กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ มีพระกับเณร 2 รูปธุดงค์อยู่อย่างเงียบๆกลางป่ากลางเขามานานหลายวัน วันหนึ่งพระกับเณรได้ธุดงค์มาจนถึงลำธารที่ไหลเชี่ยวมาก ที่กลางลำธารนั้นมียายแก่คนหนึ่งกำลังถูกกระแสน้ำพัดใส่อย่างรุนแรง
เมื่อเห็นดังนั้นแล้วพระหนุ่มจึงได้ลงไปช่วยยายแก่คนนั้นด้วยการแบกขึ้นหลังและพาขึ้นฝั่ง สร้างความประหลาดใจให้กับเณรเป็นอย่างมาก แต่เณรก็ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นพระกับเณรก็ออกธุดงค์ต่อไปอย่างเงียบสงบ โดยในใจเณรนั้นก็เกิดคำถามที่ทำให้ว้าวุ่นใจขึ้นมาว่าการที่พระไปโดนตัวสีกาแบบนั้นมันควรหรือไม่
จนกระทั่ง 2 วันผ่านไป เณรก็ทนความอึดอัดไม่ไหวจึงถามพระขึ้นมาว่า
“หลวงพ่อทำไมท่านถึงได้ลงไปช่วยคุณยายคนนั้น การถูกเนื้อต้องตัวสีกามันผิดไม่ใช่เหรอ ท่านทำแบบนั้นได้ยังไง แบบนี้มันผิดนะ ท่านไม่น่าอุ้มคุณยายขึ้นมาเลย”
พระจึงหันมาตอบกับเณรว่า
“เราน่ะวางคุณยายท่านนั้นลงไปตั้งแต่ 2 วันก่อนแล้วนะ แต่เณรนั่นแหละ… ที่ยังไม่วาง”
.
.
.
.
วันนี้อาจจะมาแนวแปลกกว่าทุกทีนะครับ แต่เรื่องที่จะพูดให้ฟังวันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้เราสามารถไปต่อในธุรกิจได้ครับ
เคยไหมครับที่เจอลูกค้าที่ชวนอารมณ์เสีย แล้วทำให้อารมณ์เสียต่อเนื่องกันเป็นวันๆ ส่งผลไปถึงลูกคนอื่นๆที่มาทีหลังไปด้วย
เคยไหมที่เราเจอปัญหาในการเปิดร้านแล้วก็แบกมันไว้ตลอด ลืมไม่ลง แล้วสุดท้ายสถานการณ์ที่เป็นอยู่ก็แย่ลง
สิ่งที่อยากจะบอกเพื่อนๆในวันนี้ก็คือการปล่อยวางนั่นเองครับ บางครั้งการทำธุรกิจเราก็จะต้องเจอปัญหา อุปสรรค หรือเหตุการณ์ต่างๆมากมายที่จะทำให้เรารู้สึกขุ่นมัว แต่การที่เก็บเอาอารมณ์เหล่านั้นติดตัวเราไว้นั้นอาจไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องนะครับ
วันนี้ผมอยากจะเสนอแนะวิธีที่น่าสนใจวิธีหนึ่ง นั่นก็คือการปล่อยวางนั่นเองครับ เหมือนอย่างเรื่องเล่าในตอนต้นผู้ที่เก็บเอามาคิดก็คือเณรก็เป็นเพียงคนเดียวที่รู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่การปล่อยวางที่ผมบอกไม่ใช่ให้ทิ้งปัญหานั้นๆนะครับ แต่ผมหมายถึงให้ปล่อยวางอารมณ์ที่เกิดขึ้นครับ เพราะการที่เรามีอารมณ์ขุ่นมัวการจะคิดหาวิธีแก้ปัญหานั้นอาจทำได้ยากกว่าขณะที่เรารู้สึกโล่งสบาย จริงไหมครับ ?
สำหรับวิธีสลัดอารมณ์ขุ่นมัวก็มีหลายวิธีครับ เช่น เพื่อนๆเลือกเพลงประจำตัวที่ฟังแล้วรู้สึกดีหรือมีกำลังใจเอาไว้ จากนั้นฟังมันบ่อยๆทุกครั้งที่อารมณ์ดี เมื่อถึงเวลาที่เรามีอารมณ์ขุ่นมัวก็ให้เปิดเพลงนี้ขึ้นมาจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้ครับ หรือการหาที่ระบายความหงุดหงิดออกไปด้วยการวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้วตะโกนออกมาดังๆก็ได้ครับ หรือจะหาเพื่อนที่เป็นผู้ฟังที่ดีมารับฟังเรื่องราวของเราก็ได้ แต่เล่าให้หมดทุกอย่างนะครับเพื่อที่จะได้สลัดมันออกไปให้หมด เป็นต้น
เมื่อเราสามารถสลัดอารมณ์ขุ่นมัวทิ้งไปได้สมองเราก็จะพร้อมกลับมาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะทำให้วิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆนั้นพรั่งพรูออกมาและทำให้เราผ่านพ้นปัญหาเหล่านั้นไปได้ด้วยดีครับ
สุดท้ายก่อนจากกันในวันนี้ แอดมินได้บังเอิญเจอประโยคเด็ดในอินเตอร์เนทมาครับจะเอามาฝากเพื่อนๆกัน
“คนอ่อนแอ คอยแต่จะแก้แค้น
คนเข้มแข็ง ให้อภัย
แต่คนที่ไม่สนใจ ไม่เก็บเอามาคิด คือคนฉลาด”
วันนี้เพื่อนๆอยากเป็นแบบไหนกันครับ ?
ref :
http://www.thepiing.com/?p=2973