ThaiSEOBoard.com

ความรู้ทั่วไป => Cryptocurrency => ข้อความที่เริ่มโดย: บิ๊กตู่ ที่ 15 ธันวาคม 2017, 16:44:14



หัวข้อ: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: บิ๊กตู่ ที่ 15 ธันวาคม 2017, 16:44:14
(https://www.khaosod.co.th/wp-content/uploads/2017/12/kzr5utw-696x398.jpg)



  นายอภิศักดิ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวเตือนประชาชนที่ลงทุนในบิทคอยน์ ว่า เป็นการเล่นพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง ซึ่งล่าสุดนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท. ) กำลังศึกษาอยู่ว่าหากมีการลงทุนในลักษณะนี้จะเป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจหรือไม่ ซึ่งผลการศึกษายังไม่แล้วเสร็จ และเบื้องต้น ธปท. ยังไม่รับรองบิทคอยน์เป็นเงินที่ใช้ในการชำระหนี้ตามกฎหมายได้



https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_670114


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: sunwu ที่ 15 ธันวาคม 2017, 17:17:43
งานเข้า    :wanwan004:


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: PAI ที่ 15 ธันวาคม 2017, 18:48:58
เออ ฮาดี งั้น forex ให้มันถูกกฎหมายทำไม
ปล.ผมเล่นนะ5555


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: A-LAND ที่ 15 ธันวาคม 2017, 19:04:06
มีผู้นำที่ไม่รู้จริง มักพาคนในประเทศที่ไม่รู้เชื่อตามๆ กัน จนสุดท้ายกลายเป็นความถูกต้องของคนในสังคมแบบงงๆ แล้วเมื่อคนที่รู้จริงออกมาพูดก็จะกลายเป็นไอ้โง่ในสังคมทันที  :wanwan023:


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: newbie-pro ที่ 15 ธันวาคม 2017, 19:25:05
ครับท่าน หุ้นก็การพนัน และที่หนักกว่าคือ ล็อตเตอรีครับ ตัวเอ้เลย....


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: LoveRomyui88io ที่ 15 ธันวาคม 2017, 19:32:50
 :wanwan009: :wanwan009:


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: thepkboy ที่ 15 ธันวาคม 2017, 22:17:54
ไม่รู้จะพิมพ์อะไร แต่ขำ ครับ ออกมาเตือนหรืออะไรไม่ได้ว่าน่ะ แต่ขำตรงบอกว่าพนันนี้แหละ :wanwan001:


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: หลานยายปริก ที่ 15 ธันวาคม 2017, 23:00:57
ถามจริง ตอนนี้บิทคอยน์มีการใช้จ่าย/โอนให้กันระหว่างบุคคลหรือธุรกิจมากแค่ไหนกันครับ (ยิ่งตอนนี้ค่าธรรมเนียมแพงขึ้นอีก) เห็นบางที่ก็งดรับไปล่ะ ที่ได้ยินข่าวบ่อยๆก็จากนักลงทุนหรือตลาดซื้อขายที่ซื้อมาเก็งกำไรกันเท่านั้นแล้วอย่างนี้มันจะเป็นอนาคตของระบบแลกเปลี่ยนเงินตราหรือเศรษฐกิจจริงหรือครับ

ถามแบบไม่รู้มาขอความเห็นแบบมีเหตุผลประกอบไม่เอาความรู้สึกนะครับ


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: บิ๊กตู่ ที่ 16 ธันวาคม 2017, 00:03:37
ถามจริง ตอนนี้บิทคอยน์มีการใช้จ่าย/โอนให้กันระหว่างบุคคลหรือธุรกิจมากแค่ไหนกันครับ (ยิ่งตอนนี้ค่าธรรมเนียมแพงขึ้นอีก) เห็นบางที่ก็งดรับไปล่ะ ที่ได้ยินข่าวบ่อยๆก็จากนักลงทุนหรือตลาดซื้อขายที่ซื้อมาเก็งกำไรกันเท่านั้นแล้วอย่างนี้มันจะเป็นอนาคตของระบบแลกเปลี่ยนเงินตราหรือเศรษฐกิจจริงหรือครับ

ถามแบบไม่รู้มาขอความเห็นแบบมีเหตุผลประกอบไม่เอาความรู้สึกนะครับ



ก่อนอื่น ผมข้อเล่าถึง Big Think ที่เกิดขึ้น ยุค 1990 ช่วงปี 1997 การเกิดขึ้นของ Internet ตอนนั้นไทย ยังไม่ได้สนใจกับ Internet มากนัก และไม่ได้มุ่งเน้นพัฒนาด้านเครือข่าย Interent เท่าที่ควร

และ Bitcoin มันคือ Big Think อันที่ 2 ต่อจาก Internet ครับ

ทำไมมันถึงสำคัญ ทำไมแม้แต่ Bill Gate เอง ก็ออกมาให้สัมภาษณ์กับทาง CNBC ว่า Bitcoin คือ การเงินยุคใหม่ ช่วงปี 2013

ทำไม ธนาคาร สถาบันการเงิน ถึง พยายาม ออกมาต่อต้าน โจมตี Bitcoin ไม่ว่าจะเป็น Warren Buffett , Jamie Dimon CEO ของ JPMorgan , Ben Bernanke

เพราะการเกิดขึ้นของ Bitcoin หรือ Cryptocurrencies นั้น จะส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงิน ธนาคาร และตลาดหุ้น แน่นอน เพราะเม็ดเงินจำนวนมาก จะไหลไปสู่ตลาด Crypto นั่นเองครับ

และ Blockchain คือ เทคโนโลยี หลังบ้านของ Bitcoin และเหรียญอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Ethereum , Dash , Litecoin , Zcash , Monero  ฯลฯ

และด้วยด้วยการเก็บข้อมูลแบบ Blockchain ที่กระจายไปเก็บไว้ในเครื่องต่างๆ ของนักขุด Miners จึงทำให้ข้อมูล ถูกเก็บไว้บนที่ต่างๆ ทั่วโลก จาก Computer หลักล้านเครื่อง

เป็นการเก็บข้อมูล ที่มีความปลอดภัยสูงมากๆ ไม่มีใคร หรือ Hacker คนไหน สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูล หรือ Transaction ของ Cryptocurrencies ได้

และนักขุด Miners จะทำการ Confirm Transaction เพื่อได้รับรางวัล จากการยืนยันธุรกิจ แบบ Proof of Work และล่าสุด เหรียญ ETH ก็กำลังปรับจาก Proof of Work ไปเป็น Proof of Stake เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลง และเป็นการฝากเงิน เพื่อได้รับรางวัล แทนที่การขุด และนักขุดเรียกว่า การตีเหล็ก นัน่เองครับ ETH กำลังจะเปลี่ยนจาก PoW เป็น PoS ตั้งแต่เดือน ธันวาคม เป็นต้นไป ค่อยๆ เปลี่ยน ให้เสร็จภายในปีหน้า 2018

การที่เราได้ข่าวว่ามีการ Hack ส่วนใหญ่มาจาก การแฮกเว็บ Exchange , เว็บ Trade หรือ เว็บซื้อ-ขาย กำลังขุด Hash Rate นั่นเอง โดยไม่สามารถ Hack เหรียญ หรือ Blockchain ได้

ก็ไปแฮกเอา Wallet Address และ Private Key บน Server ของผู้ให้บริการแทน แน่นอน ความปลอดภัย มาจากผู้ให้บริการแต่ละเจ้า

และเราจะเห็นว่า ส่วนใหญ่ หากเป็นกระเป๋าเก็บเงินเว็บ Exchange , เว็บ Trade หรือ เว็บซื้อ-ขาย กำลังขุด Hash Rate เขาจะไม่ให้ Private Key กับเรา ให้แต่  Wallet Address เมื่อเขาเก็บ Private Key สำหรับยืนยันการฝาก ถอน เงิน ของเรา แน่นอน เมื่อ Hacker เข้าถึง ก็สามารถแฮกเอาเงินไปได้นั่นเอง

นักขุด นักเทรด จึงสร้าง Wallet Address นอก ไว้ใช้เอง และเก็บ Private key เป็นความลับ บางคนก็จดใส่กระดาษเก็บไว้ หรือ หลายคน ก็ไปซื้อ Wallet Hardware Security อย่าง Ledger Nano เก็บเงิน Cryptocurrencies ของตัวเองครับ

แล้วทำไม Bitcoin จึงไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทยในการซื้อ ขาย สินค้า บริการ ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนครับว่า ปัจจุบัน ยังไม่มีกฎหมายรองรับ Bitcoin ในประเทศไทยครับ และไม่สำมารถชำระหนี้ ทางกฎหมายได้

แต่เราสามารถแลก Bitcoin และเหรียญอื่นๆ เป็นเงินบาท ผ่านเว็บ BX.in.th , Tdax.com และเว็บแลกเงินต่างประเทศเช่น Localbitcoins , Bitpay , CEX.io , Bitflyer , Bithumb

นอกจากนี้ ปัจจุบัน เราสามรถสร้างบัตร Debit Bitcoin จาก Epayments และ Tenx เพื่อเอาบัตรที่สร้างจากต่างประเทศ มากดเงินบาท ตู้ ATM ทุกธนาคารได้ โดยที่เราฝากเงิน Cryptocurrency เข้าไปในระบบ จากนั้น เราเอาบัตรไปกดออกมาเป็นเงินบาท แล้วผู้ให้บริการจะไปหัก Bitcoin และเหรียญอื่นๆ เองอัตโนมัติ

www.epayments.com (http://www.epayments.com)

www.tenx.tech (http://www.tenx.tech)

นอกจากนี้ ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ออกกฎหมายรองรับการใช้ Bitcoin ซื้อ-ขายสินค้่า อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเกาหลีเองก็เช่นกัน เพียงแต่ เกาหลีใต้จะแบน ICO หรือ การระดมทุนจากเหรียญใหม่ จาก Start Up

ประเทศอเมริกาเองก็ได้ออกกฎหมายรองรับ Bitcoin ด้วยเช่นกัน และถือว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ล่าสุดวันที่ 10 ธันวาคม CBOE ได้เปิดเทรด Bitcoin Future และวันที่ 17 CME Group ถือเป็นตลาดฟิวเจอร์ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็จะเปิดเทรด Bitcoin Future ด้วยเช่นกันครับ ส่วน Nasdaq จะเปิดเทรดในปี 2018

นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทย ก็ได้พัฒนา Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหลังบ้าน ของ Bitcoin มาช่วยในการเก็บข้อมูลของธนาคาร ช่วยทำให้การทำธุรกรรมทางการเงิน สัญญากู้ยืม เร็วขึ้นภายใน 1 วัน จากเดิม 7 วัน จริงๆ CEO กสิกร บอกว่า เร็ว 1 ชั่วโมง เพียงแต่ต้องการทำให้มันถูกต้องจริงๆ

ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ใช้เทคโนโลยี ของเหรียญ Ripple ในการโอนเงินระหว่างประเทศ เช่น ไทย - ญี่ปุ่น จากเดิมที่ต้องโอนเงินไปญี่ปุ่น ใช้เวลา 7 วัน ขึ้นไป มาใช้เวลาเพียง 15 นาที

แต่แม้ว่า Fiat Money หรือเงินสด ของธนาคาร จะนำเอา Blockchain ไปใช้ แต่มันก็ไม่ใช่ Decentralized 100% ซึ่งตรงจุดนี้ ไม่มีทางที่ระบบการเงินยุดเก่า จะเอาชนะ Cryptocurrency ได้เลย เพราะมันเป็น Decentralized 100% นั่นเอง

และตอนนี้ LAZADA ในไทย ก็จะเปิดใช้ Bitcoin ในการซื้อขาย สินค้า

และล่าสุดทาง EBay ทาง CEO ก็บอกว่าจะเร่งใช้ Bitcoin ในการซื้อขายสินค้าด้วยเช่นกันครับ

และเหรียญ OmiseGo ซึ่งเป็นเหรียญของ บริษัท Omise เป็น Payment Gate Way ของไทย กับ ญี่ปุ่น ที่สร้างจากเทคโนโลยี Blockchain ของ Ethereum ก็ได้ ทำการซื้อ Pay Sabay ต่อจาก Dtac เพื่อ นำเอามาให้บริการ จ่ายเงิน ชำระเงิน

แม้ว่าหลายคนมองว่า จะไม่ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ลึกๆ แล้วเราใช้มันอยู่ครับ


 :P






























หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: Twenty-One ที่ 16 ธันวาคม 2017, 11:50:20
ต้องแยกให้ออกระหว่างเก็งกำไรกับพนัน


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: oil1979 ที่ 16 ธันวาคม 2017, 13:30:14
ถามจริง ตอนนี้บิทคอยน์มีการใช้จ่าย/โอนให้กันระหว่างบุคคลหรือธุรกิจมากแค่ไหนกันครับ (ยิ่งตอนนี้ค่าธรรมเนียมแพงขึ้นอีก) เห็นบางที่ก็งดรับไปล่ะ ที่ได้ยินข่าวบ่อยๆก็จากนักลงทุนหรือตลาดซื้อขายที่ซื้อมาเก็งกำไรกันเท่านั้นแล้วอย่างนี้มันจะเป็นอนาคตของระบบแลกเปลี่ยนเงินตราหรือเศรษฐกิจจริงหรือครับ

ถามแบบไม่รู้มาขอความเห็นแบบมีเหตุผลประกอบไม่เอาความรู้สึกนะครับ



ก่อนอื่น ผมข้อเล่าถึง Big Think ที่เกิดขึ้น ยุค 1990 ช่วงปี 1997 การเกิดขึ้นของ Internet ตอนนั้นไทย ยังไม่ได้สนใจกับ Internet มากนัก และไม่ได้มุ่งเน้นพัฒนาด้านเครือข่าย Interent เท่าที่ควร

และ Bitcoin มันคือ Big Think อันที่ 2 ต่อจาก Internet ครับ

ทำไมมันถึงสำคัญ ทำไมแม้แต่ Bill Gate เอง ก็ออกมาให้สัมภาษณ์กับทาง CNBC ว่า Bitcoin คือ การเงินยุคใหม่ ช่วงปี 2013

ทำไม ธนาคาร สถาบันการเงิน ถึง พยายาม ออกมาต่อต้าน โจมตี Bitcoin ไม่ว่าจะเป็น Warren Buffett , Jamie Dimon CEO ของ JPMorgan , Ben Bernanke

เพราะการเกิดขึ้นของ Bitcoin หรือ Cryptocurrencies นั้น จะส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงิน ธนาคาร และตลาดหุ้น แน่นอน เพราะเม็ดเงินจำนวนมาก จะไหลไปสู่ตลาด Crypto นั่นเองครับ

และ Blockchain คือ เทคโนโลยี หลังบ้านของ Bitcoin และเหรียญอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Ethereum , Dash , Litecoin , Zcash , Monero  ฯลฯ

และด้วยด้วยการเก็บข้อมูลแบบ Blockchain ที่กระจายไปเก็บไว้ในเครื่องต่างๆ ของนักขุด Miners จึงทำให้ข้อมูล ถูกเก็บไว้บนที่ต่างๆ ทั่วโลก จาก Computer หลักล้านเครื่อง

เป็นการเก็บข้อมูล ที่มีความปลอดภัยสูงมากๆ ไม่มีใคร หรือ Hacker คนไหน สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูล หรือ Transaction ของ Cryptocurrencies ได้

และนักขุด Miners จะทำการ Confirm Transaction เพื่อได้รับรางวัล จากการยืนยันธุรกิจ แบบ Proof of Work และล่าสุด เหรียญ ETH ก็กำลังปรับจาก Proof of Work ไปเป็น Proof of Stake เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลง และเป็นการฝากเงิน เพื่อได้รับรางวัล แทนที่การขุด และนักขุดเรียกว่า การตีเหล็ก นัน่เองครับ ETH กำลังจะเปลี่ยนจาก PoW เป็น PoS ตั้งแต่เดือน ธันวาคม เป็นต้นไป ค่อยๆ เปลี่ยน ให้เสร็จภายในปีหน้า 2018

การที่เราได้ข่าวว่ามีการ Hack ส่วนใหญ่มาจาก การแฮกเว็บ Exchange , เว็บ Trade หรือ เว็บซื้อ-ขาย กำลังขุด Hash Rate นั่นเอง โดยไม่สามารถ Hack เหรียญ หรือ Blockchain ได้

ก็ไปแฮกเอา Wallet Address และ Private Key บน Server ของผู้ให้บริการแทน แน่นอน ความปลอดภัย มาจากผู้ให้บริการแต่ละเจ้า

และเราจะเห็นว่า ส่วนใหญ่ หากเป็นกระเป๋าเก็บเงินเว็บ Exchange , เว็บ Trade หรือ เว็บซื้อ-ขาย กำลังขุด Hash Rate เขาจะไม่ให้ Private Key กับเรา ให้แต่  Wallet Address เมื่อเขาเก็บ Private Key สำหรับยืนยันการฝาก ถอน เงิน ของเรา แน่นอน เมื่อ Hacker เข้าถึง ก็สามารถแฮกเอาเงินไปได้นั่นเอง

นักขุด นักเทรด จึงสร้าง Wallet Address นอก ไว้ใช้เอง และเก็บ Private key เป็นความลับ บางคนก็จดใส่กระดาษเก็บไว้ หรือ หลายคน ก็ไปซื้อ Wallet Hardware Security อย่าง Ledger Nano เก็บเงิน Cryptocurrencies ของตัวเองครับ

แล้วทำไม Bitcoin จึงไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทยในการซื้อ ขาย สินค้า บริการ ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนครับว่า ปัจจุบัน ยังไม่มีกฎหมายรองรับ Bitcoin ในประเทศไทยครับ และไม่สำมารถชำระหนี้ ทางกฎหมายได้

แต่เราสามารถแลก Bitcoin และเหรียญอื่นๆ เป็นเงินบาท ผ่านเว็บ BX.in.th , Tdax.com และเว็บแลกเงินต่างประเทศเช่น Localbitcoins , Bitpay , CEX.io , Bitflyer , Bithumb

นอกจากนี้ ปัจจุบัน เราสามรถสร้างบัตร Debit Bitcoin จาก Epayments และ Tenx เพื่อเอาบัตรที่สร้างจากต่างประเทศ มากดเงินบาท ตู้ ATM ทุกธนาคารได้ โดยที่เราฝากเงิน Cryptocurrency เข้าไปในระบบ จากนั้น เราเอาบัตรไปกดออกมาเป็นเงินบาท แล้วผู้ให้บริการจะไปหัก Bitcoin และเหรียญอื่นๆ เองอัตโนมัติ

[url=http://www.epayments.com]www.epayments.com[/url] ([url]http://www.epayments.com[/url])

[url=http://www.tenx.tech]www.tenx.tech[/url] ([url]http://www.tenx.tech[/url])

นอกจากนี้ ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ออกกฎหมายรองรับการใช้ Bitcoin ซื้อ-ขายสินค้่า อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเกาหลีเองก็เช่นกัน เพียงแต่ เกาหลีใต้จะแบน ICO หรือ การระดมทุนจากเหรียญใหม่ จาก Start Up

ประเทศอเมริกาเองก็ได้ออกกฎหมายรองรับ Bitcoin ด้วยเช่นกัน และถือว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ล่าสุดวันที่ 10 ธันวาคม CBOE ได้เปิดเทรด Bitcoin Future และวันที่ 17 CME Group ถือเป็นตลาดฟิวเจอร์ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็จะเปิดเทรด Bitcoin Future ด้วยเช่นกันครับ ส่วน Nasdaq จะเปิดเทรดในปี 2018

นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทย ก็ได้พัฒนา Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหลังบ้าน ของ Bitcoin มาช่วยในการเก็บข้อมูลของธนาคาร ช่วยทำให้การทำธุรกรรมทางการเงิน สัญญากู้ยืม เร็วขึ้นภายใน 1 วัน จากเดิม 7 วัน จริงๆ CEO กสิกร บอกว่า เร็ว 1 ชั่วโมง เพียงแต่ต้องการทำให้มันถูกต้องจริงๆ

ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ใช้เทคโนโลยี ของเหรียญ Ripple ในการโอนเงินระหว่างประเทศ เช่น ไทย - ญี่ปุ่น จากเดิมที่ต้องโอนเงินไปญี่ปุ่น ใช้เวลา 7 วัน ขึ้นไป มาใช้เวลาเพียง 15 นาที

แต่แม้ว่า Fiat Money หรือเงินสด ของธนาคาร จะนำเอา Blockchain ไปใช้ แต่มันก็ไม่ใช่ Decentralized 100% ซึ่งตรงจุดนี้ ไม่มีทางที่ระบบการเงินยุดเก่า จะเอาชนะ Cryptocurrency ได้เลย เพราะมันเป็น Decentralized 100% นั่นเอง

และตอนนี้ LAZADA ในไทย ก็จะเปิดใช้ Bitcoin ในการซื้อขาย สินค้า

และล่าสุดทาง EBay ทาง CEO ก็บอกว่าจะเร่งใช้ Bitcoin ในการซื้อขายสินค้าด้วยเช่นกันครับ

และเหรียญ OmiseGo ซึ่งเป็นเหรียญของ บริษัท Omise เป็น Payment Gate Way ของไทย กับ ญี่ปุ่น ที่สร้างจากเทคโนโลยี Blockchain ของ Ethereum ก็ได้ ทำการซื้อ Pay Sabay ต่อจาก Dtac เพื่อ นำเอามาให้บริการ จ่ายเงิน ชำระเงิน

แม้ว่าหลายคนมองว่า จะไม่ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ลึกๆ แล้วเราใช้มันอยู่ครับ


 :P






























สุดยอดครับ  :wanwan017: :wanwan017: :wanwan017:


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: ArcheR ที่ 16 ธันวาคม 2017, 15:11:59
เออ ฮาดี งั้น forex ให้มันถูกกฎหมายทำไม
ปล.ผมเล่นนะ5555

Forex สำหรับบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้รับอนุญาติจากกระทรวงการคลังไม่มีสิทธิเล่นนะครับ แต่ถ้าท่านกล่าวถึงระดับสถาบันการเงินอันนี้ถูกกฏหมายครับ แต่ส่วนบุคคลธรรมดาผมก็ยังงงว่าเห็นมีหนังสือสอนเล่นออกมาขายเยอะแยะไม่ผิดกฏหมายหรอ พอไปถามคนเขียนหนังสือเขายังตอบผมอ้อมๆ บ้าง แถมยังติดค้างคำถามเรื่องการดีแคร์เงินได้จากกำไร forex อยู่เลย


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: BeerKingMan ที่ 16 ธันวาคม 2017, 15:26:29
ถามจริง ตอนนี้บิทคอยน์มีการใช้จ่าย/โอนให้กันระหว่างบุคคลหรือธุรกิจมากแค่ไหนกันครับ (ยิ่งตอนนี้ค่าธรรมเนียมแพงขึ้นอีก) เห็นบางที่ก็งดรับไปล่ะ ที่ได้ยินข่าวบ่อยๆก็จากนักลงทุนหรือตลาดซื้อขายที่ซื้อมาเก็งกำไรกันเท่านั้นแล้วอย่างนี้มันจะเป็นอนาคตของระบบแลกเปลี่ยนเงินตราหรือเศรษฐกิจจริงหรือครับ

ถามแบบไม่รู้มาขอความเห็นแบบมีเหตุผลประกอบไม่เอาความรู้สึกนะครับ



ก่อนอื่น ผมข้อเล่าถึง Big Think ที่เกิดขึ้น ยุค 1990 ช่วงปี 1997 การเกิดขึ้นของ Internet ตอนนั้นไทย ยังไม่ได้สนใจกับ Internet มากนัก และไม่ได้มุ่งเน้นพัฒนาด้านเครือข่าย Interent เท่าที่ควร

และ Bitcoin มันคือ Big Think อันที่ 2 ต่อจาก Internet ครับ

ทำไมมันถึงสำคัญ ทำไมแม้แต่ Bill Gate เอง ก็ออกมาให้สัมภาษณ์กับทาง CNBC ว่า Bitcoin คือ การเงินยุคใหม่ ช่วงปี 2013

ทำไม ธนาคาร สถาบันการเงิน ถึง พยายาม ออกมาต่อต้าน โจมตี Bitcoin ไม่ว่าจะเป็น Warren Buffett , Jamie Dimon CEO ของ JPMorgan , Ben Bernanke

เพราะการเกิดขึ้นของ Bitcoin หรือ Cryptocurrencies นั้น จะส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงิน ธนาคาร และตลาดหุ้น แน่นอน เพราะเม็ดเงินจำนวนมาก จะไหลไปสู่ตลาด Crypto นั่นเองครับ

และ Blockchain คือ เทคโนโลยี หลังบ้านของ Bitcoin และเหรียญอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Ethereum , Dash , Litecoin , Zcash , Monero  ฯลฯ

และด้วยด้วยการเก็บข้อมูลแบบ Blockchain ที่กระจายไปเก็บไว้ในเครื่องต่างๆ ของนักขุด Miners จึงทำให้ข้อมูล ถูกเก็บไว้บนที่ต่างๆ ทั่วโลก จาก Computer หลักล้านเครื่อง

เป็นการเก็บข้อมูล ที่มีความปลอดภัยสูงมากๆ ไม่มีใคร หรือ Hacker คนไหน สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูล หรือ Transaction ของ Cryptocurrencies ได้

และนักขุด Miners จะทำการ Confirm Transaction เพื่อได้รับรางวัล จากการยืนยันธุรกิจ แบบ Proof of Work และล่าสุด เหรียญ ETH ก็กำลังปรับจาก Proof of Work ไปเป็น Proof of Stake เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลง และเป็นการฝากเงิน เพื่อได้รับรางวัล แทนที่การขุด และนักขุดเรียกว่า การตีเหล็ก นัน่เองครับ ETH กำลังจะเปลี่ยนจาก PoW เป็น PoS ตั้งแต่เดือน ธันวาคม เป็นต้นไป ค่อยๆ เปลี่ยน ให้เสร็จภายในปีหน้า 2018

การที่เราได้ข่าวว่ามีการ Hack ส่วนใหญ่มาจาก การแฮกเว็บ Exchange , เว็บ Trade หรือ เว็บซื้อ-ขาย กำลังขุด Hash Rate นั่นเอง โดยไม่สามารถ Hack เหรียญ หรือ Blockchain ได้

ก็ไปแฮกเอา Wallet Address และ Private Key บน Server ของผู้ให้บริการแทน แน่นอน ความปลอดภัย มาจากผู้ให้บริการแต่ละเจ้า

และเราจะเห็นว่า ส่วนใหญ่ หากเป็นกระเป๋าเก็บเงินเว็บ Exchange , เว็บ Trade หรือ เว็บซื้อ-ขาย กำลังขุด Hash Rate เขาจะไม่ให้ Private Key กับเรา ให้แต่  Wallet Address เมื่อเขาเก็บ Private Key สำหรับยืนยันการฝาก ถอน เงิน ของเรา แน่นอน เมื่อ Hacker เข้าถึง ก็สามารถแฮกเอาเงินไปได้นั่นเอง

นักขุด นักเทรด จึงสร้าง Wallet Address นอก ไว้ใช้เอง และเก็บ Private key เป็นความลับ บางคนก็จดใส่กระดาษเก็บไว้ หรือ หลายคน ก็ไปซื้อ Wallet Hardware Security อย่าง Ledger Nano เก็บเงิน Cryptocurrencies ของตัวเองครับ

แล้วทำไม Bitcoin จึงไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทยในการซื้อ ขาย สินค้า บริการ ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนครับว่า ปัจจุบัน ยังไม่มีกฎหมายรองรับ Bitcoin ในประเทศไทยครับ และไม่สำมารถชำระหนี้ ทางกฎหมายได้

แต่เราสามารถแลก Bitcoin และเหรียญอื่นๆ เป็นเงินบาท ผ่านเว็บ BX.in.th , Tdax.com และเว็บแลกเงินต่างประเทศเช่น Localbitcoins , Bitpay , CEX.io , Bitflyer , Bithumb

นอกจากนี้ ปัจจุบัน เราสามรถสร้างบัตร Debit Bitcoin จาก Epayments และ Tenx เพื่อเอาบัตรที่สร้างจากต่างประเทศ มากดเงินบาท ตู้ ATM ทุกธนาคารได้ โดยที่เราฝากเงิน Cryptocurrency เข้าไปในระบบ จากนั้น เราเอาบัตรไปกดออกมาเป็นเงินบาท แล้วผู้ให้บริการจะไปหัก Bitcoin และเหรียญอื่นๆ เองอัตโนมัติ

[url=http://www.epayments.com]www.epayments.com[/url] ([url]http://www.epayments.com[/url])

[url=http://www.tenx.tech]www.tenx.tech[/url] ([url]http://www.tenx.tech[/url])

นอกจากนี้ ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ออกกฎหมายรองรับการใช้ Bitcoin ซื้อ-ขายสินค้่า อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเกาหลีเองก็เช่นกัน เพียงแต่ เกาหลีใต้จะแบน ICO หรือ การระดมทุนจากเหรียญใหม่ จาก Start Up

ประเทศอเมริกาเองก็ได้ออกกฎหมายรองรับ Bitcoin ด้วยเช่นกัน และถือว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ล่าสุดวันที่ 10 ธันวาคม CBOE ได้เปิดเทรด Bitcoin Future และวันที่ 17 CME Group ถือเป็นตลาดฟิวเจอร์ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็จะเปิดเทรด Bitcoin Future ด้วยเช่นกันครับ ส่วน Nasdaq จะเปิดเทรดในปี 2018

นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทย ก็ได้พัฒนา Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหลังบ้าน ของ Bitcoin มาช่วยในการเก็บข้อมูลของธนาคาร ช่วยทำให้การทำธุรกรรมทางการเงิน สัญญากู้ยืม เร็วขึ้นภายใน 1 วัน จากเดิม 7 วัน จริงๆ CEO กสิกร บอกว่า เร็ว 1 ชั่วโมง เพียงแต่ต้องการทำให้มันถูกต้องจริงๆ

ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ใช้เทคโนโลยี ของเหรียญ Ripple ในการโอนเงินระหว่างประเทศ เช่น ไทย - ญี่ปุ่น จากเดิมที่ต้องโอนเงินไปญี่ปุ่น ใช้เวลา 7 วัน ขึ้นไป มาใช้เวลาเพียง 15 นาที

แต่แม้ว่า Fiat Money หรือเงินสด ของธนาคาร จะนำเอา Blockchain ไปใช้ แต่มันก็ไม่ใช่ Decentralized 100% ซึ่งตรงจุดนี้ ไม่มีทางที่ระบบการเงินยุดเก่า จะเอาชนะ Cryptocurrency ได้เลย เพราะมันเป็น Decentralized 100% นั่นเอง

และตอนนี้ LAZADA ในไทย ก็จะเปิดใช้ Bitcoin ในการซื้อขาย สินค้า

และล่าสุดทาง EBay ทาง CEO ก็บอกว่าจะเร่งใช้ Bitcoin ในการซื้อขายสินค้าด้วยเช่นกันครับ

และเหรียญ OmiseGo ซึ่งเป็นเหรียญของ บริษัท Omise เป็น Payment Gate Way ของไทย กับ ญี่ปุ่น ที่สร้างจากเทคโนโลยี Blockchain ของ Ethereum ก็ได้ ทำการซื้อ Pay Sabay ต่อจาก Dtac เพื่อ นำเอามาให้บริการ จ่ายเงิน ชำระเงิน

แม้ว่าหลายคนมองว่า จะไม่ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ลึกๆ แล้วเราใช้มันอยู่ครับ


 :P































Bitcoin ไม่ใช่ Big Think มั้งครับ Blockchain ต่างหาก Bitcoin เป็นแค่ Subset มันแค่นั้นเอง Cryptocurrencies ก็มีตั้งเยอะแยะ ทำมัยแพงแค่ Bitcoin ล่ะครับ เอาจริงๆเพราะมีการปั่นกำไรครับ คนปั่นไม่ใช่แมงเม่าอย่างเราๆหรอกครับ พวกขาใหญ่ๆกัน ที่เขาเตือนๆกัน เพราะเขาห่วงเราครับ

Bitcoin ทั้งหมดในโลก 40% มีคนถือแค่ 1,000 คนนะครับ คนที่เล่นอีกหลายล้านคนนั่นแค่แม่งเม่า 1,000 คนนี้รวมหัวกันปั่นราคา แล้วตอนนี้รอแค่ 1,000 คนนี้ รวมหัวกันเทขายเมื่อไหร่แค่นั้นเองครับ


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: บิ๊กตู่ ที่ 16 ธันวาคม 2017, 15:42:22
ถามจริง ตอนนี้บิทคอยน์มีการใช้จ่าย/โอนให้กันระหว่างบุคคลหรือธุรกิจมากแค่ไหนกันครับ (ยิ่งตอนนี้ค่าธรรมเนียมแพงขึ้นอีก) เห็นบางที่ก็งดรับไปล่ะ ที่ได้ยินข่าวบ่อยๆก็จากนักลงทุนหรือตลาดซื้อขายที่ซื้อมาเก็งกำไรกันเท่านั้นแล้วอย่างนี้มันจะเป็นอนาคตของระบบแลกเปลี่ยนเงินตราหรือเศรษฐกิจจริงหรือครับ

ถามแบบไม่รู้มาขอความเห็นแบบมีเหตุผลประกอบไม่เอาความรู้สึกนะครับ



ก่อนอื่น ผมข้อเล่าถึง Big Think ที่เกิดขึ้น ยุค 1990 ช่วงปี 1997 การเกิดขึ้นของ Internet ตอนนั้นไทย ยังไม่ได้สนใจกับ Internet มากนัก และไม่ได้มุ่งเน้นพัฒนาด้านเครือข่าย Interent เท่าที่ควร

และ Bitcoin มันคือ Big Think อันที่ 2 ต่อจาก Internet ครับ

ทำไมมันถึงสำคัญ ทำไมแม้แต่ Bill Gate เอง ก็ออกมาให้สัมภาษณ์กับทาง CNBC ว่า Bitcoin คือ การเงินยุคใหม่ ช่วงปี 2013

ทำไม ธนาคาร สถาบันการเงิน ถึง พยายาม ออกมาต่อต้าน โจมตี Bitcoin ไม่ว่าจะเป็น Warren Buffett , Jamie Dimon CEO ของ JPMorgan , Ben Bernanke

เพราะการเกิดขึ้นของ Bitcoin หรือ Cryptocurrencies นั้น จะส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงิน ธนาคาร และตลาดหุ้น แน่นอน เพราะเม็ดเงินจำนวนมาก จะไหลไปสู่ตลาด Crypto นั่นเองครับ

และ Blockchain คือ เทคโนโลยี หลังบ้านของ Bitcoin และเหรียญอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Ethereum , Dash , Litecoin , Zcash , Monero  ฯลฯ

และด้วยด้วยการเก็บข้อมูลแบบ Blockchain ที่กระจายไปเก็บไว้ในเครื่องต่างๆ ของนักขุด Miners จึงทำให้ข้อมูล ถูกเก็บไว้บนที่ต่างๆ ทั่วโลก จาก Computer หลักล้านเครื่อง

เป็นการเก็บข้อมูล ที่มีความปลอดภัยสูงมากๆ ไม่มีใคร หรือ Hacker คนไหน สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูล หรือ Transaction ของ Cryptocurrencies ได้

และนักขุด Miners จะทำการ Confirm Transaction เพื่อได้รับรางวัล จากการยืนยันธุรกิจ แบบ Proof of Work และล่าสุด เหรียญ ETH ก็กำลังปรับจาก Proof of Work ไปเป็น Proof of Stake เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลง และเป็นการฝากเงิน เพื่อได้รับรางวัล แทนที่การขุด และนักขุดเรียกว่า การตีเหล็ก นัน่เองครับ ETH กำลังจะเปลี่ยนจาก PoW เป็น PoS ตั้งแต่เดือน ธันวาคม เป็นต้นไป ค่อยๆ เปลี่ยน ให้เสร็จภายในปีหน้า 2018

การที่เราได้ข่าวว่ามีการ Hack ส่วนใหญ่มาจาก การแฮกเว็บ Exchange , เว็บ Trade หรือ เว็บซื้อ-ขาย กำลังขุด Hash Rate นั่นเอง โดยไม่สามารถ Hack เหรียญ หรือ Blockchain ได้

ก็ไปแฮกเอา Wallet Address และ Private Key บน Server ของผู้ให้บริการแทน แน่นอน ความปลอดภัย มาจากผู้ให้บริการแต่ละเจ้า

และเราจะเห็นว่า ส่วนใหญ่ หากเป็นกระเป๋าเก็บเงินเว็บ Exchange , เว็บ Trade หรือ เว็บซื้อ-ขาย กำลังขุด Hash Rate เขาจะไม่ให้ Private Key กับเรา ให้แต่  Wallet Address เมื่อเขาเก็บ Private Key สำหรับยืนยันการฝาก ถอน เงิน ของเรา แน่นอน เมื่อ Hacker เข้าถึง ก็สามารถแฮกเอาเงินไปได้นั่นเอง

นักขุด นักเทรด จึงสร้าง Wallet Address นอก ไว้ใช้เอง และเก็บ Private key เป็นความลับ บางคนก็จดใส่กระดาษเก็บไว้ หรือ หลายคน ก็ไปซื้อ Wallet Hardware Security อย่าง Ledger Nano เก็บเงิน Cryptocurrencies ของตัวเองครับ

แล้วทำไม Bitcoin จึงไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทยในการซื้อ ขาย สินค้า บริการ ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนครับว่า ปัจจุบัน ยังไม่มีกฎหมายรองรับ Bitcoin ในประเทศไทยครับ และไม่สำมารถชำระหนี้ ทางกฎหมายได้

แต่เราสามารถแลก Bitcoin และเหรียญอื่นๆ เป็นเงินบาท ผ่านเว็บ BX.in.th , Tdax.com และเว็บแลกเงินต่างประเทศเช่น Localbitcoins , Bitpay , CEX.io , Bitflyer , Bithumb

นอกจากนี้ ปัจจุบัน เราสามรถสร้างบัตร Debit Bitcoin จาก Epayments และ Tenx เพื่อเอาบัตรที่สร้างจากต่างประเทศ มากดเงินบาท ตู้ ATM ทุกธนาคารได้ โดยที่เราฝากเงิน Cryptocurrency เข้าไปในระบบ จากนั้น เราเอาบัตรไปกดออกมาเป็นเงินบาท แล้วผู้ให้บริการจะไปหัก Bitcoin และเหรียญอื่นๆ เองอัตโนมัติ

[url=http://www.epayments.com]www.epayments.com[/url] ([url]http://www.epayments.com[/url])

[url=http://www.tenx.tech]www.tenx.tech[/url] ([url]http://www.tenx.tech[/url])

นอกจากนี้ ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ออกกฎหมายรองรับการใช้ Bitcoin ซื้อ-ขายสินค้่า อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเกาหลีเองก็เช่นกัน เพียงแต่ เกาหลีใต้จะแบน ICO หรือ การระดมทุนจากเหรียญใหม่ จาก Start Up

ประเทศอเมริกาเองก็ได้ออกกฎหมายรองรับ Bitcoin ด้วยเช่นกัน และถือว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ล่าสุดวันที่ 10 ธันวาคม CBOE ได้เปิดเทรด Bitcoin Future และวันที่ 17 CME Group ถือเป็นตลาดฟิวเจอร์ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็จะเปิดเทรด Bitcoin Future ด้วยเช่นกันครับ ส่วน Nasdaq จะเปิดเทรดในปี 2018

นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทย ก็ได้พัฒนา Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหลังบ้าน ของ Bitcoin มาช่วยในการเก็บข้อมูลของธนาคาร ช่วยทำให้การทำธุรกรรมทางการเงิน สัญญากู้ยืม เร็วขึ้นภายใน 1 วัน จากเดิม 7 วัน จริงๆ CEO กสิกร บอกว่า เร็ว 1 ชั่วโมง เพียงแต่ต้องการทำให้มันถูกต้องจริงๆ

ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ใช้เทคโนโลยี ของเหรียญ Ripple ในการโอนเงินระหว่างประเทศ เช่น ไทย - ญี่ปุ่น จากเดิมที่ต้องโอนเงินไปญี่ปุ่น ใช้เวลา 7 วัน ขึ้นไป มาใช้เวลาเพียง 15 นาที

แต่แม้ว่า Fiat Money หรือเงินสด ของธนาคาร จะนำเอา Blockchain ไปใช้ แต่มันก็ไม่ใช่ Decentralized 100% ซึ่งตรงจุดนี้ ไม่มีทางที่ระบบการเงินยุดเก่า จะเอาชนะ Cryptocurrency ได้เลย เพราะมันเป็น Decentralized 100% นั่นเอง

และตอนนี้ LAZADA ในไทย ก็จะเปิดใช้ Bitcoin ในการซื้อขาย สินค้า

และล่าสุดทาง EBay ทาง CEO ก็บอกว่าจะเร่งใช้ Bitcoin ในการซื้อขายสินค้าด้วยเช่นกันครับ

และเหรียญ OmiseGo ซึ่งเป็นเหรียญของ บริษัท Omise เป็น Payment Gate Way ของไทย กับ ญี่ปุ่น ที่สร้างจากเทคโนโลยี Blockchain ของ Ethereum ก็ได้ ทำการซื้อ Pay Sabay ต่อจาก Dtac เพื่อ นำเอามาให้บริการ จ่ายเงิน ชำระเงิน

แม้ว่าหลายคนมองว่า จะไม่ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ลึกๆ แล้วเราใช้มันอยู่ครับ


 :P































Bitcoin ไม่ใช่ Big Think มั้งครับ Blockchain ต่างหาก Bitcoin เป็นแค่ Subset มันแค่นั้นเอง Cryptocurrencies ก็มีตั้งเยอะแยะ ทำมัยแพงแค่ Bitcoin ล่ะครับ เอาจริงๆเพราะมีการปั่นกำไรครับ คนปั่นไม่ใช่แมงเม่าอย่างเราๆหรอกครับ พวกขาใหญ่ๆกัน ที่เขาเตือนๆกัน เพราะเขาห่วงเราครับ

Bitcoin ทั้งหมดในโลก 40% มีคนถือแค่ 1,000 คนนะครับ คนที่เล่นอีกหลายล้านคนนั่นแค่แม่งเม่า 1,000 คนนี้รวมหัวกันปั่นราคา แล้วตอนนี้รอแค่ 1,000 คนนี้ รวมหัวกันเทขายเมื่อไหร่แค่นั้นเองครับ


มันเป็นเพียงข่าว ที่เขียนกันขึ้น ลองไปหาข้อมูลจริงๆ หลักฐาน อ้างอิง จริงๆ ไม่มีเลยครับ แน่นอน ที่ตลาดมีการปั่นราคา จากข่าวได้ เพราะต้องบอกว่าตลาด Bitcoin แม้มี Marketcap หลายพันล้านดอลล่า แต่ก็ถือว่าน้อย หากเทียบกับตลาดอื่น

และรายละเอียดของมันลึกมากครับ หากเจาะลึกลงไปใน Blockchain มันมีรายละเอียดมากอีกครับ

และแน่นอน ตลาดการเงินโลก ไม่ว่า Cryptocurrencies หรือ Forex มีความเสี่ยง อยู่ที่ใครจะ Money Management ยังไงครับ

ปี 2009 ราคา Bitcoin 1 BTC ยังไม่ถึง 1 USD ครับ ณ ตอนนี้ 17,699 USD ประมาณ 570,000 บาท

และมีคนบอกว่า มันคือ ฟองสบู่ มาตั้งแต่ราคา Bitcoin 100 USD แล้วครับ ราคาขึ้นสูง อาจเกิด ฟองสบู่ได้ ก็จริง แต่อย่างน้อยอีก 2 ปี ถ้าเกิด เราก็จะได้รู้ราคาที่แท้จริงของมันครับ ว่ามันร่วงหนัก แล้วจะขึ้นมาได้เท่าไหร่

บางคนมองเห็นโอกาส บางคนมองเป็นความเสี่ยง แตกต่างกันออกไปครับ


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: BeerKingMan ที่ 16 ธันวาคม 2017, 16:32:44
ถามจริง ตอนนี้บิทคอยน์มีการใช้จ่าย/โอนให้กันระหว่างบุคคลหรือธุรกิจมากแค่ไหนกันครับ (ยิ่งตอนนี้ค่าธรรมเนียมแพงขึ้นอีก) เห็นบางที่ก็งดรับไปล่ะ ที่ได้ยินข่าวบ่อยๆก็จากนักลงทุนหรือตลาดซื้อขายที่ซื้อมาเก็งกำไรกันเท่านั้นแล้วอย่างนี้มันจะเป็นอนาคตของระบบแลกเปลี่ยนเงินตราหรือเศรษฐกิจจริงหรือครับ

ถามแบบไม่รู้มาขอความเห็นแบบมีเหตุผลประกอบไม่เอาความรู้สึกนะครับ



ก่อนอื่น ผมข้อเล่าถึง Big Think ที่เกิดขึ้น ยุค 1990 ช่วงปี 1997 การเกิดขึ้นของ Internet ตอนนั้นไทย ยังไม่ได้สนใจกับ Internet มากนัก และไม่ได้มุ่งเน้นพัฒนาด้านเครือข่าย Interent เท่าที่ควร

และ Bitcoin มันคือ Big Think อันที่ 2 ต่อจาก Internet ครับ

ทำไมมันถึงสำคัญ ทำไมแม้แต่ Bill Gate เอง ก็ออกมาให้สัมภาษณ์กับทาง CNBC ว่า Bitcoin คือ การเงินยุคใหม่ ช่วงปี 2013

ทำไม ธนาคาร สถาบันการเงิน ถึง พยายาม ออกมาต่อต้าน โจมตี Bitcoin ไม่ว่าจะเป็น Warren Buffett , Jamie Dimon CEO ของ JPMorgan , Ben Bernanke

เพราะการเกิดขึ้นของ Bitcoin หรือ Cryptocurrencies นั้น จะส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงิน ธนาคาร และตลาดหุ้น แน่นอน เพราะเม็ดเงินจำนวนมาก จะไหลไปสู่ตลาด Crypto นั่นเองครับ

และ Blockchain คือ เทคโนโลยี หลังบ้านของ Bitcoin และเหรียญอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Ethereum , Dash , Litecoin , Zcash , Monero  ฯลฯ

และด้วยด้วยการเก็บข้อมูลแบบ Blockchain ที่กระจายไปเก็บไว้ในเครื่องต่างๆ ของนักขุด Miners จึงทำให้ข้อมูล ถูกเก็บไว้บนที่ต่างๆ ทั่วโลก จาก Computer หลักล้านเครื่อง

เป็นการเก็บข้อมูล ที่มีความปลอดภัยสูงมากๆ ไม่มีใคร หรือ Hacker คนไหน สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูล หรือ Transaction ของ Cryptocurrencies ได้

และนักขุด Miners จะทำการ Confirm Transaction เพื่อได้รับรางวัล จากการยืนยันธุรกิจ แบบ Proof of Work และล่าสุด เหรียญ ETH ก็กำลังปรับจาก Proof of Work ไปเป็น Proof of Stake เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลง และเป็นการฝากเงิน เพื่อได้รับรางวัล แทนที่การขุด และนักขุดเรียกว่า การตีเหล็ก นัน่เองครับ ETH กำลังจะเปลี่ยนจาก PoW เป็น PoS ตั้งแต่เดือน ธันวาคม เป็นต้นไป ค่อยๆ เปลี่ยน ให้เสร็จภายในปีหน้า 2018

การที่เราได้ข่าวว่ามีการ Hack ส่วนใหญ่มาจาก การแฮกเว็บ Exchange , เว็บ Trade หรือ เว็บซื้อ-ขาย กำลังขุด Hash Rate นั่นเอง โดยไม่สามารถ Hack เหรียญ หรือ Blockchain ได้

ก็ไปแฮกเอา Wallet Address และ Private Key บน Server ของผู้ให้บริการแทน แน่นอน ความปลอดภัย มาจากผู้ให้บริการแต่ละเจ้า

และเราจะเห็นว่า ส่วนใหญ่ หากเป็นกระเป๋าเก็บเงินเว็บ Exchange , เว็บ Trade หรือ เว็บซื้อ-ขาย กำลังขุด Hash Rate เขาจะไม่ให้ Private Key กับเรา ให้แต่  Wallet Address เมื่อเขาเก็บ Private Key สำหรับยืนยันการฝาก ถอน เงิน ของเรา แน่นอน เมื่อ Hacker เข้าถึง ก็สามารถแฮกเอาเงินไปได้นั่นเอง

นักขุด นักเทรด จึงสร้าง Wallet Address นอก ไว้ใช้เอง และเก็บ Private key เป็นความลับ บางคนก็จดใส่กระดาษเก็บไว้ หรือ หลายคน ก็ไปซื้อ Wallet Hardware Security อย่าง Ledger Nano เก็บเงิน Cryptocurrencies ของตัวเองครับ

แล้วทำไม Bitcoin จึงไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทยในการซื้อ ขาย สินค้า บริการ ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนครับว่า ปัจจุบัน ยังไม่มีกฎหมายรองรับ Bitcoin ในประเทศไทยครับ และไม่สำมารถชำระหนี้ ทางกฎหมายได้

แต่เราสามารถแลก Bitcoin และเหรียญอื่นๆ เป็นเงินบาท ผ่านเว็บ BX.in.th , Tdax.com และเว็บแลกเงินต่างประเทศเช่น Localbitcoins , Bitpay , CEX.io , Bitflyer , Bithumb

นอกจากนี้ ปัจจุบัน เราสามรถสร้างบัตร Debit Bitcoin จาก Epayments และ Tenx เพื่อเอาบัตรที่สร้างจากต่างประเทศ มากดเงินบาท ตู้ ATM ทุกธนาคารได้ โดยที่เราฝากเงิน Cryptocurrency เข้าไปในระบบ จากนั้น เราเอาบัตรไปกดออกมาเป็นเงินบาท แล้วผู้ให้บริการจะไปหัก Bitcoin และเหรียญอื่นๆ เองอัตโนมัติ

[url=http://www.epayments.com]www.epayments.com[/url] ([url]http://www.epayments.com[/url])

[url=http://www.tenx.tech]www.tenx.tech[/url] ([url]http://www.tenx.tech[/url])

นอกจากนี้ ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ออกกฎหมายรองรับการใช้ Bitcoin ซื้อ-ขายสินค้่า อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเกาหลีเองก็เช่นกัน เพียงแต่ เกาหลีใต้จะแบน ICO หรือ การระดมทุนจากเหรียญใหม่ จาก Start Up

ประเทศอเมริกาเองก็ได้ออกกฎหมายรองรับ Bitcoin ด้วยเช่นกัน และถือว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ล่าสุดวันที่ 10 ธันวาคม CBOE ได้เปิดเทรด Bitcoin Future และวันที่ 17 CME Group ถือเป็นตลาดฟิวเจอร์ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็จะเปิดเทรด Bitcoin Future ด้วยเช่นกันครับ ส่วน Nasdaq จะเปิดเทรดในปี 2018

นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทย ก็ได้พัฒนา Blockchain ซึ่งเป็นเทคโนโลยีหลังบ้าน ของ Bitcoin มาช่วยในการเก็บข้อมูลของธนาคาร ช่วยทำให้การทำธุรกรรมทางการเงิน สัญญากู้ยืม เร็วขึ้นภายใน 1 วัน จากเดิม 7 วัน จริงๆ CEO กสิกร บอกว่า เร็ว 1 ชั่วโมง เพียงแต่ต้องการทำให้มันถูกต้องจริงๆ

ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ใช้เทคโนโลยี ของเหรียญ Ripple ในการโอนเงินระหว่างประเทศ เช่น ไทย - ญี่ปุ่น จากเดิมที่ต้องโอนเงินไปญี่ปุ่น ใช้เวลา 7 วัน ขึ้นไป มาใช้เวลาเพียง 15 นาที

แต่แม้ว่า Fiat Money หรือเงินสด ของธนาคาร จะนำเอา Blockchain ไปใช้ แต่มันก็ไม่ใช่ Decentralized 100% ซึ่งตรงจุดนี้ ไม่มีทางที่ระบบการเงินยุดเก่า จะเอาชนะ Cryptocurrency ได้เลย เพราะมันเป็น Decentralized 100% นั่นเอง

และตอนนี้ LAZADA ในไทย ก็จะเปิดใช้ Bitcoin ในการซื้อขาย สินค้า

และล่าสุดทาง EBay ทาง CEO ก็บอกว่าจะเร่งใช้ Bitcoin ในการซื้อขายสินค้าด้วยเช่นกันครับ

และเหรียญ OmiseGo ซึ่งเป็นเหรียญของ บริษัท Omise เป็น Payment Gate Way ของไทย กับ ญี่ปุ่น ที่สร้างจากเทคโนโลยี Blockchain ของ Ethereum ก็ได้ ทำการซื้อ Pay Sabay ต่อจาก Dtac เพื่อ นำเอามาให้บริการ จ่ายเงิน ชำระเงิน

แม้ว่าหลายคนมองว่า จะไม่ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ลึกๆ แล้วเราใช้มันอยู่ครับ


 :P































Bitcoin ไม่ใช่ Big Think มั้งครับ Blockchain ต่างหาก Bitcoin เป็นแค่ Subset มันแค่นั้นเอง Cryptocurrencies ก็มีตั้งเยอะแยะ ทำมัยแพงแค่ Bitcoin ล่ะครับ เอาจริงๆเพราะมีการปั่นกำไรครับ คนปั่นไม่ใช่แมงเม่าอย่างเราๆหรอกครับ พวกขาใหญ่ๆกัน ที่เขาเตือนๆกัน เพราะเขาห่วงเราครับ

Bitcoin ทั้งหมดในโลก 40% มีคนถือแค่ 1,000 คนนะครับ คนที่เล่นอีกหลายล้านคนนั่นแค่แม่งเม่า 1,000 คนนี้รวมหัวกันปั่นราคา แล้วตอนนี้รอแค่ 1,000 คนนี้ รวมหัวกันเทขายเมื่อไหร่แค่นั้นเองครับ


มันเป็นเพียงข่าว ที่เขียนกันขึ้น ลองไปหาข้อมูลจริงๆ หลักฐาน อ้างอิง จริงๆ ไม่มีเลยครับ แน่นอน ที่ตลาดมีการปั่นราคา จากข่าวได้ เพราะต้องบอกว่าตลาด Bitcoin แม้มี Marketcap หลายพันล้านดอลล่า แต่ก็ถือว่าน้อย หากเทียบกับตลาดอื่น

และรายละเอียดของมันลึกมากครับ หากเจาะลึกลงไปใน Blockchain มันมีรายละเอียดมากอีกครับ

และแน่นอน ตลาดการเงินโลก ไม่ว่า Cryptocurrencies หรือ Forex มีความเสี่ยง อยู่ที่ใครจะ Money Management ยังไงครับ

ปี 2009 ราคา Bitcoin 1 BTC ยังไม่ถึง 1 USD ครับ ณ ตอนนี้ 17,699 USD ประมาณ 570,000 บาท

และมีคนบอกว่า มันคือ ฟองสบู่ มาตั้งแต่ราคา Bitcoin 100 USD แล้วครับ ราคาขึ้นสูง อาจเกิด ฟองสบู่ได้ ก็จริง แต่อย่างน้อยอีก 2 ปี ถ้าเกิด เราก็จะได้รู้ราคาที่แท้จริงของมันครับ ว่ามันร่วงหนัก แล้วจะขึ้นมาได้เท่าไหร่

บางคนมองเห็นโอกาส บางคนมองเป็นความเสี่ยง แตกต่างกันออกไปครับ



ของยังงี้มันมีทั้งโอกาส และความเสี่ยงแหละครับ แต่การที่เราพูดแต่ข้อดีของมัน มันสุ่มเสี่ยงให้คนไม่รู้จัก Bitcoin ดีพอเข้าไปเล่น อย่างคุณโปรแล้ว มันก็ยังพอทำกำไรได้เรื่อยๆ แต่คนอื่นี่เขาไม่รู้จักดีพอนี้เสี่ยงมากเลยนะ บางวันขึ้นไปแตะ 18k แล้วลดลงมาเหลือ 15k พวกที่พลาดซื้อตอน 18k นี้ชีวิตเปลี่ยนเลยนะครับ เงินไม่ใช่น้อยเลย ติดดอยยาวๆ


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: wich2009 ที่ 28 ธันวาคม 2017, 15:30:21
Bitcoin เริ่มใช้ ปี 2009 ปี 2018 เรากำลังศึกษา


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: SpaRK ที่ 28 ธันวาคม 2017, 15:40:41
มันก็จริงของท่าน มีแทงออกต่ำออกสูง


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: wut555 ที่ 28 ธันวาคม 2017, 17:54:23
มีแต่เทพๆ กันทั๊งน๊านนนนน


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: SeO_ToshI ที่ 28 ธันวาคม 2017, 18:13:09
Lottery หุ้น = centralized มีศูนย์กลางรัฐควบคุมได้
Bitcoin = Decentralized ไม่มีศุนย์กลางรัฐควบคุมไม่ได้ (Bank เเละคลังเสียผลประโยชน์ )

ทฤษฎีเกมส์ เเต่ขอบอกเลยว่ายังไง Blockchain ก็จะเป็น Innovation ที่เข้ามามีบทบาทในไม่ช้า
รัฐควรใช้โอกาสนี้ให้ความรู้ที่ถูกต้อง เเละพัฒนาความรู้เเละ Innovation  ควบคู่กับ เทคโนโลยีนี้
แต่กลับปิดหูปิดตา ให้ข้อมูลบิดเบือน นี่เเหละประเทศกำลังพัฒนา  :wanwan031:


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: บิ๊กตู่ ที่ 28 ธันวาคม 2017, 18:21:34
Lottery หุ้น = centralized มีศูนย์กลางรัฐควบคุมได้
Bitcoin = Decentralized ไม่มีศุนย์กลางรัฐควบคุมไม่ได้ (Bank เเละคลังเสียผลประโยชน์ )

ทฤษฎีเกมส์ เเต่ขอบอกเลยว่ายังไง Blockchain ก็จะเป็น Innovation ที่เข้ามามีบทบาทในไม่ช้า
รัฐควรใช้โอกาสนี้ให้ความรู้ที่ถูกต้อง เเละพัฒนาความรู้เเละ Innovation  ควบคู่กับ เทคโนโลยีนี้
แต่กลับปิดหูปิดตา ให้ข้อมูลบิดเบือน นี่เเหละประเทศกำลังพัฒนา  :wanwan031:

ด้วยความเป็น Decentralized 100% ที่สถาบันการเงินกลัว ธนาคารกลัวครับ

 :P


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: jukkree ที่ 28 ธันวาคม 2017, 18:21:55
5555555555 อะไรที่รัฐไม่ได้ผลประโยชน์ก็ผิดกฏหมายหมดไง   :wanwan004: :wanwan004:


หัวข้อ: Re: คลัง ลั่น Bitcoin คือ การพนัน เพราะเป็นการแทงว่าค่าเงินจะขึ้นหรือลง
เริ่มหัวข้อโดย: Permlogin ที่ 28 ธันวาคม 2017, 19:39:56
ข่าวนี้มาได้สักพักเเล้วครับ