ThaiSEOBoard.com

กระแสดังในต่างประเทศช่วงนี้ คือเรื่องของแฮชแท็ก #Deletefacebook ที่มีการทำข่าวของสื่อในสหรัฐ หลังจากที่มีการออกมาแฉว่า ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีในวันนี้ เพราะ Facebook ปล่อยให้คนขโมยข้อมูล เพื่อโน้มน้าวและจูงใจให้ผู้รับสารเข้าใจข้อมูลผิดๆ กับข่าวที่เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีและไม่ได้รับอนุญาตจากการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้งาน

จากแฮชแท็ก #DeleteFacebook ที่โด่งดังมากใน Twitter แสดงให้เห็นถึงความโกรธและต้องการคำอธิบายที่ดีจากผู้บริหาร หลังจากข้อมูลจากผู้ใช้งาน Facebook กว่า 50 ล้านคน ถูกนำมาใช้เพื่อกำหนดเป้าหมายผู้มีสิทธิเลือกตั้งและมีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปี 2016 รวมถึงการลงประชามติ Brexit ในช่วงสุดสัปดาห์ของปี 2016 ส่งผลให้มีผู้คนมากมายต้องการที่จะลบบัญชี Facebook ทิ้งซะ

แม้ว่า Facebook จะมีโปรแกรมช่วยลบบัญชีให้คุณภายใน 90 วัน แต่ข้อมูลของคุณไม่ได้ถูกลบออกจาก Facebook ได้จริงๆ แม้ว่าจะมีคนทยอยปิดบัญชีและพวกเขาก็รู้สึกว่าสงบสุขดี จากการท่ีไม่ต้องท่องโซเชียลตลอดเวลา แต่ถ้าวันหนึ่งต้องกลับมาใช้งานเฟสบุคอีกครั้ง คุณจะเปิดบัญชีได้รวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ

ยังมีบางความคิดเห็นจากชาวเน็ต ที่กล่าวว่า การปิดบัญชี Facebook มันดีจริงหรือ เพราะสุดท้ายก็แค่ซ่อนตัวตนของคุณออกจากสาธารณชน แต่ที่จริงข้อมูลที่คุณเคยโพสต์ ทั้งภาพ คลิป ความทรงจำต่างๆ ก็ยังนอนสงบนิ่งอยู่ในคลังเซิร์ฟเวอร์ของเฟสบุค และถ้าวันหนึ่งเฟสบุคจะนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้วิเคราะห์หรือทำการตลาดใดๆ ทุกอย่างก็ย่อมทำได้เช่นเดิม

ยังไม่จบแค่นั้น เมื่อยังมีผู้ใช้งาน ออกมาแฉว่า Cambridge Analytica บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลที่ทำแคมเปญให้กับ Donald Trump เมื่อปี 2016 ในการดึงข้อมูลของผู้ที่ได้รับเงินหลังจากตอบคำถามและนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

Christopher Wylie ผู้ก่อตั้ง Cambridge Analytica กำลังเจอปัญหาหนัก หลังให้สัมภาษณ์ใน The Guardian เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา บอกว่า Facebook รู้ว่าบริษัทของเขากำลังรวบรวมข้อมูลจำนวนมากของปี 2015 ต่อมาภายหลัง เฟสบุคกลับพยายามที่จะลบ Quiz ของเขารวมทั้งส่งจดหมายมาถึงเขา เพื่อให้หยุดการกระทำดังกล่าวและยังมีผู้ใช้งานไปดำเนินการดังกล่าวกับ Twitter ด้วย

โดยข้อมูลที่ Cambridge Analytica ได้ไป เพื่อนำมาประเมินผู้ตอบแบบสอบถามในเรื่องของ IQ ความเห็นพ้องทางการเมือง บุคลิกภาพมาวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง โดยมี 5 หมวด คือ

1 “militarism” — guns and shooting, martial arts, crossbows, and knives
2 “violent occultism” — drugs, black magic, paganism
3 “intellectual activities” — singing and making music, foreign travel, the environment
4 “credulousness” — the paranormal, flying saucers
5 “wholesome interests” — camping, gardening, hill-walking

แม้ว่าขณะนี้ เฟสบุคจะลบข้อมูลทั้งหมดของ Cambridge Analytica จากแพลตฟอร์มของระบบ และต่อมาก็ระงับบัญชีของ Wylie ไปแล้ว แต่ทั้ง Facebook และ Instagram ก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบและหุ้นของ Facebook ก็ตกลงมาแล้ว 8% จากเหตุการณ์ดังกล่าว หลังปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

งานนี้จะส่งผลกับการใช้งานเฟสบุคในต่างประเทศแน่นอน และนักการตลาดก็ควรเตรียมหาช่องทางใหม่ๆ รองรับเพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าเป็นช่วงดวงตกของ Mark Zuckerberg จริงๆ งานนี้สิ่งที่ขอเตือนผู้ใช้งานที่ชอบเล่นเกมประเภท Quiz ทั้งหลายว่า ให้ระวังการมีส่วนร่วมของคุณเพราะอาจโดนขโมยข้อมูลส่วนตัวไปแบบไม่รู้ตัว


ปล. ทำอะไรก็ให้คิดกันดีๆ เรามาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับไปได้ ถ้าคุณเป็นคนเล่นปกติก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณเป็น Developer แล้วจะลบบัญชีไม่ได้


เครดิต http://thumbsup.in.th

ผมนั่งเช็คแคมเปญนี้มาอาทิตย์หนึ่ง เพราะมีหุ้นในเฟสจำนวนหนึ่ง เช่นเดียวกับ ของกูเกิล อเมซอน และแอปเปิล ซึ่งได้เงินจากการทำ Aff ต่างๆ และการสะสมบิทคอยน์มานาน ซื้อหุ้นพวกนี้ก็ไม่เคยขายเลย เพราะไม่มีเวลามานั่งซื้อขาย เพิ่งเห็นกระทู้นี้เลยไปเช็คราคาหุ้น ก็พบว่าหุ้นบริษัทไอทีทุกค่ายตกติดลบหมดนะ
ส่วนเรื่อง ผู้ใช้ลบไอดีก็เพราะทางสภาฯของสหรัฐ เขาตรวจสอบบริษัทไอทีโดยเฉพาะ สื่อโซเซียลมีเดีย ที่มีผลต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในกรณีเลือก ปธน ครั้งล่าสุดมีข้อมูลว่า มีการใช้สื่อโซเซียลไปในทางโน้มนำที่เกิดความเข้าใจผิด การตรวจสอบเป็นการเปิดเผยต่อสาธารณะ
ทุกบริษัทไอทีก็โดนตำหนิด้วยกันทั้งนั้น แต่ในกรณีเฟสบุคจะมีช่องโหว่่มากกว่าจากผู้พัฒนาส่วนเสริมแอปอิสระ
เมื่อข้อมูลในอดีตถูกเปิดเผยออกมา คนสหรัฐจำนวนหนึ่งก็รณรงค์จากความผิดพลาดนี้ ทาง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ก็พูดออกสื่อ ไทม์ แล้ว ไม่ได้กดดันหรือวิตกอะไร ไม่ใช่สิ่งที่เขาตั้งใจอยากให้เกิดขึ้น และได้แก้ไขสิ่งเหล่านี้ไปนานแล้ว
เป็นเรื่องดีที่คนสหรัฐช่วยกันดันให้เฟสบุคตระหนักเรื่องความเป็นส่วนตัวมากขึ้น มีมาตรการป้องกันที่รัดกุมกว่านี้ ส่วนเรื่องทราฟิกที่ลดลงนั้น ผมเช็คกับเว็บเก็บข้อมูลแอปต่างๆ แบบเสียเงินรายเดือน อัตราส่วนการเพิ่มขึ้นยังปกติ แต่การเลิกใช้ 50 ล้านไอดีใน 1 อาทิตย์ไม่ได้มีผลกระทบอะไร อัตราออนไลน์ยังเท่าเดิม คือ 2.3 พันล้านคน
ในกรณีการลบไอดีแล้วเฟสบุคไม่ยอมล้างประวัติออก เท่าที่คุยกับผู้ถือหุ้นคนอื่นดู เขาบอกว่าการล้างประวัติออกเร็วจะทำให้คนที่ถูกแบนแล้ว สามารถสร้างตัวตนเดิมได้ง่าย ถ้าเป็นพวกหลอกหลวงคนอื่นยิ่งจะทำได้ง่ายขึ้น จึงมีระยะการล้างประวัติไว้
ส่วนการเอาข้อมูลไปทำเพื่อการค้า ถ้าหากทำจริง ป่านนี้คงโดนสภาฯสหรัฐ ส่งไปให้หน่วยงานอื่นเล่นงานอ่วมแล้ว เพราะการตรวจสอบเรื่องการเลือกตั้งนี้ สภาเขาไล่เช็คทุกเรื่องจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลาเกือบ 2 ปีละ

ผมลองค้นหาและอ่านข่าวจากสำนักข่าวที่เชื่อถือได้ เช่น ไทม์ ซีเอ็นบีซี นิวยอร์กไทม์ บูมเบิร์ก เทคครันซ์ ซีเน็ต เนื้อหาที่อ่านไม่ค่อยตรงกับเว็บไทยที่แปลมาเลย หรือว่าเว็บจ้างคนแปลข่าวที่แปลอังกฤษได้แค่งูๆปลาๆ

ติดตามด้วยคนครับ

ข้อมูลเดิมที่ให้ไปแล้ว
ก็เหมือน ข้อมูลของเราที่อยู่กับธนาคาร หรือแหล่งบัตรเครดิตต่างๆ
แล้วมีประกันโทรมาขาย หรืออื่นๆ นั่นแหละครับ

การลบบัญชี facebook ไม่ใช่ทางออก  :wanwan023:

ผมว่าแค่ไม่เข้าไปเล่นก็น่าจะพอแล้วมั้ง

ติดตามครับ

 :wanwan044:   ข้อมูลน่าสนใจ

วันนี้โดนัลทรมป์ ฮือฮาหลายพาสเลย มีเรื่องภาษีจากจีนอีกประเด็นด้วยนะครับ

ขอบคุณสำหรับข่าวครับ  :wanwan003: :wanwan003:

อิลอนมัสท์ #delete facebook ไปแล้วนะครับ