ถูกต้องเลยครับ

สวัสดีทุกๆ คนเคยสงสัยกันไหม ?  ทำไมเว็บไซต์บางเว็บถึงสามารถเอาชนะเว็บไซต์เจ้าใหญ่ ๆ มาอยู่หน้าแรกได้อย่างสม่ำเสมอเลย ทั้งๆ ที่ดูเหมือนว่าเว็บไซต์เหล่านั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่น วันนี้พอดีไปเจอเคล็ดลับดีๆ ที่จะมาบอกมันคือการทำความเข้าใจความต้องการของผู้ใช้ หรือ Search Intent  ครับ

เพราะสิ่งนี้แหละจะช่วยเพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์โดย Google ดึงดูดการเข้าชมเว็บไซต์ได้มากขึ้น เพราะมันตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา

เคยพิมพ์รองเท้าสักแบรนด์ หรือยีนส์ลีวาย ต้องการจะดูประวัติกางเกงยีนส์ 501  เจอแต่เว็บ e commerce ให้เราเข้าไปซื้อสินค้ากันไหมครับ ทั้งที่เราจะหาดูว่าประวัติมันเป็นยังไง สงสัยกันไหม นั้นแหละคือ Search Intent ที่ค้นส่วนใหญ่พิมพ์คำค้นหาคำนี้ เพราะส่วนใหญ่ต้องการที่จะซื้อ พอจะเห็นประโยชน์จาก Search Intent กันแล้วใช่ไหม เกริ่นสะเยอะลองไปอ่านกันดีกว่า�
Search Intent คืออะไร

Search intent หรือ เจตนาของผู้ค้นหา คือ เหตุผลหรือจุดประสงค์ของผู้ใช้งาน ที่ทำการเสิร์ชคำค้นหา โดยสิ่งนั้นคือ เป้าหมายหรือสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการที่แท้จริง ในการค้นหาข้อมูลนั้นๆ

เมื่อผู้ใช้ค้นหาข้อมูลบางอย่าง พวกเขาจะมีเจตนาของการค้นหาอย่างใดอย่างนึงใน 4 ประเภท ดังต่อไปนี้

ประเภทของ Search intent	ความหมาย	ตัวอย่าง
Informational Intent	การค้นหาข้อมูลในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง	"SEO คืออะไร?"
Navigational Intent	การค้นหาเว็บไซต์หรือเพจที่เฉพาะเจาะจง	"Nike website"
Commercial Intent	การเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์หรือบริการ	"Best smartphones 2024"
Transactional Intent	พร้อมซื้อสินค้าหรือบริการ	"ซื้อ iPhone 14 Pro"

เทคนิคทำคอนเทนต์ ให้ตรงกับ Search intent ยังไงให้ได้ลูกค้า
หลังจากเข้าใจถึง Search intent แต่ละแบบแล้ว ก็มาถึงวิธีและเทคนิคการทำคอนเทนต์ยังไงให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าส่งผลให้ติดหน้าแรก Google ได้ง่าย และได้ลูกค้าด้วยทำตามขั้นตอนด้านล่างนี้

1.ทำความเข้าใจ Keyword Intent ว่าเป็นประเภทไหน ?
โดยทำความเข้าใจคำค้นหา หรือ Keyword ที่ต้องการ ว่าส่วนใหญ่ที่แสดงผลในหน้าผลการค้นหา (Top 10) ผู้ใช้มีจุดประสงค์ในการค้นหาคำนั้นๆ เพื่ออะไร

2.พิจารณา Keyword Intent ที่ตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา
โดยใช้เครื่องมือค้นหา Keyword หรือ SEO Tools เช่น Ahrefs , SEMrush เพื่อค้นหา Keyword intent ที่มีจุดประสงค์เดียวกับสิ่งที่ธุรกิจของตัวเองต้องการ เพื่อให้ตอบโจทย์ Search Intent ของผู้ใช้ให้มากที่สุด

3.ทำคอนเทนต์ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้
โดยอิงจากข้อมูล Search intent บนหน้าแสดงผลการค้นหา Top 10 และทำคอนเทนต์ให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ที่ค้นหาคำนั้นๆ และสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการให้ตอบโจทย์มากที่สุด

4.ทำ SEO ด้วยวิธีการต่าง ๆ
เพื่อช่วยให้ Google นำคอนเทนต์แสดงในหน้าผลการค้นหาในลำดับที่ดีขึ้นด้วยการทำ On page SEO ที่มีประสิทธิภาพ, ทำคอนเทนต์มีความน่าเชื่อถือ Off page SEO

สรุปที่บอกมาทั้งหมดว่า Search intent ช่วยให้ติดหน้าแรก google ได้อย่างไร
การเข้าใจ Search intent มีความสำคัญกับการติดหน้าแรก Google เพราะการทำความเข้าใจความต้องการของผู้ใช้งาน เป็นหัวใจสำคัญของการทำ SEO ครับอย่าลืมข้อนี้กันนะครับทุกคน  

เพราะคอนเทนต์ที่ตรงกับความต้องการและเจตนาของผู้ที่ทำการค้นหาข้อมูล ย่อมส่งผลดีต่อผู้ใช้ในการค้นหาข้อมูลได้บรรลุตามความต้องการ และมีประสบการณ์ที่ดีต่อเว็บไซต์อย่างไงหละ

และการที่ผู้ใช้งานได้ผลลัพธ์ตามสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยเปิดเว็บไซต์เราแล้วไม่ออกไปยังเว็บไซต์อื่น ย่อมส่งผลดีให้กับเว็บไซต์ และ Google ในการนำคอนเทนต์บนเว็บไซต์แสดงผลในอันดับที่สูงขึ้นเนื่องจากตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการนั้นเอง หากมีวิธีดีๆจะมาบอกเล่ากับทุกคนต่อนะ

ได้ลองทำดู DR เป็นปัจจัยนึงที่ช่วยดันอันดับเว็บไซต์ได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การทำคอนเทนต์ ข้างในให้ตอบโจทย์ตรงกับคำค้นหา หรือสิ่งที่คนค้นหานะทุกคนน  ปล. DR น้อยก็ติดหน้าแรกได้ครับ

หลายคนคงมี SEO Tools ที่ใช้ประจำกันอยู่แล้วมากมาย ทั้งในรูปแบบที่ฟรี และเสียเงิน ใช่ไหมหละ

แต่หากคุณเป็น SME ธุรกิจขนาดเล็ก หรือต้องการทำ SEO ด้วยตัวเองหละ

วันนี้ผมจะมาแนะนำ เทคนิค และเครื่องมือดีๆ ที่ผมใช้อยู่ทุกวันอย่างเจ้าตัว Ahrefs AI Free ที่หลายคนอาจไม่รู้ว่ามันใช้ดีมากกกก ก.ไก่ล้านตัว และมีฟีเจอร์ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนแน่ๆ  



Ahrefs คืออะไร

Ahrefs (เอช-เรฟ) คือ เครื่องมือที่ดีที่สุดใน การทำ SEO และครอบคลุมที่สุดในปัจจุบัน (หลังจากที่ได้ลองใช้มาหลายๆตัวหนะ) มีทั้งแบบเวอร์ชันฟรีและเสียเงิน โปรแกรมนี้ช่วยคุณ

• ปรับปรุงอันดับเว็บไซต์: Ahrefs วิเคราะห์เว็บไซต์ของคุณ แนะนำกลยุทธ์ และติดตามผลลัพธ์ ช่วยให้คุณขึ้นอันดับบนหน้าผลการค้นหา (SERP)
• ติดตามอันดับ: ตรวจสอบอันดับเว็บไซต์ของคุณสำหรับคีย์เวิร์ดเป้าหมาย วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลง และติดตามความคืบหน้า
• ตรวจสอบลิงก์: วิเคราะห์ลิงก์ที่เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ ค้นหาลิงก์เสีย และสร้างกลยุทธ์สร้าง backlinks ที่มีประสิทธิภาพ
• ค้นหาคีย์เวิร์ด: ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง ค้นหาปริมาณการค้นหา และวิเคราะห์ความยากง่ายของคีย์เวิร์ด
• วิเคราะห์คู่แข่ง: วิเคราะห์กลยุทธ์ SEO ของคู่แข่ง ค้นหาจุดแข็งและจุดอ่อน และเรียนรู้จากพวกเขา

ถ้าให้ผมบอกง่ายๆ Ahrefs เปรียบเสมือนผู้ช่วย SEO ส่วนตัว  ช่วยให้คุณทำงาน SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เพิ่ม Traffic  และประสบความสำเร็จบนโลกออนไลน์
แต่สำหรับพี่ๆ ที่ไม่มีงบการตลาด และต้องการทำ SEO ด้วยตัวเองในการจัดซื้อเครื่องมือตัวนี้  (สายฟรีแบบผม 5555+)    ผมมีเครื่องมือดีๆ แถมฟรีด้วยมาแนะนำให้ทุกคนรู้จักครับ



Ahrefs Free Tools

Ahrefs เป็นเครื่องมือทำ SEO ยอดนิยม สามารถใช้งานได้ทั้งแบบเสียเงินและแบบฟรี โดยแบบฟรีนั้น มีฟีเจอร์ให้เลือกใช้มากมาย เช่น

• Free Keyword Generator: ค้นหาคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมสำหรับ SEO บนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Google, Bing, Amazon และ Youtube
• Backlink Checker: ตรวจสอบจำนวน Backlink หรือลิงก์ย้อนกลับมายังเว็บไซต์ รวมถึง Domain Rating
• Website Traffic Checker: วิเคราะห์ยอดเข้าชมเว็บไซต์ คีย์เวิร์ดที่ดึงดูดผู้เข้าชม และหน้าเว็บที่มีคนเข้าชมมากที่สุด
• Keyword Rank Checker: ตรวจสอบอันดับ SEO ของเว็บไซต์สำหรับคีย์เวิร์ดที่เลือก

และนอกจากฟีเจอร์เหล่านี้ Ahrefs ก็มี AI Writing Tools เป็น AI ช่วยเขียนคอนเทนต์ SEO ให้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้นด้วย
ใช้งานได้ที่ : http://https://ahrefs.com/free-seo-tools หากใครไม่สนใจตัวนี้ ซึ่งผมขอบอกว่าดีมากๆ ก็ยังมี AI เขียนคอนเทนต์ ตัวอื่นๆที่ผมใช้ประจำอีกมากมาย นอกจาก ChatGPT , Google Bard (Gemini) ก็พวก Copy.ai , Anyword , Rytr , Copysmite , Sudowrite

ซึ่งไอเจ้า AI เขียนบทความ ฟรีของ Ahrefs มีฟีเจอร์ที่น่าใช้ก็พวก

• 1. Content Idea Generator
• 2. Outline Generator
• 3. Paragraph Generator

ซึ่งแต่ละ AI เขียนบทความ SEO แต่ละตัวใช้ทำอะไรได้บ้าง ผมขอไว้ต่อในบทความถัดไปละกันนะครับ ถ้าว่างเดี๋ยวผมมาทำต่อ แต่หากใครสนใจก็ไปอ่านเพิ่มเติมได้จากต้นทางเลยครับ https://thetepco.com/ahrefs-ai-writing-tools-free/ เขามีบอก Ahrefs AI ตัวอื่นๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการทำ SEO ของทุกๆคนแน่นอนครั�

เข้าไปอ่านมา ข้อมูลมีประโยชน์มากครับ ไหนจะเรื่องใหม่ๆ อย่าง Answer Engine Optimization (AEO) ที่จะสำคัญในปีหน้าด้วย

ลองใช้แล้วครับ User interface ดูน่าใช้งานมากเลยครับ หวั่นอนาคตคนทำ SEO ต้องมีการปรับตัวครั้งใหญ่แน่นอนเลยผมว่า คุณว่ายังไงบ้างหลังจากได้ใช้แล้ว  ปล. เห็นว่าจำกัดผู้ได้ลองใช้ แสดงว่าคุณโชคดี ถถถถ

เปลี่ยนให้เป็นภาษาอังกฤษดีกว่าครับ ตามเนื้อหาแบบที่เขาบอก มันช่วยมากจริงๆไม่ใช่แค่ เรื่องแชร์บนโซเชียลผมบอกเลย ช่วยเรื่องอันดับด้วย  ปล.ให้อยากใช้ภาษาไทยจริงๆแนะนำ ให้ครอบลิงก์ด้วย bitly ครับใช้งานง่ายไปลองดูนะครับผม

ใช่ครับผม Ahrefs แบบ Full(เสียเงิน) จะเหมาะกับพวก ทำการตลาด Marketer, Agency หรือ ธุรกิจขนาดกลางถึงใหญ่  เริ่มๆแบบเรา ใช้ตัวฟรีแบบข้างบนผมว่าก็ตอบโจทย์นะครับ ผมใช้แล้วมีให้เลือกฟีเจอร์หลากหลายมาก ต้องลองครับ

Google Bard เหมาะกับการทำ SEO เลยครับ

จากการใช้งาน Google Bard กับ Prompt หลายรูปแบบ พบว่า AI นี้มีประโยชน์หลายประการในการทำ SEO ดังนี้

• ช่วยคิด Headline ที่ดึงดูดความสนใจและเกี่ยวข้องกับคำหลักเป้าหมาย
• ช่วยเขียน Meta Description ที่กระชับ ชัดเจน และสื่อถึงเนื้อหาของบทความ
• ช่วยวางโครงสร้างของ Content ให้มีความน่าสนใจและน่าอ่าน
• ช่วยเขียน Content ที่มีคุณภาพสูงและเกี่ยวข้องกับคำหลักเป้าหมาย โดยบางครั้งอาจมี Source ข้อมูลมาให้เราด้วย
• ช่วยหา Keyword สามารถช่วยในการระบุคำหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ วิเคราะห์ความยากของKeyword
• ช่วยวิเคราะห์ลิงก์ย้อนกลับที่กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ หรือ Backlinks ซึ่งสามารถช่วยปรับปรุงอันดับของเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหา

หากใครหา AI ช่วยเขียนบทความ SEO ผมแนะนำ 5 ตัวนี้เลย สำหรับใครที่อยากหาตัวใหม่ๆ ที่ไม่ใช่ ChatGPT แต่ขอแนะนำสำหรับใคร ที่ยังไม่ได้ลอง Google Bard ผมแนะนำเลยครับ แล้วคุณจะไม่อยากใช้ AI ตัวไหนอีกเลย เพราะตอบโจทย์สำหรับคน อยากให้ AI ช่วยคิดคอนเทนต์ ทำบทความ SEO

AI ทำการดึงข้อมูลตามเว็บไซต์แบบเรียลไทม์หลายๆที่ ออกมาแล้วประมวลผลเป็นคำตอบแล้ว ส่งกลับมาให้เราครับ กรณีที่ไม่มีข้อมูลคำตอบนั้นอยู่ในข้อมูลที่ Google เอง  ลองใช้งานบ้างครั้งจะเห็น Source ข้อมูล Ref.ที่ Google นำมาใช้ครับ

ลง ท้ายด้วย เลข 9 นี้เจอประจำ พอเจอคำว่า Sale ก็วิ่งไปแทบจะทุกร้านเลย 555 

ทุกคนสามารถใช้งานได้มีเพียงแค่มี email account ของ Google เท่านั้น ใครได้ลองใช้กันบ้างยังครับ มาแลกเปลี่ยนความรู้กัน 

Google Bard เป็น AI ของ Google ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ ใช้งานง่ายและรองรับภาษาไทย บทความนี้จะตอบคำถามเกี่ยวกับ Google Bard ทั้งหมด เช่น Google Bard คืออะไร น่าใช้หรือไม่? แตกต่างกับ ChatGPT ในเรื่องการทำ SEO ไหม? หรือ Google Bard AI เหมาะกับการทำ SEO หรือเปล่า? เราจะมาหาคำตอบกัน  

---

Google Bard คืออะไร ?
Google Bard คือ Chatbot AI ของ Google ที่พัฒนามาเพื่อแข่งขันกับ ChatGPT โดยสามารถตอบคำถามในเชิงสนทนาได้เหมือนมนุษย์ โดยใช้โมเดลภาษา LaMDA ไม่ใช่แพนด้าเด้อ 555

โดย Google Bard AI ก็ AI ของ Google นั้นแหละ มีหน้าตาและวิธีใช้ง่าย คล้ายๆ ChatGPT เลย ใครเคยได้ลองใช้งานกันบ้างยังเอย ผมได้ใช้แล้วบอกเลยว่าดีเลยแหละ ก็คือ ตอบคำถามในเชิงสนทนาเหมือนๆกัน เป็น AI ที่ได้รับการพัฒนามาเพื่ออำนวยความสะดวกในการค้นหาข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ ในยุค AI จะเสิร์ชหาข้อมูลอะไรก็ง่าย พิมพ์คำค้นหา ก็มี AI มาช่วยหาข้อมูลให้เราแบบไม่ต้องเปิดดูหลายๆเว็บเลย ดีใช่ไหมละ ขนาด Chatgpt ยังบูมเลย จะบอกว่าใครยังไม่เคยลองใช้ Bard ห้ามพลาดบอกเลย

หน้าตาก็คือเป็นหน้าแชท มีช่องให้ใส่ Prompt (หรือคำสั่ง) ด้านล่างของหน้าจอ ตัวอย่างก็แบบนี้เลย


Bard AI ยังสามารถทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ Google ได้ เช่น Gmail, Google Docs, Google Drive, Google Maps และ YouTube อย่างไรก็ตาม ฟังก์ชันนี้ยังไม่พร้อมใช้งานในประเทศไทย แต่ลองหาอ่านข่าวดู คือมันช่วยให้การใช้ชีวิตในยุค Ai สะดวกสบายมากเลย.

ที่สำคัญคือ Bard AI นั้นฟรี และใช้งานได้แบบไม่จำกัด ด้วย ยังๆ ยังไม่พอ ข้อมูลเวลา AI คิดให้เราก็แบบบอกเลยว่า ดียยย์  เริ่มสนใจกันแล้วละสิ  มาๆ มาดูว่าใช้งานยังไง

---

Google Bard ใช้ยังไง?

วิธีใช้งาน Google Bard ทำได้ 2 วิธี คือผ่านเว็บไซต์ https://bard.google.com/ หรือติดตั้ง Extension Google chome ชื่อ Search Everywhere with Google Bard

หากผ่านเว็บไซต์อย่าลืมสมัครสมาชิกกันก่อนด้วยเด้อ ปล. หากใครมี Account Google หรือ Google Workspace ก็ log-in ผ่านเมลล์นั้นได้เลย ทำทีเดียวใช้ได้ทุกคนในบริษัท 5555

ได้เวลามาเริ่มไปพร้อมกัน   เมื่อเข้ามาแล้ว คุณจะพบกับช่องแชทที่คุณสามารถพิมพ์ข้อความหรือคำสั่งอะไรก็ได้ เพื่อให้ Bard AI แสดงผลออกมาตามที่ต้องการ

ความสามารถหลัก ๆ ของ Bard AI ประกอบด้วย

• การตอบคำถาม
• การแปลภาษา
• การคิด Content หรือไอเดียของ Content
• การคิด Headline ของ Content หรือ E-mai
• การค้นหาภาพหรือวิดีโอ

นอกจากนี้ Google Bard รองรับภาษาไทยแล้ว ดังนั้น คุณจึงสามารถสั่งมันด้วย Prompt ภาษาไทยได้เลย  เจ๋งกว่า ChatGPT อีกนะจะบอกให้

และถ้าสั่ง Bard ให้เขียนภาษาไทย ขอบอกเลยว่าไม่มีปัญหา เพราะภาษาของ Bard AI กระชับ เข้าใจง่าย ไม่แข็งทื้อเกินไป

---

Google Bard VS ChatGPT แตกต่างกันยังไง

Google Bard และ ChatGPT ทำงานคล้ายกัน จากรูปภาพข้างบน ก็จะเห็นข้อแตกต่างหลัก ๆ ดังนี้

• โมเดลภาษา: Google Bard ใช้โมเดลภาษา LaMDA ในขณะที่ ChatGPT ใช้โมเดลภาษา GPT-3.5 และ GPT-4
• ข้อมูลที่ใช้ประมวลผล: Google Bard ประมวลผลจากฐานข้อมูลแบบเรียลไทม์ ในขณะที่ ChatGPT ประมวลผลจากชุดฐานข้อมูลที่นำมาใช้ในการเทรนด์ถึงปี 2021
• การเข้าถึง: Google Bard ใช้งานได้ฟรีสำหรับผู้ใช้ Google Account ที่มีอายุมากกว่า 18 ปี ในขณะที่ ChatGPT ใช้งานได้ฟรีสำหรับทุกคน
• การเสียเงิน: Google Bard สามารถใช้งานได้ฟรี ในขณะที่ ChatGPT เวอร์ชัน 4.0 ต้องเสียเงิน

---

Google Bard กับการทำ SEO
หลังจากที่ลองใช้ด้วย Prompt หลาย ๆ รูปแบบ ผมมองว่า Bard AI เป็นตัวช่วยที่ไว้ใจได้ใน การทำ SEO โดย Bard AI นี้ มีประโยชน์หลายด้าน เพราะ Chatbot AI ถูกพัฒนามาเพื่ออำนวยความสะดวกในการค้นหาข้อมูลในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งสามารถตอบคำถามในเชิงสนทนาได้เหมือนมนุษย์ ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะคนดึงศักย์ภาพและความสามารถนี้ นำมาใช้ในการทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของ Google Bard ในการทำ SEO

1.ช่วยคิด Headline

Headline เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเนื้อหา และการทำ SEO เพราะเป็นส่วนที่ดึงดูดความสนใจของผู้ค้นหาและช่วยให้เนื้อหาถูกคลิกเข้ามาอ่าน Google Bard สามารถช่วยคิด Headline ที่น่าสนใจและสอดคล้องกับเนื้อหาได้

2.ช่วยเขียน Meta Description

Meta Description เป็นข้อความสั้น ๆ ที่ปรากฏใต้ URL ของเนื้อหาในผลการค้นหา หรือรายละเอียดคำอธิบายเนื้อหาของหน้านั้นแหละ ซึ่ง Google Bard สามารถช่วยเขียน Meta Description ที่กระชับ ชัดเจน และดึงดูดความสนใจได้

3.ช่วยวางโครงสร้างของ Content

โครงสร้างของเนื้อหามีความสำคัญต่อ การทำ SEO เพราะช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาและจัดอันดับให้ดีขึ้น Google Bard สามารถช่วยวางโครงสร้างของเนื้อหาให้เหมาะสมกับหัวข้อและกลุ่มเป้าหมายได้. ให้คิด H1, H2 , H3 หรือคิดคอนเทนต์คอนเทนต์ของ หัวข้อนั้นๆยังได้เลย จะให้มี intro มีสรุปก็ทำได้สะดวกสบายจริงๆยุคนี้  

4.ช่วยเขียน Content

Google Bard สามารถช่วยเขียน Content ได้ทั้งบางส่วนหรือทั้งบทความ ก็ยังทำได้ โดยบางครั้งจะมี Source ข้อมูลมาให้เราด้วย ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดเวลาและพลังงานในการเขียน Content ให้ช่วยคิด ช่วยเขียนบทความ SEO Content ให้เราได้ด้วยและที่สำคัญเขียนได้ออกมาดีมาก แนะนำให้ลองดูห้ามพลาด

ข้อควรระวังในการใช้ Google Bard ในการทำ SEO

ถึงแม้ว่า Google Bard จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ใน การทำ SEO แต่ก็มีบางสิ่งที่ควรระวัง เช่น

- ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
Google Bard อาศัยข้อมูลจากการค้นหาของ Google ดังนั้น ข้อมูลที่อยู่ใน Content ที่ Google Bard เขียนขึ้นอาจไม่ถูกต้องทั้งหมด ดังนั้น ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนเผยแพร่ (เช็คความถูกต้องกันด้วยเด้ออ เพื่อการติดอันดับ SEO ที่สูงขึ้นของเราๆ)

- ควรปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับ SEO
แม้จะใช้ Google Bard ช่วยเขียน Content แต่ก็ต้องปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับ SEO ด้วย เช่น ใส่คำหลักที่เกี่ยวข้องในเนื้อหาอย่างเหมาะสม,

สรุป

Google Bard เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการทำ SEO โดยสามารถช่วยคิด Headline, Meta Description, วางโครงสร้างของ Content และช่วยเขียน Content ได้ ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดเวลาและพลังงานในการทำ SEO อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับ SEO ด้วย


Google Bard เป็นคู่แข่งที่ทรงพลังของ ChatGPT และ AI Chatbot ตัวอื่น ๆ เพราะนอกจากจะสามารถทำงานได้เหมือนกันและทำงานได้ดีแล้ว ยังมีฟังก์ชันบางอย่างที่ Chatbot ตัวอื่นไม่มีอีกด้วย

นอกจากนี้ การมาถึงของ Bard ยังทำให้การแข่งขันกันทำคอนเทนต์ SEO เข้มข้นขึ้นกว่าเดิม เพราะใคร ๆ ก็สามารถเป็นนักเขียนคอนเทนต์ SEO ที่มีคุณภาพได�

คอนเทนต์หัวใจหลัก SEO ช่วยซัพพอร์ต ปังๆเลยครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ

พอได้รู้จัก Featured Snippet คือทำติดหน้าแรก ได้ง่ายเลย ขอบคุณครับ

ทำหน้าเว็บไซต์ให้เร็ว ช่วยได้เยอะเลยครับ

เขียนดีเลยครับผม

 .ใช่ง่าย แบบฟรีก็มีด้วย

  โฟกัส EEAT อยู่เลยครับ