลสหรัฐฯถือเป็นนายจ้างรายใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยมีเจ้าหน้าที่พลเรือนในสังกัดราว 2.7 ล้านคน ซึ่งหากการตัดงบอัตโนมัติยังคงมีผลบังคับต่อไป พนักงานรัฐกว่า 800,000 คนอาจถูกลดวันทำงานและตัดเงินค่าจ้าง ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงเดือนกันยายน
       
       หน่วยงานต่างๆเริ่มประกาศเตือนเรื่องการปลดพนักงานตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา และแจ้งเตือนไปอย่างทั่วถึงเมื่อวานนี้(1) หลังเป็นที่แน่นอนแล้วว่า การเจรจาโค้งสุดท้ายระหว่าง โอบามา กับผู้นำคองเกรสล้มเหลวแน่
       
       ผลสำรวจออนไลน์โดยรอยเตอร์/อิปซอส เมื่อวานนี้(1) พบว่า ชาวอเมริกันร้อยละ 28 โทษว่าเป็นความผิดของรีพับลิกันที่ทำให้การหลีกเลี่ยงมาตรการตัดงบรายจ่ายอัตโนมัติไม่เป็นผล, ร้อยละ 18 คิดว่าเป็นความผิดของ โอบามา, ร้อยละ 4 โทษฝ่ายเดโมแครต แต่ส่วนใหญ่ร้อยละ 37 คิดว่าผิดด้วยกันทุกฝ่าย


ที่มา โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 มีนาคม 2556 12:10 น.
14  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / เตือนภัย “Internet Banking” ปล้นวันละแสน!! เมื่อ: 27 กุมภาพันธ์ 2013, 12:25:06
“ช่วยด้วย!!! ผมถูกแฮกเงิน 343,000 บาท...” คือสเตตัสบนเฟซบุ๊กของ ร.ศ.ยุทธพร อิสรชัย นักวิชาการทางการเมืองชื่อดัง ที่เขียนเล่าเหตุการณ์น่าใจหายให้คนบนโลกออนไลน์ได้อ่าน เพื่อบอกว่า เขาตกเป็นเหยื่อ “การโจรกรรมทางการเงินบนอินเทอร์เน็ต” เสียแล้ว
       คนที่ยังไม่รู้รายละเอียด อาจนึกสงสัยว่าเป็นถึงรองศาสตราจารย์ เหตุใดจึงโดนหลอกได้ แต่ถ้าลองอ่านรายละเอียดดูจะรู้ว่า เป็นการโจรกรรมที่แยบยลที่สุดตั้งแต่เคยมีมา ถึงขนาดผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยระบบสารสนเทศ ยืนยันว่า “เคสนี้เป็นเคสที่แปลกมาก เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเลยครับ!!”

 แปลกแต่จริง... เงินเกลี้ยงบัญชี
       “ผมเข้าไปทำธุรกรรมบนหน้าเว็บไซต์ของ SCB ครั้งสุดท้าย วันที่ 16 ก.พ. สักประมาณ 5 โมงครึ่ง เข้าไปเปลี่ยนอีเมล เพื่อให้อีเมลใหม่นี้ส่งข้อมูลติดต่อถึงผมได้ เขาก็ส่งข้อมูลตอบกลับมายืนยันว่าการเปลี่ยนอีเมลสมบูรณ์แล้ว วันที่เข้าไปเปลี่ยนอีเมล ผมยังเห็นยอดเงินอยู่ที่ 3 แสนกว่าบาท และผมก็ไม่ได้ทำธุรกรรมอะไรเลย จนวันที่ 21 ก.พ. สัก 4-5 โมงเย็น มีโทรศัพท์เข้ามา โทร.มาจากศูนย์ข้อมูลของไทยพาณิชย์ แจ้งว่ามีการทำธุรกรรมที่ผิดปกติเกิดขึ้น ถามว่าผมทำหรือเปล่า ผมก็บอก เอ๊ะ! ผมไม่ได้ทำนะ
       
       
       บอกให้เขาช่วยส่งข้อมูลมาให้หน่อยว่า ผมทำธุรกรรมอะไรไป โอนเข้าบัญชีของใคร เขาก็บอกว่าจะรีบตรวจสอบ แล้วก็ส่งอีเมลมาให้ดู บอกว่าผมทำไป 7 รายการ เป็นการโอนเงินไปที่ธนาคารกรุงเทพฯ มีชื่อและเลขเจ้าของบัญชีด้วย ชื่อ น.ส.สนธยา ชมชื่น ซึ่งผมไม่รู้จัก ธนาคารก็แนะนำให้ผมไปแจ้งความ ทำหนังสือถึงธนาคารเพื่อปฏิเสธการทำธุรกรรม ขอให้ทางธนาคารชดเชยค่าเสียหาย” ร.ศ.ยุทธพร อิสรชัย คณบดีรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เล่ารายละเอียดให้ฟังผ่านรายการ คม ชัด ลึก เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
         
       
       อาจารย์ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า ทุกครั้งที่จะทำธุรกรรมทางการเงินบนอินเทอร์เน็ต เขาจะตั้งสติและระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ใช้โน้ตบุ๊กสาธารณะ และเลือกใช้เฉพาะโน้ตบุ๊กส่วนตัวเท่านั้น โดยเครื่องที่ใช้ในครั้งนี้คือ “แม็คบุ๊กโปร” ซึ่งถือว่ามีระบบป้องกันการแฮกต่างๆ ในระดับสูง จึงชวนให้สงสัยว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นได้อย่างไร?
       เพราะมันเกิดขึ้นปุบปับจนตั้งรับไม่ทัน ไม่มีแม้แต่ sms ส่งรหัส OTP มาจากธนาคารเพื่อให้คอนเฟิร์มการโอนเงิน หรือส่งผลการทำธุรกรรมแล้วเสร็จมาบอกอีกที อย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีกระทั่งการแจ้งเตือนทางอีเมล มารู้ตัวอีกที เงินก็เกลี้ยงบัญชีเสียแล้ว... 343,000 บาท บวกค่าโอนด้วย สูญเงินไป 343,245 พอดี
       
       
       
       โจรกรรมแบบนี้ ครั้งแรกในไทย!!
       นอกจากคำมั่นสัญญาว่าจะตามรอยแฮกเกอร์ สืบค้นความจริงให้ถึงที่สุดแล้ว ความคืบหน้าล่าสุดจากทางธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้ให้บริการ Internet Banking ของเหยื่อคือการส่งจดหมายถึงลูกค้าทุกคน ผ่านทางเว็บไซต์และสื่อแขนงต่างๆ
       
       
       “แจ้งเตือน: ขณะนี้มีการโจรกรรมในรูปแบบของการส่ง SMS โดยใช้หมายเลข 02-777-7777 ซึ่งเป็นหมายเลข Call Center ของธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผูู้ส่งและมีลิงก์เพื่อให้ดาวน์โหลดหรือติดตั้งโปรแกรมทางการเงิน หมายเลขดังกล่าวถูกปลอมขึ้นเพื่อหวังหลอกลวงประชาชนโดยตรง
       ทั้งนี้ ธนาคารฯ ไม่มีนโยบายในการส่งลิงก์เพื่อให้ดาวน์โหลดโปรแกรมใดๆ ผ่านมือถือ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยควรใช้งาน mobile banking application ที่ดาวน์โหลดจาก Google Play หรือ App Store เท่านั้น”
         
       
       การออกมาให้เตือนให้สมาชิกระมัดระวังแบบนี้ ก็ถือเป็นเรื่องดี แต่แค่อาจจะยังไม่ตรงจุดเท่าที่ควร เพราะในกรณีของอาจารย์ยุทธพร ซึ่งตกเป็นเหยื่อครั้งใหญ่ครั้งนี้ ไม่ได้เกิดจากการติดตั้งโปรแกรมผ่านมือถือ หรือถูกหลอกจากหมายเลข Call Center ของทางธนาคาร แต่เกิดจากสาเหตุใด ยังคงเป็นปริศนาคาใจที่ ปริญญา หอมเอนก ประธานผู้ก่อตั้ง บริษัท ACIS Professional Center และเลขานุการสมาคมความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (TICA) ได้แต่ตั้งข้อสงสัยอย่างประหลาดใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
         
       
       “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ไทยพาณิชย์ที่เดียว และเป็นครั้งแรกของเมืองไทยด้วย เป็นเคสที่แปลกมาก ผมเพิ่งคุยกับธนาคาร ทางตำรวจ แล้วก็เหยื่อ ตอนนี้ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าเพราะอะไร ปกติแล้ว คนที่จะโดนแฮกธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ตได้ จะต้องมีโทรจัน (Trojan) อยู่บนเครื่องพีซี มีการสร้างหน้าจอเว็บไซต์หลอกลวงให้ลูกค้าเข้าไปใช้บริการ และดำเนินการตามขั้นตอน จนสุดท้าย ใส่รหัส OTP. (รหัสที่จะส่งมายืนยันผ่าน sms มือถือ เพื่อยินยอมให้ตัดเงินจากบัญชี) แต่กรณีนี้ ไม่มี sms ส่งมาคอนเฟิร์มแม้แต่อันเดียวเลย แต่ดันถูกโจรกรรมเงินจากบัญชีไป 7 ครั้งรวด ครั้งละ 5 หมื่น ครั้งสุดท้าย เงินมีไม่พอ เลยโดนไปอีก 4 หมื่นกว่าบาท”
         
       
       และนี่ไม่ใช่เคสเดียวที่โดน ยังมีอีกรายหนึ่งที่ตกเป็นเหยื่อจากธนาคารเดียวกัน ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน เพียงแต่รายนี้ เลือกที่จะไม่ให้ข้อมูลออกสื่อ “แต่พอเอามือถือไปเช็กดู พบว่าเครื่องของเขาลงโปรแกรมเอนดรอยด์เอาไว้ตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นโปรแกรมเอาไว้ดัก sms ของเครื่องและฟอร์เวิร์ดรหัสที่ธนาคารส่งมา ส่งไปให้โจรอีกที ซึ่งถ้าตรวจสอบแน่ชัดว่าเป็นเพราะแบบนี้ นั่นก็แสดงว่าเหยื่อรายนี้ไม่น่าจะมีสิทธิได้เงินคืนจากธนาคาร เพราะเขาพลาดเอง เขายินยอม ดาวน์โหลดโปรแกรมด้วยมือของเขาเอง ก็เท่ากับยอมรับให้แฮกเกอร์มาโจรกรรมเงินของตัวเอง เหมือนเป็นการยื่นกุญแจเซฟให้โจรนั่นแหละครับ
         
       จริงๆ แล้ว ในต่างประเทศก็มีปรากฏการณ์นี้เหมือนกันครับ โดนไป 30 ล้านกว่ายูโร โดนเพราะตัวโทรจัน เป็น malware ดัก sms ซึ่งซ่อนอยู่ในมือถือประเภทแอนดรอยด์เป็นส่วนใหญ่ 80 เปอร์เซ็นต์ ตัวโปรแกรมนี้จะดัก sms ของเหยื่อ ทำให้แฮกเกอร์สามารถขโมยรหัส OTP ที่ทางธนาคารส่งมาคอนเฟิร์มกับผู้ใช้ผ่านทางมือถือ พอแฮกเกอร์เห็น ก็สามารถตัดหน้าเอาไปกรอกข้อมูลแทน แล้วก็ใช้เงินแทนเจ้าของจริงได้สบายๆ เลย”
       
       ระวัง!! ตกเป็นเหยื่อ
       ให้ลองวิเคราะห์กลโกง ขโมยเงินจากแบงก์ออนไลน์ในหลายๆ รูปแบบว่าเกิดขึ้นเพราะอะไรได้บ้าง? ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยระบบสารสนเทศ จึงเริ่มยกตัวอย่างหนทางที่พอจะเป็นไปได้ให้ฟัง เริ่มจากช่องโหว่ที่แทบทุกธนาคารมีในตอนนี้คือ รหัส OTP
       
       
       “ถ้าโอนข้ามธนาคาร มันจะไม่โชว์ชื่อบัญชีของคนที่โอนเข้า จะบอกแค่ว่ามีเงินจำนวนเท่านี้ โอนเข้าบัญชี แต่ไม่โชว์ชื่อ และคนส่วนใหญ่ก็เลินเล่อ ไม่ได้ตรวจสอบบัญชีปลายทางให้ดีๆ เขาส่ง password ยืนยันมาทาง sms ให้กรอก โอนเสร็จปุ๊บ ปรากฏว่าบัญชีปลายทางไม่ใช่บัญชีที่เราอยากจะโอนก็มี
       
       
       หรืออาจเป็นเพราะบางธนาคารออกแบบระบบเอาไว้ให้ช่วยจำ username กับ password ของลูกค้า และถ้าเห็นว่าเป็นบัญชีเดิมที่เคยโอน เคยมีธุรกรรมทางการเงิน ระบบจะไม่ส่ง sms มาถามซ้ำอีก เพื่อความสะดวกของลูกค้า ซึ่งมันเป็นดาบสองคม เป็นระบบที่ออกแบบมาอย่างบกพร่องและแฮกเกอร์จะชอบมาก แต่ก็มีบางธนาคารที่ระบบต่างกันนะครับ ถามแล้วถามอีก เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้ ซึ่งผมกำลังพยายามเข้าไปคุยกับทางแบงก์ชาติอยู่ครับ ให้ธนาคารออกกฎรักษาความปลอดภัยของลูกค้าให้มากขึ้นอยู่ครับ”
       
       
       ส่วนคอไอทีที่ใช้สมาร์ทโฟน-โน้ตบุ๊ก-พีซี ทำธุรการออนไลน์เป็นกิจวัตร ก็ต้องมีสติกันให้มากขึ้น “ประการแรก ไม่ว่าเราจะได้รับ sms อะไรก็ตาม อย่าเพิ่งคลิก ต้องโทร.เช็กกับทางธนาคารก่อน คิดดูว่าจู่ๆ จะมีใครส่งลิงก์มาให้เราโหลดนั่นโหลดนี่ มันน่าสงสัยอยู่แล้ว และถ้าลองสังเกตดีๆ ตัวแอปฯ (application) เขาส่งมาให้โหลด
       พอคลิกเข้าไป หน้าแรกที่เข้า มันคือหน้าของ Google Play หรือ Apple App Store ก็จริง แต่พอคลิกเข้าไปหน้าที่โหลด มันจะส่งให้เราไปโหลดอีกหน้าลิงก์หนึ่งแทน เป็นเว็บฝากไฟล์ โหลดเกม อะไรแบบนั้น เราก็ต้องสังเกตดีๆ ว่าถ้าเป็นแบบนั้น ถ้าไม่ใช่แอปฯ ที่โหลดจาก Google Play กับ Apple Store โดยตรง ก็อย่าไปโหลดเลยดีกว่า มันมีความเสี่ยงที่จะถูกแฮกสูง
       
       
       หรือถึงแม้เป็นแอปฯ ในกูเกิลเองก็ตาม แต่คุณก็ต้องรู้ข้อมูลเชิงลึกก่อนว่า แอปฯ ที่วางไว้ในนั้น เขาเปิดกว้างมากๆ เพราะฉะนั้น จะมีพวกแอปฯ โจรปลอมแปลงซ่อนตัวอยู่ในนั้นเยอะมาก เพราะคนตรวจสอบเขาไม่มีเวลาตรวจและตรวจไม่ละเอียดพอ
       
       
       เพราะฉะนั้น ประการที่สองคือ อย่าไปโหลดแอปฯ หรือโปรแกรมซี้ซั้ว ให้โหลดเฉพาะโปรแกรมดังๆ ที่เขาเล่นกัน จะเป็น Whatsapp หรือ Line ก็เล่นไป แต่โปรแกรมหรือเกมชื่อแปลกๆ ที่ชาวบ้านเขาไม่เล่นกัน ก็อย่าไปโหลดมาเล่น มีโอกาสจะโดนแฮกสูงมาก
       
       
       ประการที่สาม คือพยายามหาเวลาอัปเดตไวรัสและสแกนในมือถือด้วย จะช่วยให้ค้นหาแอปฯ แปลกๆ หรือแอปฯ โจรได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้ทั้งหมด แต่ว่าวิธีการนี้ คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำ เพราะคิดว่ามือถือเป็นมือถือ ไม่ได้คิดว่ามือถือเป็นคอมพิวเตอร์
       
       
       ประการที่สี่ เพื่อความเซฟ ให้ใช้ platform โปรแกรมที่เป็น IOS เอาไว้ก่อน จะปลอดภัยกว่าแบบเอนดรอยด์ พูดไปทางกูเกิลก็อาจจะไม่ค่อยพอใจ แต่มันคือเรื่องจริง คุณทำระบบออกมาห่วยไปหน่อย ตรวจสอบแย่ เน้นเรื่อง make money เป็นหลัก พอพื้นที่มันเปิดมาก ก็มีแฮกเกอร์มากมายมาทำ malware มาลงในสโตร์คุณเยอะแยะ เพราะคุณไม่มีกระบวนการกลั่นกรองที่ดี
       กลายเป็นความซวยของผู้บริโภค เพราะถ้าธนาคารตรวจสอบพบว่า เหยื่อที่ถูกโจรกรรมทางมือถือเป็นเพราะโหลดแอปฯ พวกนี้มา เขาก็จะไม่รับผิดชอบอะไรเลย ไม่คืนแม้แต่บาทเดียว หมดสิทธิฟ้องร้องเลย เพราะเหมือนเราเอารหัสบัตรเอทีเอ็มไปบอกเพื่อน ให้เขาไปกดเงินเอง ถ้าเป็นแบบนั้น ก็คงช่วยอะไรไม่ได้แล้วล่ะครับ”
       
     
ที่มา โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    26 กุมภาพันธ์ 2556 21:04 น.
15  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / Re: [นอกเรื่องSEO นิดครับ] ทำไม ธนาคาร ไม่รับ เหรียญสลึง ครับ เมื่อ: 24 มกราคม 2013, 16:55:31
เหรียญสลึง หรือเหรียญห้าสิบสตางค์ ที่สะสมไว้ ส่วนใหญ่นำไปทำบุญ หยอดเหรียญที่วัด ครับ
16  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / สภาล่างสหรัฐฯลงมติเห็นชอบขยายเพดานหนี้ชั่วคราว เมื่อ: 24 มกราคม 2013, 09:28:35
เอเอฟพี - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯเมื่อวันพุธ(23) ลงมติเห็นชอบขยายเพดานก่อหนี้ไปจนถึงเดือนพฤษภาคม หลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่อาจผจญวิกฤตผิดนัดชำระหนี้และซื้อเวลาสำหรับการเจรจาตัดลบงบประมาณรายจ่าย

เวลานี้ร่างพระราชบัญญัติขยายเพดานหนี้จะถูกส่งต่อไปยังวุฒิสภาซึ่งคาดหมายว่าจะได้รับความเห็นชอบเช่นกัน จากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนการลงนามของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ปลดชนวนความตึงเครียดลงเล็กน้อย ขณะที่เดโมแครตและรีพับลิกัน ตะเกียกตะกายบรรลุข้อตกลงประนีประนอมควบคุมการขาดดุลงบประมาณและการก่อหนี้

หนี้สินของรัฐบาลสหรัฐฯเพิ่มขึ้นเหนือเพดานการก่อหนี้ 16.4 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว จนกระทรวงการคลังต้องงัดมาตรการพิเศษช่วยยืดเวลาให้รัฐบาลยังมีเงินใช้จ่ายไปจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์

เบื้องต้นพรรครีพับลิกัน ต้องการผูกโยงการขยายเพดานหนี้กับการตัดลดงบประมาณ แต่ โอบามา บอกว่าพร้อมหารือขั้นตอนในการลดภาวะการขาดดุลงบประมาณ แต่ต้องแยกจากประเด็นการขยายเพดานการก่อหนี้ และยืนกรานว่า การลดยอดขาดดุลงบประมาณควรครอบคลุมถึงมาตรการเพิ่มรายได้ด้วย ไม่ใช่การมุ่งลดรายจ่ายเพียงด้านเดียว

การขยายระยะเวลาครั้งนี้ เป็นกลยุทธ์หนึ่งของส.ส.รีพับลิกันเพื่อเลี่ยงความขัดแย้งเรื่องกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้และเปลี่ยนข้อเรียกร้องของตนเป็นเสนอเส้นตายการเงินแบบอื่นที่จะไม่ทำให้ประเทศสุ่มเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ โดยเส้นตายดังกล่าวรวมไปถึง การตัดภาระค่าใช้จ่ายอัตโนมัติในวันที่ 1 มี.ค.และการสิ้นสุดของกองทุนเพื่อหน่วยงานและแผนนโยบายภาครัฐในวันที่ 27 มี.ค.

มาตรการที่นำเสนอโดยฝั่งรีพับลิกันนี้ผ่านความเห็นชอบด้วยแรงสนับสนุนของทั้งสองฝ่าย 285-144 เสียง ทั้งนี้เพื่อให้ดำเนินการอย่างเร่งรีบ สมาชิกรีพับลิกันยังเพิ่มมาตราหนึ่งในพระราชบัญญัติ โดยห้ามวุฒิสภารับเงินเดือนหากไม่อนุมัติทันเส้นตายภายในวันที่ 15 เมษายน

พระราชบัญญัตินี้ไม่ห้ามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรับเงินเดือนแม้ว่าไม่ผ่านความเห็นชอบ แต่เงินจะถูกจ่ายเข้าบัญชีเมื่อผ่านความเห็นชอบแล้วเท่านั้นหรือจนกว่าวันสุดท้ายของการประชุมสภาคองเกรสครั้งที่ 113 นั่นคือต้องรอจนถึงช่วงปลายปี 2014

ทั้งนี้หากพระราชบัญญัติผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาและลงนามโดยประธานาธิบดีโอบามา เพดานหนี้ปัจจุบันของสหรัฐฯจะได้รับการขยายโดยอัตโนมติไปจนถึงเที่ยงคืนของวันที่ 18 พฤษภาคม

ที่มา manager.co.th 24 มกราคม 2556 03:15 น.

17  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / เยอรมนีโยกทองคำกลับ จับตาศก.โลกเสี่ยง! “ไทยต้องระวัง” เมื่อ: 22 มกราคม 2013, 20:33:53
นักวิชาการมอง “เยอรมนี” โยกทองคำกลับประเทศ ชี้สัญญาณเศรษฐกิจโลกอันตราย! ไม่ไว้ใจเศรษฐกิจประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะสหรัฐอมริกาหลังเปิดช่องเก็งกำไรทุกทาง เตือนไทยต้องระมัดระวัง เร่งสร้างความเข้มแข็งทางการเงินและคลังเตรียมพร้อม

นายสมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ เปิดเผยถึงกรณีที่ธนาคารกลางประเทศเยอรมนี (Deutsche Bundesbank) ประกาศเดินหน้าแผนดึงทองคำสำรองกลับประเทศรอบแรกเกือบ 700 ตัน โดยแบ่งเป็นทองคำที่ฝากไว้ที่สหรัฐอเมริกา 300 ตัน และที่เหลือจากธนาคารกลางฝรั่งเศสว่า เป็นการส่งสัญญาณถึงความไม่ไว้ใจในระบบเศรษฐกิจของโลกโดยเฉพาะจากประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่มีการพิมพ์เงินอย่างต่อเนื่องจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือคิวอี ที่ล่าสุดเป็นคิวอี 3 ที่ทำให้ตลาดเกิดการเก็งกำไรมากขึ้นและเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาในอนาคต

“เศรษฐกิจโลกกำลังเดินหน้าไปสู่ความไม่สมดุลจากที่ประเทศมหาอำนาจเริ่มมีการอัดเงินเข้าระบบด้วยการพิมพ์แบงก์เองจากมาตรการคิวอี ซึ่งทั้งสหรัฐฯ ยุโรป อังกฤษ หรือแม้แต่ล่าสุดอย่างญี่ปุ่นเองก็กำลังดำเนินงานไปในลักษณะเดียวกัน การที่เยอรมนีโยกทองกลับเพราะหากเศรษฐกิจประเทศนั้นๆ มีปัญหาการจะดึงกลับจะเป็นเรื่องยาก ดังนั้นการนำมาเก็บเองจะปลอดภัยกว่าและคิดว่าต่อไปประเทศอื่นๆ น่าจะทำตาม” นายสมภพกล่าว

อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีบางฝ่ายมองไปถึงอาจเกิดภาวะสงครามนั้นประเด็นดังกล่าวก็ไม่ควรจะมองข้าม เพราะหากเศรษฐกิจเดินไปสู่จุดเสี่ยงอันตรายสำหรับประเทศมหาอำนาจเมื่อถึงจุดนั้นผู้นำอาจไม่ยอมให้ประเทศล้มและอาจนำไปสู่การตัดสินใจดำเนินกิจกรรมทางด้านความมั่นคงได้เช่นกัน

สำหรับประเทศไทย เมื่อนโยบายของทั้งโลกมีอันตรายรออยู่ข้างหน้าก็จะต้องเตรียมประเทศให้พร้อม สร้างระบบการเงินและการคลังของประเทศให้เข้มแข็ง การเจรจาระหว่างประเทศจะต้องระมัดระวังอย่าให้ต้องเดินตามเกมประเทศมหาอำนาจจนเกินไป และใช้โอกาสการค้าและการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนจากการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ให้มากสุด ฯลฯ

“ราคาทองคำในระยะยาวมองว่าจะมีโอกาสสูงขึ้นได้เพราะทุกภาคจะมองเงินไม่มั่นคง ตลาดหุ้นจะผันผวน แต่ระยะสั้นทองคำยังไม่น่าขยับมากเพราะมีการเทขายในช่วงนี้จากปัญหาเศรษฐกิจในหลายประเทศ” นายสมภพกล่าว

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหพัฒนา อินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คงจะต้องติดตามใกล้ชิดต่อกรณีดังกล่าวว่าเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร แต่เท่าที่พิจารณาเยอรมนีน่าจะเลือกที่จะสำรองทองคำของประเทศให้มากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงปัญหาค่าเงินที่ขณะนี้มีความไม่แน่นอนสูงเนื่องจากเศรษฐกิจของยุโรปเองยังไม่สู้ดีนัก ซึ่งกรณีนี้ในระยะยาวน่าจะมีผลให้ราคาทองคำกลับมาเป็นขาขึ้นได้อีก แต่จะมากน้อยเพียงใดก็คงจะต้องดูปัจจัยการเคลื่อนย้ายของประเทศอื่นๆ อีกว่าจะมีตามมาหรือไม่

ที่มา manager.co.th 22 มกราคม 2556 16:14 น.
18  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / ผู้ก่อตั้ง “เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม” เตือน ศก.โลกเสี่ยง “ล่มสลาย” เมื่อ: 22 มกราคม 2013, 19:39:56
เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - เคลาส์ มาร์ติน ชวาบ นักเศรษฐศาสตร์ชาวเยอรมัน ผู้ก่อตั้งและประธานของ “เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม” ออกโรงเตือนก่อนหน้าจะถึงการประชุมประจำปีที่เมืองดาวอส ระบุเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง สุ่มเสี่ยงต่อการ “ล่มสลาย” วอนผู้นำภาคธุรกิจและรัฐบาลทั่วโลกเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นของสาธารณชนเพื่อหลีกเลี่ยง “วิกฤตครั้งใหม่”

“ปัญหาและความสุ่มเสี่ยงต่างๆยังไม่จางหายไป ยังมีโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะต้องเผชิญกับการล่มสลาย หากมีปัจจัยเชิงลบขั้นเลวร้ายเกิดขึ้นมา” ชวาบ วัย 74 ปีกล่าว

ผู้ก่อตั้งเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัมเผยว่า แม้ตลาดการเงิน-การลงทุนทั่วโลกจะออกสตาร์ทได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2013 นี้ จากการที่มีดัชนีหุ้นจำนวนมากที่ทำสถิติพุ่งทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปี รวมถึงความเสี่ยงต่อการแตกสลายของกลุ่มประเทศที่ใช้เงินยูโรก็ดูลดน้อยถอยลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่อย่างไรก็ดี การที่อัตราการว่างงานของประชากรทั่วโลกยังคงสูงลิ่ว โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลก เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นของผู้คนต่อบรรดาผู้นำภาคธุรกิจและรัฐบาลที่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง

ชวาบระบุว่า การสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของทัศนคติเชิงบวก ทั้งในส่วนของผู้บริโภคและนักลงทุน ดังนั้นจึงถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งยวด สำหรับบรรดาผู้นำทั้งหลายในการเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาอีกครั้ง และยังต้องหาทางออกที่เหมาะสมต่อการแก้ปัญหาการว่างงานของประชาชน เพราะที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าหลายประเทศมีอัตราการว่างงานพุ่งสูง ทั้งที่เศรษฐกิจมีการเติบโต ซึ่งหมายความว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของหลายประเทศ ไม่เพียงพอที่จะช่วยให้จำนวนผู้ว่างงานในประเทศลดลงได้

นอกจากนั้น ชวาบยังเตือนว่าปัญหาด้านงบประมาณและการแก้ปัญหาหนี้สินในสหรัฐฯ ที่ยังไม่ลงตัว รวมถึงความเสี่ยงที่อาจมีการตัดลดการใช้จ่ายภาครัฐครั้งมโหฬารในสหรัฐฯ ถือเป็นหนึ่งในเป็นปัจจัยเชิงลบที่น่ากลัวที่สุด ที่อาจส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจและการเติบโตของทั่วโลกในปีนี้

ทั้งนี้ ท่าทีล่าสุดของชวาบมีขึ้นเพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมง ก่อนหน้าที่การประชุมประจำปีของเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัมจะเปิดฉากขึ้นที่เมืองดาวอส ในสวิตเซอร์แลนด์ระหว่าง 22-27 มกราคม โดยการประชุมครั้งนี้คาดว่าจะมีผู้แทนทั้งจากภาคการเมืองและภาคธุรกิจ รวมถึงนักวิชาการชั้นนำด้านเศรษฐกิจทั่วโลกมากกว่า 2,500 คนเข้าร่วม


ที่มา manager.co.th 22 มกราคม 2556 17:08 น.

19  ความรู้ทั่วไป / General (ถามคุยวิชาการ IM) / เยอรมันเอาจริง! ธนาคารกลางเมืองเบียร์ประกาศถอนทองคำกลับประเทศ (22/01/56) เมื่อ: 22 มกราคม 2013, 13:16:30
เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์- ธนาคารกลางเยอรมนี (Deutsche Bundesbank) ประกาศเดินหน้าแผนดึงทองคำสำรองปริมาณมหาศาลกลับมาไว้ในประเทศ ถือเป็นการ “ยืนยันความถูกต้อง” ของรายงานข่าวก่อนหน้านี้ที่มีการเผยแพร่โดยหนังสือพิมพ์ด้านธุรกิจและการเงินรายวัน “ฮันเดิลสบลัตต์” เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา

รายงานข่าวล่าสุดเมื่อวันจันทร์ (21) จากนครแฟรงก์เฟิร์ต ซึ่งอ้างโมริตซ์ เอากุสต์ ราช โฆษกของ บุนเดสบังก์ ระบุว่า เยอรมนีจำเป็นต้องถอนทองคำสำรองที่ฝากไว้ในต่างประเทศกลับคืนมาด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง

“ผมขอยืนยันว่า เรามีความจำเป็นต้องนำทองคำของเยอรมนีกลับประเทศ ด้วยเหตุผลหลายประการด้านความมั่นคง ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราจำเป็นต้องปกป้องทองคำของเรา และยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการถอนทองคำกลับประเทศครั้งนี้” โฆษกธนาคารกลางเยอรมนีกล่าว

ท่าทีล่าสุดของโฆษกบุนเดสบังก์มีขึ้นเพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังจาก “ดีทรอยต์ ฟรี เพรสส์” หนังสือพิมพ์รายวันเก่าแก่ในมลรัฐมิชิแกนของสหรัฐฯ ที่มียอดจำหน่ายกว่าวันละ 234,580 ฉบับ ตีพิมพ์รายงานข่าวที่ระบุว่า ธนาคารกลางเยอรมนี เตรียมเดินหน้าแผนการถอนทองคำของตนชุดแรก ที่มีปริมาณมหาศาลถึง 674 ตันจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขานิวยอร์ก รวมถึง ที่ตั้งธนาคารกลางฝรั่งเศสในกรุงปารีส เพื่อนำทองคำจำนวนดังกล่าวกลับมาเก็บไว้ภายในที่ทำการของบุนเดสบังก์ในนครแฟรงก์เฟิร์ต

โดยในจำนวนทองคำ 674 ตันของเยอรมนีที่จะถูกถอนกลับประเทศครั้งนี้ คิดเป็นทองคำที่ฝากไว้ในมหานครนิวยอร์กของสหรัฐฯ 300 ตัน ส่วนอีก 374 ตันที่เหลือเป็นทองคำที่ฝากไว้กับธนาคารกลางฝรั่งเศส และทองคำล็อตนี้ที่เยอรมนีจะดึงกลับประเทศมีมูลค่าสูงถึง 36,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.07 ล้านล้านบาท) หรือคิดเป็นกว่า 1 ใน 5 ของทองคำสำรองทั้งหมดของเยอรมนี

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์รายวัน “ฮันเดิลสบลัตต์” ของเยอรมนีรายงานว่า บุนเดสบังก์มีแผนนำทองคำของตนจำนวนมากที่ฝากไว้ในประเทศอื่น ทั้งในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศสและสหรัฐฯ กลับประเทศเร็วๆ นี้เพื่อความมั่นคงทางการคลัง โดยระบุถือเป็นหนึ่งในการโยกย้ายทองคำระหว่างประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก หลังจากรัฐบาลเยอรมนีในอดีตโดยเฉพาะตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาต่างมีนโยบายนำทองคำของตนไปฝากไว้ในต่างแดนเพื่อกระจายความเสี่ยงจากสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่ตึงเครียดในยุค “สงครามเย็น” เนื่องจากรัฐบาลเยอรมนีในเวลานั้นเกรงว่า ทองคำของตน จะถูกสหภาพโซเวียตยึดครองเข้าสักวันหนึ่ง

ตามข้อมูลที่สื่อดังอย่าง “ฮันเดิลสบลัตต์” รายงาน ระบุว่า ขณะนี้ 45 เปอร์เซ็นต์ของทองคำของเยอรมนีถูกนำไปฝากไว้ในธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขณะที่อีก 13 เปอร์เซ็นต์ และ 11 เปอร์เซ็นต์ ถูกนำไปเก็บไว้ในธนาคารกลางของอังกฤษ และธนาคารกลางฝรั่งเศสตามลำดับ ส่งผลให้มีปริมาณทองคำเพียงแค่ 31 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ถูกเก็บไว้ภายในสำนักงานใหญ่ของบุนเดสบังก์ หรือธนาคารกลางเยอรมนี ในนครแฟรงก์เฟิร์ต

รายงานข่าวยังระบุว่า ทองคำของเยอรมนีทั้งหมดที่นำไปฝากไว้ในฝรั่งเศส จะเป็นทองคำส่วนแรกที่รัฐบาลเยอรมนีต้องดึงกลับมาไว้ในประเทศ ขณะที่ทองคำบางส่วนที่ฝากไว้ในอังกฤษ และสหรัฐฯ ยังจำเป็นต้องคงอยู่ตามเดิมต่อไปก่อนอีกระยะหนึ่ง เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ ธนาคารกลางเยอรมนีได้ชื่อว่าเป็นผู้ถือครองทองคำสำรองรายใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ โดยปริมาณทองคำในความครอบครองของบุนเดสบังก์นั้นมีกว่า 3,396.3 ตันเมื่อสิ้นปี 2011 หรือคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 133,000 ล้านยูโร (ราว 5.3 ล้านล้านบาท)

ก่อนหน้านี้ ในช่วงปี ค.ศ.1998-2001 มีข้อมูลว่า ธนาคารกลางของเยอรมนีได้เคยถอนทองคำล็อตใหญ่ปริมาณกว่า 850 ตันที่ฝากไว้ในธนาคารกลางของอังกฤษในกรุงลอนดอนมาแล้วเช่นกัน ท่ามกลางข่าวลือในขณะนั้นว่า วิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียที่เริ่มต้นในประเทศไทยเมื่อปี 1997 อาจลุกลามมาถึงยุโรป

ที่มา manager.co.th วันที่ 22 มกราคม 2556 12:04 น.

20  Host and Domain / Host & Domain (general) / Re: ***เจอ godaddy ลักไก่ renew โดเมนซะแล้ว ทั้งที่เป็น manual เมื่อ: 22 มกราคม 2013, 11:45:19
ปกติผมจ่ายด้วยpaypal ที่ผูกด้วยบัตร K-card

ส่วนใหญ่ถ้าจะมีการซื้อไม่ว่า domain หรือ สคริป, ebook

ผมค่อยโอนเงินมาในบัญชี

ผมจะเหลือเงินในบัญชีไว้หลักร้อย ครับ
หน้า: [1] 2 3 ... 21