ThaiSEOBoard.com

เสน่ห์ของ blog คือการเขียนความรู้ออกไป และเมื่อเราเขียนความรู้ออกไปแล้ว เราจะต้องกลับไปเรียนรู้เพิ่มเิติมเพื่อให้มีข้อมูลและความรู้ใหม่ๆกลับมาเขียน และทุกๆครั้ง ทุกๆขั้นตอนที่เราทำอย่างนั้น มันเป็นการต่อยอดความรู้ของเรามากขึ้นเรื่อยๆ

ผมเองทำ blog จาก passion และนับจากวันที่ผมเริ่ม blog เมื่อสองปีก่อนซึ่งจุดเริ่มต้นมาจากการแนะแนววิธีหางานสมัครงานเพื่อช่วยคนจบใหม่ ผมได้ความรู้กลับมามากมายจากการเขียน blog

ผมเคยสงสัยว่าถ้าเรา blog มากๆ มันจะมีสักวันไหมที่เราจะหมดปัญญา แต่ 2 ปีที่ผม blog บวกกับ 2 ปีก่อนหน้าที่ผมเขียนเว็บบอร์ด รวมเป็น 4 ปี....ไอเดียผมไม่เคยหมด มีแต่เพิ่มจนทำไม่ทัน ผมเชื่อแล้วว่าปัญญาเป็นอะไรที่มันไม่มีลิมิต คือมันมีมาเรื่อยๆ หนึ่งไอเดียต่อยอดไปอีกหนึ่งไอเดีย นี่คงเป็นหลักการของ ยิ่งให้ ยิ่งได้

ทุกคนต้องการ blog เป็นอาชีพ blog เพื่อทำเงิน เพื่อ internet life style -- แต่ธรรมชาติของเงินมีสถานะเป็น ผลลัพธ์ ของคุณค่าจากสิ่งที่คุณทำ คุณ blog เพื่อส่งมอบคุณค่าและคุณภาพของความรู้ที่จะสามารถยกระดับชีวิตผู้อื่นได้ โอกาสที่มันจะแสดงผลกลับมาเป็น Return ในรูปแบบต่างๆนั้นก็เป็นไปได้ครับ

i like u

ท่านเป็นคนเขียนบทความได้น่าสนใจ และมีความจูงใจให้ติดตามมากครับ ขอให้ท่านประสบความสำเร็จตามเส้นทางที่ท่านวางไว้

ผมรอชมเว็บท่านอยู่คร๊าฟ ><

ขอบคุณสำหรับแนวคิดดีๆครับ

ขอบคุณครับสำหรับบทความดีดี

มันเป็นสัจธรมน่ะครับ บางคนกลัวว่าคนอื่นจะรู้มากกว่าตัวเองก็เลยไม่ยอมบอกใคร แต่บางคนก็ใจดีเกินบอกทุกอย่างแบบทุบหม้อข้าวตัวเอง  แต่ทุกครั้งที่มีการให้มักจะมีสิ่งดีๆกลับไปสำหรับผู้ให้เสมอๆครับบนพื้นฐานตั้งใจที่จะให้มากกว่าอยากได้สิ่งตอบแทนถึงให้นะครับ

เขียนดีจังค่ะ ขอชม Blog หน่อยได้มั๊ยคะจะได้คอยติดตาม  :wanwan008:

ขอบคุณมากครับ

สำหรับบล็อกเก่าผมชื่อเดียวกับชื่อใน Board -- CareerAlive ถูก terminate ไปแล้วเนื่องจากผมใช้ Blogger.com ซึ่งผูกกับบัญชี Gmail เก่าโดยตรง ตอนที่ Gmail ถูกแฮ็กแล้วเริ่มปล่อย spam ออกจากบัญชีผม ทางต้นสังกัด Google จึงปิดบัญชีนั้นส่งผลกระทบถึง Blog โดยตรงซึ่งถูก terminate ตามไปด้วย

ตอนนั้น Blog กำลังไปได้ดี มีแฟนเพจของ Blog เป็นหลักพันอยู่ รายชื่อลูกค้าเรื่องงานและเมล์สำคัญต่างๆหายวูบ โครงการใหม่ๆในใจก็ต้องชะงัก แล้วต้องไปไล่แก้ profile ในเว็บอย่างพวก paypal, paysbuy ฯลฯ เพื่อให้เขาส่งอีเมล์มาที่เมล์ใหม่ของเรา ช่วงเวลาข้ามคืนสั้นๆที่ปั่นป่วนสุดๆ

แต่โชคดีอย่างที่ผมเก็บเรคคอร์ดสิ่งที่ทำเอาไว้ รายชื่อบางส่วนเป็น excel บทความผมทำลง Word เก็บเป็นเรื่องๆ
ส่วน Blog ผมมีการทำ cap screen หน้า blog ของตัวเองเป็นระยะๆ รูปด้านล่างนี้เป็นอัพเดทเกือบๆจะสุดท้ายการที่ Blog จะถูก terminate

ผมเริ่ม Blog จากเรื่องงานประจำหรือ Professional career แต่ภายหลังพัฒนาไปเรื่องกิจการส่วนตัวหรือ Entrepreneur career อย่างโพสบนสุดผมเขียนเรื่องเทคนิตการเป็นเจ้าของกิจการ ส่วนโพสกลางผมเขียน marketing contents ให้ผลงานของผมเอง ตอนนั้นผมเขียนอีบุ๊กเล่มใหม่เรื่อง Awakening Buddha แต่ถ้าเป็นบทความเรื่องงานประจำ ช่วงหลังๆ ผมจะแบ่งให้คนที่มีเรื่องราวดีๆมาแชร์ใน blog ของผมเรียกว่า Guest Post

เพื่อนๆลองดูบทความล่างสุดในภาพ อันนั้นเป็น Guest post โดยผมจะทำหน้าที่เหมือนพิธีกร lead นำเข้าสู่บทความ Guest post เรียกว่าเป็นการต่อยอดซึ่งกันและกัน ผมไม่มีเวลาเขียนเรื่องงานประจำ แต่บางคนมีไอเดีย ผมก็เอามาลงใน blog แล้ว credit ให้เจ้าของความคิด ถ้าเจ้าของความคิดมี fanpage หรือ  blog ผมก็จะ back link ไปให้เขา ถ้าทำแบบนี้ แต่ละคนก็จะมีโอกาสได้เริ่มต้นสร้างเวทีให้กันและกัน ความยิ่งใหญ่ เกิดจากก้าวเล็กๆแบบนี้ล่ะครับ

ถ้าเราทำ blog แบบนี้ ใน search engine จะเต็มไปด้วย contents และ back link คุณภาพนะ หรือใครคิดว่าอย่างไรกันบ้าง

(http://i1012.photobucket.com/albums/af250/paulk2010/BlogPage_zps0a256d99.png)

ขอบคุณค่ะ เป็นมุมมองอีกมุมมองในสังคมสมัยใหม่แห่งนี้ค่ะ

บทความท่านน่าสนใจ ทำยังไงให้เกิดไอเดียในการเขียนครับ
ผมคิดมะออก :P

อธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ก่อน สมองมนุษย์สามารถพัฒนาได้อย่างไม่มีขีดจำกัด สิ่งที่เราทำบ่อยๆ จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำสิ่งนั้นให้มากขึ้นไปอีก
คนที่คำนวนบ่อยๆ แต่วันเดือนปีความสามารถในการคำนวนจะสูงขึ้นกว่าวันก่อนๆ

เช่นเดียวกันกับความคิด ถ้าเราคิดเชิงวิเคราะห์ หรือ พิจารณาสิ่งใดด้วยปัญญาบ่อยๆ เราจะมีความสามารถในการคิดมากยิ่งขึ้น
แต่ความคิดมีข้อจำกัดในบางเวลา เรียกว่าสภาวะคิดไม่ออก ความคิดไม่ออกวิธีแก้คือหยุดคิด แล้วความคิดดีๆจะปรากฏตอนที่จิตว่าง

วิธีสร้างความคิดเพื่อให้เกิดไอเดียดีๆคือ การศึกษาหาความรู้ อ่านและฟังในสิ่งที่มีประโยชน์และน่าสนใจ การอ่านและการฟังพัฒนากำลังสมองได้ดีกว่าการดู

ข้อมูลจากการอ่านและฟังที่เข้าไปในสมองเรียกว่า Raw data
ส่วน contents ที่เขียนออกมาเป็น blog เป็นบท เป็นรายงาน สิ่งนั้นเรียกว่า information หรือ data ที่ผ่านการประมวลผลแล้วด้วยสมองและ packaging ออกมาเป็น contents ที่อุดมไปด้วยชุดข้อมูลอย่างเป็นระบบ

ฉะนั้นการอ่านและฟังเยอะๆ จะช่วยให้คุณมี data ในสมองที่พร้อมจะประมวลผลออกมาเป็น information
เมื่อถึงจุดนั้น คุณจะกลายเป็นคนที่ต้องจดลงสมุดเพราะไอเดียมันจะแล่นไปมาเยอะ ซึ่งถ้าไม่ลงมือทำก็จะลืม

ผมเองก็จะพกสมุดโน๊ตติดตัวไว้ ผมชอบใช้สมุดที่ไม่มีเส้น เพราะการจดของผมจะเป็นแบบการทำ mind map หรือลักษณะแบบ spider web อ่ะครับ -- ลองเอาไปใช้กันดู :wanwan003:

สวดยอดๆ ><  :wanwan003:

สักวันผมจะเป็นนักเขียน blog และเป็นนักวิเคราะห์แบบท่านครับ ^^

เหมือนกันครับ   :-X

สุดยอดครับ  :wanwan017:

ขอบคุณครับๆ

มีประโยชน์คับ..ขอบคุณมากครับ

สู้วๆ จัดเต็มเลยครับ

 
จากหลายๆ โพส ผมชอบแนวการเขียนและชื่นชมแนวคิดของคุณ careeralive มากๆ ครับ

ยิ่งให้ ยิ่งได้รับ
โดยส่วนตัวผมเชื่อมานานแล้วว่าสองคำนี้จะเป็นเทรนใหม่ในอนาคต
ผู้ประกอบการใหญ่ๆ เริ่มจะปรับตัวไปในแนวนี้กันแล้ว

ส่วนการตลาดแบบตีหัวเข้าบ้าน จะไม่ได้ผลอีกต่อไป เพราะคนเขารู้แล้วว่า ใคร(จ้องจะ)ตีหัวเขา คงไม่ยื่นหัวไปให้ตีอีก  :wanwan012:

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ นะครับ :wanwan017:

ขอบคุณมากครับคุณ P-Man  :wanwan017: