หัวข้อ: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2011, 18:31:38 สมัยนี้มีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับพระภิกษุบ่อยๆจนบางคนอาจจะคิดว่าศาสนาพุทธเริ่มเสื่อมแล้ว
และทำให้หมดศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่ผมอยากจะบอกเพื่อนๆไว้นะครับว่า ศาสนาไม่ได้เสื่อม ที่เสื่อมคือคนเราต่างหากที่บวชเป็นพระแล้วไม่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ดังนั้นผมจึงอยากจะรวบรวมประวัติของครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาให้เพื่อนๆได้อ่านกันนะครับ จะได้เข้าใจว่าพระภิกษุที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นยังไงจะได้เกิดศรัทธาขึ้นมาอีกครั้ง และคนที่มีความศรัทธาอยู่แล้วจะได้ศรัทธายิ่งยิ่งขึ้นไป สารบัญ 1.หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล (http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,175679.msg2382772.html#msg2382772) วัดเลียบ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 2.หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต (http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,175679.msg2385258.html#msg2385258) วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร 3.หลวงปู่ชา สุภัทโท (http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,175679.msg2387906.html#msg2387906) วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี 4.หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม (http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,175679.msg2411074.html#msg2411074) วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา 5.หลวงปู่ชอบ ฐานสโม (http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,175679.msg2466317.html#msg2466317) วัดป่าสัมมานุสรณ์ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย 6.หลวงปู่หลุย จันทสาโร (http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,175679.msg2469263.html#msg2469263) วัดถ้ำผาบิ้ง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย 7.หลวงปู่ฝั้น อาจาโร (http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,175679.msg2474690.html#msg2474690) วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร 8.หลวงปู่แหวน สุจิณโณ (http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,175679.msg2537178.html#msg2537178) วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ 9.หลวงปู่ขาว อนาลโย (http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,175679.msg2641259.html#msg2641259) วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2011, 18:32:51 1.หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล (http://www.luangpumun.org/pusao/c/sao05.jpg) (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/302/10302/images/IMG_0183_resize.JPG) อัฐิธาตุหลวงปุ่เสาร์ กันตสีโล ประวัติหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ท่านเกิดที่บ้านข่าโคม ตำบลหนองขอน อำเภอเมือง (ปัจจุบันอำเภอเขื่องใน) จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๔๐๒ ท่านเป็นพระคณาจารย์ใหญ่ของพระกรรมฐานทั้งหมด ท่านอุปสมบทที่วัดใต้ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาได้เป็นเจ้าอาวาสวัดใต้ และได้ญัตติเป็นพระธรรมยุตที่วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม) มีพระครูทา โชติปาโล เป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจารย์ ภายหลังมาอยู่วัดเลียบ และเปิดสำนักปฏิบัติธรรมขึ้น ณ วัดเลียบ ลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงของท่านคือพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ท่านได้มรณภาพในอิริยาบถขณะกราบครั้งที่ ๓ ในอุโบสถวัดอำมาตยาราม อำเภอวรรณไวทยากรณ์ นครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๔ ตรงกับ วันจันทร์ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะโรง เชิญศพมา ณ วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ทำพิธีเผาในเดือนเมษายน ๒๔๘๖ สิริอายุ ๘๒ ปี ๓ เดือน ๑ วัน นิสัยท่านอาจารย์เสาร์ นิสัยชอบก่อสร้าง ชอบปลูกพริกหมากไม้ ลักษณะจิตเยือกเย็น มีพรหมวิหารทำจิตดุจแผ่นดิน มีเมตตาเป็นสาธารณะ เป็นคนพูดน้อย ยกจิตขึ้นสู่องค์เมตตาสุกใสรุ่งเรือง เป็นคนเอื้อเฟื้อในพระวินัย ทำความเพียรเป็นกลางไม่ยิ่งหย่อน พิจารณาถึงขั้นภูมิละเอียดมาก ท่านบอกให้เราภาวนาเปลี่ยนอารมณ์แก้อาพาธได้ อยู่ข้างนอกวุ่นวาย เข้าไปหาท่านจิตสงบดี เป็นอัศจรรย์ปาฏิหาริย์หลายอย่าง จิตของท่านชอบสันโดษ ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง หมากไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ท่านแดดัง (พระครูทา โชติปาโล) เป็นอุปัชฌายะ เดินจงกรมภาวนาเสมอไม่ละกาล น้ำใจดี ไม่เคยโกรธขึ้นให้พระเณรอุบาสกอุบาสิกา มักจะวางสังฆทานอุทิศในสงฆ์สันนิบาต แก้วิปัสสนูฯแก่สานุศิษย์ได้ อำนาจวางจริตเฉยๆ เรื่อยๆ ชอบดูตำราเรื่องพระพุทธเจ้า รูปร่างใหญ่ สันทัด เป็นมหานิกาย ๑๐ พรรษา จึงมาญัตติเป็นธรรมยุตฯ รักเด็ก เป็นคนภูมิใหญ่กว้างขวาง ยินดีทั้งปริยัติปฏิบัติ ลักษณะเป็นคนโบราณพร้อมทั้งกาย วาจา ใจ เป็นโบราณทั้งสิ้น ไม่เห่อตามลาภยศสรรเสริญ อาหารชอบเห็ด ผลไม้ต่างๆ ชอบน้ำผึ้ง นั่งสมาธิตัวลอยขึ้น… ลืมตาขึ้นดูตกลงมาก้นกระแทกกับพื้นอย่างแรง ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า นิสัยของท่านพระอาจารย์เสาร์เป็นไปอย่างเรียบๆ และเยือกเย็นน่าเลื่อมใสมาก ที่มีแปลกอยู่บ้างก็เวลาท่านเข้าที่นั่งสมาธิตัวของท่านชอบลอยขึ้นเสมอ บางครั้งตัวท่านลอยขึ้นไปจนผิดสังเกต เวลาท่านนั่งสมาธิอยู่ ท่านเองเกิดความแปลกใจในขณะนั้นว่า "ตัวเราถ้าจะลอยขึ้นจากพื้นแน่ๆ" เลยลืมตาขึ้นดูตัวเอง ขณะนั้นจิตท่านถอนออกจากสมาธิพอดี เพราะพะวักพะวงกับเรื่องตัวลอย ท่านเลยตกลงมาก้นกระแทกกับพื้นอย่างแรง ต้องเจ็บเอวอยู่หลายวัน ความจริงตัวท่านลอยขึ้นจากพื้นจริงๆ สูงประมาณ ๑ เมตร ขณะที่ท่านลืมตาดูตัวเองนั้น จิตท่านถอนออกจากสมาธิ จึงไม่มีสติพอยับยั้งไว้บ้าง จึงทำให้ท่านตกลงสู่พื้นอย่างแรง เช่นเดียวกับสิ่งต่างๆ ตกลงจากที่สูง ในคราวต่อไปเวลาท่านนั่งสมาธิ พอรู้สึกว่าตัวท่านลอยขึ้นจากพื้น ท่านพยายามทำสติให้อยู่ในองค์ของสมาธิแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นดูตัวเอง ก็ประจักษ์ว่าตัวท่านลอยขึ้นจริงๆ แต่ไม่ได้ตกลงสู่พื้นเหมือนคราวแรก เพราะท่านมิได้ปราศจากสติ และคอยประคองใจให้อยู่ในองค์สมาธิ ท่านจึงรู้เรื่องของท่านได้ดี ท่านเป็นคนละเอียดถี่ถ้วนอยู่มาก แม้จะเห็นด้วยตาแล้วท่านยังไม่แน่ใจ ต้องเอาวัตถุชิ้นเล็กๆ ขึ้นไปเหน็บไว้บนหญ้าหลังกุฏิ แล้วกลับมาทำสมาธิอีก พอจิตสงบ และตัวเริ่มลอยขึ้นไปอีก ท่านพยายามประคองจิตให้มั่นอยู่ในสมาธิ เพื่อตัวจะได้ลอยขึ้นไปจนถึงวัตถุเครื่องหมายที่ท่านนำขึ้นไปเหน็บไว้ แล้วค่อยๆ เอื้อมมือจับด้วยความมีสติ แล้วนำวัตถุนั้นลงมาโดยทางสมาธิภาวนา คือพอหยิบได้วัตถุนั้นแล้วก็ค่อยๆ ถอนจิตออกจากสมาธิ เพื่อกายจะได้ค่อยๆ ลงมาถึงพื้นอย่างปลอดภัย แต่ไม่ถึงกับให้จิตถอนจากสมาธิจริงๆ เมื่อได้ทดลองจนเป็นที่แน่ใจแล้ว ท่านจึงเชื่อตัวเองว่า ตัวท่านลอยขึ้นได้จริงในเวลาเข้าสมาธิในบางครั้ง แต่มิได้ลอยขึ้นเสมอไป นี้เป็นจริตนิสัยแห่งจิตของท่านพระอาจารย์เสาร์ รู้สึกผิดกับนิสัยของท่านพระอาจารย์มั่นอยู่มากในปฏิปทาทางใจ จิตของท่านพระอาจารย์เสาร์เป็นไปอย่างเรียบๆ สงบเย็นโดยสม่ำเสมอ นับแต่ขั้นเริ่มแรกจนถึงสุดท้ายปลายแดนแห่งปฏิปทาของท่าน ไม่ค่อยล่อแหลมต่ออันตราย และไม่ค่อยมีอุบายต่างๆ และความรู้แปลกๆ เหมือนจิตท่านพระอาจารย์มั่น หลวงปู่เสาร์เคยปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เวลาเร่งความเพียรใจรู้สึกประหวัดๆ ถึงความปรารถนาเดิม ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า ท่านพระอาจารย์เสาร์เดิมท่านปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เวลาออกบำเพ็ญพอเร่งความเพียรเข้ามากๆ ใจรู้สึกประหวัดๆ ถึงความปรารถนาเดิม เพื่อความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแสดงออกเป็นเชิงอาลัยเสียดาย ยังไม่อยากไปนิพพาน ท่านเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อความเพียรเพื่อความรู้แจ้งซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ท่านเลยอธิษฐานของดจากความปรารถนานั้น และขอประมวลมาเพื่อความรู้แจ้งซึ่งพระนิพพานในชาตินี้ ไม่ขอเกิดมารับความทุกข์ทรมานในภพชาติต่างๆ อีกต่อไป พอท่านปล่อยวางความปรารถนาเดิมแล้ว การบำเพ็ญเพียรรู้สึกสะดวกและเห็นผลไปโดยลำดับ ไม่มีอารมณ์เครื่องเกาะเกี่ยวเหมือนแต่ก่อน สุดท้ายท่านก็บรรลุถึงแดนแห่งความเกษมดังใจหมาย แต่การแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ท่านไม่ค่อยมีความรู้แตกฉานกว้างขวางนัก ทั้งนี้อาจจะเป็นไปตามภูมินิสัยเดิมของท่านที่มุ่งเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งตรัสรู้เองชอบ แต่ไม่สนใจสั่งสอนใครก็ได้ อีกประการหนึ่ง ที่ท่านกลับความปรารถนาได้สำเร็จตามใจนั้น คงอยู่ในขั้นพอแก้ไขได้ ซึ่งยังไม่สมบูรณ์เต็มภูมิแท้ หลวงปู่เสาร์เป็นคนพูดน้อย เราเกิดเป็นมนุษย์ มีความสูงศักดิ์มาก แต่อย่านำเรื่องของสัตว์มาประพฤติ เวลาท่านพระอาจารย์มั่นออกเที่ยวธุดงคกรรมฐานทางภาคอีสาน ตามจังหวัดต่างๆ ในระยะต้นวัย ท่านมักจะไปกับท่านพระอาจารย์เสาร์เสมอ แม้ความรู้ทางภายในจะมีแตกต่างกันบ้างตามนิสัย แต่ก็ชอบไปด้วยกัน สำหรับท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่านเป็นคนไม่ชอบพูด ไม่ชอบเทศน์ ไม่ชอบมีความรู้แปลกๆ ต่างๆ กวนใจเหมือนท่านอาจารย์มั่น เวลาจำเป็นต้องเทศน์ท่านก็เทศน์เพียงประโยคหนึ่งหรือสองเท่านั้น แล้วก็ลงธรรมาสน์ไปเสีย ประโยคธรรมที่ท่านเทศน์ซึ่งพอจับใจความได้ว่า "ให้พากันละบาปและบำเพ็ญบุญ อย่าให้เสียชีวิตลมหายใจไปเปล่าที่ได้มีวาสนามาเกิดเป็นมนุษย์" และ "เราเกิดเป็นมนุษย์มีความสูงศักดิ์มาก แต่อย่านำเรื่องของสัตว์มาประพฤติ มนุษย์ของเราจะต่ำลงกว่าสัตว์ และจะเลวกว่าสัตว์อีกมาก เวลาตกนรกจะตกหลุมที่ร้อนกว่าสัตว์มากมาย อย่าพากันทำ" แล้วก็ลงธรรมาสน์ไปกุฏิโดยไม่สนใจกับใครต่อไปอีก ปกตินิสัยของท่านเป็นคนไม่ชอบพูด พูดน้อยที่สุด ทั้งวันไม่พูดอะไรกับใครเกิน ๒-๓ ประโยค เวลานั่งก็ทนทานนั่งอยู่ได้เป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง เดินก็ทำนองเดียวกัน แต่ลักษณะท่าทางของท่านมีความสง่าผ่าเผยน่าเคารพเลื่อมใสมาก มองเห็นท่านแล้วเย็นตาเย็นใจไปหลายวัน ประชาชน และพระเณรเคารพเลื่อมใสท่านมาก ท่านมีลูกศิษย์มากมายเหมือนท่านอาจารย์มั่น . หลวงปู่เสาร์สอนทำอะไรให้เป็นเวลา ให้ทำวัตร นอน ๔ ทุ่ม ตื่นตี ๓ ท่านอาจารย์หลวงปู่เสาร์นี้ท่านเป็นสาวกแบบชนิดที่ว่าเป็นพระประเสริฐ ท่านสอนธรรมนี้ท่านไม่พูดมาก ท่านชี้บอกว่าให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ แต่การปฏิบัติของท่านนี้ ท่านเอาการปฏิบัติแทนการสอนด้วยปาก ผู้ที่ไปอยู่ในสำนักท่าน ก่อนอื่นท่านจะสอนให้ทำวัตร นอน ๔ ทุ่ม ตื่นตี ๓ นี้ข้อแรกต้องทำให้ได้ก่อน บ้างทีก็ลองเรียนถามท่าน หลวงปู่ทำไมสอนอย่างนี้ การนอนเป็นเวลา ตื่นเป็นเวลา ฉันเป็นเวลา อาบน้ำเข้าห้องน้ำเป็นเวลา มันเป็นอุบายสร้างพลังจิต แล้วทำให้เรามีความจริงใจ ทีนี้นักปฏิบัติทั้งหลายไม่ได้ทำอย่างนี้ แม้แต่นักสะกดจิต เขาก็ยังยึดหลักอันนี้ มันมีอยู่คำหนึ่งที่หลวงพ่อ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) ไม่เคยลืมหลักปฏิบัติที่เวลาไปปฏิบัติท่าน ท่านจะพูดขึ้นลอยๆ ว่า "เวลานี้จิตข้ามันไม่สงบ มันมีแต่ความคิด" ก็ถามว่า "จิตมันฟุ้งซ่านหรือไงอาจารย์" "ถ้าให้มันหยุดนิ่งมันก็ไม่ก้าวหน้า" กว่าจะเข้าใจความหมายของท่านก็ใช้เวลาหลายปี ท่านหมายความว่า เวลาปฏิบัติถ้าจิตมันหยุดนิ่งก็ปล่อยให้มันหยุดนิ่งไป อย่าไปรบกวนมัน ถ้าเวลามันจะคิดก็ให้มันคิดไป เราเอาสติตัวเดียวเป็นตัวตั้งตัวตี . ปฏิปทาของหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ท่านสนใจเรื่องการปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน โดยถ่ายเดียว หลวงปู่เสาร์ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่มั่น ออกเดินธุดงคกรรมฐาน ปักกลดอยู่ในป่า ในดง ในถ้ำ ในเขา องค์แรกของอีสานคือหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล นัยว่าท่านออกบวชในพระศาสนา ท่านสนใจเรื่องการปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน โดยถ่ายเดียว ซึ่งสหธรรมิกคู่หูของท่านก็คือ พระปัญญาพิศาลเถร (หนู) เป็นคนเกิดในเมืองอุบลฯ ท่านออกเดินธุดงค์ร่วมกัน หลวงปู่เสาร์ตามปกติท่านเป็นพระที่เทศน์ไม่เป็น แต่ปฏิบัติให้ลูกศิษย์ดูเป็นตัวอย่าง เดินจงกรมแข่งหลวงปู่เสาร์ สมัยที่หลวงพ่อ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) เป็นเณรอยู่ใกล้ๆ ท่าน ถ้าวันไหนเราคิดว่าจะเดินจงกรมแข่งกับท่านอาจารย์ใหญ่ วันนั้นท่านจะเดินจงกรมไม่หยุด จนกว่าเราหยุดนั่นแหละท่านจึงจะหยุด ท่านจะไม่ยอมให้เราชนะท่าน เวลาท่านสอน สอนสมาธิ ถ้ามีใครถามว่า ส่วนใหญ่คนอีสานก็ถามแบบภาษาอีสาน "อยากปฏิบัติสมาธิเฮ็ดจั๋งได๋ญ่าท่าน" "พุทโธสิ" "ภาวนาพุทโธแล้วมันจะได้อีหยังขึ้นมา" "อย่าถาม" "พุทโธแปลว่าจั๋งได๋" "ถามไปหาสิแตกอีหยัง ยั้งว่าให้ภาวนา พุทโธ ข้าเจ้าให้พูดแค่นี้" แล้วก็ไม่มีคำอธิบาย ถ้าหากว่าใครเชื่อตามคำแนะนำของท่าน ไปตั้งใจภาวนาพุทโธ จริงๆ ไม่เฉพาะแต่เวลาเราจะมานั่งอย่างเดียว ยืน เดิน นั่น นอน รับประทาน ดื่ม ทำ ใจนึกพุทโธไว้ให้ตลอดเวลา ไม่ต้องเลือกว่าเวลานี้จะภาวนาพุทโธ เวลานี้เราจะไม่ภาวนาพุทโธ ท่านสอนให้ภาวนาทุกลมหายใจ ทำไมหลวงปู่เสาร์สอนภาวนาพุทโธ เพราะพุทโธเป็นกริยาของใจ หลวงพ่อ (พุธ ฐานิโย) เลยเคยแอบถามท่านว่าทำไมจึงต้องภาวนา พุทโธ ท่านก็อธิบายให้ฟังว่าที่ให้ภาวนาพุทโธนั้น เพราะพุทโธ เป็นกิริยาของใจ ถ้าเราเขียนเป็นตัวหนังสือเราจะเขียน พ – พาน – สระ – อุ – ท – ทหาร สะกด โอ ตัว ธ – ธง อ่านว่า พุทโธ อันนี้เป็นเพียงแต่คำพูด เป็นชื่อของคุณธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อจิตภาวนาพุทโธแล้วมันสงบวูบลงไปนิ่งสว่างรู้ตื่นเบิกบาน พอหลังจากคำว่า พุทโธ มันก็หายไปแล้ว ทำไมมันจึงหายไป เพราะจิตมันถึงพุทโธแล้ว จิตกลายเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ เกิดขึ้นในจิตของท่านผู้ภาวนา พอหลังจากนั้นจิตของเราจะหยุดนึกคำว่าพุทโธ แล้วก็ไปนิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน สว่างไสว กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ ยังแถมมีปีติ มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก อันนี้มันเป็นพุทธะ พุทโธ โดยธรรมชาติเกิดขึ้นที่จิตแล้ว พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นกิริยาของจิตมันใกล้กับความจริง แล้วทำไมเราจึงมาพร่ำบ่น พุทโธๆ ๆ ในขณะที่จิตเราไม่เป็นเช่นนั้น ที่เราต้องมาบ่นว่า พุทโธนั่นก็เพราะว่า เราต้องการจะพบพุทโธ ในขณะที่พุทโธยังไม่เกิดขึ้นกับจิตนี้ เราก็ต้องท่อง พุทโธๆ ๆ ๆ เหมือนกับว่าเราต้องการจะพบเพื่อนคนใดคนหนึ่ง เมื่อเรามองไม่เห็นเขาหรือเขายังไม่มาหาเรา เราก็เรียกชื่อเขา ทีนี้เมื่อเขามาพบเราแล้ว เราได้พูดจาสนทนากันแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปเรียกชื่อเขาอีก ถ้าขืนเรียกซ้ำๆ เขาจะหาว่าเราร่ำไร ประเดี๋ยวเขาด่าเอา ทีนี้ในทำนองเดียวกันในเมื่อเรียก พุทโธๆ ๆ เข้ามาในจิตของเรา เมื่อจิตของเราได้เกิดเป็นพุทโธเอง คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตของเราก็หยุดเรียกเอง ทีนี้ถ้าหากว่าเรามีความรู้สึกอันหนึ่งแทรกขึ้นมา เอ้า ควรจะนึกถึงพุทโธอีก พอเรานึกขึ้นมาอย่างนี้สมาธิของเราจะถอนทันที แล้วกิริยาที่จิตมันรู้ ตื่น เบิกบานจะหายไป เพราะสมาธิถอน ทีนี้ตามแนวทางของครูบาอาจารย์ที่ท่านแนะนำพร่ำสอน ท่านจึงให้คำแนะนำว่า เมื่อเราภาวนาพุทโธไปจิตสงบวูบลงนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านก็ให้ประคองจิตให้อยู่ในสภาพปกติอย่างนั้น ถ้าเราสามารถประคองจิตให้อยู่ในสภาพอย่างนั้นได้ตลอดไป จิตของเราจะค่อยสงบ ละเอียดๆ ๆ ลงไป ในช่วงเหตุการณ์ต่างๆ มันจะเกิดขึ้น ถ้าจิตส่งกระแสออกนอกเกิดมโนภาพ ถ้าวิ่งเข้ามาข้างในจะเห็นอวัยวะภายในร่างกายทั่วหมด ตับ ไต ไส้ พุง เห็นหมด แล้วเราจะรู้สึกว่ากายของเรานี่เหมือนกับแก้วโปร่ง ดวงจิตที่สงบ สว่างเหมือนกับดวงไฟที่เราจุดไว้ในพลบครอบ แล้วสามารถเปล่งรัศมีสว่างออกมารอบๆ จนกว่าจิตจะสงบละเอียดลงไป จนกระทั่งว่ากายหายไปแล้วจึงจะเหลือแต่จิตสว่างไสวอยู่ดวงเดียวร่างกายตัวตนหายหมด ถ้าหากจิตดวงนี้มีสมรรถภาพพอที่จะเกิดความรู้ความเห็นอะไรได้ จิตจะย้อนกายลงมาเบื้องล่าง เห็นร่างกายตัวเองนอนตายเหยียดยาวอยู่ขึ้นอืดเน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไป TOP. หลักปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์ให้ไว้ อาศัยอยู่ตามถ้ำบ้าง ตามโคนต้นไม้บ้าง พระบูรพาจารย์ของเรา เราถือว่าพระอาจารย์เสาร์ กตนฺสีโล เป็นพระอาจารย์องค์แรก และเป็นผู้นำหมู่คณะลูกศิษย์ลูกหา ออกเดินธุดงคกรรมฐาน ชอบพักพิงอยู่ตามป่าตามที่วิเวก อาศัยอยู่ตามถ้ำบ้างตามโคนต้นไม้บ้าง และท่านอาจารย์มั่นก็เป็นอีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์เสาร์ หลวงพ่อสิงห์ ขนฺตยาคโม ก็เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์เสาร์ และท่านอาจารย์มั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอาจารย์สิงห์เปรียบเสมือนหนึ่งว่าเป็นเสนาธิการใหญ่ของกองทัพธรรม ได้นำหมู่คณะออกเดินธุดงค์ไปตามราวป่าตามเขา อยู่อัพโภกาส อยู่ตามโคนต้นไม้ อาศัยอยู่ตามถ้ำ พักพิงอาศัยอยู่ในราวป่าห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๕๐๐ เมตร การธุดงค์ของพระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์สิงห์จะไม่นิยมที่จะไปปักกลดอยู่ตามละแวกบ้าน ตามสนามหญ้า หรือตามบริเวณโรงเรียน หรือใกล้ๆ กับถนนหนทางในที่ซึ่งเป็นที่ชุมนุมชน ท่านจะออกแสงหาวิเวกในราวป่าห่างไกลกันจริงๆ บางทีไปอยู่ในป่าเขาที่ไกล ตื่นเช้าเดินจากที่พักลงมาสู่หมู่บ้านเพื่อบิณฑบาต เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้ว กลับไปถึงที่พักเป็นเวลา ๑๑.๐๐ น. หรือ ๕ โมงก็มี อันนี้คือหลักการปฏิบัติของพระธุดงคกรรมฐานในสายพระอาจารย์มั่น พระอาจารย์เสาร์ ซึ่งบางทีอาจจะผิดแผกจากพระธุดงค์ในสมัยปัจจุบัน ซึ่งไปปักกลดอยู่ตามสนามหญ้า หรือตามสถานีรถไฟ ตามบริเวณโรงเรียนหรือศาลเจ้าต่างๆ พระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์สิงห์ ไม่นิยมทำเช่นนั้น ไปธุดงค์ก็ต้องไปป่ากันจริงๆ ที่ใดซึ่งมีอันตรายท่านก็ยิ่งไปเพื่อเป็นการทดสอบความสามารถของตัวเอง และเป็นการฝึกฝนลูกศิษย์ลูกหาให้มีความกล้าหาญเผชิญต่อภัยของชีวิต ตะล่อมจิตให้ยึดมั่นในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่วแน่ เมื่อไปในสถานที่ที่คิดว่ามีอันตราย ไปอยู่ในที่ห่างไกลพี่น้อง เพื่อนฝูงหสธรรมิกก็ไปอยู่บริเวณที่ห่างๆ กัน ในเมื่อจิตใจเกิดความหวาดกลัวภัยขึ้นมา จิตใจก็วิ่งเข้าสู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยึดเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะอย่างเหนียวแน่น เพราะในขณะนั้นไม่มีใครอีกแล้วที่จะเป็นเพื่อนตาย ดังนั้น ท่านจึงมีอุบายให้ไปฝึกฝนอบรมตัวเอง ฝึกฝนอบรมบรรดาลูกศิษย์ลูกหา ผู้ติดตาม ในสถานที่วิเวกห่างไกลเต็มไปด้วยภัยอันตราย เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหามีความกล้าหาญชาญชัย ในการที่จะเสียสละเพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อบูชาพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง การฝึกฝนอบรมหรือการอบรมสั่งสอนของครูบาอาจารย์ดังกล่าวนั้น ท่านยึดหลักที่จะพึงให้ลูกศิษย์ปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวันดังนี้ ท่านจะสอนให้พวกเราประกอบความเพียรดังกล่าวตั้งแต่หัวค่ำ จนกระทั่วเวลา ๔ ทุ่ม พอถึง ๔ ทุ่มแล้วก็จำวัดพักผ่อนตามอัธยาศัย พอถึงตี ๓ ท่านก็เตือนให้ลุกขึ้นมาบำเพ็ญเพียร เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาหรือทำวัตรสวดมนต์ก็ตามแต่ที่จะถนัด แต่หลักที่ท่านยึดเป็นหลักที่แน่นอนที่สุดก็คือว่าในเบื้องต้นท่านจะสอนให้ลูกศิษย์หัดนอน ๔ ทุ่ม ตื่นตี ๓ ในขณะที่ยังไม่ได้นอนหรือตื่นขึ้นมาแล้วก็ทำกิจวัตร มีการสวดมนต์ไหว้พระ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ท่านก็จะสอนให้ทำอย่างนี้ อันนี้เป็นหลักสำคัญที่ท่านจะรีบเร่งอบรมสั่งสอน และฝึกลูกศิษย์ให้ทำให้ได้ ถ้าหากยังทำไม่ได้ท่านก็ยังไม่อบรมสั่งสอนธรรมะส่วนละเอียดขึ้นไป เพราะอันนี้เป็นการฝึกหัดดัดนิสัยให้มีระเบียบ นอนก็มีระเบียบ ตื่นก็มีระเบียบ การฉันก็ต้องมีระเบียบ คือฉันหนเดียวเป็นวัตร ฉันในบาตรเป็นวัตร บิณฑบาตฉันเป็นวัตร อันนี้เป็นข้อวัตรที่ท่านถือเคร่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อฉันในบาตร ฉันหนเดียว อันนี้ท่านยึดเป็นหัวใจหลักของการปฏิบัติกรรมฐานเลยทีเดียว TOP. หลักสมถวิปัสสนาของหลวงปู่เสาร์ พิจารณากายแยกออกเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ หลักการสอนท่านก็สอนในหลักของสมถวิปัสสนา ดังที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้วนั้น แต่ท่านจะเน้นหนักในการสอนให้เจริญพุทธคุณเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเจริญพุทธคุณจนคล่องตัวจนชำนิชำนาญแล้ว ก็สอนให้พิจารณากายคตาสติ เมื่อสอนให้พิจารณากายคตาสติ พิจารณาอสุภกรรมฐาน จนคล่องตัวจนชำนิชำนาญแล้ว ก็สอนให้พิจารณาธาตุกรรมฐาน ให้พิจารณากายแยกออกเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วก็พยายามพิจารณาว่าในร่างกายของเรานี้ไม่มีอะไร มีแต่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมกันอยู่เท่านั้น หาสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่มี ในเมื่อฝึกฝนอบรมให้พิจารณาจนคล่องตัว จิตก็จะมองเห็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน คือเห็นว่าร่างกายนี้ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตน เป็นอนัตตาทั้งนั้น จะว่ามีตัวมีตนในเมื่อแย่ออกไปแล้ว มันก็มีแต่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ สัตว์ บุคคลตัวตนเราเขาไม่มี แต่อาศัยความประชุมพร้อมของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มีปฏิสนธิ จิตปฏิสนธิวิญญาณมายึดครองอยู่ในร่างอันนี้ เราจึงสมมติบัญญัติว่า สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา อันนี้เป็นแนวการสอนของพระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์มั่น และพระอาจารย์สิงห์ การพิจารณาเพียงแค่ว่าพิจารณากายคตาสติก็ดี พิจารณาธาตุกรรมฐานก็ดี ตามหลักวิชาการท่านว่าเป็นอารมณ์ของสมถกรรมฐาน แต่ท่านก็ย้ำให้พิจารณาอยู่ในกายคตาสติกรรมฐานกับธาตุกรรมฐานนี้เป็นส่วนใหญ่ ที่ท่านย้ำๆ ให้พิจารณาอย่างนั้น ก็เพราะว่าทำให้ภูมิจิตภูมิใจของนักปฏิบัติก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาได้เร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณากายคตาสติ แยกผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น ออกเป็นส่วนๆ เราจะมองเห็นว่าในกายของเรานี้ก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวตน มันเป็นแต่เพียง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกเท่านั้น ถ้าว่ากายนี้เป็นตัวเป็นตน ทำไมจึงจะเรียกว่าผม ทำไมจึงจะเรียกว่าขน ทำไมจึงจะเรียกว่าเล็บ ว่าฟัน ว่าเนื้อ ว่าเอ็น ว่ากระดูก ในเมื่อแยกออกไปเรียกอย่างนั้นแล้ว มันก็ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา นอกจากนั้นก็จะมองเห็นอสุภกรรมฐาน เห็นว่าร่างกายนี้เต็มไปด้วยของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครกน่าเบื่อหน่าย ไม่น่ายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นอัตตาตัวตน แล้วพิจารณาบ่อยๆ พิจารณาเนืองๆ จนกระทั่งจิตเกิดความสงบ สงบแล้วจิตจะปฏิวัติตัวไปสู่การพิจารณาโดยอัตโนมัติ ผู้ภาวนาก็เริ่มจะรู้แจ้งเห็นจริงในความเป็นจริงของร่างกายอันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ พิจารณากายแยกออกเป็นส่วนๆ ส่วนนี้เป็นดิน ส่วนนี้เป็นน้ำ ส่วนนี้เป็นลม ส่วนนี้เป็นไฟ เราก็จะมองเห็นว่าร่างกายนี้สักแต่ว่าเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่มี ก็ทำให้จิตของเรามองเห็นอนัตตาได้เร็วขึ้น เพราะฉะนั้นการเจริญกายคตาสติก็ดี การเจริญธาตุกรรมฐานก็ดี จึงเป็นแนวทางให้จิตดำเนินก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาได้ และอีกอันหนึ่งอานาปานสติ ท่านก็ยึดเป็นหลักการสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมฐานอานาปานสติ การกำหนดพิจารณาลมหายใจนั้น จะไปแทรกอยู่ทุกกรรมฐาน จะบริกรรมภาวนาก็ดี จะพิจารณาก็ดี ในเมื่อจิตสงบลงไป ปล่อยวางอารมณ์ที่พิจารณาแล้ว ส่วนใหญ่จิตจะไปรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ในเมื่อจิตตามรู้ลมหายใจเข้าออก กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่เป็นปกติ จิตเอาลมหายใจเป็นสิ่งรู้ สติเอาลมหายใจเป็นสิ่งระลึก ลมหายใจเข้าออกเป็นไปตามปกติของร่างกาย เมื่อสติไปจับอยู่ที่ลมหายใจ ลมหายใจก็เป็นฐานที่ตั้งของสติ ลมหายใจเป็นสิ่งเกี่ยวเนื่องด้วยกาย สติไปกำหนดรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก จดจ่ออยู่ที่ตรงนั้น วิตกถึงลมหายใจ มีสติรู้พร้อมอยู่ในขณะนั้น จิตก็มีวิตกวิจารอยู่กับลมหายใจ เมื่อจิตสงบลงไป ลมหายใจก็ค่อยละเอียดๆ ลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดลมหายใจก็หายขาดไป เมื่อลมหายใจหายขาดไปจากความรู้สึก ร่างกายที่ปรากฏว่ามีอยู่ก็พลอยหายไปด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าลมหายใจยังไม่หายขาดไปกายก็ยังปรากฏอยู่ เมื่อจิตตามลมหายใจเข้าไปข้างใน จิตจะไปสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางของกาย แล้วก็แผ่รัศมีออกมารู้ทั่วทั้งกาย จิตสามารถที่จะมองเห็นอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายได้หมดทั้งตัว เพราะลมย่อมวิ่งเข้าไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ลมวิ่งไปถึงไหนจิตก็รู้ไปถึงนั่น ตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่เท้าจรดหัว ตั้งแต่แขนซ้ายแขนขวา ขาขวาขาซ้าย เมื่อจิตตามลมหายใจเข้าไปแล้ว จิตจะรู้ทั่วกายหมด ในขณะใดกายยังปรากฏอยู่ จิตสงบอยู่ สงบนิ่ง รู้สว่างอยู่ในกาย วิตก วิจาร คือจิตรู้อยู่ภายในกาย สติก็รู้พร้อมอยู่ในกาย ในอันดับนั้นปีติและความสุขย่อมบังเกิดขึ้น เมื่อปีติและความสุขบังเกิดขึ้น จิตก็เป็นหนึ่ง นิวรณ์ ๕ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ก็หายไป จิตกลายเป็นสมถะ มีพลังพอที่จะปราบนิวรณ์ ๕ ให้สงบระงับไป ผู้ภาวนาก็จะมองเห็นผลประโยชน์ในการเจริญสมถกรรมฐาน นำเราไปยังอุโบสถเลย เพราะเราจะไปตายที่นั่น …เมื่อออกพรรษาทุกปี หลวงปู่เสาร์จะพาออกธุดงค์ลงไปทางใต้นครจำปาศักดิ์ หลี่ผี ปากเซ ฝั่งประเทศลาว แล้วก็ย้อนกลับมาจำพรรษาที่วัดดอนธาตุอีกทุกปี เมื่อถึงปี พ.ศ.๒๔๘๓ มีอยู่วันหนึ่งตอนบ่าย หลวงปู่เสาร์นั่งสมาธิอยู่ใต้โคนต้นยางใหญ่ พอดีขณะนั้นมีเหยี่ยวตัวหนึ่งได้บินโฉบไปโฉบมา โฉบเอารังผึ้งซึ่งอยู่บนต้นไม้ที่หลวงปู่เสาร์นั่งอยู่ รวงผึ้งนั้นได้ขาดตกลงมาใกล้ๆ กับที่หลวงปู่เสาร์นั่งอยู่ ผึ้งได้รุมกัดต่อยหลวงปู่หลายตัว จนท่านถึงกับต้องเข้าไปในมุ้งกลด พวกมันจึงพากันบินหนีไป ตั้งแต่นั้นมา หลวงปู่เสาร์ก็อาพาธมาโดยตลอด พอออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ได้ไปวิเวกทางด้านปากเซ หลี่ผี จำปาศักดิ์ แต่ไปคราวนี้หลวงปู่เสาร์ป่วยหนัก ท่านจึงสั่งให้หลวงปู่บัวพา และคณะศิษย์นำท่านกลับมาที่วัดอำมาตย์ นครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว โดยมาทางเรือ ตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ ท่านนอนบนแคร่ในเรือประทุน หลวงปู่เสาร์หลับตานิ่งมาตลอด เพราะตอนนั้นท่านกำลังอาพาธหนัก อันเกิดจากผึ้งที่ได้ต่อยท่านตอนที่อยู่จำพรรษาที่วัดดอนธาตุ เมื่อถึงนครจำปาศักดิ์แล้ว ท่านลืมตาขึ้นพูดว่า "ถึงแล้วใช่ไหม ให้นำเราไปยังอุโบสถเลย เพราะเราจะไปตายที่นั่น" หลวงปู่บัวพาจึงได้นำหลวงปู่เสาร์เข้าไปในอุโบสถ แล้วหลวงปู่เสาร์สั่งให้เอาผ้าสังฆาฏิมาใส่ แล้วเตรียมตัวเข้านั่งสมาธิ ท่านกราบพระ ๓ ครั้ง พอกราบครั้งที่ ๓ ท่านนิ่งงันโดยไม่ขยับเขยื้อน นานเท่านานจนผิดสังเกต หลวงปู่บัวพา และหลวงปู่เจี๊ยะ จนฺโท ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เอามือมาแตะที่จมูกท่าน ปรากฏว่าท่านหมดลมหายใจแล้ว ไม่ทราบว่าหลวงปู่เสาร์ท่านมรณภาพไปเวลาใด แต่พอสันนิษฐานได้ว่า ท่านมรณภาพในอิริยาบถนั่งกราบ ท่านจึงพูดขึ้นกับหมู่คณะ (ซึ่งตอนนั้นมีพระเถระผู้ใหญ่ และพระเณรมานั่งดูอาการป่วยของหลวงปู่เสาร์) ว่า "หลวงปู่ได้มรณภาพแล้ว" ข่าวการมรณภาพ ก็แพร่กระจายไปเรื่อยๆ จนทางบ้านเมือง ญาติโยม พระเณร ชาวนครจำปาศักดิ์ขอทำบุญอยู่ ๓ วัน เพื่อบูชาคุณขององค์หลวงปู่ พอวันที่ ๔ บรรดาพระเถระ ญาติโยมชาวอุบลฯ จึงได้มาอัญเชิญศพขององค์หลวงปู่ไปวัดบูรพาราม จังหวัดอุบลฯ ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่เสาร์เคยอยู่มาก่อน ปีที่หลวงปู่เสาร์มรณภาพคือปี พ.ศ.๒๔๘๔ (วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๔ อายุ ๘๒ ปี ๓ เดือน ๑ วัน) ออกพรรษาแล้ว ปี พ.ศ.๒๔๘๖ จึงได้จัดพิธีถวายเพลิงศพของหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ในงานนี้หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้มาเป็นประธาน แต่ผู้ดำเนินงานคือพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ในวันถวายเพลิงศพนอกจากศพของหลวงปู่เสาร์แล้ว ยังมีพระเถระผู้ใหญ่อีก ๓ รูป ที่มีการฌาปนกิจในวันเดียวกันคือ ๑. ท่านเจ้าคุณพระศาสนดิลก (เสน ชิตโสโน) ๒. พระมหารัฐ รฏฐปาโล ๓. พระครูวิโรจน์รัตโนบล (บุญรอด นนฺตโร) รวมเป็น ๔ กับองค์หลวงปู่เสาร์ วันเช่นนี้นี่จึงเป็นวันที่มีการสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ของชาวจังหวัดอุบลราชธานี ที่มา : ขวัญอโยธยา หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: RichSoon ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2011, 19:11:43 อนุโมทนาบุญครับ
มีมาเรื่อยๆใช่ไหมครับ :wanwan017: หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2011, 19:31:42 อนุโมทนาบุญครับ มีมาเรื่อยๆใช่ไหมครับ :wanwan017: มีมาเรื่อยๆครับ ติดตามอ่านได้เลย หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: kongming ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2011, 20:31:05 สาธุ อนุโมทนาบุญ ด้วยครับ
:wanwan017: หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 14:44:13 สาธุ อนุโมทนาบุญ ด้วยครับ :wanwan017: สาธุ :wanwan017: หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 14:58:44 2.หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต (http://www.dhammathai.org/gallery/monk/ajmun1.jpg) (http://www.santidham.com/tatu1st/tatu/present/p-mun/p-mun4.jpg) อัฐิธาตุหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย ท่านกำเนิดในสกุลแก่นแก้ว บิดาชื่อคำด้วง มารดาชื่อ จันทร์ เพียแก่นท้าว เป็นปู่ นับถือพุทธศาสนา เกิดวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ปีมะแม ตรงกับวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๑๓ ณ บ้านคำบง ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๗ คน ท่านเป็นบุตรคนหัวปี ท่านเป็นคนร่างเล็ก ผิวดำแดง แข็งแรงว่องไว สติปัญญาดี มาแต่กำเนิด ฉลาด เป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ได้เรียนอักษรสมัยในสำนักของอา คือ เรียนอักษรไทยน้อย อักษรไทย อักษรธรรม และอักษรขอม อ่านออกเขียนได้ นับว่าท่านเรียนได้รวดเร็ว เพราะมีความทรงจำดี และขยันหมั่นเพียร ชอบการเล่าเรียน ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา เมื่อหลวงปู่มั่นอายุได้ ๑๕ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรในสำนักบ้านคำบง ใครเป็นบรรพชาจารย์ไม่ปรากฏ ครั้นบวชแล้วได้ศึกษา หาความรู้ ทางพระศาสนามีสวดมนต์ และพระสูตรต่าง ๆ ในสำนักบรรพชาจารย์ จดจำได้รวดเร็ว อาจารย์เมตตาปราณีมาก เพราะเอาใจใส่ในการเรียนดี ประพฤติปฏิบัติเรียบร้อย เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ เมื่อท่านอายุได้ ๑๗ บิดาขอร้องให้ลาสิกขาเพื่อช่วย การงานทางบ้าน ท่านได้ลาสิกขาออกไปช่วยงานบิดามารดา เต็มความสามารถ ท่านเล่าว่า เมื่อลาสิกขาไปแล้ว ยังคิดที่จะบวชอีกอยู่เสมอไม่เคยลืมเลย คงเป็นเพราะอุปนิสัย ในทางบวช มาแต่ก่อนหนหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง เพราะติดใจในคำสั่งของยายว่า เจ้าต้องบวชให้ยาย เพราะยายก็ได้เลี้ยงเจ้ายาก คำสั่งของยายนี้ คอยสะกิดใจอยู่เสมอ ครั้นอายุหลวงปู่มั่นได้ ๒๒ ปี ท่านเล่าว่า มีความอยากบวชเป็นกำลัง จึงอำลาบิดามารดาบวช ท่านทั้งสองก็อนุมัติตามประสงค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านได้ศึกษาในสำนัก ท่านอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี ได้รับอุปสมบทกรรม เป็นภิกษุภาวะในพระพุทธศาสนา ณ วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม) อำเภอเมือง ฯ จังหวัดอุบลราชธานี พระอริยกวี (อ่อน) เป็นพระอุปัชฌายะ มี พระครูสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจารย์ และ พระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๖ พระอุปัชฌายะ ขนานนาม มคธ ให้ว่า ภูริทตโต เสร็จ อุปสมบทกรรมแล้ว ได้กลับมาสำนักศึกษาวิปัสสนาธุระ กับพระอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ ณ วัดเลียบ ต่อไป เมื่อแรกอุปสมบท หลวงปู่มั่น พำนักอยู่วัดเลียบ เมืองอุบล เป็นปกติ ออกไปอาศัยอยู่วัดบูรพาราม เมืองอุบลบ้างเป็นครั้งคราว ในระหว่างนั้น ได้ศึกษาข้อปฏิบัติเบื้องต้น อันเป็นส่วนแห่งพระวินัยคือ อาจาระ ความประพฤติมารยาท อาจริยวัตร และอุปัชฌายวัตร ปฏิบัติได้เรียบร้อยดี จนเป็นที่ไว้วางใจของพระอุปัชฌายาจารย์ และได้ศึกษาข้อปฏิบัติอบรมจิตใจ คือ เดินจงกลม นั่งสมาธิ สมาทาน ธุดงควัตร ต่าง ๆ ในสมัยต่อมา ได้แสวงหาวิเวก บำเพ็ญสมณธรรมในที่ต่าง ๆ ตามราวป่า ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง หุบเขา ซอกห้วย ธารเขา เงื้อมเขาท้องถ้ำ เรือนว่าง ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงบ้าง ฝั่งขวาแม่น้ำโขงบ้าง แล้วลงไปศึกษากับนักปราชญ์ในกรุงเทพฯ จำพรรษาอยู่ที่ วัดปทุมวนาราม หมั่นไปสดับธรรมเทศนา กับเจ้าพระคุณพระอุบาลี (สิริจันทเถระ จันทร์) ๓ พรรษา แล้วออกแสวงหาวิเวกในถิ่นภาคกลาง คือ ถ้ำสาริกา เขาใหญ่ นครนายก ถ้ำไผ่ขวาง เขาพระงาม แล ถ้ำสิงโต ลพบุรี จนได้รับความรู้แจ่มแจ้ง ในพระธรรมวินัย สิ้นความสงสัย ในสัตถุศาสนา จึงกลับมาภาคอิสาน ทำการอบรมสั่งสอน สมถวิปัสสนา แก่สหธรรมิก และอุบาสก อุบาสิกา ต่อไป มีผู้เลื่อมใสพอใจปฏิบัติมากขึ้น โดยลำดับ มีศิษยานุศิษย์แพร่หลาย กระจายทั่วภาคอิสาน ในกาลต่อมา ได้ลงไปพักจำพรรษาที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพ ฯ อีก ๑ พรรษา แล้วไปเชียงใหม่กับ เจ้าพระคุณอุบาลีฯ (สิริจันทรเถระ จันทร์) จำพรรษา วัดเจดีย์หลวง ๑ พรรษาแล้วออกไปพักตามที่วิเวก ต่าง ๆ ในเขตภาคเหนือหลายแห่ง เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในที่นั้น ๆ นานถึง ๑๑ ปี จึงได้กลับมา จังหวัดอุบลราชธานี พักจำพรรษาอยู่ที่ วัดโนนนิเวศน์ เพื่ออนุเคราะห์สาธุชนในที่นั้น ๒ พรรษา แล้วมาอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร จำพรรษาที่ วัดป่าบ้านนามน ตำบลตองขอบ อำเภอเมืองสกลนคร (ปัจจุบัน คือ อำเภอ โคกศรีสุพรรณ) ๓ พรรษาจำพรรษาที่ วัดหนองผือ ตำบลนาใจ อำเภอเมืองพรรณานิคม ๕ พรรษา เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในถิ่นนั้น มีผู้สนใจในธรรมปฏิบัติ ได้ติดตามศึกษาอบรมจิตใจมากมาย มีศิษยานิศิษย์มากหลาย ยังเกียรติคุณของท่าน ให้ฟุ้งเฟื่องเลื่องลือไป ธุดงควัตร ที่ท่านถือปฏิบัติ เป็นอาจิณ ๔ ประการ ๑. ปังสุกุลิกังคธุดงค์ ถือนุ่งห่มผ้าบังสกุล จนกระทั่งวัยชรา จึงได้ใช้ คหบดีจีวรบ้าง เพื่ออนุเคราห์แก่ผู้ศรัทธานำมาถวาย ๒. บิณฑบาติกังคธุดงค์ คือภิกขาจารยวัตร เที่ยวบิณฑบาตมาฉันเป็นนิตย์ แม้อาพาธ ไปในละแวกบ้านไม่ได้ ก็บิณฑบาตในเขตวัด บนโรงฉัน จนกระทั้งอาพาธ ลุกไม่ได้ในปัจฉิมสมัยจึงงดบิณฑบาต ๓. เอกปัตติกังคธุดงค์ คือฉันในบาต ใช้ภาชนะใบเดียว เป็นนิตย์ จนกระทั่งถึงสมัยอาพาธในปัจฉิมสมัย จึงงด ๔. เอกาสนิกังคธุดงค์ ถือฉันหนเดียวเป็นนิตย์ ตลอดเวลาแม้อาพาธหนัก ในปัจฉิมสมัย ก็มิได้เลิกละ ส่วนธุดงควัตรนอกนี้ ได้ถือปฏิบัติเป็นครั้งคราว ที่นับว่าปฏิบัติได้มาก ก็คือ อรัญญิกกังคธุดงค์ คืออยู่เสนา สนะป่า ห่างบ้านประมาณ ๒๕ เส้น หลีกเร้นอยู่ในที่สงัด ตามสมณวิสัย เมื่อถึงวัยชรา จึงอยู่ในเสนาสนะป่าห่างจากบ้านพอสมควร ซึ่งพอเหมาะกับกำลัง ที่จะภิกขาจาร บิณฑบาต เป็นที่ ๆ ปราศจากเสียงอื้ออึง ประชาชนเคารพยำเกรง ไม่รบกวน นัยว่า ในสมัยที่ท่านยังแข็งแรง ได้ออกจาริกโดดเดี่ยวแสวงวิเวกไปในป่าดงพงลึก จนสุดวิสสัยที่ศิษยานุศิษย์จะติดตามไปถึงได้ก็มี เช่นคราวที่ไปอยู่ภาคเหนือ เป็นต้น ท่านไปวิเวกบนเขาสูง อันเป็นที่อยู่ของพวก มูเซอร์ยังชาวมูเซอร์ที่พูดไม่รู้เรื่องกัน ให้บังเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้ ธรรมโอวาท คำที่เป็นคติ อันท่านอาจารย์กล่าวอยู่บ่อย ๆ ที่เป็นหลักวินิจฉัยความดีที่ทำด้วย กาย วาจา ใจ แก่ศิษยานุศิษย์ ดังนี้ ๑. ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นนับว่าเป็นเลิศ ๒. ได้สมบัติทั้งปวง ไม่ประเสริฐเท่าได้ตน เพราะตัวตนเป็นที่เกิดแห่งสมบัติทั้งปวง เมื่อท่านอธิบาย ตจปัญจกกรรมฐาน จบลง มักจะกล่าวเตือนเป็นคำกลอนว่าแก้ให้ตกเน้อ แก้บ่ตก คาพกเจ้าไว้ แก้บ่ได้ แขวนคอต่องแต่ง แก้บ่พ้น คาก้นย่างยาย คาย่างยาย เวียนตายเวียนเกิด เวียนเอากำเนิดในภพทั้งสาม ภพทั้งสามเป็นเฮือน เจ้าอยู่ ดังนี้ เมื่อคราวท่านเทศนาสั่งสอนพระภิกษุ ผู้เป็นสานุศิษย์ ถือลัทธิฉันเจให้เข้าใจในทางถูก และเลิกลัทธินั้น ครั้นจบลงแล้วได้กล่าวเป็นคติขึ้นว่า เหลือแต่เว้าบ่เห็น บ่อนเบาหนัก เดินบ่ไปตามทาง สิถึกดงเสือฮ้ายดังนี้แล การบำเพ็ญสมาธิ เอาแต่เพียงเป็นบาทของวิปัสนา คือ การพิจารณาก็พอแล้ว ส่วนการจะอยู่ในวิหารธรรมนั้น ก็ให้กำหนดรู้ ถ้าใครกลัวตาย เพราะบทบาททางความเพียร ผู้นั้น จะกลับมาตายอีก หลายภพหลายชาติ ไม่อาจนับได้ ส่วนผู้ใดไม่กลัวตาย ผู้นั้นจะตัดภพชาติให้น้อยลง ถึงกับไม่มีภพชาติเหลืออยู่ และผู้นั้นแล จะเป็นผู้ไม่กลับหลังมาหาทุกข์อีก ธรรมะเรียนมาจากธรรมชาติ เห็นความเกิดแปรปรวนของสังขาร ประกอบด้วยไตรลักษณ์ ปัจฉิมโอวาทของ พระพุทธเจ้าโดยแท้ ๆ ถ้าเข้าใจในโอวาทปาฏิโมกข์ ท่านพระอาจารย์มั่นแสดงโดยยึดหลักธรรมชาติของศิลธรรม ทางด้านการปฏิบัติ เพื่อเตือนนักปฏิบัติทั้งหลายท่าน แสดงเอาแต่ใจความว่า.... การไม่ทำบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศล คือ ความฉลาดให้ถึงพร้อมหนึ่ง การชำระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง.... นี้แล คือ คำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า การไม่ทำบาป... ถ้าทางการไม่ทำ แต่ทางวาจายังทำอยู่ ถ้าทางวาจาไม่ทำ แต่ทางใจก็ทำ สั่งสมบาปตลอดวัน จนถึงเวลาหลับ พอตื่นจากหลับ ก็เริ่มสั่งสมบาปต่อไปจนถึงขณะหลับอีก เป็นทำนองนี้ โดยมิได้สนใจว่า ตัวทำบาป หรือสั่งสมบาปเลย แม้กระนั้น ยังหวังใจอยู่ว่า ตนมีศิลธรรม และคอยแต่เอาความบริสุทธิ์ จากความมีศิลธรรม ที่ยังเหลือแต่ชื่อเท่านั้น ฉะนั้น จึงไม่เจอความบริสุทธิ์ กลับเจอแต่ความเศร้าหมอง ความวุ่นวายในใจตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะ ตนแสวงหาสิ่งนั้น ก็ต้องเจอสิ่งนั้น ถ้าไม่เจอสิ่งนั้น จะให้เจออะไรเล่า เพราะเป็นของที่มีอยู่ ในโลกสมมุติอย่างสมบูรณ์ ปัจฉิมบท ในวัยชรา นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นต้นมา ท่านหลวงปู่มั่นมาอยู่ที่จังหวัดสกลนคร เปลี่ยนอิริยาบทไปตามสถานที่วิเวก ผาสุกวิหารหลายแห่งคือ ณ เสนาสนะป่า บ้านนามน ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง ฯ (ปัจจุบัย เป็นอำเภอ โคกศรีสุพรรณ) บ้าง ที่ใกล้ ๆ แถวนั้นบ้าง ครั้น พ.ศ. ๒๔๘๗ จึงย้ายไปอยู่เสนาสนะป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร จนถึงปีสุดท้ายของชีวิต ตลอดเวลา ๘ ปี ในวัยชรานี้ ท่านได้เอาธุระ อบรมสั่งสอน ศิษยานุศิษย์ทางสมถ วิปัสสนาเป็นอันมาก ได้มีการเทศนาอบรมจิตใจศิษยานุศิษย์เป็นประจำวัน ศิษย์ผู้ใกล้ชิด ได้บันทึกธรรมเทศนาของท่านไว้ และได้รวบรวมพิมพ์ขึ้นเผยแพร่ แล้วให้ชื่อว่า มุตโตทัย ครั้นมาถึงปี พ.ศ.๒๔๙๒ ซึ่งเป็นปีที่ท่านมีอายุย่างขึ้น ๘๐ ปี ท่านเริ่มอาพาธเป็นไข้ ศิษย์ผู้อยู่ใกล้ชิด ได้เอาธุระรักษาพยาบาล ไปตามกำลังความสามารถ อาพาธก็สงบไปบ้างเป็นครั้งคราว แต่แล้วก็กำเริบขึ้นอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนจวนออกพรรษา อาพาธก็กำเริบมากขึ้น ข่าวนี้ได้กระจายไปโดยรวดเร็ว พอออกพรรษาศิษยานุศิษย์ผู้อยู่ไกล ต่างก็ทยอยกันเข้ามาปรนนิบัติพยาบาล ได้เชิญหมอแผนปัจจุบันมาตรวจ และรักษา แล้วนำมาที่เสนาสนะป่าบ้านภู่ อำเภอพรรณานิคม เพื่อสะดวกแก่ผู้รักษา และ ศิษยานุศิษย์ ก็มาเยี่ยมพยาบาลอาการอาพาธ มีแต่ทรงกับทรุด โดยลำดับ ครั้นเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ได้นำท่านมาถึงวัดป่าสุทธาวาส ท่านก็ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา ๐๒.๒๓ น. ของวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ศกเดียวกัน ท่ามกลางศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย มีเจ้าพระคุณ พระธรรมเจดีย์เป็นต้น สิริชนมายุของท่านอาจารย์ได้ ๗๙ ปี ๙ เดือน ๒๑ วัน รวม ๕๖ พรรษา การบำเพ็ญประโยชน์ ของท่านหลวงปู่มั่น ประมวลในหลัก ๒ ประการดังนี้ ๑. ประโยชน์ชาติ ท่านหลวงปู่ ได้เอาธุระเทศนาอบรมสั่งสอนศิลธรรมอันดีงาม แก่ประชาชนพลเมือง ของทุกชาติ ในทุก ๆ ถิ่น ที่ท่านได้สัญจรไป คือ ภาคกลางบางส่วน ภาคเหนือเกือบทั่วทุกจังหวัด ภาคอิสานเกือบทั่วทุกจังหวัด ไม่กล่าวสอนให้เป็นปฏิปักษ์ ต่อการปกครองของประเทศ ทำให้พลเมืองของชาติ ผู้ได้รับคำสั่งสอน เป็นคนมีศิลธรรมดี มีสัมมาอาชีพง่ายแก่การปกครอง ของ ผู้ปกครองชือว่า ได้บำเพ็ญประโยชน์แก่ชาติ ตามควรแก่สมณวิสัย ๒. ประโยชน์ศาสนา ท่านหลวงปู่ ได้บรรพชา และอุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้ ด้วยความเชื่อ และความเลื่อมใสจริง ๆ ครั้นบวชแล้ว ก็ได้ เอาธุระทางพระพุทธศาสนาด้วยความอุตสาหะพากเพียรจริง ๆ ไม่ทอดธุระในการบำเพ็ญ สมณธรรม หลวงปู่มั่น ท่านปฏิบัติธุดงควัตรเคร่งครัดถึง ๔ ประการดังกล่าวแล้ว ในเบื้องต้น ได้ดำรงรักษาสมณกิจไว้มิให้เสื่อมสูญได้นำหมู่คณะ ฟื้นฟูปฏิบัติพระธรรมวินัย ได้ถูกต้องตามพุทธบัญญัติ และพระพุทธโอวาท หมั่นอนุศาสน์สั่งสอนศิษยานุศิษย์ ให้ฉลาดอาจหาญในการฝึกฝนอบรมจิตใจตามหลักการสมถวิปัสสนา อันเป็นสมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสสอนไว้ เป็นผู้มีนำใจเด็ดเดี่ยวอดทนไม่หวั่นไหวต่อ โลกธรรม แม้จะถูกกระทบกระทั่งด้วยโลกธรรมอย่างไร ก็มิได้แปรเปลี่ยนไปตาม ความมั่นอยู่ในธรรมวินัย ตามที่พระบรมศาสดาประกาศแล้วตลอดมาทำตัวให้เป็น ทิฏฐานุคติ แก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างดี ท่านได้จาริกไปตามสถานที่วิเวกต่าง ๆ คือ บางส่วนของภาคกลาง เกือบทั่วทุกจังหวัด ในภาคเหนือ เกือบทุกจังหวัด ของภาคอิสานและแถมบางส่วนของต่างประเทศอีกด้วย นอกจากเพื่อวิเวกในส่วนตนแล้ว ท่านมุ่งไปเพื่อสงเคราะห์ผู้มีอุปนิสัยในถิ่นนั้น ๆ ด้วย ผู้ได้รับสงเคราะห์ ด้วยธรรมจากท่านแล้ว ย่อมกล่าวไว้ด้วยความภูมิใจว่า ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ส่วนหน้าที่ในวงการคณะสงฆ์ ท่านหลวงปู่ ได้รับพระกรุณาจากพระสังฆราชเจ้าในฐานะเจ้าคณะใหญ่ คณะธรรมยุตติกา ให้เป็นพระอุปัชฌายะ ในคณะธรรมยุตติกา ตั้งแต่อยู่จังหวัดเชียงใหม่ และได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูวินัยธรฐานานุกรม ของ เจ้าพระคุณพระอุบาลี ฯ (สิริจันทรเถระจันทร์) ท่านก็ได้ทำหน้าที่นั้นโดยเรียบร้อย ตลอดเวลาที่ยังอยู่เชียงใหม่ ครั้นจากเชียงใหม่มาแล้ว ท่านก็งดหน้าที่นั้น โดยอ้างว่าแก่ชราแล้ว ขออยู่ตามสบาย งานศาสนาในด้านวิปัสสนาธุระ นับว่า ท่านได้ทำเต็มสติกำลัง ยังศิษยานุศิษย์ ทั้งบรรพชิต และคฤหัสถ์ ให้อาจหาญรื่นเริงในสัมมาปฏิบัติ ตลอดมา นับแต่พรรษาที่ ๒๓ จนถึงพรรษาที่๕๙ อันเป็นปีสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน อาจกล่าวได้ ด้วยความภาคภูมิใจว่า ท่านเป็นพระเถระ ที่มีเกียรติคุณ เด่นที่สุดในด้านวิปัสสนาธุระรูปหนึ่ง ในยุคปัจจุบัน ที่มา : อิทธิปาฏิหาริย์ หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: doonet ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 15:03:25 :wanwan017: :wanwan017:
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: SC001 ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 15:05:22 อนุโมทนาบุญด้วยครับ
มีมาเรื่อยๆนะครับ จะได้ติมตามอ่านครับ หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: mawmeow ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2011, 16:00:42 อนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ
:wanwan017: หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2011, 11:29:21 :wanwan017: :wanwan017: :wanwan017: :wanwan017: อนุโมทนาบุญด้วยครับ มีมาเรื่อยๆนะครับ จะได้ติมตามอ่านครับ สาธุ มีมาเรื่อยๆครับ อนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ :wanwan017: สาธุ :wanwan017: หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2011, 12:30:07 3.หลวงปู่ชา สุภัทโท (http://www.watnongpahpong.org/pictures/lp-cha.jpg) ประวัติหลวงปู่ชา สุภัทโท (ตอนที่1) ชาติภูมิ พระโพธิญาณเถร นามเดิม ชา ช่วงโชติ เกิดเมื่อวันศุกร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๑ ณ บ้านจิกก่อ หมู่ที่ ๙ ต. ธาตุ อ. วารินชำราบ จ. อุบลราชธานี บิดาชื่อ นายมา มารดาชื่อ นางพิม ช่วงโชติมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๑๐ คน ปฐมศึกษา สมัยนั้นการศึกษายังไม่เจริญทั่วถึงหลวงพ่อจึงได้เข้าศึกษา ที่ ร.ร. บ้านก่อ ต. ธาตุ อ. วารินชำราบ จ. อุบลราชธานี เรียนจบ ชั้น ป. ๑ จึงได้ออกจากโรงเรียน เนื่องจากหลวงพ่อมีความสนใจ ทางศาสนา ตั้งใจจะบวชเป็นสามเณร จึงได้ขออนุญาตจากบิดามารดา เมื่อท่านเห็นดีด้วยท่านจึงนำไปฝากไว้ที่วัด ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์ ในขณะนั้นหลวงพ่อมีอายุ ๑๓ ปี เมื่อโยมบิดาได้นำไปฝากกับท่านเจ้าอาวาส และได้รับการฝึกหัดอบรมให้รู้ระเบียบการ บรรพชาดีแล้ว จึงอนุญาตให้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๗๔ โดยมีพระครูวิจิตรธรรมภาษี(พวง) อดีตเจ้าอาวาสวัดมณีวนาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ก็ได้ท่องทำวัตรสวดมนต์ เรียนหนังสือพื้นเมือง(ตัวธรรม) และได้ศึกษานักธรรมชั้นตรี อยู่ปฏิบัติครูบาอาจารย์เป็นเวลา ๓ พรรษา เนื่องจากมีความจำเป็นบางอย่างจึงได้ลาสิกขาออกไปทำงานช่วยบิดามารดาตามความสามารถของตน ตั้งอยู่ในโอวาทของบิดามารดามีความเคารพบูชาในพระคุณของท่าน พยายามประพฤติตนเป็นลูกที่ดีของท่านเสมอมา ครั้นอยู่ต่อมาอีกหลายปี ไม่ว่าจะทำงานอะไรอยู่ที่ไหนความสนใจในการอุปสมบทเพื่อศึกษาธรรม ดูเหมือนคอยเตือนให้มีความสำนึกอยู่เสมอ คิดอยากจะบวชเป็นพระ ได้ปรึกษากับบิดามารดา เมื่อตกลงกันดีแล้ว บิดาจึงนำไปฝากที่วัดบ้านก่อใน(ปัจจุบันเป็นที่ธรณีสงฆ์เพราะร้างมานาน แล้ว)และได้อุปสมบทที่พัทธสีมาวัดก่อในต.ธาตุอ.วารินชำราบจ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๒ เวลา ๑๓.๕๕ น. โดยมี ท่านพระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูวิรุฬสุตการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการสวน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้ว พรรษาที่ ๑-๒ จำพรรษาอยู่ที่วัดก่อนอก ได้ศึกษาปริยัติธรรม และสอบนักธรรมชั้นตรีได้ ออกศึกษาต่างถิ่น เมื่อสอบนักธรรมตรีได้แล้วเนื่องจากครูบาอาจารย์หายาก ที่มีอยู่ก็ไม่ค่อยชำนาญในการสอน จึงตั้งใจจะไปแสวงหาความรู้ต่างถิ่น เพราะยังจำภาษิตโบราณสอนไว้ว่า ออกจากบ้าน ฮู้ห่มทางเที่ยว เรียนวิชา ห่อนสิมีความฮู้ ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ จึงได้ย้ายจากวัดก่อนอกไปศึกษาปริยัติธรรมที่วัดสวนสวรรค์ อ. พิบูลมังสาหาร จ. อุบลราชธานี และอยู่ที่นี่ ๑ พรรษา และได้พิจารณาเห็นว่า เรามาอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาก็ดี พอสมควรแต่ยังไม่เป็นที่พอใจนัก ได้ทราบข่าวว่า ทางสำนัก ต่างอำเภอมีการสอนดีอยู่หลายแห่งซึ่งมีมากทั้งคุณภาพและ ปริมาณ จึงชวนเพื่อนลาท่านเจ้าอาวาสแจ้งความประสงค์ให้ท่าน ทราบ ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เดินทางจาก อ. พิบูลมังสาหาร มุ่งสู่สำนักเรียนวัดหนองหลัก ต. เหล่าบก อ.ม่วงสามสิบ จ. อุบลราชธานี ได้พักอาศัยอยู่กับท่านพระครูอรรคธรรมวิจารณ์ ได้ถามจากเพื่อนบรรพชิตก็ทราบว่า ท่านสอนดีมีครูสอนหลายรูปมีพระภิกษุ สามเณรมากรูปด้วยกันสระยะที่ไปอยู่เป็นฤดูแล้ง อาหารการฉัน รู้สึกจะอด เพื่อนที่ไปด้วยกันไม่ชอบจึงพูดรบเร้า อยากจะพาไปอยู่สำนักอื่น หลวงพ่อพูดว่า ทั้งๆที่เราก็ชอบอัธยาศัยของครูอาจารย์ที่วัดหนองหลักแต่ไม่อยากจะขัดใจเพื่อน จึงตกลงกันว่า ถ้าไปอยู่แล้วเกิดไม่พอใจหรือไม่ถูกใจแล้วจะกลับมาอยู่ที่หนองหลักอีก จึงได้เดินทางไปอยู่กับท่านมหาแจ้ง วัดเค็งใหญ่ ต. เค็งใหญ่ อ. อำนาจเจริญ จ. อุบลราชธานี ได้อยู่จำพรรษาศึกษานักธรรมชั้นโทและบาลีไวยากรณ์ แต่ตามความรู้สึกเท่าที่สังเกตเห็นว่าท่านมิได้ทำการสอนเต็มที่ ดูเหมือนจะถอยหลังไปด้วยซ้ำ ตั้งใจไว้ว่าเมื่อสอบนักธรรมเสร็จ ได้เวลาสมควรก็จะลาท่านมหาแจ้งกลับไปอยู่ที่วัดหนองหลักเมื่อสอบแล้ว และผลการสอบตอนปลายปีปรากฏว่าสอบนักธรรมชั้นโทได้ ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ จึงย้ายจากวัดเค็งใหญ่ มาอยู่กับหลวงพ่อ พระครูอรรคธรรมวิจารณ์วัดหนองหลัก ต. เหล่าบก อ.ม่วงสามสิบ จ. อุบลราชธานี ตั้งใจศึกษาทั้งนักธรรมชั้นเอกและเรียนบาลีไวยากรณ์ซ้ำอีกทั้งพอใจในการสอนการเรียนในสำนักนี้มาก งดสอบเพื่อผู้บังเกิดเกล้า ทั้งๆที่ปีนี้ (๒๔๘๖) เป็นปีที่หลวงพ่อเองเกิดความภูมิใจ สนใจในการศึกษา มุ่งหน้าบากบั่นขยันเรียนอย่างเต็มที่ และได้ตั้งความหวังไว้ว่า เมื่อผลการสอบตอนปลายปีออกมาจะพาให้ได้รับความดีใจ หลังจากออกพรรษา ปวารณาและกาลกฐินผ่านไป...ก็ได้รับข่าวจากทางบ้านว่าโยมบิดาป่วยหนัก หลวงพ่อก็เกิดความ ลังเลใจ พะว้าพะวง ห่วงการศึกษาก็ห่วง ห่วงโยมบิดาก็ห่วง แต่ความห่วงผู้บังเกิดเกล้ามีน้ำหนักมากกว่าเพราะมาคิดได้ว่า โยมบิดาเป็นผู้มีพระคุณอย่างเหลือล้น เรามีชีวิตและเป็นอยู่ มาได้ก็เพราะท่าน สมควรที่เราจะแสดงความกตัญญูให้ปรากฏ เสียการศึกษายังมีเวลาเรียกกลับมาได้ แต่สิ้นบุญพ่อเราจะขอได้จากที่ไหน...ความกตัญญูมีพลังมารั้งจิตใจให้คิดกลับไปเยี่ยม โยมพ่อเพื่อพยาบาลรักษาท่าน...ทั้งๆที่วันสอบนักธรรมก็ใกล้ เข้ามาทุกที แต่ยอมเสียสละถ้าหากโยมพ่อยังไม่หายป่วย และ นึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสไว้ว่า ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี ด้วยความสำนึกดังกล่าว จึงได้เดินทางกลับบ้าน เมื่อถึงแล้วก็ได้เข้าเยี่ยมดูอาการป่วย ทั้งๆที่ได้ช่วยกันพยาบาลรักษาจนสุดความสามารถ อาการของโยมพ่อก็มีแต่ทรงกับทรุด คิดๆดูก็เหมือนตอไม้ที่ตายแล้ว แม้ใครจะให้น้ำให้ปุ๋ยถูกต้องตามหลัก วิชาการเกษตรสักเพียงใด ก็ไม่สามารถทำให้มันแตกหน่อเจริญ งอกงามขึ้นมาได้ คำสั่งของพ่อ ตามปกตินั้นนับตั้งแต่หลวงพ่อได้อุปสมบทมา เมื่อมีโอกาสเข้าไปเยี่ยมโยมบิดามารดา หลังจากได้พูดคุยเรื่องอื่นมาพอสมควรแล้ว โยมพ่อมักจะวกเข้าหาเรื่องความเป็นอยู่ในเพศสมณะ ท่านมักจะปรารภด้วยความเป็นห่วงแกมขอร้องว่า อย่าลาสิกขานะ อยู่เป็นพระไปอย่างนี้แหละดี สึกออกมามันยุ่งยาก ลำบาก หาความสบายไม่ได้ ท่านได้ยินแล้วก็นิ่งมิได้ตอบ แต่ครั้งนี้ ซึ่งโยมพ่อกำลังป่วย ท่านก็ได้พูดเช่นนั้นอีกพร้อมกับมองหน้าคล้ายจะรอฟังคำตอบอยู่ ท่านจึงบอกโยมพ่อไปว่า ไม่สึกไม่เสิกหรอกจะสึกไปทำไมกัน รู้สึกว่าเป็นคำตอบที่ทำให้โยมพ่อพอใจ หลวงพ่อมาอยู่เฝ้าดูแลอาการป่วยของโยมพ่อนับเป็นเวลา ๑๓ วัน โยมพ่อจึงได้ถึงแก่กรรม ในระยะที่ได้เฝ้าดูอาการป่วยของโยมพ่ออยู่นั้น เมื่อโยมพ่อได้ทราบว่าอีก ๔-๕ วันจะถึงวันสอบนักธรรม ท่านจึงบอกว่าถึงเวลาสอบแล้วจะไปสอบก็ไปเสีย จะเสียการเรียน...แต่หลวงพ่อได้พิจารณาดูอาการป่วยของท่านแล้วตั้งใจว่าจะไม่ไป จะอยู่ให้ โยมพ่ออุ่นใจก่อนที่ท่านจะจากไป...อีกอย่างหนึ่งจะทำให้คนเขาตำหนิได้ว่า เป็นคนเห็นแก่ตัว ผู้บังเกิดเกล้ากำลังป่วยหนักยังทอดทิ้งไปได้ เลยจะกลายเป็นลูกอกตัญญูเท่านั้น หลวงพ่อเล่าว่า ในระหว่างเฝ้าดูอาการป่วยของโยมพ่อ จนกระทั่งท่านถึงแก่กรรม ทำให้ได้พิจารณาถึงธาตุกรรมฐาน พิจารณาดูอาการที่เกิดดับของสังขารทั้งมวล และเกิดความสังเวชใจว่าอันชีวิตย่อมสิ้นลงแค่นี้หรือ? จะยากดีมีจนก็พากันดิ้นรนไปหาความตาย อันเป็นจุดหมายปลายทาง อันความแก่ ความเจ็บ ความตายนั้น เป็นสมบัติสากลที่ทุกคนจะต้องได้รับ จะยอมรับหรือไม่ก็ไม่เห็นใครหนีพ้นสักราย... ปี พ.ศ.๒๔๘๗ เมื่อจัดการกับการฌาปนกิจโยมบิดาเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อก็เดินทางกลับสำนักวัดหนองหลัก เพื่อตั้งใจศึกษาเล่าเรียนต่อไป แต่บางวันบางโอกาส ทำให้ท่านนึกถึงภาพของโยมพ่อที่นอนป่วย ร่างซูบผอมอ่อนเพลีย นึกถึงคำสั่งของโยมพ่อ และนึกถึงภาพที่ท่านมรณะไปต่อหน้า ยิ่งทำให้เกิดความลดใจสังเวชใจ ความรู้สึกเหล่านี้มันปรากฏเป็นระยะๆ ในระหว่างพรรษานี้ ขณะที่กำลังแปลหนังสือธรรมบทจบไปหลายเล่ม ได้ทราบพุทธประวัติสาวกประวัติจากหนังสือเล่มนั้นแล้วมาพิจารณาดู การที่เราเรียนอยู่นี้ครูก็พาแปลแต่สิ่งที่เรารู้ เราเห็นมาแล้ว เช่น เรื่องต้นไม้ ภูเขา ผู้หญิง ผู้ชาย และสัตว์ต่างๆ สัตว์มีปีกบ้าง ไม่มีปีกบ้าง สัตว์ มีเท้าบ้าง ซึ่งล้วนแต่เรา ได้พบเห็นมาแล้วเป็นส่วนมาก จิตใจก็รู้สึกเกิดความเบื่อหน่าย จึงคิดว่ามิใช่ทางพ้นทุกข์ พระพุทธองค์คงจะไม่มีพุทธประสงค์ให้บวชมาเพื่อเรียนอย่างเดียว และเราก็ได้เรียนมาบ้างแล้ว จึงอยากจะศึกษาทางปฏิบัติดูบ้าง เพื่อจะได้ทราบว่ามีความแตกต่างกันเพียงใด แต่ยังมองไม่เห็นครูบาอาจารย์ผู้พอจะเป็นที่พึ่งได้ จึงตัดสินใจจะกลับบ้าน พ.ศ.๒๔๘๘ ในระหว่างฤดูแล้ง จึงได้ปรึกษากับ พระถวัลย์(สา) ญาณจารี เข้ากราบลาหลวงพ่อพระครูอรรคธรรมวิจารณ์ เดินทางกลับมาพักอยู่วัดก่อนอกตามเดิม และในพรรษานั้นก็ได้เป็นครูช่วยสอนนักธรรมให้ท่านอาจารย์ที่วัด จึงได้เห็นภิกษุสามเณรที่เรียนโดยไม่ค่อยเคารพในการเรียน ไม่เอาใจใส่ เรียนพอเป็นพิธี บางรูปนอนน้ำลายไหล จึงทำให้เกิดความสังเวชใจมากขึ้นตั้งใจว่าออกพรรษาแล้วเราจะต้องแสวงหาครูบาอาจารย์ ด้านวิปัสนาให้ได้ เมื่อส่งนักเรียนเข้าสอบและหลวงพ่อก็เข้าสอบนักธรรมเอกด้วย (ผลการสอบปรากฏว่าสอบนักธรรมเอกได้) ออกปฏิบัติธรรม หลังจากสอบนักธรรมเสร็จแล้วสระยะนั้นได้ทราบข่าวว่าท่านอาจารย์มั่น วัดปิหล่อ อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี เป็นผู้สอนทางวิปัสนาธุระ จึงได้มุ่งหน้าได้สู่วัดของท่านทันที และได้ฝากตัวเป็นศิษย์อยู่ปฏิบัติทดลองดูได้ ๑๐ วันมีความรู้สึกว่ายังไม่ใช่ทางตรงแท้ ยังไม่เป็นที่พอใจในวิธีนั้น จึงกราบลาท่านกลับมาพักอยู่วัดนอกอีก พ.ศ.๒๔๘๙ (พรรษาที่๘) ในระหว่างต้นปี ได้ชวน พระถวัลย์ออกเดินธุดงค์มุ่งไปสู่จังหวัดสระบุรีเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง ได้พักอยู่ตามป่าตามเขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงเขตหมู่บ้านยางคู่ ต.ยางคู่จ.สระบุรีได้พักอยู่ที่นั่นนานพอสมควรพิจารณาเห็นว่าสถานที่ยังไม่เหมาะสมเท่าใดนัก ทั้งครูบาอาจารย์ก็ยังไม่ดี จึงเดินทางเข้าสู่เขตจังหวัดลพบุรีมุ่งสู่เขาวงกฏ อันเป็นสำนักของหลวงพ่อเภา แต่ก็น่าเสียดายที่หลวงพ่อเภาท่านมรณภาพเสียแล้ว เหลือแต่อาจารย์วรรณ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเภาอยู่ดูแล สั่งสอนแทนท่านเท่านั้น แต่ก็ยังดีที่ได้อาศัยศึกษาระเบียบข้อปฏิบัติที่หลวงพ่อเภาท่านวางไว้ และได้อ่านคติพจน์ที่หลวงพ่อเขียนไว้ตามปากถ้ำและตามที่อยู่อาศัยเพื่อเตือนใจ ทั้งได้มีโอกาส ศึกษาพระวินัยจนเป็นที่เข้าใจยิ่งขึ้น เป็นเหตุให้มีการสังวรระวัง ไม่กล้าฝ่าฝืนแม้แต่สิกขาบทเล็กๆน้อยๆ การศึกษาวินัยนั้นศึกษาจากหนังสือบ้าง และได้รับคำแนะนำจากพระอาจารย์ผู้ชำนาญทั้งปริยัติและปฏิบัติบ้าง ซึ่งท่านมาจากประเทศกัมพูชา ท่านว่าเข้ามาสอบทานพระไตรปิฎกไทย ท่านเล่าให้ฟังว่า ที่แปลไว้ในหนังสือนวโกวาทนั้น บางตอนยังผิดพลาด ท่านอาจารย์รูปนั้นเก่งทางวินัยมาก จำหนังสือบุพสิกขาได้แม่นยำเหมือนกับเราจำปฏิสังขาโยฯ ท่านบอกว่าเมื่อเสร็จภารกิจในประเทศไทยแล้วท่านจะเดินทางไปประเทศพม่า เพื่อศึกษาต่อไป ท่านเป็นพระธุดงค์ชอบอยู่ตามป่า น่าสรรเสริญน้ำใจท่านอยู่อย่างหนึ่งคือ วันหนึ่งหลวงพ่อ ได้ศึกษาวินัยกับท่านอาจารย์รูปนั้นหลายข้อมีอยู่ข้อหนึ่งซึ่งท่านบอกคลาดเคลื่อนไป ตามปกติหลวงพ่อ เมื่อได้ศึกษาวินัยและทำกิจวัตรแล้ว ครั้นถึงกลางคืนท่านจะขึ้นไปพักเดินจงกรม นั่งสมาธิอยู่บนหลังเขา วันนั้นประมาณ ๔ ทุ่มกว่าๆ ขณะที่กำลังเดินจงกรมอยู่ได้ยินเสียงกิ่งไม้ใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ ใกล้เข้ามาทุกทีท่านเข้าใจว่าคงจะเป็นงูหรือสัตว์ อย่างอื่นออกหากิน แต่พอเสียงนั้นดังใกล้ๆเข้ามา ท่านจึงมองเห็นอาจารย์เขมรรูปนั้น หลวงพ่อจึงถามว่า ท่านอาจารย์มีธุระอะไรจึงได้มาดึกๆดื่นๆ ท่านจึงตอบว่า ผมบอกวินัยท่านผิดข้อหนึ่ง หลวงพ่อ จึงเรียนว่า ไม่ควรลำบากถึงเพียงนี้เลย ไฟส่องทางก็ไม่มี เอาไว้พรุ่งนี้จึงบอกผมใหม่ก็ได้ ท่านตอบว่า ไม่ได้ๆ เมื่อผมบอกผิด ถ้าผมตายในคืนนี้ท่านจำไปสอนคนอื่นผิดๆอีกก็จะเป็นบาปเป็นกรรมเปล่าๆ เมื่อท่านบอกเรียบร้อยแล้วก็กลับลงไป ดูเถิดน้ำใจของท่านอาจารย์รูปนั้นช่างประเสริฐและมองเห็นประโยชน์จริงๆ แม้จะมีความผิดพลาดเล็กน้อยในการบอกสอนก็มิได้ประมาท ไม่รอให้ข้ามวันข้ามคืน รีบแก้ไขทันทีทันใด จึงเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เราทั้งหลาย และน่าสรรเสริญน้ำใจของท่านโดยแท้ พูดถึงการปฏิบัติที่เขาวงกฏในขณะนั้นรู้สึกว่ายังไม่แยบคาย เท่าใดนัก หลวงพ่อจึงคิดจะหาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญยิ่งกว่านี้เพื่อปฏิบัติและค้นคว้าต่อไป ท่านจึงนึกถึงตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณรอยู่ที่วัดก่อนอกเคยได้เห็นพระกรรมฐานมีลูกปัดแขวนคอสำหรับ ใช้ภาวนากันลืมท่านอยากจะได้มาภาวนาทดลองดูบ้างนึกหาอะไรไม่ได้จึงมองไปเห็นลูกตะแบก(ลูกเปือยภูเขา) กลมๆ อยู่ บนต้นครั้นจะไปเด็ดเอามาเองก็กลัวจะเป็นอาบัติวันหนึ่งมีพวกลิงพากันมาหักกิ่งไม้และรูดลูกตะแบกเหล่านั้นมาคิดว่า เขาร้อยเป็นพวงคล้องคอ แต่เราไม่มีอะไรจะร้อยจึงถือเอาว่าเวลา ภาวนาจบบทหนึ่งจึงค่อยๆ ปล่อยลูกตะแบกลงกระป๋องทีละลูกจนครบร้อยแปดลูก ทำอยู่อย่างนั้นสามคืนจึงเกิดความรู้สึกว่า ทำอย่างนี้ไม่ใช่ทางเพราะไม่ต่างอะไรกับเจ๊กนับลูกหมากขาย ในตลาด จึงได้หยุดนับลูกตะแบกเสีย เหตุการณ์แปลกๆ ในพรรษาที่ ๘ นี้ ขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาวงกฏ วันหนึ่งขณะที่ขึ้นไปอยู่บนหลังเขา หลังจากเดินจงกรมและนั่งสมาธิแล้ว ก็จะพักผ่อนตามปกติ ก่อนจำวัตรจะต้องสวดมนต์ไหว้พระ แต่วันนั้นเชื่อความบริสุทธิ์ของตนเอง จึงไม่ได้สวดอะไร ขณะที่กำลังเคลิ้มจะหลับ ปรากฏว่าเหมือน มีอะไรมารัดลำคอแน่นเข้าๆแทบหายใจไม่ออก ได้แต่นึกภาวนาพุทโธๆเรื่อยไป เป็นอยู่นานพอสมควรอาการรัดคอนั้นจึงค่อยๆ คลายออก พอลืมตาได้แต่ตัวยังกระดิกไม่ได้ จึงภาวนาต่อไป จนพอกระดิกตัวได้แต่ยังลุกไม่ได้ เอามือลูบตามลำตัวนึกว่ามิใช่ตัวของเรา ภาวนาจนลุกนั่งได้แล้ว พอนั่งได้จึงเกิดความรู้สึกว่า เรื่องการถือมงคลตื่นข่าวแบบสีลัพพตปรามา ไม่ใช่ ทางที่ถูกที่ควรการปฏิบัติธรรมต้องเริ่มต้นจากมีศีล บริสุทธิ์เป็นเหตุให้พิจารณาลงสู่ว่า...สัตว์ ทั้งหลายมีกรรม เป็นของๆ ตนแน่ชัดลงไปโดยมิต้องสงสัยนับตั้งแต่นั้นมา หลวงพ่อชามีความระวังสำรวมด้วยดี มิให้มีความบกพร่องเกิดขึ้น แม้กระทั่งสิ่งของที่ได้มาโดยไม่บริสุทธิ์ตามวินัย และปัจจัย(เงินทอง) ท่านก็ละหมด และปฏิญาณว่าจะไม่ยอมรับตั้งแต่วันนั้นมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ในระหว่างพรรษานั้นได้รับข่าวว่า ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เป็นผู้มีคุณธรรมสูง ทั้งชำนาญด้านวิปัสนาธุระมีประชาชนเคารพเลื่อมใมาก ท่านมีสำนักอยู่ที่วัดป่าหนองผือนาใน อ.พรรณานิคม จ.กลนครโดยมีโยมอินทร์มรรคทายก เขาวงกฏเล่าให้ฟังและแนะนำให้ไปหา เพราะโยมอินทร์เคยปฏิบัติรับใช้ท่านอาจารย์มั่นมาแล้ว พ.ศ.๒๔๙๐ เป็นพรรษาที่ ๙ จำพรรษาอยู่ที่วัดเขาวงกฏ เมื่อออกพรรษาแล้วจึงมาพิจารณาดูว่า เราเอาลูกเขามาตกระกำลำบาก ข้ามภู ข้ามเขามา พ่อแม่เขาจะว่าเราได้ (หมายถึง พระมหาถวัลย์ ญาณจารี ตั้งแต่ครั้งยังเป็นพระสามัญ) และเห็นเขาสนใจท่องหนังสือ ควรจะส่งเขาเข้าเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ จึงได้ตกลงแยกทางกัน ให้พระถวัลย์เข้าไปเรียนปริยัติธรรมในกรุงเทพฯ ส่วนหลวงพ่อชาจะเดินทางไปหาท่านพระอาจารย์มั่น และมีพระมาด้วยกัน ๔ รูป เป็นพระชาวภาคกลาง ๒ รูป พากันเดินทางย้อนกลับมาที่จังหวัดอุบลฯ พักอยู่ที่วัดก่อนอกชั่วคราว จึงพากันเดินธุดงค์กรำแดดไปเรื่อยๆ จุดหมายปลายทางคือ สำนักท่านพระอาจารย์มั่น ออกเดินทางไปได้พอถึงคืนที่ ๑๐ จึงถึงพระธาตุพนม นมัสการพระธาตุพนมและพักอยู่ที่นั่นหนึ่งคืน แล้วออกเดินทางไปอำเภอนาแกไปแวะนมัสการท่านอาจารย์สอนที่ ภูค้อ เพื่อศึกษาข้อปฏิบัติ แต่เมื่อสังเกตพิจารณาดูแล้วยังไม่เป็นที่พอใจนักได้พักอยู่ที่ภูค้อสองคืนจึงเดินทางต่อไปแยกกันเดินทาง เป็น ๒ พวกตรงนั้น หลวงพ่อชามีความตั้งใจว่า ก่อนจะไปถึง ท่านพระอาจารย์มั่นควรจะแวะสนทนาธรรมและศึกษาข้อปฏิบัติจาก พระอาจารย์ต่างๆไปก่อนเพื่อจะได้เปรียบเทียบเทียบเคียงกันดู ดังนั้นเมื่อได้ทราบว่ามีพระอาจารย์ด้านวิปัสนาอยู่ทางทิศใดจึงไปนมัสการอยู่เสมอ การกลับจากภูค้อนี้คณะที่ไปด้วยกันได้รับความลำบากเหน็ดเหนื่อยมาก จึงมีสามเณร ๑ รูป กับอุบาสก ๒ คน เห็นว่าตนเองคงจะไปไม่ไหวจึงลากลับบ้านก่อน ยังมีเหลือแต่หลวงพ่อกับพระอีก ๒ รูป เดินทางต่อไปโดยไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจเดิมแม้จะลำบากสักปานใดก็ต้องอดทนหลายวันต่อมา จึงเดินทางถึงสำนักของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต สำนัก หนองผือนาในอ.พรรณานิคมจ.กลนคร วันแรกพอ ย่างเข้าสู่สำนักสมองดูลานวัดสะอาดสะอ้าน เห็นกิริยามารยาทของเพื่อนบรรพชิต ก็เป็นที่น่าเลื่อมใสและเกิดความพอใจมากกว่า ที่ใดๆที่เคยผ่านมา พอถึงตอนเย็นจึงได้เข้าไปกราบนมัสการพร้อมศิษย์ของท่านและฟังธรรมร่วมกัน ท่านพระอาจารย์ได้ ซักถามเรื่องราวต่างๆ เช่น เกี่ยวกับอายุ พรรษา และสำนักที่เคยปฏิบัติมาแล้ว หลวงพ่อชาได้กราบเรียนว่ามาจากสำนักอาจารย์เภา วัดเขาวงกฏ จ. ลพบุรี พร้อมกับเอาจดหมายที่โยมอินทร์ฝากมาถวาย ท่านพระอาจารย์มั่นได้พูดว่า ดี...ท่านอาจารย์เภาก็เป็นพระแท้องค์หนึ่งในประเทศไทย ต่อจากนั้น ท่านก็เทศน์ให้ฟังโดยปรารภ ถึงเรื่องนิกายว่า ไม่ต้องสงสัยในนิกายทั้งสอง ซึ่งเป็นเรื่องที่หลวงพ่อสงสัยมาก่อนนั้นแล้ว ต่อไปท่านก็เทศน์ เรื่องสีลนิเทส สมาธินิเทส ปัญญานิเทส ให้ฟังจนเป็นที่พอใจและหายสงสัย และท่านได้อธิบายเรื่อง พละ ๕อิทธิบาท ๔ ให้ฟัง ซึ่งขณะนั้น ศิษย์ทุกคนฟังด้วยความสนใจมีอาการอันสงบเสงี่ยม ทั้งๆที่หลวงพ่อและเพื่อนเดินทางมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยตลอดวัน พอได้มาฟังเทศน์ท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว รู้สึกว่าความเมื่อยล้าได้หายไป จิตใจลงสู่สมาธิธรรมด้วยความสงบมีความรู้สึกว่าตัวลอยอยู่บนอานะ นั่งฟังอยู่จนกระทั่งเที่ยงจึงเลิกประชุม ในคืนที่ ๒ ได้เข้านมัสการฟังเทศน์อีก ท่านพระอาจารย์มั่นได้แสดงปกิณกะธรรมต่างๆ จนจิตเราหายความสงสัยมีความรู้สึกซึ่งเป็นการยากที่จะบอกคนอื่นให้เข้าใจได้ ในวันที่ ๓ เนื่องจากความจำเป็นบางอย่าง จึงได้กราบลาท่านพระอาจารย์มั่นเดินทางลงมาทางอำเภอนาแก และได้แยกทาง กับพระบุญมี(พระมหาบุญมี) คงเหลือแต่พระเลื่อมพอได้เป็นเพื่อนเดินทาง ไม่ว่าหลวงพ่อจะเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิอยู่ ณ ที่ใดๆก็ตาม ปรากฏว่าท่านพระอาจารย์มั่นคอยติดตามตักเตือนอยู่ตลอดเวลา พอเดินทางมาถึงวัดโปร่งครองซึ่งเป็นสำนักของพระอาจารย์คำดี เห็นพระท่านไปอยู่ป่าช้าเกิดความสนใจมาก เพราะมาคิดว่าเมื่อเป็นนักปฏิบัติจะต้องแสวงหาความสงบ เช่น ป่าช้า ซึ่งเราไม่เคยอยู่มาก่อนเลย ถ้าไม่อยู่คงไม่รู้ว่ามีความ เหมาะสมเพียงใดเมื่อคนอื่นเขาอยู่ได้เราก็ต้องอยู่ได้จึงตัดสินใจ จะไปอยู่ป่าช้า และชวนเอาพ่อขาวแก้วไปเป็นเพื่อนด้วย ปรากฏการณ์แปลกครั้งที่ ๒ ชีวิตครั้งแรกที่เข้าอยู่ป่าช้าดูเหมือนเป็นเหตุบังเอิญในวันนั้นมีเด็กตายในหมู่บ้านเขา จึงเอาฝังไว้โยมเลยเอาไม้ไผ่ที่หามเด็กมานั้นสับเป็นฟากยกร้าน เล็กๆ พอนั่งได้ใกล้ๆกับหลุมฝังศพ หลวงพ่อชาเล่าว่า ทั้งๆที่ตัวเองก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน แต่ไล่ให้พ่อขาวแก้วไปปักกลดห่างกันประมาณ ๑ เส้น เพราะถ้าอยู่ใกล้กันมันจะถือเอาเป็นที่พึ่ง คืนแรก ขณะที่เดินจงกรมเกิดความกลัว เกิดความคิดว่า หยุดเถอะพอแล้ว เข้าไปในกลดเถอะ ทั้งๆที่ยังไม่ดึกเท่าใด แต่ก็เกิดความคิด ขึ้นใหม่ว่า ไม่หยุด เดินต่อไป เรามาแสวงหาของจริง ไม่ได้ มาเล่น ...ความคิดชวนหยุดเข้ากลดเพราะกลัว กับความคิด หักห้ามว่าไม่หยุด เดินต่อไป ยังไม่ดึกมันเกิดแย้งกันอยู่เรื่อยๆ ต้องฝืนความรู้สึก อดทน อดกลั้นข่มใจไว้อย่างนั้น...และในคืนแรกนี้ขณะเดินจงกรมอยู่จิตเริ่มสงบพอเดินไปถึงหลุมฝังศพปรากฏว่า เรามองลงไปในหลุมเห็นองค์กำเนิดของเด็กผู้ชายชัดเจน ทั้งๆที่เราไม่ทราบว่าเขาเอาเด็กผู้ชายหรือผู้หญิงมาฝังไว้ พอถึงตอนเช้าจึงได้ถามโยมว่าเอาเด็กผู้ชายหรือผู้หญิงไปฝัง เขาตอบว่าเด็กผู้ชาย คืนแรกผ่านไป ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรมากนัก ความกลัวก็มีไม่มาก วันที่ ๒ ก็มีคนตายอีก คราวนี้เป็นผู้ใหญ่ เขาพามาเผาห่างจากที่ปักกลดประมาณ ๑๐ วาส คืนนี้แหละเป็นคืนสำคัญ หลังจากเดินจงกรมได้เวลาพอสมควร จึงเข้านั่งสมาธิภายในกลด ได้ยินเสียงดังกุกกักทางกองฟอน เรานึกว่าหมามาแย่งกินซากศพสักครู่หนึ่งเสียงดังแรงขึ้นและ ใกล้เข้ามาท่านคิดว่าหรือจะเป็นควายของชาวบ้านเชือกผูกขาดมาหากินใบไม้ในป่า จิตใจเริ่มกลัวเพราะเสียงนั้นใกล้เข้ามาทุกที...หลวงพ่อได้ตั้งใจแน่วแน่ว่าไม่ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น แม้ตัวจะตายก็ไม่ยอมลืมตาขึ้นมาดู และจะไม่ยอมออกจากกลด ถ้าจะมีอะไรมาทำลายก็ขอให้ตายภายในกลดนี้ พอเสียงนั้นใกล้เข้ามาๆก็ปรากฏเป็นเสียงคนเดิน เดินเข้ามาข้างๆกลดแล้วเดินอ้อมไปทางพ่อขาวแก้ว กะประมาณพอไปถึงได้ยินเสียงดังอึกอักๆ แล้วเสียงคนเดินนั้นก็เดินตรงแน่วมาที่หลวงพ่อชาอีก ใกล้เข้ามาๆมาหยุดอยู่ข้างหน้าประมาณ ๑ เมตร ตอนนี้แหละความกลัวทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกดูเหมือน จะมารวมกันอยู่ที่นั่นหมด ลืมนึกถึงบทสวดมนต์ที่จะป้องกัน ลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง กลัวมากถึงขนาดนั่งอยู่ข้างๆบาตรก็นึกเอาบาตรเป็นเพื่อน แต่ความกลัวไม่ลดลงเลย ปรากฏว่าเขายัง ยืนอยู่ข้างหน้าเรา ดีหน่อยที่เขาไม่เปิดกลดเข้ามา ในชีวิตตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีความกลัวมากและนานเท่าครั้งนี้ เมื่อความกลัว มันมีมากแล้วมันก็มีที่สุดของความกลัว เลยเกิดปัญหาถามตัวเอง ว่า กลัวอะไร? คำตอบก็มีขึ้นว่า กลัวตาย ความตายมัน อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ตัวเราเอง เมื่อรู้ว่าอยู่ที่ตัวเรา จะหนีพ้นมัน ไปได้ไหม? ไม่พ้น เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใด คนเดียวหรือหลายคน ในที่มืดหรือที่แจ้ง ก็ตายได้ทั้งนั้น หนีไม่พ้นเลย จะกลัวหรือไม่กลัวก็ไม่มีทางพ้น เมื่อรู้อย่างนี้ความกลัวไม่รู้ว่าหายไปไหน เลยหยุดกลัว ดูเหมือนคล้ายกับเราออกจากที่มืดที่สุดมาพบแสงสว่างนั้นแหละ เมื่อความกลัวหายไปผู้ที่เข้ามายืนอยู่หน้ากลดก็หายไปด้วย เมื่อความกลัวกับสิ่งที่กลัวหายไปได้สักครู่หนึ่งเกิดลมและฝนตกลงมาอย่างหนัก ผ้าจีวรเปียกหมด แม้จะนั่งอยู่ภายในกลดก็เหมือนนั่งอยู่กลางแจ้ง เลยเกิดความสงสารตัวเองว่า ตัวเรานี้เหมือนลูกไม่มีพ่อแม่ไม่มีที่อยู่อาศัยเวลาฝนตก หนักเพื่อนมนุษย์เขานอนอยู่ในบ้านอย่างสบาย แต่เราซิมานั่งตากฝนอยู่อย่างนี้ ผ้าผ่อนเปียกหมด คนอื่นๆเขาคงไม่รู้หรอกว่า เรากำลังตกอยู่ในภาพเช่นนี้ ความว้าเหว่เกิดขึ้นนานพอสมควร เมื่อนึกได้ก็ห้ามไว้ด้วยปัญญา พิจารณาอาการอย่างนั้นก็สงบลง พอดีได้เวลารุ่งอรุณ จึงลุกจากที่นั่งสมาธิ ในระยะที่เกิดความกลัวนั้นรู้สึกปวดปัสสาวะ แต่พอกลัวถึงขีดสุดอาการปวดปัสสาวะก็หายไป และเมื่อลุกจากที่จึงรู้สึกปวดปัสสาวะ และเวลาไปปัสสาวะมีเลือดออกมาเป็นแท่งๆก่อนแล้วจึงมีน้ำ ปัสสาวะออกมาทำให้รู้สึกตกใจนิดหนึ่งคิดว่าข้างในคงแตกหรือขาด จึงมีเลือดออกอย่างนี้แต่ก็นึกได้ว่าจะทำอย่างไรได้ในเมื่อเรามิได้ทำ มันเป็นของมันเองถ้าถึงคราวตายก็ให้มันตายไปเสียนึกสอนตัวเอง ได้อย่างนี้ก็สบายใจ ความกลัวตายหายไปตั้งแต่นั้นมา พอได้เวลาบิณฑบาตพ่อขาวแก้วก็มาถามว่าหลวงพ่อ...หลวงพ่อ...เมื่อคืนนี้มีอะไรเห็นอะไรไปหาบ้าง ?มันเดินมาจากทางอาจารย์อยู่นั่นแหละมันแสดงอาการที่น่ากลัวใส่ผม ผมต้องชักมีดออกมาขู่มันมันจึงเดินกลับไป หลวงพ่อชาจึงตอบว่า จะมีอะไรเล่า...หยุดพูดดีกว่า พ่อขาวแก้วก็เลยหยุดถาม หลวงพ่อคิดว่าถ้าขืนพูดไป ถ้าพ่อขาวแก้ว เกิดกลัวขึ้นมาเดี๋ยวก็อยู่ไม่ได้เท่านั้น เมื่ออยู่ป่าช้าใกล้วัดท่านอาจารย์คำดีได้ ๗ วัน ก็มีอาการเป็นไข้ เลยพักรักษาตัวอยู่กับอาจารย์คำดีประมาณ ๑๐ วัน จึง ย้ายลงมาทางบ้านต้อง พักอยู่ที่ป่าละเมาะบ้านต้องได้เวลานาน พอสมควร จึงได้เดินทางกลับไปหาท่านอาจารย์กินรีพักอยู่ ที่นั่นหลายวัน จึงได้กราบลาท่านอาจารย์กินรี ที่วัดป่าหนองฮี อ. ปลาปาก จ. นครพนม แล้วจึงเดินทางต่อไป... อัฏฐบริขารหมดอายุ ในพรรษาที่ ๙ นี้ ได้มาจำพรรษาอยู่กับท่านอาจารย์กินรีมาขอพึ่งบารมีปฏิบัติธรรมกับท่าน และได้รับความสงเคราะห์จากท่านอาจารย์เป็นอย่างดี ท่านอาจารย์เห็นไตรจีวรเก่าขาด จะใช้ ต่อไปไม่ได้ ท่านจึงได้กรุณาตัดผ้าฝ้ายพื้นเมืองให้จนครบไตรจีวร หลวงพ่อชาคิดว่า ผ้านี้จะมีเนื้อหยาบหรือละเอียดไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ใช้ได้ทนทานก็เป็นพอ ในพรรษานี้หลวงพ่อได้มีความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติอย่างมากไม่มีความย่อท้อแต่ประการใด คืนวันหนึ่ง หลังจากหลวงพ่อทำความเพียรแล้วคิดจะ พักผ่อนบนกุฏิเล็กๆ พอเอนกายลง ศีรษะถึงหมอนด้วยการกำหนด ติ พอเคลิ้มไปเกิดนิมิตขึ้นว่า ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้มาอยู่ใกล้ๆ นำลูกแก้วลูกหนึ่งมายื่นให้แล้วพูดว่า ชา...เราจะให้ลูกแก้วลูกนี้แก่ท่านมันมีรัศมีสว่างไสวมาก หลวงพ่อยื่นมือขวาไปรับลูกแก้วลูกนั้น รวบกับมือท่านพระอาจารย์มั่นแล้วลุกขึ้นนั่ง พอรู้สึกตัวก็เห็นตัวเองยังกำมือและอยู่ในท่านั่งตามปกติมีอาการคิดค้นธรรมะเพื่อความรู้เกี่ยวกับ การปฏิบัติมีติปลื้มใจตลอดพรรษา รบกับกิเลส ในพรรษาที่อยู่กับพระอาจารย์กินรีนั้น ขณะที่มีความเพียรปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ในวาระหนึ่งได้เกิดการต่อสู้กับราคะธรรมอย่างแรง ไม่ว่าจะเดินจงกรมนั่งสมาธิหรืออยู่ในอิริยาบถใด ก็ตาม ปรากฏว่ามีโยนีของผู้หญิงชนิดต่างๆ ลอยปรากฏเต็มไปหมด เกิดราคะขึ้นจนทำความเพียรเกือบไม่ได้ ต้องทนต่อสู้กับความ รู้สึกและนิมิตเหล่านั้นอย่างลำบากยากเย็นจริงๆมีความรุนแรงพอๆกับความกลัวที่เกิดขึ้นในคราวที่ ไปอยู่ป่าช้านั่นแหละ เดิน จงกรมไม่ได้เพราะองค์กำเนิดถูกผ้าเข้าก็จะเกิดการไหวตัว ต้องให้ทำที่เดินจงกรมในป่าทึบและเดินได้เฉพาะในที่มืดๆ เวลาเดินต้องถลกบงขึ้นพันเอวไว้จึงจะเดินจงกรมต่อไปได้ การต่อสู้กับกิเลสเป็นไปอย่างทรหดอดทน ได้ทำความเพียรต่อสู้กันอยู่นานเป็นเวลา ๑๐ วัน ความรู้สึกและนิมิตเหล่านั้นจึงจะสงบลงและหายไป เมื่อถึงหน้าแล้ง (ปี ๒๔๙๐) หลวงพ่อจึงกราบลาท่านอาจารย์กินรี เพื่อแสวงหาวิเวกต่อไป ก่อนจากท่านอาจารย์กินรีได้ให้โอวาทว่า ท่านชา... อะไรๆก็พอสมควรแล้ว แต่ให้ท่านระวังการเทศน์นะ ต่อจากนั้นก็ได้เดินทางไปเรื่อยๆ แสวงหาที่วิเวกบำเพ็ญสมณธรรมต่อไป จนเดินธุดงค์ไปถึงบ้านโคกยาว จังหวัดนครพนม ไปพักอยู่ในวัดร้างแห่งหนึ่งห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๑๐ เส้น ในระยะนี้จิตสงบและเบาใจ อาการมุ่งจะเทศน์ก็เริ่มปรากฏขึ้นมา เหตุการณ์แปลกครั้งที่ ๓ เมื่อได้ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดร้างแห่งนั้น วันหนึ่งเขามีงานในหมู่บ้านมีมหรสพ เปิดเครื่องขยายเสียงดังอื้ออึงมาก ขณะนั้นหลวงพ่อกำลังเดินจงกรมอยู่ เป็นเวลาประมาณ ๔ ทุ่มเดินได้นานพอสมควรจึงนั่งสมาธิบนกุฏิ ชั่วคราว ขณะที่นั่งอยู่นั้นจิตใจเข้าสู่ความสงบ จนมีความรู้สึกว่า เสียงเป็นเสียง จิตเป็นจิตไม่ปะปนกัน ไม่มีความกังวลอะไรทั้งสิ้น อาการเหล่านี้ปรากฏเป็นเวลานาน ถ้าจะอยู่ตลอดคืนก็ได้จนจิตเกิดความรู้สึกว่า เอาละพักผ่อนเสียที จึงมีการพักผ่อนตามภาพของสังขาร พอเอนกายลงศีรษะยังไม่ถึงหมอน ด้วยติเต็มเปี่ยม จิตมีการน้อมเข้าสู่มรณติเป็นครั้งแรก จนกระทั่งจิตดำเนินเข้าไปผ่านจุดอันหนึ่ง ได้ปรากฏว่าร่างกายระเบิดเป็นผุยผง อาการจิตนั้นทะลุเข้าสู่จุดแห่งความสงบใสสะอาดอีกต่อไป เมื่อเวลานาน พอสมควรแล้ว จึงมีอาการถอนออกมาเป็นปกติธรรมดาอีกพักหนึ่ง แล้วก็มีอาการดำเนินเข้าไปถึงจุดอย่างเก่า ร่างกายมีกำลังระเบิดรุนแรงละเอียดยิ่งกว่าครั้งแรกประมาณ ๓ เท่า แล้วก็ทะลุเข้าสู่จุดนานพอสมควร จึงมีอาการถอน หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2011, 12:31:31 ประวัติหลวงปู่ชา สุภัทโท (ตอนที่2) กำเนิดวัด วันนั้นเวลาตะวันบ่าย คณะของหลวงพ่อได้เดินทางมาถึงชายดงป่าพงแห่งนี้ซึ่งเป็นวันจันทร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ ๘มีนาคม พ.ศ.๒๔๙๗ ซึ่งเป็นนิมิตเครื่องหมาย ครั้งสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงป่าที่น่ากลัวให้เป็นป่าที่น่าชม รื่นรมย์ไปด้วยรสแห่งสัทธรรม เช้าวันที่ ๙มีนาคม ๒๔๙๗ จึงได้พากันเข้าสำรวจ สถานที่พักในดงป่านี้ โยมได้ถากจอมปลวกถางต้นไม้เล็กๆออกจัดที่พักให้ใกล้ต้นมะม่วงใหญ่หลายต้นซึ่งอยู่ข้างโบสถ์ด้านทิศใต้ปัจจุบันนี้ ต่อมามีญาติโยมชาวบ้านก่อและบ้านกลางผู้เลื่อมใส จึงช่วยกันปลูกกุฏิเล็กๆให้อาศัยกันต่อไป บังเกิดนิมิต เมื่อหลวงพ่อและคณะได้เข้ามาอยู่ในดงป่าพงได้ ๑๐ วัน วันนั้นเป็นวันเพ็ญ เดือน ๔ เวลานั้นประมาณทุ่มกว่าๆ ญาติโยมมาฟังธรรมไม่มากเท่าใดนัก เกิดบุรพนิมิตมีแสงสว่างพุ่งปราด ไปข้างหน้าเป็นทางยาว แล้วหดตัวมาดับวูบลงที่มุมวัดด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง ทำให้ญาติโยมที่เห็นด้วยตาเกิดอัศจรรย์ขนพองยองเกล้า ต่างก็พูดไม่ออก เมื่อได้มาอยู่ที่ป่าพงแล้ว หลวงพ่อท่านถือหลักคำสอน ของพระพุทธองค์ที่ตรัสว่า ทำตนให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อน แล้วจึงสอนคนอื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตสกปรกดังนั้นไม่ว่ากิจวัตรใดๆเช่นกวาดวัดจัดที่ฉันล้างบาตร ตักน้ำ หามน้ำ ทำวัตร สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ วันพระ ถือเนสัชชิกไม่นอนตลอดคืน หลวงพ่อชาลงมือทำเป็นตัวอย่าง ของศิษย์ โดยถือหลักที่ว่า สอนคนด้วยการทำให้ดู ทำเหมือนพูด พูดเหมือนทำ ดังนั้นจึงมีศิษย์และญาติโยมเกิดความเคารพยำเกรง และเลื่อมใสในปฏิปทาที่หลวงพ่อดำเนินอยู่ เมื่อเทศน์ก็ชี้แจงถึงหลักความจริงที่จะนำไปทำตามให้เกิดประโยชน์ได้ หลวงพ่อและศิษย์รุ่นแรกที่เข้ามาอยู่ต้องต่อสู้กับไข้ป่า ขณะนั้นยังชุกชุมมากเพราะเป็นป่าทึบ ยามพระเณรป่วยจะหายารักษาก็ยาก ต้องต้ม บอระเพ็ดให้ฉันก็พอทุเลาลงบ้าง เนื่องจากโยมผู้อุปัฏฐากยัง ไม่ค่อยเข้าใจในการอุปถัมภ์ ทั้งหลวงพ่อก็ไม่ยอมออกปากขอจากใครๆ แม้จะพูดเลียบเคียงก็ไม่ทำ ปล่อยให้ผู้มาพบเห็นด้วยตา พิจารณาแล้วเกิดความเลื่อมใสเอาเอง พูดถึงอาหารการฉันก็รู้สึกจะฝืดเคือง เมื่อหลวงพ่อได้มาอยู่ที่ป่าพงแล้ว เดือนแรกผ่านไป และในเดือนต่อมาคุณแม่พิม ช่วงโชติ โยมมารดาของหลวงพ่อ พร้อมด้วยโยมผู้หญิงอีก ๓ คน ได้มาบวชเป็นชี อยู่ประพฤติปฏิบัติธรรม พวกญาติโยมจึงปลูกกระท่อมให้อยู่อาศัย...โยม แม่พิมจึงเป็นชีคนแรกของวัดหนองป่าพง และมีแม่ชีอยู่ติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้เป็นจำนวนมาก ปี พ.ศ.๒๕๐๐ ซึ่งชาวพุทธถือว่าเป็นปีที่สำคัญมีการทำบุญทั้งส่วนวัตถุทาน และธรรมทานมีการบวชตนเองและบวชลูกหลานเป็นภิกษุสามเณร และบวชเป็นชีและตาปะขาวเป็นจำนวนมากมีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเป็นพิเศษ ทางวัดหนองป่าพงหลวงพ่อก็อนุญาตให้มีการบวชเช่นกันมีบวชเป็น สามเณร ๒ รูป บวชเป็นตาปะขาว ๗๐ บวชเป็นชี ๑๗๘ คน รวมเป็น ๒๕๐ คน ปี พ.ศ.๒๕๐๑ มีประชาชนสนใจการฟังเทศน์ฟังธรรม และการปฏิบัติธรรมมีจำนวนเพิ่มขึ้นมีญาติโยมชาวบ้านเก่าน้อย ต.ธาตุ ซึ่งเคยมาฟังธรรม ปฏิบัติธรรมที่หนองป่าพงมานิมนต์หลวงพ่อให้ไปพักอยู่ที่ป่าละเมาะใกล้กับป่าช้า และหลวงพ่อได้ไปพักอยู่สอบรมธรรมะแก่ผู้สนใจในถิ่นนั้นได้จำพรรษาอยู่ที่ป่าแห่งนั้น และนับว่าเป็นสาขาแรกของวัดหนองป่าพง และในปีต่อมาก็ได้จัดส่งลูกศิษย์ไปอยู่ประจำจนถึงทุกวันนี้ และในปีต่อๆมา ก็มีญาติโยมผู้เลื่อมใสสนใจในการปฏิบัติมานิมนต์หลวงพ่อไปรับอาหารบิณฑบาตและอบรมธรรมะเพิ่มจำนวนมากขึ้นๆ เช่น นิมนต์ไปทางบ้านกลางใหญ่ อ.เขื่องในบ้าง นิมนต์ไปเยี่ยมทางชาวไร่ภูดินแดง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษบ้าง นิมนต์ไปทางบ้านหนองเดิ่นหนองไฮบ้าง ซึ่งต่อมาก็ได้มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อไปอยู่และเป็น สาขาที่ ๒-๓-๔ ของหนองป่าพง ประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๑ มีญาติโยมอำเภออำนาจเจริญมานิมนต์หลวงพ่อขึ้นไปฉันภัตตาหาร และอบรมธรรมะที่วัดต้นบกเตี้ย(ปากทางเข้าถ้ำแสงเพชร) โดยมีอาจารย์โสม พักอยู่ที่นั่นและเขานิมนต์หลวงพ่อเข้าไปดูถ้ำแสงเพชร (ถ้าภูขาม) ขอนิมนต์ให้ท่านพิจารณาจัดเป็นที่ปฏิบัติธรรม แต่หลวงพ่อก็ยังมิได้ตกลงใจ ยังเฉยๆอยู่ ครั้นเมื่อออกพรรษา รับกฐินแล้ว เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ หลวงพ่อรับนิมนต์ของโยมชาวจังหวัดอุดรฯ เดินทางไปจังหวัดอุดรฯ พักที่วัดป่าหนองตุสระยะที่พักอยู่ที่นั่นหลวงพ่อ ได้พาไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มหาบัว วัดป่าบ้านตาด และท่านพระอาจารย์ขาววัดถ้ำกลองเพล และได้เดินทางไปเยี่ยมท่านเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดหนองคาย ท่านเจ้าคุณพาไปเยี่ยม วัดโศรกป่าหลวง นครเวียงจันทน์ และไปเยี่ยมวัดเนินพระเนาว์ ซึ่งล้วนแต่เป็นสำนักปฏิบัติธรรมทั้งนั้น แล้วพักอยู่วัดศรีสะเกษ กับท่านเจ้าคณะจังหวัดแล้วเดินทางกลับมาถึงอุดร และแวะเยี่ยมภูเพ็ก แล้วเดินทางมาถึงบ้านต้องแวะกราบนมัสการท่านอาจารย์กินรี ที่วัดกันตศิลาวาส และกราบลาท่านอาจารย์กินรี ลงมาถึงอำเภออำนาจเจริญ หลวงพ่อพาแวะไปเยี่ยม อาจารย์โสมที่วัดต้นบกเตี้ย วันนั้นเป็นวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ พักอยู่หนึ่งคืน ฉะนั้นจึงพอถือได้ว่า วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ เป็น วันบุกเบิกเริ่มต้นแห่งการสร้างวัดถ้ำแสงเพชร และได้ไปพักอยู่ตรงถ้ำที่มีรูปพระพุทธองค์และปัญจวัคคีย์ (เขาเรียกกันว่า ถ้ำพระใหญ่ และเริ่มปรับปรุงตรงนั้นพอเป็นที่พักได้สะดวก) หลวงพ่อปรารภว่ามาอยู่ถ้ำแสงเพชรนี้สบายใจดีมาก สมองไปทางไหนจิตใจเบิกบานคล้ายกับ เป็นสถานที่เคยอยู่มาก่อน นั่งสมาธิสงบดี ถ้าไม่คิดอยากพักผ่อนจะนั่งสมาธิอยู่ตลอดคืนก็ได้ วัดนี้มีพื้นที่ ๑,๐๐๐ ไร่ เป็นสาขาที่ ๕ ของวัดหนองป่าพง พ.ศ.๒๕๑๒ ในระยะเดือนเมษายนของปีนี้ ญาติโยมบ้านสวนกล้วยได้มานิมนต์หลวงพ่อไปอบรมธรรมะและรับไทยทาน เขาได้จัดที่พักไว้ในป่าโดยปลูกกุฏิไว้ ๒ หลัง เมื่อได้ไปถึงแล้ว ญาติโยมจึงกราบเรียนขอให้หลวงพ่ออุปการะเป็นสาขาของท่าน (เป็นสาขาที่ ๖) ได้จัดส่งลูกศิษย์ไปอยู่ประจำ เมื่อวันที่ ๒มกราคม พ.ศ.๒๕๑๓ หลวงพ่อได้รับนิมนต์จากคุณแม่บุญโฮม ศิริขันธ์ และญาติโยมทางอำเภอม่วงฯ ให้ไปร่วมงานทำบุญร้อยวันถึงหลวงตาอุย (บิดาของแม่บุญโฮม) อาศัยที่ญาติโยมเคยมาฟังเทศน์และมาถือศีลปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงพ่อบ่อยๆ และเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว จึงพิจารณาสถานที่อันเหมาะสมพอจะจัดเป็นที่พักได้ จึงตกลงจัดที่พักให้ ณ ป่าบ้านร้าง ดงหมากพริกอยู่ห่างจากอำเภอม่วงสามสิบ ๒ กม. และหลวงพ่อชา กับผู้ติดตามได้ไปพักในดงแห่งนั้น และต่อมาก็ได้กลายเป็นวัดป่า วิเวกธรรมชาน์ สาขาที่ ๗ หลวงพ่อได้ส่งลูกศิษย์ไปอยู่เป็น ประจำ สาขาวนโพธิญาณ ในระยะเดียวกับที่ชาวอำเภอม่วงสามิบมีความประสงค์อยากให้หลวงพ่ออนุญาตให้ตั้งสาขาขึ้นในเขตอำเภอนั่นเอง ญาติโยมทางอำเภอพิบูลมังสาหาร เขื่อนโดมน้อยซึ่งมีพ่อใบ พ่อลา พ่อลือ ได้มาปรารภนิมนต์หลวงพ่อไปชมป่าหน้าเขื่อนเห็นว่าเป็นสถานที่เหมาะดีแก่การปฏิบัติธรรม เป็นระหว่างที่นายปรีชา คชพลายุกต์ นายอำเภอพิบูลมังสาหารในสมัยนั้นได้ไปเยี่ยมหลวงพ่อที่วัดป่าพงบ่อยครั้ง บางครั้งก็ได้สนทนา กับหลวงพ่อทำให้เกิดความซาบซึ้งและเลื่อมใส เมื่อได้ทราบว่าหลวงพ่อไปเยี่ยมป่าทางด้านหน้าเขื่อน ก็ยินดีสนับสนุนในการ จัดปรับปรุงป่าให้เป็นที่บำเพ็ญธรรม นายอำเภอและคุณนายได้ละทรัพย์สร้างกุฏิถาวรไว้ ๑ หลัง และเป็นกำลังในการสร้าง ศาลาการเปรียญที่วัดเขื่อนแม้แต่นายวิเชียรสีมันตรผู้ว่าราชการ จังหวัดในสมัยนั้นก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ในระหว่างเดือนกรกฎาคม ๒๕๑๓ เมื่อหลวงพ่อไปเยี่ยมป่าหน้าเขื่อนอีก ญาติโยม ขอร้องหลวงพ่อว่า พระพุทธบาทที่หอพระบาท วัดถ้ำพระ อยู่ในระดับใต้พื้นน้ำถ้าน้ำท่วมจะเสียหายจมอยู่ในน้ำเสียดายปูชนียวัตถุสำคัญ ขอให้พาอัญเชิญรอยพระพุทธบาทขึ้นไปเก็บไว้ ณ ที่น้ำท่วม ไม่ถึง หลวงพ่อจึงพาญาติโยมอัญเชิญออกจากหอพระบาทเดิม ไปเก็บไว้บนหัวหิน (โขดหิน) ที่สูงกว่าระดับน้ำ และต่อมาชาวบ้าน และวัดหนองเม็ก โดยการนำของเจ้าคณะผู้ปกครองมาเอาไปรักษาไว้ที่วัดหนองเม็ก ต.ฝางคำ อ.พิบูลฯ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เมื่อออก พรรษาแล้วในวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ หลวงพ่อจึงส่งท่านอาจารย์สี กับสามเณร ๓-๔ รูป ไปอยู่และต่อมาอีกประมาณ ๓ เดือนกว่า หลวงพ่อจึงส่งอาจารย์เรืองฤทธิ์ไปอยู่ด้วย และเมื่อออกพรรษา ปี ๒๕๑๔ ท่านอาจารย์สีกลับวัดป่าพง คงเหลืออาจารย์เรืองฤทธิ์ปกครองพระเณรอยู่เป็นประจำมาจนถึงปัจจุบันนี้ สาขาที่ ๘ นี้ครั้งแรกเรารู้กันในนามสำนักวนอุทยาน ครั้นเมื่อวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน หลวงพ่อได้รับพระราชทานเป็นพระราชาคณะนามว่า พระโพธิญาณเถร เลยเปลี่ยนชื่อสาขานี้ใหม่ว่า สำนักสงฆ์วนโพธิญาณรู้สึกว่าเป็น สาขาที่หลวงพ่อให้การสงเคราะห์เป็นพิเศษ และสาขานี้มีเนื้อที่ประมาณ ๒,๐๐๐ ไร่เศษ จึงเป็นอันได้ทราบกันว่าในปี พ.ศ.๒๕๑๓ นี้หลวงพ่อได้อนุญาตให้จัดตั้ง สาขาที่ ๗ คือ วัดป่าวิเวกธรรมชาน์ และสาขาที่ ๘ คือ วัดป่าวนโพธิญาณขึ้นในปีเดียวกัน... เมื่อหลวงพ่อได้มาอยู่เป็นที่พึ่งทางใจของศิษย์ และญาติโยมผู้ใคร่ต่อการปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เริ่มแต่ปี ๒๔๙๗ เป็นต้นมาจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๓มีศิษย์และญาติโยมบางคนกราบเรียน เรื่องการขออนุญาตตั้ง (สร้าง) วัดเมื่อก่อนนั้นหลวงพ่อมักพูดว่า ไม่ต้องขอสร้างวัดเราก็สร้างก็ตั้งมานานแล้ว แต่เพื่อให้ถูกต้องตามกฎระเบียบ หลวงพ่อจึงอนุญาตให้มีการขอสร้างวัดขึ้น และเมื่อได้รับอนุญาตให้สร้างวัดเรียบร้อยแล้ว จึงได้รับตราตั้งดังนี้ ๑)เป็นเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๑๖ ๒)ได้รับพระราชทานเป็น พระราชาคณะมีนามว่า พระโพธิญาณเถร เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๖ ๓)เมื่อปลายเดือนมกราคม ปี๒๕๑๗ ได้รับหนังสือให้เข้าไปอบรมเป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับตราตั้งพระอุปัชฌาจารย์ เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗ หลวงพ่อได้ใช้ขันติธรรมอดทนต่อสู้กับความลำบากมานานพอสมควร ได้ผ่านทั้งคนผู้หวังดีและหวังไม่ดีมามากต่อมาก แต่ด้วยน้ำใจที่มุ่งประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ และหวังเจริญรอยตามยุคลบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเรียนและปฏิบัติด้วยตนเอง แล้วจึงนำไปสอนคนอื่นต่อไป มิได้หวังเพียงเอาตัวรอดแต่ผู้เดียว ฉะนั้นหลวงพ่อจึงได้ยอมเสียละความสุขส่วนตนอุตส่าห์แนะนำสั่งสอนศิษย์และผู้ใคร่ในธรรมให้ได้รับความซาบซึ้งใจ ซึ่งท่าน ทั้งหลายผู้ที่ได้มากราบ และได้ฟังโอวาทของหลวงพ่อ ย่อมก่อให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสเสมอมา โยมมารดาเสียชีวิต หลังจากหลวงพ่อชาและคณะได้เข้ามาอยู่ที่ดงป่าพงนี้เดือนกว่า คุณแม่พิม ช่วงโชติ ซึ่งเป็นโยมมารดาของท่านก็ ได้เข้ามาบวชเป็นชีอยู่ปฏิบัติธรรมตามอย่างพระลูกชาย พร้อมทั้งมีโยมผู้หญิงบวชตามอีก ๓ คน ยังผลให้คุณแม่พิมได้รับรส แห่งธรรม ทำให้จิตใจเยือกเย็นเป็นที่พึ่งแก่ตนทำให้ตรีเหล่าอื่นผู้หวังความสงบได้เข้าบวชชีเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โยมแม่ชี ได้สร้างความดี ทั้งที่เป็นส่วนอามิสบูชา และปฏิบัติบูชาตามกำลังความสามารถ ได้โอกาส อุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุสามเณรทั้งในยามปกติและคราวอาพาธเสมอมา หลวงพ่อเองก็ได้ทำการบำรุงโยมมารดาตามสมควรแก่หน้าที่อันบุตรที่ดีจะพึงกระทำแก่ผู้บังเกิดเกล้า คอยเอาใจใส่ ทั้งอาหารกาย และอาหารใจมิได้เพิกเฉย ครั้นหลายปีผ่านๆไป หนีความผุพังไปไม่พ้น...ดังนั้นเมื่อคราวที่โยมป่วย หลวงพ่อและญาติ ตลอดทั้งบรรดาแม่ชีก็ได้เอาใจใส่พยาบาลรักษาตามความสามารถ หลวงพ่อก็หาโอกาส เข้าไปเยี่ยมและให้ติทางธรรมอยู่บ่อยๆ ผลสุดท้ายแม่ชีพิมก็ได้ทอดทิ้งร่างกายอันแก่หง่อมไปเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๗ กำหนดงานฌาปนกิจศพโยมแม่ในระยะวันมาฆบูชา ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๕มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๘ และในงานนี้ได้อนุญาตให้กุลบุตร กุลธิดาบวชเป็นสามเณร ๑๐๕ รูป บวชเป็นชี ๗๒ คน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา... จาริกสู่ต่างประเทศ ครั้งที่๑ นับเป็นเวลา ๒๓ ปีกว่า ที่หลวงพ่อชาได้อาศัยวัดบ้านหนองป่าพง เป็นหลักชัยในการประกาศสัจธรรมอันนำสันติสุข มาสู่มวลมนุษย์ ได้มีภิกษุสามเณร และประชาชน เดินทางมา ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ เพื่ออบรมการปฏิบัติธรรม เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ขยายสำนักสาขาแยกออกไป ในต่างอำเภอและต่างจังหวัด ซึ่งในปัจจุบันนี้มีอยู่ประมาณ ๘๒ สาขา และมีชาวต่างประเทศเกิดความเลื่อมใสมาขอบวชเป็นศิษย์เพื่ออยู่ปฏิบัติธรรม เพิ่มจำนวนมากขึ้น จนกระทั่งหลวงพ่อได้อนุญาตให้จัดตั้งสำนักสาขา สำหรับชาวต่างประเทศขึ้นเป็นส่วนหนึ่งต่างหากมีชื่อเรียกว่า วัดป่านานาชาติ เป็นสาขาที่ ๑๙ ของวัดหนองป่าพง ตั้งอยู่ในเขตตำบลบุ่งหวาย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ในปี พ.ศ.๒๕๑๙ อาจารย์สุเมโธ ได้เดินทางไปเยี่ยมโยมมารดาที่สหรัฐอเมริกา ขากลับเดินทางมาแวะประเทศอังกฤษ พักที่สำนักธรรมประทีปแฮมป์สะเตท กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้มีเจ้าหน้าที่ของสำนักนั้นมาสนทนาธรรมจนเกิดศรัทธาเลื่อมใส เขาถามถึงสำนักที่เป็นครูบาอาจารย์ นิมนต์ให้ท่านอยู่จำพรรษาที่อังกฤษ อาจารย์สุเมโธ จึงได้บอกว่าเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อชาแห่งวัดหนองป่าพง อ. วารินชำราบ จ. อุบลราชธานี (ประเทศไทย) ถ้าต้องการอยากให้อยู่ในประเทศอังกฤษ ก็ให้ไปตกลงขอจากหลวงพ่อชาเสียก่อน ต่อจากนั้นอาจารย์สุเมโธ จึงได้เดินทางกลับมาประเทศไทย จึงเป็นเหตุให้ชาวสังฆทรัสต์แห่งประเทศอังกฤษ ได้ติดต่อ ขอนิมนต์หลวงพ่อชาและอาจารย์สุเมโธ ให้เดินทางไปประกาศ สัจธรรม และเพื่อประดิษฐานหลักปฏิบัติไว้ในภาคพื้นตะวันตก ให้เจริญรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาล ตามสมควรแก่กาลและฐานะที่จะพึงมีพึงเป็นได้ ดังนั้น เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ซึ่งเป็นปีที่ หลวงพ่อได้มีอายุ ๕๙ ปี พรรษา ๓๘ หลวงพ่อได้ออกเดินทางจากวัดหนองป่าพง สู่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ขึ้นเครื่องบินออกจากดอนเมือง วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ขณะที่เครื่องบิน บินมุ่งสู่เมืองการาจีประเทศปากีสถานหลวงพ่อได้บันทึกไว้ว่าเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในการเดินทาง ในวันที่ ๖ ในขณะที่บินอยู่ เครื่องบิน ได้เกิดอุบัติเหตุยางระเบิด ๑ เส้น บนอากาศ พนักงานการบิน จึงได้ประกาศ ให้ผู้โดยสารเตรียมตัวรัดเข็มขัดมีฟันปลอมก็ต้องถอดออก แม้กระทั่งแว่นตาหรือรองเท้าเครื่องบริขารทุกอย่าง ต้องเตรียมพร้อมหมด ผู้โดยสารทุกคนเมื่อเก็บบริขารทุกอย่างหมดแล้ว ต่างคนก็ต่างเงียบคงคิดว่าคงเป็นวาระสุดท้ายของ พวกเราทุกคนเสียแล้ว... ขณะนั้นเราก็ได้คิดว่า เป็นครั้งแรกที่เราได้เดินทางมาเมืองนอกเพื่อสร้างประโยชน์แก่พระศาสนา จะเป็นผู้มีบุญอย่างนี้เทียวหรือ...? เมื่อระลึกได้เช่นนี้แล้ว ตั้งสัตย์อธิษฐานสมอบชีวิตให้พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แล้วก็กำหนดจิตรวมลงในสถานที่ควรอันหนึ่ง...แล้วก็ได้รับความสงบ เยือกเย็น ดูคล้ายกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น...พักในที่ตรงนั้นจนกระทั่งเครื่องบินได้ลดระดับลงมาถึงแผ่นดินด้วยความปลอดภัย เมื่อหลวงพ่อกลับถึงประเทศไทยแล้วมีคนเรียนถามหลวงพ่อว่าเมื่อเครื่องบินเอียงวูบๆเช่นนั้นเจ้าหน้าที่เขาบอก ให้เตรียมตัวแล้วหลวงพ่อทำอย่างไร? หลวงพ่อตอบว่า คู้ขาขึ้นนั่งสสมาธิ หลับตา ตั้งจิตรวมลงผ่อนลมเข้าออก เพ่งๆไปที่ล้อเครื่องบินจนกระทั่งเครื่องบินมีการทรงตัว เมื่อเครื่องบินลงจอดเรียบร้อยแล้วจึงลืมตา หลวงพ่อเล่าว่า...ทางหอบังคับการบินได้ส่ง เฮลิคอปเตอร์ขึ้นคุ้มกันความปลอดภัย ทางพื้นดินก็มีรถดับเพลิงเตรียมพร้อมคอยดับ ถ้ามีการเกิดเพลิงไหม้ แต่ก็น่าแปลกใจที่เครื่องบินลงสู่นามด้วยความปลอดภัยและเรียบร้อย วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ซึ่งนับว่าวันแรกที่หลวงพ่อ ได้ออกบิณฑบาต ที่บ้านเศรษฐีผู้นี้เขาได้ถวายอุปัฏฐากเป็นอย่างดี เขาชอบฟังธรรม สนทนาธรรม และนั่งสมาธิด้วย นับว่าเมื่อมาอยู่ อังกฤษพึ่งจะได้ออกบิณฑบาตเป็นครั้งแรก หลวงพ่อได้แสดงธรรม และอบรมกรรมฐานให้ญาติโยมผู้สนใจ ซึ่งมาประชุมกันอยู่ที่บ้านเศรษฐีผู้นั้นและพักอยู่ในบริเวณบ้านเศรษฐีซอร์ ๓ วันจึงได้กลับลอนดอน โยมฟรีดาผู้อุปัฏฐากธรรมประทีป ได้เอารถมานิมนต์ไปชมมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง คนรู้จักดีและได้ไปชมสถานที่ต่างๆพอสมควร วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ได้มีพระญี่ปุ่นมาพัก ด้วยกันอยู่ที่วัดธรรมประทีป หลวงพ่อได้สนทนากันตอนหนึ่ง หลวงพ่อจึงถามว่า รักษาศีลเท่าไหร่? เขาจึงตอบว่า การกระทำ ซึ่งติให้สมบูรณ์อยู่เท่านั้นเรียกว่าการปฏิบัติของเรา และให้อยู่ในปัจจุบันไม่มีต้นไม่มีปลาย เป็นอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาบอก หลวงพ่อว่าเขาเป็นคนญี่ปุ่น ได้กระทำการปฏิบัติลัทธิเฉ็นจาธิเบต วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ออกบิณฑบาตในลอนดอน ครั้งแรก หลวงพ่อได้เขียนไว้ในสมุดบันทึกว่า...วันนี้เป็นวันแรกที่ได้ออกบิณฑบาตในกรุงลอนดอนพร้อมด้วยพระสุเมโธ ๑ พระเขมธัมโม ชาวอังกฤษ ๑ และสามเณรชินทัตโต ๑ ซึ่งเป็นสัญชาติฝรั่งเศส พระโพธิญาณเถรเป็นหัวหน้า ออกบิณฑบาตวันแรกได้ข้าวพออิ่ม ผลแอปเปิ้ล ๒ ใบ กล้วยหอม ๑ ใบ ้ม ๑ ใบ แตงกวาส๑ ลูก แคร์รอต ๒ หัว ขนม ๒ ก้อน ดีใจซึ่งได้อาหารวันนี้ เพราะเราเข้าใจว่าเป็นอาหารพระพ่อ คือเป็นมูลของพระพุทธเจ้านั่นเอง และเป็นอาหารที่เกิดจากการ บิณฑบาตได้ เมืองนี้ยังไม่เคยมีพระบิณฑบาตเลย เพราะเขามีความอายกันเป็นส่วนมาก แต่ตรงกันข้ามกับเราๆ เห็นว่า คำที่ว่าอายนี้ เราเห็นว่าอายต่อบาป อายต่อความผิดเท่านั้น ซึ่งเป็นความหมายของพระองค์นี้ เป็นความเห็นของเราเอง จะถูกหรือผิดก็ขออภัยจากนักปราชญ์ทั้งหลายด้วย และวันเดียวกันนั้นโยมของเขมธัมโม ทั้งผัวเมียได้ถวายอาหารด้วย ได้ขอฟังเทศน์และฝึกกรรมฐานเป็นพิเศษอย่างเป็นที่พอใจ หนังสือพิมพ์ได้สะกดรอยไปข้างหลัง แล้วถ่ายรูปเป็น สระยะๆ ในระหว่างการเที่ยวบิณฑบาต เพราะเป็นของแปลกๆ ประชาชนชาวเมืองลอนดอนยืนดูกันเป็นแถวๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เย็นวันหนึ่งมีหญิงคนหนึ่งมาที่วัดธรรมประทีป ถามปัญหาว่า คนตายแล้วไปอยู่ที่ไหน? และวิญญาณไปอยู่อย่างไร? หลวงพ่อจึงพูดว่า...ปัญหาอย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่ทรงให้ตอบ เพราะเรื่องอย่างนี้มิใช่เหตุ (จำเป็น) ขณะนั้นหลวงพ่อนั่งอยู่บนธรรมาน์มีเทียนจุดไว้ ๒ เล่ม หลวงพ่อจึงถามว่า โยมมองเห็นเทียนนี้ไหม? เขาตอบว่า เห็น หลวงพ่อจึงถามว่า เห็นไฟนี่ไหม? เขาก็ตอบว่า เห็น ทันใดนั้น หลวงพ่อจึงเอาปากเป่าลมให้เทียนเล่มหนึ่งดับแล้วถามว่า เปลวของไฟนี้หายไปทิศไหน? เขาตอบว่า ไม่รู้ รู้แต่ว่าเปลวไฟดับไปเท่านั้น หลวงพ่อจึงถามอีกว่า แก้ปัญหาอย่างนี้พอใจไหม? เขาตอบว่า ยังไม่พอใจ ในคำตอบนี้ หลวงพ่อจึงพูดว่า ถ้าอย่างนั้น เราก็ไม่พอใจในคำถามของโยมเหมือนกัน เท่านั้นเอง กิเลสของเขาก็พุ่งขึ้น เขาทำตาถลึงขึ้น สะบัดหน้าแล้วก็หมดเวลาพอดี... การพักอยู่ที่วัดธรรมประทีปลอนดอนนั้น ที่ทำประจำ คือ ตอนเช้าออกบิณฑบาต ตอนบ่ายถึงเย็นแสดงธรรมสอบรมกรรมฐานให้ญาติโยมที่มา และตอบปัญหาที่เขาถามเป็นประจำ แม้ไปที่เมืองอื่นๆ ก็ปฏิบัติอย่างนี้อยู่เป็นประจำ แล้วแต่เวลาและโอกาส ในขณะที่หลวงพ่อไปประกาศสัจธรรมอยู่ในประเทศอังกฤษ ได้มีฝรั่งคนหนึ่ง เรียนถามท่านว่า ชีวิตของพระเป็นอย่างไร? ทำไมชาวบ้านถึงได้เลี้ยงดูโดยที่พระไม่ได้ทำอะไร? หลวงพ่อจึงตอบแบบให้เขาต้องขบคิดปัญหาของตัวเองว่า ถึงบอกให้ก็ไม่รู้หรอกมันเหมือนกับนกที่อยากรู้เรื่องของปลา ในน้ำ ถึงปลาจะบอกความจริงว่า อยู่ในน้ำนั้นเป็นอย่างไร นกก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ ตราบใดที่นกยังไม่ได้เป็นปลา คำพูดที่ซึ้งใจ จับใจของหลวงพ่อมันเข้าไปติดอยู่กับใจของคนเหล่านั้นอีกนาน ดังนั้นเมื่อหลวงพ่อกลับสู่เมืองไทยแล้ว ในระหว่างพรรษาปี ๒๕๒๐ นั้นเอง หลวงพ่อจึงได้รับหนังสือจาก คณะผู้จัดทำภาพยนตร์เพื่อการศึกษาของสถานีวิทยุ และโทรทัศน์ บี.บี.ซี. กรุงลอนดอน ติดต่อเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะวัดหนองป่าพง ตอนท้ายของหนังสือติดต่อฉบับนั้นมีข้อความอยู่ประโยคหนึ่งที่เขาพูดเน้นว่า หวังว่าท่านอาจารย์ คงจะเป็นปลาที่เห็นประโยชน์ (เกื้อกูล) แก่นก ดังนั้นเมื่อประมาณต้นเดือนตุลาคมของปีนั้นเอง คณะของเขาจึงได้เดินทางเข้ามาเพื่อทำภาพยนตร์ดังกล่าวซึ่งเป็นเรื่องราวสารคดีเกี่ยวกับชีวิต และกิจวัตร ประจำวัน และข้อวัตรปฏิบัติทั้งปวงของพระป่า อันมีนามว่า พระกรรมฐานโดยตรง หลังจากนั้นไม่นานภาพยนตร์สารคดี เพื่อการศึกษาเรื่องนั้นก็ได้กระจายออกไปค่อนโลก ในคราวออกไปประกาศสัจธรรมสู่ภาคพื้นตะวันตกของหลวงพ่อครั้งนี้ นอกจากที่ประเทศอังกฤษแล้วในระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ถึงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๒๐ นั้น หลวงพ่อ ยังได้แผ่เมตตาไปถึงชาวปารีสประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย ช่วยให้ คนของประเทศนั้น และผู้พึ่งย้ายเข้าไปอยู่ร่วม เขาได้ดื่มด่ำในรส แห่งพระสัทธรรม อันพรั่งพรูออกจากโอษฐ์ของหลวงพ่อเป็นเวลา ตั้ง ๙ วัน หลวงพ่อพูดให้ฟังว่า เป็นที่เกิดความสังเวชน่าสงสาร ชาวลาว เขมร ญวน อพยพเหล่านั้นบ้านแตกสาแหรกขาด เป็นคนพลัดถิ่นเหินห่างดินแดนมาตุภูมิส เพราะไฟกิเลสที่คนเราก่อขึ้นทำลายกัน คนที่เคยร่ำรวยอยู่ดีสบายมากลับกลายเป็นคนจนขัดนพลัดจากบ้านเกิดเมืองนอนมีผิวพรรณหมองคล้ำ น้ำตานองหน้า ความพลัดพรากจากของที่รักที่พอใจมันก็ เป็นทุกข์ คนตาดีเท่านั้น จึงจะมองเห็นธรรม ส่วนคนตาบอด (ตาใน) ย่อมมองไม่เห็นธรรมเลย ตอนหนึ่งท่านได้ให้โอวาท เป็นการปลอบใจ ของผู้พลัดถิ่น เหล่านั้นว่า เลิกคิดเสีย อย่าไปคิดถึงมัน เรื่องที่ผ่านไปแล้วมัน ก็ผ่านไปแล้ว เหมือนวันวาน อย่าไปเก็บเอามาเป็นหนามทิ่มแทงตัวเองอีกเลย ให้ถือว่าเราเกิดใหม่แล้ว บ้านของเรานั้นอยู่ที่ไหนเล่า อยู่ที่นี่ตรงนี้แหละ ญาติมิตรของเราก็อยู่มีที่นี่แล้ว ที่เราจากมามันไม่ใช่บ้านของเรา ถ้าเป็นบ้านของเราจริงเราก็ต้องอยู่ได้ซิ...อย่าไปคิดอะไรมากจะลำบากตัวเองเปล่าๆ จงอุตส่าห์ทำมาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริตดำรงชีวิตสร้างความดีต่อไป ให้มีความสามัคคีเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือกันมีเมตตาอารีต่อกัน จะอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีใครอยู่ได้นานเท่าไหร่หรอก เดี๋ยวเราก็พากันจากมันไปหมดนั่นแหละ ธรรมโอสถของหลวงพ่อ คงจะเป็นดั่งทิพย์วารีชำระล้างจิตที่เศร้าหมองระทมทุกข์มาแรมปี พอได้ร่างซาความเร่าร้อนลงได้บ้าง คงจะเป็นผ้าสำลีแผ่นน้อยๆ คอยซับน้ำตาในยามทุกข์ได้บ้าง คงจะทำให้เขาเหล่านั้นพอมีทางมองเห็นเข็มทิศชี้ทางให้เขาเหล่านั้น ไม่คิดสั้นเกินไปกระมัง... เมื่อกลับคืนสู่วัดพระธรรมประทีป กรุงลอนดอนแล้ว หลวงพ่อก็ได้ประกาศธรรม และทำศาสนกิจประจำดังเช่นวันก่อนๆ จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๒๐ หลวงพ่อได้เขียนไว้ในสมุดบันทึกว่า ตอนกลางคืนวันที่ ๑๔ พลอากาศโทชู พร้อมด้วยคุณนาย สุภาพและคุณทองน้อย ซึ่งเป็นคนของไทยอินเตอร์ ได้ไปรวมกับพวกทำกรรมฐาน และได้ร่วมในการเปิด สาขาที่ ๑ (ภาคพื้นยุโรป) นี้ด้วย และในวันที่ ๑๕ ก็ได้ช่วยบริการให้ความสะดวกทุกอย่างบนเครื่องบินตลอดต้นทาง ถึงปลายทางด้วย ทั้งตอนไปก็ให้ความสะดวก และตอนกลับก็ให้ความสะดวก เราได้เดินทางไปเมืองนอก และเมืองในนอก และเมืองในใน และเมืองนอกนอก รวมเป็น ๔ เมืองด้วยกัน และภาษาที่ต้องใช้ในเมืองทั้งหลายเหล่านี้คือ นิรุตติภาษาจึงเกิดประโยชน์เท่าที่ควร ภาษาทั้งหลายเหล่านี้ ไม่มีครูสอนเป็นภาษาที่ต้องเรียนด้วยตนเองเท่านั้น เมื่อพบกับเหตุการณ์ ภาษาทั้งหลายเหล่านี้จึงจะปรากฏขึ้นเฉพาะ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงแตกฉานในภาษาทั้งปวง และได้เห็นชนชาวยุโรปนี้ เป็นดอกบัว ๔ เหล่าจริงๆ เรามีความรู้สึกอย่างนั้น เราเป็นพระอยู่แต่ในป่ามานมนาน นึกว่าไปเมืองนอกจะมีความตื่นเต้นก็เปล่า พระพุทธเจ้าตามควบคุมเราอยู่ทุกอิริยาบถ มิหนำซ้ำยังไม่เกิดปัญญาอีกด้วย เหมือนบัวในน้ำไม่ยอมให้น้ำท่วม ฉันนั้น พิจารณาตรงกันข้ามเรื่อยไป ได้เที่ยวไปดูในมหาวิทยาลัยต่างๆแล้วจึงคิดว่า มนุษยศาสตร์ทั้งหลายมันยิ่งเห็นได้ชัดว่ามีแต่ศาสตร์ที่ไม่มีคมทั้งนั้น ไม่สามารถจะตัดทุกข์ได้มีแต่ก่อให้เกิดทุกข์ศาสตร์ ทั้งหลายเหล่านั้นเราเห็นว่า ถ้าไม่มาขึ้นต่อพุทธศาสตร์ แล้วมันจะไปไม่รอดทั้งนั้น เมื่อเรานั่งอยู่บนเครื่องบิน มีความรู้สึกแปลกหลายอย่าง และได้วิตกไปถึงคำที่ท่านว่า สู ทั้งหลายจงมาดูโลกนี้อันตระการดุจราชรถที่คนเขลาย่อมหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ อันนี้ก็ชัดเจนยิ่งขึ้นและคำที่ท่านตรัสไว้ว่า เมื่อยังไม่รู้การประพฤติและประเพณีของชนในกลุ่มทั้งหลายเหล่านั้น เราอย่าไปถือตัวในที่นั้น อันนี้ก็ชัดเจนขึ้นถึงที่สุด ยานที่นำประชาชนทั้งหลายไปสู่จุดประสงค์ ก็เป็นยานอย่างหยาบๆ เพราะเป็นยานที่นำคนที่มีทุกข์ในที่นี้ ไปสู่ทุกข์ในที่นั้นอีกสวนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบ และรู้สึกขึ้นว่าเรามาเมืองนอกได้ เพราะอะไรเป็นเหตุ? เพราะอะไรๆ เรา ก็ไม่ได้ศึกษาและมาได้โดยสะดวกทุกอย่างมีผู้บริการทั้งนั้น เมื่อคิดๆดูก็แปลกและรู้สึกขบขันมากๆ (เขียนบนเครื่องบินกำลังบินบนอากาศสูงสุดสองหมื่นฟุต) ความรู้สึกในเหตุการณ์ ที่ได้ไปเมืองนอกในคราวนี้ ก็น่าขบขันเหมือนกัน เพราะเราเห็นว่าอยู่เมืองไทยมานานแล้ว คล้ายๆกับพญาลิงให้คนหยอกเล่นมาหลายปีแล้ว ลองไปเป็นอาจารย์กบในเมืองนอกดูสักเวลาหนึ่งมันจะเป็นอย่างไร เพราะภาษาเขาเราไม่รู้ ก็ต้องเป็นอาจารย์กบอย่างแน่นอน และก็เป็น ไปตามความคิดอย่างนั้น กบมันไม่รู้ภาษาของมนุษย์ แต่พอมันร้องขึ้นแล้วคนชอบไปหามันจังเลย เลยเป็นคนใบ้ สอนคนบ้าไปอีกเสียแล้ว ก็ดีเหมือนกัน ปริญญาของพระพุทธเจ้านั้นไม่ต้องไปเรียนไปสอนกับเขาหรอก ฉะนั้นพระใบ้เลยเป็นเหตุให้ได้ตั้งสาขา ๒ แห่ง คือกรุงลอนดอน และฝรั่งเศส เพื่อให้คนบ้าศึกษาก็ขบขันดีเหมือนกันฯ... วันที่ ๑๙ ก.ค. ๒๕๒๐ เดินทางกลับจากกรุงลอนดอน สู่ประเทศไทย หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2011, 12:45:10 ประวัติหลวงพ่อชา สุภัทโท (ตอนที่3) การจาริกไปต่างประเทศครั้งที่ ๒ ในการจาริกครั้งที่ ๒ นี้เนื่องจากหลวงพ่อได้บันทึกไว้ ในสมุดเหมือนครั้งแรกท่านคงพิจารณาเห็นว่าครั้งที่หนึ่งบันทึกไว้ข้าง นอกเพื่อผู้อื่นได้ทราบผลงานจินตนาการบางอย่างของท่าน เหมือนกับเปิดไฟให้มีแสงสว่างหน้าบ้าน เพื่อเป็นประโยชน์แก่ คนทั่วไป ที่ใคร่ในการเดินทาง... แต่การไปครั้งที่สองของท่านนี้ หลวงพ่อบันทึกไว้ข้างในมากกว่า ผู้รวบรวมจึงไม่สามารถที่จะนำมาเสนออย่างละเอียดแก่ผู้อ่านได้ จึงมีเพียงย่อๆ เปรียบเหมือนหลวงพ่อได้เปิดไฟสว่าง ในห้องนอน แต่แสงสะท้อนซึ่งส่องออกมา ก็ทำให้ผู้อยู่ข้างนอก ได้รับแสงสว่างส่องทางเดินแห่งชีวิตของเขาเหล่านั้น ตามสมควรแก่ฐานะภาวะของตน ดังนั้นจึงมีชาวสังฆทรัสต์ แห่งประเทศอังกฤษ ได้ติดต่อขอนิมนต์หลวงพ่อชา สุภัทโท ให้จาริกไปเผยแพร่ธรรมะที่นั่นเป็นครั้งที่ ๒ ในปี ๒๕๒๒ หลวงพ่อจึงได้ออกเดินทางไปตามคำนิมนต์ของเขา พร้อมกับพระปภากโรอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๒ นั้นเอง เมื่อเดินทางถึงประเทศอังกฤษแล้วก็ได้ ให้การอบรมกรรมฐาน แสดงธรรมและสนทนาธรรมกับผู้มาพบเป็นจำนวนมากขึ้นกว่าการไปครั้งแรกหลายเท่า นอกจากนั้นท่านยังได้ไปดูสถานที่ที่เขาถวาย เพื่อจัดตั้งเป็นสำนักถาวรขึ้น ในที่แห่งใหม่นี้เป็นธรรมชาติน่ารื่นรมย์ใจ เหมาะสมแก่การปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะบริเวณกว้างขวางดี รู้สึกว่าไม่คับแคบเหมือน แฮมป์สะเตท ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางเมืองลอนดอน ไม่เพียงพอแก่จำนวนคนผู้ใคร่ต่อการปฏิบัติธรรม ส่วนสถานที่แห่งใหม่นี้เป็นป่าธรรมชาติของเมืองหนาวมีทะเลสาบอยู่ใกล้ๆมีตึกเก่าหลังใหญ่อยู่หลังหนึ่ง ใช้เป็นที่พักพาอาศัย และประกาศสัจธรรมของพระภิกษุสามเณรซึ่งล้วนเป็นชาวตะวันตก ผู้ได้รับการบรรพชาอุปสมบท ไปจากวัดหนองป่าพง จึงเป็นอันกล่าวได้ว่าพระสงฆ์ผู้เป็นลูกศิษย์ ของหลวงพ่อคณะนั้นได้เข้ามาอยู่อาศัยที่แห่งใหม่นี้เพื่อปฏิบัติธรรม และประกาศสัจธรรมเรื่อยมา คณะกรรมการของธรรมประทีป เป็นเพียงผู้อุปถัมภ์ตามสมควรแก่ฐานะเท่านั้น ปัจจุบันนี้ได้รับความสนใจจากชาวไทยและชาวต่างประเทศ ให้การสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นับว่าท่านสุเมโธและคณะลูกศิษย์ ซึ่งเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ ในนามหลวงพ่อชาแห่งวัดหนองป่าพงได้ถ่ายทอดหลักปฏิบัติธรรม ให้ดำรงอยู่ในภาคพื้นตะวันตกนั้นได้อย่างดียิ่ง เมื่อหลวงพ่อได้พักอยู่ที่ซัสเซ็คพอเป็นที่อุ่นใจแก่บรรดาสานุศิษย์แล้วจึงกลับมาพักที่แฮมป์สะเตทระยะหนึ่งเพื่อเตรียมตัว ออกเดินทางไปสหรัฐอเมริกา จาริกสู่อเมริกา หลวงพ่อชาออกเดินทางสู่สหรัฐอเมริกามีท่านปภากโร เป็นปัจฉาสมณะ ได้ไปพักที่สำนักกรรมฐานของนายแจ๊ค ผู้เป็นศิษย์ฝรั่ง ซึ่งเคยมาบวชอยู่ที่วัดหนองป่าพง หลวงพ่อได้พักอยู่ ที่สำนักนั้นเป็นเวลาเก้าวัน ท่านได้อบรมข้อปฏิบัติกรรมฐานแก่ ชนชาวอเมริกันเป็นจำนวนมาก ทำให้เขาเหล่านั้นได้รับปีติสุข เกิดความสนใจในหลักปฏิบัติตามแนวหลวงพ่อสั่งสอน แล้วจึงออกจากแมซาชูเทเดินทางไปเมืองซีแอ๊ตเติ้ล ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของท่านปภากโร ภิกขุ ออกจากซีแอ๊ตเติ้ลแล้วเดินทางเข้าสู่ชิคาโก แล้วก็เดินทางไปสู่ประเทศแคนาดา จากนั้นก็ได้ย้อนกลับมาที่แมซาชูเท แล้วเดินทางต่อไปที่นครนิวยอร์ค แต่ละสถานที่ที่หลวงพ่อได้ไปเยี่ยมนั้นๆ ท่านก็ได้แนะนำหลักปฏิบัติธรรมได้สนทนาธรรมและตอบปัญหาแก่ผู้ที่สนใจจนเป็นที่ซาบซึ้งตรึงใจของเขาเหล่านั้น เมื่อหลวงพ่อกลับจากสหรัฐคืนสู่อังกฤษแล้ว พักที่ แฮมป์สะเตทท่านได้อยู่ดูแล การเคลื่อนย้ายบริขารของพระสงฆ์สานุศิษย์เพื่อเดินทางไปสถานที่แห่งใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ต่อจากนั้นท่านก็ได้เดินทางไปเยี่ยมบ้านของ มิสเตอร์ซอร์ เศรษฐีชาวพม่าอยู่ที่โอ๊คเก็นโฮล์ท ได้ร่วมสังฆกรรมบวชนาคกับท่านมหาสียาดอว์ ซึ่งเป็นพระเถระพม่าเป็นอุปัชฌาย์ ให้การอุปสมบทกุลบุตร ต่อมาหลวงพ่อก็ได้รับนิมนต์ให้เดินทางไปยังสก๊อตแลนด์พักอยู่ที่นั้นสองคืน มีผู้สนใจในการปฏิบัติธรรม ซึ่งเคยมาฝึกภาวนาธรรมกับท่านสุเมโธก็มีอยู่ไม่น้อยและมีผู้สนใจคิดอยากจะให้ตั้งสำนักสาขาของหลวงพ่อขึ้นอีกที่นั่น สักหนึ่งแห่งแต่ท่านยังพิจารณาอยู่ว่าจะมีความเหมาะสมเพียงใดหรือไม่ การเดินทางไปประกาศสัจธรรมในต่างประเทศของ หลวงพ่อชา สุภัทโท ทั้งสองครั้งนี้นั้น จึงถือได้ว่าหลวงพ่อได้นำหลักปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนา ไปเผยแพร่ยังต่างประเทศ ในนามของคณะสงฆ์และปวงชนชาวไทย ให้เป็นที่รู้จักของชนชาวตะวันตก เพื่อจะได้ดำรงคงอยู่ในภาคพื้นส่วนนั้นตลอดชั่วกาลนาน หลวงพ่อได้เดินทางกลับคืนสู่ประเทศไทย เพื่อกลับมาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของสานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๒ [size=14pt]หลวงพ่ออาพาธ[/size] สังขารร่างกายของหลวงพ่อก็เกิดก่อมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งมีใจครอง เหมือนเราๆท่านๆนี่แหละ เมื่อสังขารผ่านมานานวัน ยิ่งใช้งานมากความทรุดโทรมก็เร็วขึ้นกว่าปกติ สมัยข้าพเจ้ามาอยู่กับท่านปีแรกๆ เคยนั่งสนทนาธรรมกับหลวงพ่อตั้งแต่สองทุ่ม จนกระทั่งถึงตี ๓ ตี ๔ บางโอกาส เคยเห็นท่านนั่งสนทนาธรรม กับญาติโยม ผู้สนใจในธรรมซึ่งเดินทางมาจากถิ่นไกล จนกระทั่งถึงรุ่งเช้าก็มีหลายๆครั้ง ชีวิตของท่านเกิดมาเพื่อผู้อื่นสมองเห็นประโยชน์เกื้อกูลแก่หมู่มนุษย์ผู้มาสู่ แม้จะอ่อนเพลียเมื่อยล้าสักปานใด ท่านก็ไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอให้เห็น เพราะอาศัยความเมตตาเป็นที่ตั้ง แม้ลูกศิษย์จะอยู่ในสำนักสาขาใดๆ จะไกลหรือใกล้ก็ตาม ท่านยังอุตส่าห์เดินทางไปให้กำลังใจและแนะนำการปฏิบัติสนับสนุนอย่างทั่วถึงแต่สังขารร่างกายทุกอย่างก็มี ความ แก่ เจ็บ ตาย ไปเป็นธรรมดา ดังนั้นในปี ๒๕๒๐ ถึงแม้ความผิดปกติของร่างกายจะปรากฏขึ้นบ้าง แต่เพราะหลวงพ่อมุ่งประโยชน์เพื่อส่วนรวม ท่านก็ยังอดทนสู้ได้เดินทางไปประกาศสัจธรรมในต่างประเทศถึงสองครั้ง เป็นการนำธรรมโอสถจากดินแดนภาคตะวันออก ไปสงเคราะห์ชาวตะวันตก ให้ได้รับประโยชน์อย่างดียิ่ง นี่คือพลังแห่งเมตตาธรรม ซึ่งมีประจำอยู่ในหทัยของท่าน หลวงพ่อเริ่มอาพาธ และเริ่มมีอาการปรากฏขึ้นทีละน้อยๆ จนกระทั่งได้รับการผ่าตัดทางสมอง แต่ก็เป็นที่น่ายินดีที่ได้มีคณะแพทย์หลายท่าน หลายโรงพยาบาลได้ถวายการรักษาจนสุดความสามารถ ซึ่งบรรดาคณะศิษย์ทั้งหลายขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ และตามหนังสือรายงานแพทย์ ซึ่งนายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา และนายแพทย์สุพัฒน์ โอเจริญ แห่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จ.กรุงเทพฯ ได้บันทึกไว้ว่า หลวงพ่อชาอายุ ๖๔ ปี แข็งแรงเป็นปกติดี จนเริ่มมีอาการครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๐ ขณะเดินทางไปประเทศอังกฤษ ด้วยรู้สึกโงนเงน การทรงตัวไม่ค่อยดี ไม้เท้าซึ่งใช้ถืออยู่เป็นประจำ อยู่แล้ว รู้สึกว่าจำเป็นต้องใช้มีอาการหนักบริเวณต้นคอด้วย ตั้งแต่นั้นมา อาการโงนเงนทรงตัวไม่ค่อยดี ก็เป็นมาตลอด บางระยะก็เป็นมาก บางระยะก็น้อย พ.ศ.๒๕๒๓มีอาการคลื่นไส้มักเป็นตอนดึกๆมีน้อยครั้งที่เกิดอาเจียนด้วย อาการโงนเงนยังเป็น เช่นเดิม ไม่เคยถึงกับล้ม พ.ศ.๒๕๒๔ ราวเดือนกรกฎาคม เริ่มมีอาการความจำ ไม่ดี อาการโงนเงนทรงตัวไม่ดี ก็ทรุดลง มีอาการเมื่อย และอ่อนเพลียด้วยมีอาการหนักตึงต้นคอ แต่เมื่อฉันยาหม้อสมุนไพร อาการหนักต้นคอนี้หายไป ตอนนี้ตรวจพบว่าเป็นเบาหวานด้วย นายแพทย์สุเทพ และแพทย์หญิงประภา วงศ์แพทย์ ได้จัดยาถวาย ส่วนอาการอื่นยังคงอยู่ จนถึงกลางเดือนกันยายน รู้สึกอ่อนเพลียมากขึ้น และเบื่ออาหาร นายแพทย์อุทัย เจนพานิชย์ ได้ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจให้ พบว่าปกติดี อาการทรุดมากขึ้น ในวันที่๑๔ตุลาคม๒๕๒๔จึงเดินทางไปกรุงเทพฯ เข้าโรงพยาบาลสำโรง ขณะนั้นยังเดินเองได้ แต่ต้องช่วยพยุงบ้าง ได้ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ซ้ำ พบว่า ช่องภายในสมองขนาดเล็กลงกว่าครั้งแรกจนถึงกลางเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๕ เมื่อเดินทางกลับไปยังจังหวัดอุบลราชธานียังมีอาการทรงตัวไม่ค่อยดี เดินต้องพยุงและเดินไกลๆไม่ได้ ผู้ดูแลสังเกตว่าขาข้างซ้ายยกไม่ค่อยถนัด สู้ข้างขวาไม่ได้ ความจำและการพูดบางวันดีพอสมควร บางวันเลอะเลือน บางระยะรู้สึกเพลียและ ไม่อยากพูดหรือทำสิ่งใดอาการเป็นมากขึ้นในระยะ๓สัปดาห์หลังนี้ บางวันเพลีย และพูดไม่มีเสียง เดินได้เพียงระยะไม่กี่ก้าว ต้องใช้รถนั่งเข็นไปในบริเวณวัดวันละสองครั้ง อาหารฉันได้น้อยลง เมื่อปี ๒๕๒๕ อาการของหลวงพ่อทรุดลง ศิษย์จึง อาราธนาให้หลวงพ่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม รับหลวงพ่อไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ได้อยู่ในห้องชุดพิเศษ ที่ตึกจงกลณี อยู่โรงพยาบาลนาน ๕ เดือน มีศาสตราจารย์ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา ในขณะนั้นเป็นผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นหัวหน้าคณะแพทย์ถวายการรักษา เมื่ออยู่จนอาการทรงและพ้นระยะอันตรายแล้วแพทย์ให้พยากรณ์โรคว่าจะค่อยๆ ทรุดลงคณะสงฆ์เห็นพ้องต้องกันว่าควรจะนิมนต์ หลวงพ่อกลับวัดหนองป่า พงทางกองทัพอากาศได้จัดเครื่องบินเที่ยวบินพิเศษถวาย ก่อนหน้านั้น ทางวัดได้จัดสร้างกุฏิหลังใหม่ไว้คอยท่า ด้วยพระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่โปรดเกล้า โปรดกระหม่อมพระราชทานให้ส่วนหนึ่ง คณะศิษย์ที่เคยอุปัฏฐากสม่ำเสมอโดยตลอด ได้ร่วมสมทบโดยเสด็จพระราชกุศลด้วยอีก ส่วนหนึ่ง ได้ออกแบบให้คล้ายไอซียู ในบริเวณป่าของวัด สร้างเป็นตึกชั้นเดียว หลังเล็ก จัดให้มีที่ทางที่สะดวกกับการถวายการ อุปัฏฐาก และมีเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นต้องใช้ จึงเอื้ออำนวยให้ถวายการดูแลได้ใกล้เคียงกับเมื่ออยู่ในโรงพยาบาล มีแพทย์จากโรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ ประสงค์มาถวายตรวจอาการเป็นประจำทุกวัน บุรุษพยาบาลเปลี่ยนเวรกันมาเฝ้า คณะพยาบาลเอื้อเฟื้อให้ความสะดวกเต็มที่และพระอาจารย์เลี่ยม ิตธมฺโม จัดเวรพระสงฆ์ศิษย์หลวงพ่อทั้งในวัดหนองป่าพงและตามสาขาต่างๆ ให้เข้าเวรวันละ ๒ ผลัดๆละ ๔ องค์ และสามเณรอีก ๑ รูป มิได้ขาด จนมีผู้กล่าว ว่ามหาเศรษฐีก็มิอาจจะจ้างบุรุษพยาบาลได้ถึงวันละ ๑๐ คน หรือผู้มีบุตร ๑๒ คน เมื่อป่วยก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ลูกมาดูแลอย่างดีเท่าหลวงพ่อ ทั้งนี้เพราะหลวงพ่อเป็นผู้เปี่ยมด้วยเมตตา เป็นที่รักและเคารพของบรรดาศิษย์ พระที่เข้าเวรปฏิบัติหลวงพ่อนั้นต่าง ถวายแรงกาย แรงใจ และอุทิศเวลาให้หลวงพ่อเป็นปฏิบัติบูชา ต่อผู้มีพระคุณยิ่งกว่าบิดาบังเกิดเกล้า คณะชีก็ผลัดเวรกันมาประกอบอาหารเหลวตามที่โภชนากรแนะให้ทุกวันมิได้ขาดเลย เมื่อถึงระยะที่หลวงพ่อมีอาการสำลักบ่อยขึ้นขณะให้อาหารทางปาก แพทย์เห็นสมควรให้เปลี่ยนให้ทางสายยางลงกระเพาะเพื่อป้องกัน โรคปอดบวมแทรกจากการสำลักอาหารหรือเสมหะ พระอุปัฏฐาก ก็เรียนวิธีใส่สายยางจนชำนาญมีการซ้อมใส่ตนเองก่อน ด้วยความหวังที่จะลดความระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อในหลอดคอ และหลอดอาหารของหลวงพ่อในการใส่แต่ละครั้งให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ท่านยังเรียนวิธีตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เพื่อดูระดับน้ำตาลเพื่อบันทึกและรายงานต่อแพทย์และปรับขนาดยา ตามสั่งได้ถูกต้องแม้หลวงพ่อจะอาพาธนานนับปีแต่ผิวพรรณก็ดูผ่องใส และไม่เคยมีแผลกดทับอย่างผู้ป่วยเรื้อรังส่วนใหญ่ มีผู้กล่าวว่าการที่หลวงพ่ออยู่เป็นขวัญให้ลูกศิษย์หลายปีนั้นมีผลให้พระสงฆ์เจริญในธรรมและสามัคคี ร่วมแรง ร่วมใจ เร่งปฏิบัติบูชาแด่หลวงพ่อ ทำให้เกิดมีสาขาต่างๆเพิ่มขึ้นทั้งในและนอกประเทศ นอกจากนี้ยังมีการรวบรวมเทปเทศนาของหลวงพ่อ ถอดความออกมาเป็นหนังสือแจกญาติโยมได้มากมายหลายเรื่อง ยังผลให้ฆราวาส ผู้สนใจในคำสอนของหลวงพ่อมุ่งปฏิบัติธรรมมากขึ้น มีคนเป็นหมู่คณะมากราบเยี่ยมหลวงพ่อเป็นประจำทุกวัน จนต้องกำหนดเวลาเยี่ยมในภาคเช้าและเย็น เพื่อมิให้เป็นการรบกวน หลวงพ่อมากเกินไป พระอุปัฏฐากจะเข็นรถออกมาให้ญาติโยมได้กราบตามเวลาที่กำหนด รถเข็นนี้เป็นรถที่สั่งประกอบพิเศษจากประเทศอังกฤษมีการวัดสัดส่วนของหลวงพ่อส่งให้เขา (ทำนองเดียวกับการวัดตัวตัดเสื้อ) จึงใช้ได้ดีมีที่พยุงคอ แขนขาในสัดส่วนที่เหมาะเจาะ ผู้ที่ไม่เคยมากราบเยี่ยมอาจเข้าใจผิดว่าหลวงพ่อท่านนั่งได้เอง และไม่ได้เป็นอัมพาต สำหรับโอสถที่ใช้เป็นประจำ ส่วนใหญ่เบิกได้จาก โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ประสงค์ โอสถพิเศษที่ไม่มีในจ.อุบลฯ ก็สั่งมาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้อยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์เสมอมา ตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ คณะพระสงฆ์ทั้งวัดป่านานาชาติ ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศ มาเยี่ยมถวายสักการะหลวงพ่อทุกวัน พระเป็นประจำมีอุบาสกอุบาสิกาโดยสาร รถสองแถวมาด้วยเสมอ พากันมาสวดมนต์บทสำคัญๆ เช่น วิปัสนาภูมิ และโพชฌงค์ เป็นต้น ถวายหลวงพ่อ เป็นภาพที่ประทับใจแก่ผู้มาพบเห็นเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาเมื่อมีคณะผู้ปฏิบัติธรรมจากกรุงเทพฯมา ก็มีการสวดทำวัตร ถวายหลวงพ่อด้วยเป็นครั้งคราว ระยะต่อมา หลวงพ่ออาการหนักเป็นพักๆ มักจะเป็นระยะ ที่อากาศเปลี่ยนแปลงราวเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน หลวงพ่อต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ประสงค์ต้องเจาะคอเมื่อเมษายน ๒๕๓๑ เพื่อให้ดูดเสมหะได้ง่ายขึ้น อาการของหลวงพ่อทรุดลงช้าๆ ตามวัยและสังขารที่เสื่อมลงไป เหมือนกับหลวงพ่อสาธิตให้ศิษย์เห็นภัยในวัฏสงสารเห็นความเสื่อมไปสิ้นไปของสังขารว่า เรามีความแก่ ความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่มีใครจะล่วงพ้นความแก่ ความเจ็บไข้ไปได้ พระอุปัฏฐากเล่าว่าแม้หลวงพ่อจะไม่ได้แสดงธรรมเทศนา แต่ก็ได้เรียนธรรมจากหลวงพ่อเสมอ เนื่องจากหลวงพ่อไปเข้าไอซียู ของโรงพยาบาล สรรพสิทธิ์ประสงค์อยู่บ่อยๆ จึงมีผู้ปรารภให้คณะศิษย์ร่วมสมทบทุนสร้างตึกไอซียู.ให้แก่โรงพยาบาล ขณะนี้ก็ยังดำเนินการสร้างอยู่ยังไม่แล้วเสร็จเข้าใจว่ายังขาดงบที่จะซื้ออุปกรณ์อีก มกราคม ๒๕๓๕ หลวงพ่อหอบมากจึงต้องเข้า โรงพยาบาลอีก แพทย์วินิจฉัยว่าหัวใจวาย ต่อมามีอาการไตวายแทรกด้วย แพทย์ให้การรักษาเต็มที่อาการไม่ดีขึ้น คืนวันที่ ๑๕ มกราคม หลังจากที่ทราบว่าอาการของหลวงพ่อทรุดลงเรื่อยๆ คณะสงฆ์เห็นสมควรนิมนต์หลวงพ่อกลับวัด เช้าวันที่ ๑๖ มกราคม เวลา ๕.๒๐ น. หลวงพ่อก็ละสังขารไปอย่างสงบ จากไปอย่าง ครูผู้ยิ่งใหญ่ในวันครู ระยะนั้นเป็นระยะที่การก่อสร้างในวัดส่วนใหญ่สำเร็จแล้ว และพระสงฆ์ต่างชาติกำลังอบรมกรรมฐานกันที่วัดป่าวนโพธิญาณ มีพระอาจารย์สุเมโธศิษย์ฝรั่งองค์แรกของหลวงพ่อ เป็นผู้อบรมธรรมอยู่ ส่วนพระสงฆ์ไทยก็เตรียมจะประชุมกันในเวลาอันใกล้กันนั้น ศิษย์จึงต่างเตรียมพร้อมที่จะมาชุมนุมกันที่วัดหนองป่าพง อยู่แล้ว เมื่อทราบข่าวหลวงพ่อจึงมากันอย่างพร้อมเพรียงกันมากราบ สักการะร่างของหลวงพ่อที่ทอดลงสอนศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย และต่างพากันปฏิบัติบูชาหลวงพ่ออย่างเข้มแข็ง ที่มา : วัดหนองป่าพง หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: zekan ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2011, 12:55:46 ขออนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ สาธุ สาธุ
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: skyworker ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2011, 13:38:56 ขออนุโมทนาด้วยครับ
จะนำไปเผยแพร่ต่อได้หรือไม่ หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 16:20:21 ขออนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ :wanwan017: หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 16:26:37 ขออนุโมทนาด้วยครับ จะนำไปเผยแพร่ต่อได้หรือไม่ เผยแพร่ต่อได้ครับ หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: kookcoo ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 17:15:13 แก่นแท้ของพระพุทธศาสนาไม่มีวันเสื่อม คนต่างหากที่เสื่อม...
Credit: ภาพยนต์เรื่องนาคปรก :wanwan017: หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: chewpong ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 18:35:21 พระอรหันต์ ?! :wanwan044:
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2011, 14:46:56 แก่นแท้ของพระพุทธศาสนาไม่มีวันเสื่อม คนต่างหากที่เสื่อม... Credit: ภาพยนต์เรื่องนาคปรก :wanwan017: ถูกครับ ตามนั้นเลย :wanwan017: พระอรหันต์ ?! :wanwan044: ใช่ครับ เป็นพระอรหันต์ครับ หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2011, 14:59:48 4.หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม (http://www.doisaengdham.com/images_stock/29042008234148.jpg) ประวัติหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม(ตอนที่1) ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม เกิดที่ บ้านหนองขอน ตำบลหัวตะพาน อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๓ ปีฉลู วันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๒ เวลา ๐๕.๑๐ น. มีพี่น้องร่วมกัน ๗ คน ท่านเป็นคนที่ ๔ และพระมหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นคนที่ ๕ อายุห่างจากท่าน ๓ ปี ท่านมีนามเดิมว่า สิงห์ บุญโท บิดาชื่อ เพียอินทวงษ์ (อ้วน) (เพียอินทวงษ์ เป็นตำแหน่งข้าราชการหัวเมืองลาวกาว-ลาวพวน มีหน้าที่จัดการ ศึกษา และ การพระศาสนา) มารดาชื่อ หล้า บุญโท การศึกษาในสมัยที่ท่านเป็นฆราวาส ท่านได้ศึกษาจนเป็นครูสอนวิชาสามัญได้ดีผู้หนึ่ง บรรพชา เป็นสามเณร ฝ่ายมหานิกายในสำนักพระอุปัชฌาย์ป้อง ณ บ้านหนองขอน ตำบลหัวตะพาน อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่ออายุ ๑๕ ปี พ.ศ. ๒๔๔๖ บรรพชาอีกครั้งหนึ่งเพื่อเป็นสามเณรธรรมยุตในสำนักพระครูสมุห์โฉม เจ้าอาวาสวัดสุทัศนาราม ในตัวเมืองอุบลราชธานี ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ เมื่ออายุครบบวชก็ได้อุปสมบท เป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดสุทัศนาราม วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๒ เวลา ๑๔ นาฬิกา ๑๒ นาที สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ขณะดำรงตำแหน่งพระศาสนดิลก เจ้าคณะมณฑลอีสาน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาเสน ชิตเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดทัศน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลวงปู่สิงห์เป็นสัทธิวิหาริก อันดับ 2 ของสมเด็จมหาวีรวงศ์ ได้ฉายาว่า ขนฺตยาคโม เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้เข้าศึกษาเล่าเรียนหนังสือไทยต่อในโรงเรียนสร่างโศกเกษมศิลป์ สอบไล่ได้มัธยมปีที่ ๓ ปี พ.ศ.๒๔๕๔ เข้าสอบไล่ได้วิชาบาลีไวยากรณ์ ในสนามวัดสุปัฏน์ฯ เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๕๕ ได้รับแต่งตั้งจากกระทรวงธรรมการ (ศึกษาธิการ) ให้เป็นครูมูลและครูมัธยมประจำอยู่ที่โรงเรียนสร่างโศกเกษมศิลป์ ในปี ๒๔๕๗ ท่านได้จัดการให้น้องชาย คือนายปิ่น บุญโท ได้บวชในพระบวรพุทธศาสนา เมื่อมีอายุได้ ๒๒ ปี และได้มาอยู่ที่วัดสุทัศนารามด้วยกัน หลวงปู่สิงห์ได้เรียนพระปริยัติธรรมจนสอบได้นักธรรมชั้นตรี ใน พ.ศ. ๒๔๕๘ ในขณะที่หลวงปู่สิงห์เป็นครูสอนนักเรียนอยู่นั้น ท่านเป็นอาจารย์เทศนาสั่งสอนประชาชนด้วย ได้ค้นคว้าหลักธรรมคำสั่งสอนของพระศาสนาสอนสัปบุรุษอยู่เรื่อยๆ วันหนึ่ง เผอิญท่านค้นพบหนังสือธรรมเทศนาเรื่อง เทวสูตร ซึ่งมีใจความว่า พระบรมศาสดาทรงตำหนิการบรรพชาอุปสมบทที่มีความบกพร่อง คือ การบวชแล้วไม่มีการประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัยมีโทษมาก ตกนรกไม่พ้นอบายภูมิทั้ง ๔ จึงเป็นเหตุให้หลวงปู่สิงห์เกิดความสลดสังเวชสำนึกในตน ออกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๕๘ โดยลาออกจากตำแหน่งครูผู้สอน เมื่อลาออกจากหน้าที่ครูแล้ว ท่านอาจารย์สิงห์ก็ได้ออกปฏิบัติกรรมฐาน ท่านได้พิจารณาว่า การปฏิบัติธรรมในสมัยนี้หมดเขตที่จะบรรลุมรรคผลหรือยัง ? ซึ่งท่านก็ได้รู้ว่า การบรรลุมรรคผลนิพพานยังมีอยู่แก่ผู้ที่ปฏิบัติจริง ท่านจึงได้มุ่งหน้าปฏิบัติสมถะและวิปัสสนากรรมฐานอย่างจริงจัง หลวงปู่สิงห์พบพระอาจารย์มั่นเป็นครั้งแรกและกราบขอเป็นศิษย์ และในปีนั้นเอง หลังจากท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้จำพรรษาที่กรุงเทพฯ ในปีนั้นแล้ว ท่านก็มีดำริว่า ท่านควรจะได้แนะนำสั่งสอนธรรมปฏิบัติที่ท่านได้รู้ ได้เห็นมา ซึ่งเป็นธรรมที่ยากที่จะรู้ได้ ซึ่งท่านได้อุตส่าห์พยายามบำเพ็ญมาเป็นเวลานับสิบๆ ปี ควรจะได้แนะนำบรรดาผู้ที่ควรแก่การปฏิบัติให้ได้รู้และจะได้แนะนำกันต่อ ๆไป ดังนั้นเมื่อออกพรรษาแล้วท่านจึงได้ลาท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ กลับไปจังหวัดอุบล ฯ จำพรรษาที่วัดบูรพา ในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ นั้น ปีนั้นท่านมีพรรษาได้ ๒๕ พรรษา ขณะที่ท่านจำพรรษาอยู่นั้น ท่านก็พิจารณาว่า ใครหนอจะเป็นผู้ควรแก่การสั่งสอน พระราชธรรมเจติยาจารย์ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) ได้บันทึกเรื่องราวหลวงปู่สิงห์ไว้ในหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร ดังนี้ “ในขณะนั้นท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นครูสอนนักเรียนอยู่เหมือนกับครูอื่น ๆ เป็นครูที่สอนวิชาสามัญแก่นักเรียนเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ท่านอาจารย์สิงห์ ท่านได้ยินกิตติศัพท์ว่า ท่านอาจารย์มั่นฯ เป็นพระนักปฏิบัติที่เคร่งครัดมาก ก็ใคร่ที่จะได้ศึกษาธรรมปฏิบัติ ในวันหนึ่งหลังจากเลิกสอนนักเรียนแล้ว ท่านก็ได้ไปนมัสการท่านอาจารย์มั่นฯ ที่วัดบูรพา ขณะนั้นเป็นเวลา ๑ ทุ่มแล้ว เมื่อเข้าไปเห็นท่านอาจารย์มั่นฯ กำลังเดินจงกรมอยู่ ท่านก็รออยู่ครู่ใหญ่ จนท่านอาจารย์เลิกจากการเดินจงกรม เหลือบไปเห็นท่านอาจารย์สิงห์ซึ่งนั่งอยู่ที่โคนต้นมะม่วง ท่านจึงได้เรียกและพากันขึ้นไปบนกุฏิ หลังจากท่านอาจารย์สิงห์กราบแล้ว ท่านอาจารย์มั่น ฯ ก็ได้พูดขึ้นว่า “เราได้รอเธอมานานแล้ว ที่อยากจะพบและต้องการชักชวนให้ปฏิบัติธรรมด้วยกัน” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่านอาจารย์สิงห์ถึงกับตกตะลึง เพราะท่านได้ทราบจิตใจของท่านอาจารย์สิงห์มาก่อน เนื่องจากท่านอาจารย์ได้ตั้งใจมาหลายเวลาแล้วที่จะขอมาพบกับท่าน เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ปฏิบัติธรรมด้วย พอท่านอาจารย์สิงห์ฯ ได้ฟังเช่นนั้นก็รีบตอบท่านไว้ว่า “กระผมอยากจะปฏิบัติธรรมกับท่านมานานแล้ว” กล่าวจบท่านอาจารย์มั่น ฯ จึงได้อธิบายให้ฟังว่า “การบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์นั้นจักต้องปฏิบัติกัมมัฏฐาน คือพิจารณา ตจปัญจกกัมมัฏฐาน เป็นเบื้องแรกเพราะเป็นหนทางพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงตรัสรู้ธรรมด้วยการปฏิบัติอริยสัจจธรรม ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” เมื่ออธิบายไปพอสมควร ท่านก็แนะนำวิธีนั่งสมาธิ ท่านอาจารย์มั่น ฯ เป็นผู้นำนั่งสมาธิในตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง ท่านอาจารย์สิงห์ก็เกิดความสงบ แล้วจิตสว่างไสวขึ้นทันที เป็นการอัศจรรย์ยิ่ง ภายหลังจากนั่งสมาธิเสร็จแล้ว ท่านอาจารย์มั่นฯ ก็ได้อธิบายถึงวิธีพิจารณากาย โดยใช้กระแสจิตพิจารณาจนเป็นที่พอใจแล้ว ท่านอาจารย์สิงห์ก็ได้ลากลับไป จากนั้นมาท่านก็พยายามนั่งสมาธิทุกวัน จนเกิดความเย็นใจเกิดขึ้นเป็นลำดับ อยู่มาวันหนึ่งท่านอาจารย์สิงห์ก็ไปสอนนักเรียนตามปรกติ (ขณะนั้นท่านเป็นครูสอนนักเรียนชั้นวิสามัญในโรงเรียนสร่างโศรกเกษมศิลป์) ซึ่งเด็กนักเรียนในสมัยนั้น เรียนรวมกันทั้งชายและหญิง และอายุการเรียนก็มาก ต้องเรียนถึงอายุ ๑๘ ปี เป็นการบังคับให้เรียนจบ ป. ๔ ขณะที่ท่านกำลังสอนนักเรียน มองดูเด็กนักเรียนเห็นแต่โครงกระดูกนั่งอยู่เต็มห้องไปหมด ไม่มีหนังหุ้มอยู่เลยสักคนเดียว จำนวนนักเรียนประมาณ ๓๘ คนได้มองเห็นเช่นนั้นไปหมดทุกคนเลย แม้ท่านจะพยายามขยี้ตาดูก็เห็นเป็นเช่นนั้น ที่สุดก็เกิดความสังเวชใจขึ้นแก่ท่านเป็นอย่างมาก แล้วก็เกิดความเบื่อหน่ายต่อสังขารเป็นอย่างยิ่ง. จึงนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์นัก เพราะธรรมดาปฏิภาคนิมิตต้องเกิดในขณะหลับตาอยู่ในฌานจริง ๆ แต่ท่านกลับเห็นทั้งหลับคาและลืมตา อาการที่ท่านเห็นเป็นอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน จนนักเรียนพากันสงสัยว่า ทำไมครูจึงนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น ทุกคนเงียบกริบ เวลาได้ล่วงไปนานโขทีเดียว ตาของท่านจึงค่อยปรากฏเห็นร่างของเด็ก นักเรียนในชั้นเหล่านั้นมีเนื้อหนังขึ้นจนปรากฏเป็นปรกติ หลังจากนั้นท่านก็พูดกับเด็กนักเรียนทั้งหลายเป็นการอำลาว่า “นักเรียนทุกคน บัดนี้ครูจะได้ขอลาออกจากความเป็นครูตั้งแต่บัดนี้แล้ว เนื่องจากครูได้เกิดความรู้ในพระพุทธศาสนา ได้เห็นความจริงเสียแล้ว” และท่านก็ได้ลาออกจากการเป็นครู เพื่อตั้งหน้าปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังต่อไป และในปีนั้นหลังจากที่ได้กราบถวายตัวเป็นศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว หลวงปู่สิงห์ก็ได้นำพระปิ่น ปญฺญาพโล ผู้น้องชายเข้ากราบนมัสการและฟังธรรมกับพระอาจารย์มั่นด้วย ทำให้พระมหาปิ่นเกิดความศรัทธามาก และได้ให้ปฏิญาณว่า จะขอลาไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่กรุงเทพฯ สัก ๕-๖ ปี แล้วจึงจะออกมาปฏิบัติธรรมด้วย หลวงปู่สิงห์พบกัลยาณมิตร หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ในช่วงเวลาเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ทางด้านจังหวัดสุรินทร์ หลวงปู่ดูลย์ อตุโลซึ่งขณะนั้นได้บวชเป็นพระภิกษุได้ ประมาณ ๕ พรรษา พำนักอยู่ที่วัดบ้านคอโค จังหวัดสุรินทร์ ได้ยินกิตติศัพท์เกี่ยวกับการสอนการเรียนพระปริยัติที่จังหวัดอุบลราชธานี ตามแบบของมหามกุฎราชวิทยาลัยแห่งวัดบวรนิเวศวิหาร ท่านก็มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเดินทางไปศึกษายังจังหวัดอุบลฯ ท่านได้เพียรขออนุญาตพระอุปัชฌาย์เพื่อเดินทางไปศึกษา แต่ก็ถูกทัดทานในเบื้องต้น เพราะในระยะนั้นการเดินทางจากสุรินทร์ไปอุบลราชธานีลำบากยากเข็ญเป็นอย่างยิ่ง ท่านเพียรขออนุญาตหลายครั้ง นี่สุดเมื่อพระอุปัชฌาย์เห็นความมุ่งมั่นของท่าน จึงได้อนุญาต ท่านจึงได้ออกเดินทางไปกับพระภิกษุอีก ๒ องค์ คือ พระคง และ พระดิษฐ์ เมื่อท่านได้เดินทางไปถึงอุบลราชธานี หลวงปู่ดูลย์ต้องประสบปัญหาในเรื่องที่พัก เนื่องจากท่านบวชในมหานิกาย ขณะที่ วัดสุปัฏนาราม และ วัดสุทัศนาราม แหล่งศึกษาพระปริยัติธรรมนั้นเป็นวัดฝ่ายสงฆ์ธรรมยุต โชคดีที่ได้พบ พระมนัส ซึ่งได้เดินทางมาเรียนอยู่ก่อนแล้ว ได้ให้ความช่วยเหลือฝากให้อยู่อาศัยที่ วัดสุทัศนารามได้ แต่อยู่ในฐานะพระอาคันตุกะ ทำให้ความราบรื่นในทางการเรียนค่อยบังเกิดขึ้นเป็นลำดับ การที่ท่านได้พักในวัดสุทัศนารามก็เป็นเหตุให้ท่านได้มีโอกาสรู้จักคุ้นเคยกับ หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ซึ่งขณะนั้นท่านรับราชการครู ทำหน้าที่สอนฆราวาส ทั้งที่ยังเป็นพระสงฆ์อยู่ที่วัดสุทัศนาราม จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อรู้จักคุ้นเคยกันมากเข้า ประกอบกับ หลวงปู่สิงห์ และหลวงปู่ดูลย์ มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่หลวงปู่ดูลย์อ่อนพรรษากว่า ๑ พรรษา หลวงปู่สิงห์จึงชอบอัธยาศัยไมตรีของหลวงปู่ดูลย์ และเห็นปฏิปทาในการศึกษาเล่าเรียน พร้อมทั้งการประพฤติปฏิบัติกิจในพระศาสนาของท่าน ว่าเป็นไปด้วยความตั้งใจจริง และต่างฝ่ายต่างจึงเป็นกัลยาณมิตรกันมาโดยตลอด ครั้นเมื่อหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้กราบท่านพระอาจารย์มั่นฝากตัวขอเป็นศิษย์แล้ว เมื่อได้โอกาสก็ได้นำหลวงปู่ดูลย์เข้าไปกราบเป็นศิษย์อีกองค์หนึ่งด้วย หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 05 มีนาคม 2011, 19:00:44 ประวัติหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม(ตอนที่2) หลวงปู่สิงห์ธุดงค์ตามพระอาจารย์มั่น เมื่อออกพรรษาในปี ๒๔๕๘ แล้ว ท่านอาจารย์มั่นได้กราบลาพระกรรมวาจาจารย์ (พระครูสีทา ชยเสโน) เพื่อไปติดตามพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีลเถร ซึ่งขณะนั้นท่านจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำภูผากูด บ้านหนองสูง อำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม (ปัจจุบันขึ้นอยู่กับจังหวัดมุกดาหาร) ในคราวนั้น ท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ทราบว่าท่านอาจารย์มั่นธุดงค์ไป ท่านก็ธุดงค์ตามไปติดๆ กับท่านอาจารย์มั่น แต่พอก่อนจะถึงถ้ำภูผากูด ท่านก็ล้มเจ็บเป็นไข้ป่า จึงได้เดินทางกลับมารักษาตัวอยู่ที่จังหวัดอุบลฯ หลวงปู่สิงห์ธุดงค์ไปโปรดศิษย์ ก่อนเข้าพรรษา พ.ศ. ๒๔๕๙ หลังจากที่รักษาไข้ป่าจนสงบไปแล้ว หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้เดินรุกขมูล ไปกับพระอาจารย์คำ มาถึงวัดบ้านนาสีดา ตำบลกลางใหญ่ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นนายเทสก์ เรี่ยวแรง อายุย่าง ๑๕ ปี นายเทสก์ และบิดาได้อุปัฏฐากหลวงปู่สิงห์อยู่ ๒ เดือน ทีแรกท่านตั้งใจจะอยู่จำพรรษา ณ ที่นั้น แต่เนื่องด้วยท่านมีเชื้อไข้ป่าอยู่แล้ว พอมาถึงที่นั้นเข้า ไข้ป่าของท่านยิ่งกำเริบขึ้น พอจวนเข้าพรรษาท่านจึงได้ออกไปจำพรรษา ณ ที่วัดร้างบ้านนาบง ตำบลน้ำโมง อำเภอท่าบ่อ นายเทสก์ก็ได้ตามท่านไปด้วย ในพรรษานั้นท่านเป็นไข้ตลอดพรรษา ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในเวลาว่างท่านยังได้เมตตาสอนหนังสือและอบรมนายเทสก์บ้างเป็นครั้งคราว จวนออกพรรษาท่านได้ชวนนายเทสก์ให้ติดตามท่านไปโดยท่านได้บอกว่า ออกพรรษาแล้วจะต้องกลับบ้านเดิม แล้วท่านถามนายเทสก์ว่า เธอจะไปด้วยไหม ทางไกลและลำบากมากนะ นายเทสก์ตอบท่านทันทีว่า ผมไปด้วยครับ หลวงปู่สิงห์ได้พานายเทสก์ออกเดินทางทางจากท่าบ่อ ลุยน้ำลุยโคลน บุกป่าผ่าต้นข้าวตามทุ่งนาไปโดยลำดับ เวลาท่านจับไข้ก็ขึ้นนอนบนขนำนาหรือตามร่มไม้ที่ไม่มีน้ำชื้นแฉะ รุ่งเช้าท่านยังอุตส่าห์ออกไปบิณฑบาตมาเลี้ยงนายเทสก์ด้วย เดินทางสามคืนจึงถึงอุดรฯ แล้วพักอยู่วัดมัชฌิมาวาสสิบคืนจึงได้ออกเดินทางต่อไปทางจังหวัดขอนแก่น ผ่านมหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาเดือนเศษ จึงถึงบ้านหนองขอน ตำบลหัวตะพาน อำเภออำนาจเจริญ อันเป็นบ้านเกิดของท่าน ท่านพักอบรมโยมแม่ของท่าน ณ ที่นั้นราวสามเดือน และหลวงปู่สิงห์ก็ได้ดำเนินการให้นายเทสก์ได้บรรพชาเป็นสามเณร กับพระอุปัชฌาย์ลุย บ้านเค็งใหญ่ ตำบลเค็งใหญ่ อำเภอหัวตะพาน และได้พาสามเณรเทสก์มาพักอยู่ที่วัดสุทัศนาราม จังหวัดอุบลราชธานีซึ่งเคยเป็นพี่พักอยู่เดิมของท่าน หลังจากนั้นท่านก็ได้ปล่อยให้สามเณรเทสก์ ได้อยู่ศึกษาที่โรงเรียนวัดศรีทอง พระปิ่นผู้น้องชายเข้ากรุงเทพฯ ในปี ๒๔๖๐ หลวงปู่สิงห์ได้จัดการส่งพระปิ่น น้องชายของท่านออกเดินทางจากจังหวัดอุบลราชธานี เข้าไปอยู่จำพรรษาอยู่ที่ วัดบวรนิเวศวิหาร พระปิ่นได้ตั้งใจ ศึกษาเล่าเรียนจากสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหารนั้น เป็นเวลา ๕ ปี และได้หาความรู้อย่างทุ่มเทชีวิต ความมุมานะอดทนทำให้ท่าน สอบนักธรรมชั้นตรี โท เอก จนกระทั่งได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค ตามลำดับ ช่วยหลวงปู่ดูลย์ให้ได้ญัตติเป็นธรรมยุต หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโมนั้น นอกจากนำพาให้หลวงปู่ดูลย์เข้าเป็นศิษย์ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากัมมัฎฐานแล้ว ยังเป็นภาระช่วยให้หลวงปู่ได้ญัตติอยู่ในฝ่ายธรรมยุต ต่อมาได้อีกด้วย เรื่องก็มีอยู่ว่า หลวงปู่ดูลย์นั้นท่านได้พยายามอย่างยิ่งที่จะญัตติจากมหานิกายมาเป็นธรรมยุติกนิกาย ท่านบวชเป็นพระในสังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย จึงมีปัญหาในด้านการเรียนกับวัดที่เป็นธรรมยุติกนิกาย ท่านจึงมีความคิดที่จะเปลี่ยนนิกายใหม่อันเป็นความคิดที่ค้างคาใจของท่านอยู่แต่เดิม แต่ทางคณะสงฆ์ธรรมยุต โดยเฉพาะพระธรรมปาโมกข์ (ติสฺโส อ้วน) เจ้าคณะมณฑลในขณะนั้น ได้ให้ความเห็นว่า “อยากจะให้ท่านศึกษาเล่าเรียนไปก่อน ไม่ต้องญัตติ เนื่องจากทางคณะสงฆ์ธรรมยุตมีนโยบายจะให้ท่านกลับไปพัฒนาการศึกษาพระปริยัติธรรม ที่จังหวัดสุรินทร์ หากท่านญัตติเปลี่ยนนิกายเป็นธรรมยุต ท่านจะต้องอยู่โดดเดี่ยว เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่วัดฝ่ายธรรมยุตที่จังหวัดสุรินทร์เลย” แต่ตามความตั้งใจของหลวงปู่ดูลย์เองนั้น มิได้มีความประสงค์จะกลับไปสอนพระปริยัติธรรม จึงได้พยายามขอญัตติต่อไปอีก ต่อมา ซึ่งจะนับว่าเป็นโชคของท่านก็ว่าได้ หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริก อันดับ ๒ ของสมเด็จ เมื่อทราบเรื่องเข้าก็ได้ช่วยเหลือหลวงปู่ดูลย์ในการขอญัตติ จนกระทั่งประสบผลสำเร็จ ดังนั้น ใน พ.ศ. ๒๔๖๑ ขณะเมื่ออายุ ๓๑ ปี หลวงปู่ดูลย์จึงได้ญัตติจากนิกายเดิมมาอุปสมบทเป็นพระภิกษุในธรรมยุติกนิกาย ณ พัทธสีมา วัดสุทัศน์ฯ จังหวัดอุบลราชธานี นั้นเอง ออกธุดงค์กับหลวงปู่ดูลย์ ครั้นถึงกาลจวนเข้าพรรษา ในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโมและสหธรรมิกอีก ๕ รูป คือ พระอาจารย์ดูลย์, พระอาจารย์บุญ, พระอาจารย์สีทา และพระอาจารย์หนู จึงได้เดินธุดงค์แสวงหาที่สงบวิเวกเพื่อบำเพ็ญเพียรในกาลเข้าพรรษานั้น นับว่าเป็นโอกาสอันดียิ่งของพระอาจารย์ดูลย์ อตุโล ในการออกธุดงค์ครั้งแรกที่ได้ร่วมเส้นทางไปกับหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม คณะของหลวงปู่สิงห์ เดินธุดงค์เลียบเทือกเขาภูพานมาจนกระทั่งถึงป่าท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์ มีความเห็นตรงกันว่าสภาพป่าแถบนี้มีความเหมาะสมที่จะอยู่จำพรรษาเป็นอย่างยิ่ง จึงได้สมมติเอาบริเวณป่านั้นเป็นวัดป่า แล้วก็อธิษฐานอยู่จำพรรษา ณ ที่นั้น จากนั้นทุกองค์ก็ตั้งสัจจะปรารภความเพียรอย่างแน่วแน่ ดำเนินข้อวัตรปฏิบัติตามคำแนะนำสั่งสอนของพระอาจารย์ใหญ่มั่นอย่างอุกฤษฏ์ บริเวณป่าท่าคันโทแถบเทือกเขาภูพาน ที่หลวงปู่สิงห์ และสหายธรรมได้อธิษฐานจำพรรษาอยู่นั้น เป็นป่ารกชัฏ ชุกชุมไปด้วยสัตว์ร้ายและยุงอันเป็นพาหะของไข้มาลาเรีย และในระหว่างพรรษานั้นคณะของหลวงปู่สิงห์ ยกเว้นพระอาจารย์หนูรูปเดียว ต่างก็เป็นไข้มาลาเรีย ยาที่จะรักษาก็ไม่มี จนกระทั่งพระรูปหนึ่งมรณภาพไปต่อหน้าต่อตา ยังความสลดสังเวชให้กับผู้ที่ยังคงอยู่เป็นอย่างยิ่ง หลังออกพรรษา ในปี พ.ศ.๒๔๖๔ แล้ว คณะของหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโมที่จำพรรษาอยู่ที่ป่าคันโท กาฬสินธุ์ ต่างก็แยกย้ายกันเดินธุดงค์ต่อไป เพื่อค้นหาพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ดูลย์ได้ร่วมเดินทางไปกับหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม แต่ภายหลังได้แยกทางกัน ต่างมุ่งหน้าตามหาพระอาจารย์มั่นตามประสงค์ หลังจากแยกจากพระอาจารย์ดูลย์แล้ว หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโมได้จาริกตามลำพังเพื่อตามพระอาจารย์มั่น หลวงปู่ดูลย์พบพระอาจารย์มั่นอีกครั้ง พระอาจารย์ดูลย์เองก็ได้จาริกตามลำพังเช่นกัน มาจนถึงบ้านม่วงไข่ ตำบลพังโคน จังหวัดสกลนคร แล้วจึงได้ไปพักอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย ได้ไปพบท่านอาญาครูดี พระอาจารย์กู่ และพระอาจารย์ฝั้น คณะของท่านอาญาครูดีจึงได้ศึกษาธรรมเบื้องต้นกับพระอาจารย์ดูลย์อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และเนื่องจากต่างก็มีความประสงค์จะตามหาพระอาจารย์มั่นด้วยกันอยู่แล้ว ดังนั้นพระอาจารย์ทั้ง ๔ จึงได้ร่วมกันเดินธุดงค์ติดตาม โดยพระอาจารย์ดูลย์รับหน้าที่เป็นผู้นำทาง เมื่อธุดงค์ติดตามไปถึงตำบลบ้านคำบก อำเภอหนองสูง (ปัจจุบัน อำเภอคำชะอี) จังหวัดนครพนม จึงทราบว่า พระอาจารย์มั่นอยู่ที่บ้านห้วยทราย และกำลังเดินธุดงค์ต่อไปยังอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร พระอาจารย์ทั้งสี่จึงรีบติดตามไปอย่างเร่งรีบ จนกระทั่งถึงบ้านตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร และสอบถามชาวบ้านที่นั่นได้ความว่า มีพระธุดงค์เป็นจำนวนมากมาชุมนุมกันอยู่ในป่าใกล้ ๆ หมู่บ้าน ท่านรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ด้วยมั่นใจว่าต้องเป็นพระอาจารย์มั่นอย่างแน่นอน จึงรีบเดินทางไปยังป่าแห่งนั้นทันที และเมื่อไปถึงก็เป็นความจริงดังที่ท่านมั่นใจ ขณะนั้น พระอาจารย์สิงห์ซึ่งได้ธุดงค์แยกกันกับหลวงปู่ดูลย์ มาพบพระอาจารย์มั่นก่อน และพักแยกกับพระอาจารย์มั่นอยู่ที่บ้านหนองหวาย ในวันนั้นหลวงปู่สิงห์เข้ามาฟังธรรมกับพระอาจารย์มั่น ขณะที่หลวงปู่ดูลย์มาถึงก็เห็นท่านและพระรูปอื่น ๆ นั่งแวดล้อมพระอาจารย์มั่นอยู่ด้วยอาการสงบ ขณะนั้นเป็นปี พ.ศ. ๒๔๖๔ พระอาจารย์ทั้งสี่ได้ศึกษาธรรมอยู่กับพระอาจารย์มั่นเป็นเวลา ๓ วัน จากนั้นจึงได้ไปกราบนมัสการพระอาจารย์เสาร์ ที่บ้านหนองดินดำ แล้วไปหาพระอาจารย์สิงห์ ที่บ้านหนองหวาย ตำบลเดียวกัน ศึกษาธรรมอยู่กับท่านอีก ๗ วัน จากนั้นก็ได้กลับไปอยู่บ้านตาลเนิ้ง และได้ไปรับฟังธรรมจากพระอาจารย์มั่นอยู่เสมอ ๆ ต่อมาพระอาจารย์ฝั้น กับสามเณรพรหม สุวรรณรงค์ ผู้มีศักดิ์เป็นหลาน ได้เดินธุดงค์ไปอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี และได้ไปภาวนาอยู่ที่ถ้ำพระบท เมื่อครบ ๑๕ วันแล้ว พระอาจารย์ฝั้นจึงได้พาสามเณรพรหมออกเที่ยวธุดงค์ต่อไป พระอาจารย์ฝั้นก็พาสามเณรพรหม เดินทางไปนมัสการพระอาจารย์มั่นที่บ้านนาสีดา ตำบลกลางใหญ่ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ต่อจากนั้นพระอาจารย์มั่นได้ถามพระอาจารย์ฝั้นด้วยว่า จะไปเรียน “หนังสือใหญ่” คือเรียนประถมกัปป์ ประถมมูล กับมูลกัจจายน์ ตามที่ได้ตั้งใจไว้จริง ๆ หรือ พระอาจารย์ฝั้นตอบว่า มีเจตนาไว้เช่นนั้นจริง พระอาจารย์มั่นเห็นความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวของพระอาจารย์ฝั้นจึงบอกว่า ท่านฝั้น ไม่ต้องไปเรียนถึงเมืองอุบลหรอก อยู่กับผมที่นี่ก็แล้วกัน ผมจะสอนให้จนหมดไส้หมดพุงเลยทีเดียว หากยังไม่จุใจค่อยไปเรียนต่อทีหลัง ส่วนเณรพรหม เธอจะไปเรียนที่เมืองอุบลก็ได้ ตามใจสมัคร สามเณรพรหมจึงได้แยกกันกับพระอาจารย์ฝั้น ตอนนั้นเป็นปลายปีพุทธศักราช ๒๔๖๔ สามเณรพรหมลงไปเมืองอุบล กับพระอาจารย์สิงห์ ส่วนพระอาจารย์ฝั้นอยู่เรียน “หนังสือใหญ่” กับพระอาจารย์มั่น หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 05 มีนาคม 2011, 19:11:01 ประวัติหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม(ตอนที่3) หลวงปู่สิงห์กลับอุบลฯ จนกระทั่ง ในช่วงประมาณปี พ ศ ๒๔๖๖ หลังจากพระมหาปิ่น สอบได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค จากสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ แล้ว จึงได้กลับมาอุบลฯ บ้านเกิดตามที่ปฏิญาณไว้แล้วมาพักที่วัดสุทัศนาราม ได้เป็นครูสอน นักธรรมบาลีแก่พระภิกษุสามเณร ตลอดจนชาวบ้าน เพื่อสนองคุณครูบาอาจารย์ ในปีนั้นเองโยมมารดาของหลวงปู่สิงห์ ซึ่งอยู่ที่บ้านหนองขอน จ.อุบลนั้นเองก็ได้ถึงแก่กรรม ขณะนั้นหลวงปู่สิงห์ได้ออกธุดงค์ไปกับพระอาจารย์มั่น ดังนั้นพระมหาปิ่น ปญฺญาพโล ผู้เป็นน้องชายจึงได้เป็นผู้จัดการเกี่ยวกับงานศพของโยมมารดาและจัดการฌาปนกิจศพ ส่วนหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโมเมื่อได้ข่าวเรื่องโยมมารดาถึงแก่กรรมและทราบว่าพระน้องชายกลับจากกรุงเทพฯ มาอยู่ที่วัดสุทัศน์แล้ว ก็ได้พาคณะรวม ๖ องค์ คือ พระ ๔ องค์ สามเณร ๒ องค์ มาจำพรรษาที่วัดสุทัศน์ด้วย หลวงปู่สิงห์ ร่วมกับหลวงปู่ดูลย์ ชักจูงพระน้องชายให้มาสนใจกรรมฐาน ต่อมา หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโมผู้เป็นพี่ชาย เห็นว่า พระมหาปิ่นผู้เป็นเปรียญธรรมจากสำนักวัดบวรนิเวศวิหาร มีความรู้ด้านพระปริยัติธรรมอย่างแตกฉานนั้น สนใจแต่ทางปริยัติอย่างเดียว ไม่นำพาต่อการบำเพ็ญภาวนาฝึกฝนจิตและธุดงค์กัมมัฏฐานเลย จึงได้คิดหาทางชักจูงพระน้องชายให้หันมาในใจทางด้านการปฏิบัติกัมมัฏฐานบ้าง มิฉะนั้นต่อไปจะเอาตัวไม่รอด พอดีปี ๒๔๖๗ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ซึ่งได้กราบลาพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่บ้านค้อ อำเภอบ้านผือ อุดรธานี แล้วก็ออกเดินทางมุ่งไปจังหวัดสุรินทร์ ในระหว่างทางหลวงปู่ดูลย์ได้แวะเยี่ยม หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม พระสหธรรมิกผู้มีคุณูปการใหญ่หลวงแก่ท่าน ขณะนั้นหลวงปู่สิงห์ธุดงค์อยู่ในแถบจังหวัดกาฬสินธุ์ หลวงปู่สิงห์ เมื่อได้พบกับหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ก็ปรารภปัญหาเกี่ยวกับพระมหาปิ่นผู้น้องชายและขอคำปรึกษาและอุบายธรรมจากหลวงปู่ดูลย์และขอร้องให้มาช่วยกล่อมใจพระน้องชาย ในเรื่องว่า หากต้องการพ้นทุกข์ จะมาหลงปริยัติเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะปริยัติธรรมนั้น เป็นเพียงแผนที่แนวทางเท่านั้น หลวงปู่สิงห์ จึงชักชวนหลวงปู่ดูลย์ ให้เดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อให้ช่วยชักนำพระมหาปิ่นให้สนใจในทางปฏิบัติพระกัมมัฏฐานบ้าง ไม่เช่นนั้นจะไปไม่รอด หลวงปู่ทั้ง ๒ องค์ ได้พักจำพรรษาที่ วัดสุทัศนาราม วัดที่ท่านเคยอยู่มาก่อน คราวนี้ท่านได้ปลูกกุฏิหลังเล็กๆ อยู่ต่างหาก ปฏิบัติพระกัมมัฏฐานอย่างเคร่งครัด แล้วก็ค่อยๆ โน้มน้าวจิตใจให้พระมหาปิ่นเกิดความศรัทธาเลื่อมใสทางด้านการปฏิบัติด้วย ทั้งหลวงปู่สิงห์ และหลวงปู่ดูลย์ ได้ชี้แจงแสดงเหตุผลว่า ในการครองเพศสมณะนั้น แม้ว่าได้บวชมาในพระบวรพุทธศาสนาก็นับว่าดีประเสริฐแล้ว ถ้าหากมีการปฏิบัติให้รู้แจ้งในธรรม ก็จะยิ่งประเสริฐขึ้นอีก คือจะเป็นหนทางออกเสียซึ่งความทุกข์ ตามแนวคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นพระสงฆ์ที่มีสติปัญญา พิจารณาปฏิปทาข้อวัตรปฏิบัติธรรม พร้อมทั้งคำเทศน์ของพระอาจารย์ทั้ง ๒ องค์ ที่ได้กระทำเป็นแบบอย่าง ก็เกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง โดยปกติแล้วหลวงปู่สิงห์ และหลวงปู่ดูลย์ เป็นนักปฏิบัติธรรมขั้นสูง แม้จะมีความอาวุโส แต่ก็มีลักษณะประจำตัวในการรู้จักนอบน้อมถ่อมตนระมัดระวังกาย วาจา ใจ ไม่คุยโม้โอ้อวดว่าตนเองได้ธรรมขั้นสูง และเห็นว่าธรรมะเป็นสมบัติอันล้ำค่าของนักปราชญ์มาประจำแผ่นดิน ซึ่งควรระมัดระวัง ให้สมกับผู้มีภูมิธรรมในใจ พระมหาปิ่น ได้พิจารณาด้วยเหตุด้วยผลอย่างรอบคอบแล้ว พอถึงกาลออกพรรษา จึงรีบเตรียมบริขาร แล้วออกธุดงค์ติดตามหลวงปู่สิงห์ พระพี่ชาย ไปทุกหนทุกแห่ง ทนต่อสู้กับอุปสรรคยากไร้ ท่ามกลางป่าเขา มุ่งหาความเจริญในทางธรรม จนสามารถรอบรู้ธรรมด้วยสติปัญญาของท่านในกาลต่อมา การที่พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล ออกธุดงค์กัมมัฏฐานในครั้งนั้นประชาชนในภาคอิสาน ได้แตกตื่นชื่นชมกันมากว่า "พระมหาเปรียญธรรมหนุ่มจากเมืองบางกอก ได้ออกฝึกจิต ดำเนินชีวิตสมณเพศ ตัดบ่วง ไม่ห่วงอาลัยในยศถาบรรดาศักดิ์ ออกป่าดง เดินธุดงค์กัมมัฏฐานฝึกสมาธิภาวนาเป็นองค์แรกในสมัยนั้น" ชื่อเสียงของพระมหาปิ่น ปญฺญาพโล ในครั้งนั้นจึงหอมฟุ้งร่ำลือไปไกล ท่านได้ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่ชาย คือ หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม นำกองทัพธรรม ออกเผยแพร่พระธรรมคำสอนในสายพระธรรมกัมมัฏฐาน จนมีผู้เลื่อมใสศรัทธาอย่างกว้างขวางมาจนปัจจุบัน หลวงปู่สิงห์ พาพระน้องชายออกธุดงค์ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๗ เมื่อออกพรรษาหมดเขตกฐินแล้ว หลวงปู่สิงห์ได้พาพวกศิษย์เป็นคณะใหญ่ออกเดินธุดงค์ การออกเดินธุดงค์ครั้งนี้ ผู้ที่ออกใหม่ นอกจากพระมหาปิ่นแล้วแล้ว ยังมี พระเทสก์ เทสรํสี พระคำพวย พระทอน บ้านหัววัว อ.ลุมพุก จ.อุบลฯ และสามเณรอีก ๒ รูป รวมทั้งหมดแล้ว ๑๒ องค์ด้วยกัน คณะธุดงค์ของหลวงปู่สิงห์ได้เดินทางออกจากเมืองอุบล ในระหว่างเดือน ๑๒ แล้วได้พักแรมมาโดยลำดับ จนถึงบ้านหัวตะพาน อำนาจเจริญ แล้วพักอยู่นั่นนานพอควร แล้วย้ายไปพักที่บ้านหัวงัว อำเภอกุดชุม เตรียมเครื่องบริขารพร้อมแล้ว จึงได้ออกเดินรุกขมูล การออกเดินรุกขมูลครั้งนี้ ถึงแม้จะไม่ได้วิเวกเท่าที่ควร เพราะเดินด้วยกันเป็นคณะใหญ่ แต่ก็ได้รับรสชาติของการออกเที่ยวรุกขมูลพอสมควร หลวงปู่สิงห์พาคณะบุกป่ามาทางร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ผ่านดงลิงมาออกอำเภอสหัสสขันธ์ เข้าเขตกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี แต่ไม่ได้เข้าในเมือง เว้นไปพักอยู่บ้านเชียงพินตะวันตก จังหวัดอุดรธานี เพื่อรอท่านเจ้าคุณพระเทพเมธี (ติสฺโส อ้วน) เจ้าคณะมณฑล ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่สิงห์ด้วย ที่กำลังมาจากกรุงเทพฯ การที่หลวงปู่สิงห์ให้คณะมารออยู่ที่อุดรธานีครั้งนี้ ท่านมีจุดประสงค์อยากให้พระมหาปิ่นมาประจำอยู่ที่นี่ เพราะที่อุดรธานียังไม่มีคณะธรรมยุต แต่ความมุ่งหมายของหลวงปู่สิงห์นั้นก็ไม่เป็นไปดังประสงค์เนื่องจาก เมื่อเจ้าคณะมณฑลมาจากกรุงเทพฯครั้งนี้ พระยาราชนกูลวิบูลย์ภักดีพิริยพาห (อวบ เปาโรหิตย์) อุปราชมณฑลภาคอีสาน (ทีหลังเป็นเจ้าพระยามุขมนตรีศรีสมุหนครบาล) ได้นิมนต์พระมหาจูม พันธุโล เมื่อครั้งมีสมณศักดิ์เป็น พระครูสังฆวุฒิกร (ภายหลังเป็นพระธรรมเจดีย์) มาด้วยเพื่อจะให้มาอยู่วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี ฉะนั้นเมื่อเจ้าคณะมณฑลมาถึงแล้ว หลวงปู่สิงห์จึงพาคณะเข้าไปกราบนมัสการ ท่านจึงกำหนดให้เอาพระมหาปิ่นไปไว้ที่จังหวัดสกลนคร และให้พระเทสก์ เทสรํสีอยู่ช่วยพระมหาปิ่น พบพระอาจารย์มั่นเป็นครั้งที่สอง เมื่อตกลงกันเรียบร้อยดังนั้นแล้ว หลวงปู่สิงห์ได้พาคณะออกเดินทางไปนมัสการกราบท่านพระอาจารย์เสาร์ และท่านอาจารย์มั่น ที่บ้านค้อ อำเภอบ้านผือ ซึ่งท่านได้จำพรรษาอยู่ ณ ที่นั้น ตกกลางคืนท่านอาจารย์มั่นได้เทศนาอบรมคณะหลวงปู่สิงห์ หลวงปู่เทสก์ได้เล่าเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ อัตตโนประวัติของท่านไว้ดังนี้ “คืนวันนั้นเสร็จจากการอบรมแล้ว ท่านก็สนทนาธรรมสากัจฉากันตามสมควร แล้วจบด้วยการพยากรณ์พระมหาปิ่น แลตัวเราในด้านความสามารถต่าง ๆ นานา ตอนนี้ทำให้เรากระดากใจตนเองในท่ามกลางหมู่เพื่อนเป็นอย่างยิ่ง เพราะตัวของเราเองพึ่งบวชใหม่แลมองดูตัวเราแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรพอที่ท่านจะสนใจในตัวของเรา มันทำให้เราขวยเขินอยู่แล้ว แต่คนอื่นเราไม่ทราบเพราะเห็นสถานที่แลความเป็นอยู่ของพระเณรตลอดถึงโยมในวัด เขาช่างสุภาพเรียบร้อย ต่างก็มีกิจวัตรและข้อวัตรประจำของตน ๆ นี่กระไร พอท่านพยากรณ์พระมหาปิ่นแล้วมาพยากรณ์เราเข้า ยิ่งทำให้เรากระดากใจยิ่งเป็นทวีคูณ แต่พระมหาปิ่นคงไม่มีความรู้สึกอะไร นอกจากท่านจะตรวจดูความสามารถของท่านเทียบกับพยากรณ์เท่านั้น” รุ่งเช้าฉันจังหันแล้ว หลวงปู่สิงห์ได้พาคณะเดินทางต่อไปบ้านนาสีดา ได้พาพักอยู่ ณ ที่นั่นสี่คืนแล้วย้อนกลับทางเดิม มาพักที่ท่านอาจารย์มั่นที่บ้านค้ออีกหนึ่งคืน จึงเดินทางกลับอุดร แล้วได้เดินทางต่อไปสกลนครตามที่ได้ตกลงไว้กับเจ้าคณะมณฑล แต่การนั้นไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ของเจ้าคณะมณฑล เพราะพระมหาปิ่นอาพาธไม่สามารถจะไปรับหน้าที่ที่มอบหมายให้ได้ ฉะนั้นในพรรษานั้น หลวงปู่สิงห์จึงได้พาคณะไปจำพรรษาที่วัดป่าหนองลาด อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร พระอาจารย์มั่นให้ตามท่านไปตั้งวัดที่บ้านสามผง ส่วนหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล กับท่านอาจารย์มั่น ฯ พอออกพรรษา ปี พ.ศ. ๒๔๖๗ ท่านก็ออกจากบ้านค้อ อำเภอผือ อุดรธานี พาคณะออกธุดงค์ แสวงหาที่สงัดวิเวกแยกกันออกเป็นหมู่เล็ก ๆ เพื่อมิให้เป็นปลิโพธในหมู่มาก ปีนี้ท่านได้เดินธุดงค์ไปทางบ้านนาหมี บ้านนายูง (อุดรธานี) และบ้านผาแดง-แก้งไก่ (หนองคาย) ครั้นท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้พักวิเวกอยู่ที่ผาแดง-แก้งไก่ พอสมควรแล้วก็ได้ออกเดินทางไปทางอำเภอท่าบ่อ หลวงปู่ใหญ่เสาร์ ได้พักจำพรรษาที่วัดราช ใกล้บ้านน้ำโขง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ส่วนหลวงปู่มั่นได้เข้าไปพักอยู่ที่ราวป่าใกล้กับป่าช้าของอำเภอท่าบ่อนั้น (ปัจจุบันเป็นวัดอรัญญวาสี) ขณะเดียวกันพระกรรมฐานกลุ่มของหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม กับ พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล ยังคงจำพรรษาอยู่ที่เดิม ที่วัดป่าหนองลาด บ้านปลาโหล อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร หลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล และคณะศิษย์ ได้อยู่จำพรรษาที่วัดพระงามแห่งนี้นาน ๒ พรรษา คือในปี พ.ศ. ๒๔๖๗ - ๒๔๖๘ เป็นพรรษาที่ ๔๔ และ ๔๕ ของท่าน พ.ศ. ๒๔๖๘ เมื่อใกล้จะออกพรรษา ทางด้านพระอาจารย์มั่นก็ได้ประชุมหมู่ศิษย์เพื่อเตรียมออกเที่ยวธุดงค์หาที่วิเวก และได้จัดหมู่ศิษย์ออกไปธุดงค์เป็นพวก ๆ ส่วนท่านเองนั้น พระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก และ พระอาจารย์สีลา อิสฺสโร ได้อาราธนานิมนต์ไปอยู่บ้านสามผง อำเภอท่าอุเทน (ปัจจุบันอยู่ในอำเภอศรีสงคราม) จังหวัดนครพนม หลังออกพรรษาท่านอาจารย์มั่นจึงได้เดินทางมาถึงบ้านหนองลาดที่หลวงปู่สิงห์ พระมหาปิ่น และคณะจำพรรษาอยู่ และท่านให้หลวงปู่สิงห์และคณะตามท่านไปตั้งสำนักที่บ้านสามผง อ.ศรีสงคราม นครพนม ในปี พ ศ. ๒๔๖๙ ท่านอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโร ธุดงค์ออกจากวัดพระงาม อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย แล้วก็ไปเชียงคาน จังหวัดเลย ขึ้นไปที่ภูฟ้า ภูหลวง แล้วก็กลับมาจังหวัดอุดรธานี จำพรรษาอยู่ที่เสนาสนะป่า บ้านดงยาง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ท่านอาจารย์มั่นฯ และพระภิกษุสามเณรหลายรูป จำพรรษาที่เสนาสนะป่า บ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ศิษย์อาวุโสองค์อื่นๆ แยกพักจำพรรษาในที่ต่างๆ ดังนี้ :- หลวงปู่สิงห์ พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล ผู้เป็นน้องร่วมสายโลหิต และพระอาจารย์เทสก์ เทสฺรํสี จำพรรษาที่ป่าบ้านอากาศ ต.อากาศ อ วานรนิวาส (ปัจจุบันเป็น อ.อากาศอำนวย) จ สกลนคร พระอาจารย์กู่ ธมมทินโน จำพรรษาที่บ้านโนนแดง พระอาจารย์อุ่น ธมมธโร จำพรรษาที่บ้านข่า ใกล้บ้านสามผง ท่านหลวงปู่มั่น และคณะส่วนหนึ่งได้ไปจำพรรษาที่เสนาสนะป่าบ้านสามผง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ใกล้กับวัดโพธิ์ชัย ตามคำอาราธนานิมนต์ของพระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก และพระอาจารย์สีลา อิสฺสโร วันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๙ พระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก และพระอาจารย์สีลา อิสฺสโร ก็ได้ทำญัตติกรรมพร้อมกับพระภิกษุที่เป็นศิษย์ของท่านทั้งสองอีกประมาณ ๒๐ องค์ อีกด้วย ในจำนวนพระภิกษุที่มาทำการญัตติ มีพระอาจารย์สิม พุทธาจาโร ซึ่งครั้งนั้นยังเป็นสามเณรรวมอยู่ด้วยรูปหนึ่ง โดยได้กระทำพิธีที่อุทกุกเขปสีมา (โบสถ์น้ำ) หนองสามผง สำหรับโบสถ์น้ำที่ท่านจัดสร้างขึ้นนี้ ใช้เรือ ๒ ลำลอยเป็นโป๊ะ เอาไม้พื้นปูเป็นแพ แต่ไม่มีหลังคา เหตุที่สร้างโบสถ์น้ำทำสังฆกรรมคราวนี้ ก็เพราะในป่าจะหาโบสถ์ให้ถูกต้องตามพระวินัยไม่ได้ การทำญัตติกรรมครั้งนี้ ได้อาราธนาท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เมื่อครั้งเป็นพระครูชิโนวาทธำรง มาเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์มหาปิ่น ปัญญาพโล เป็นพระอนุสาวนาจารย์ และท่านพระอาจารย์มั่นฯ นั่งหัตถบาสร่วมอยู่ด้วย หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 05 มีนาคม 2011, 19:23:21 ประวัติหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม(ตอนที่4) ตามพระอาจารย์มั่นฯ ไปอุบลราชธานี หลังจากออกพรรษา ปี พ.ศ. ๒๔๖๙ แล้ว หลวงปู่สิงห์ได้พาคณะไปกราบนมัสการท่านอาจารย์มั่นที่บ้านสามผง ซึ่งท่านได้จำพรรษาอยู่ที่นั่น แล้วพระอาจารย์มั่นก็ได้พาคณะเดินทางมาที่บ้านโนนแดง อำเภอท่าอุเทน (ปัจจุบันอยู่ในกิ่งอำเภอนาหว้า) จังหวัดนครพนม พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรประมาณ ๗๐ รูป และ ได้มีการประชุมหารือกันในเรื่องที่จะไปเผยแพร่ธรรมและไปโปรดเทศนาญาติโยมที่เมืองอุบล และได้วางระเบียบการปฏิบัติเกี่ยวกับการอยู่ป่า เกี่ยวกับการตั้งสำนักปฏิบัติ เกี่ยวกับแนวทางแนะนำสั่งสอนปฏิบัติจิต เพื่อให้คณะศิษย์นำไปปฏิบัติให้เป็นระเบียบเดียวกัน จากนั้น ท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่านปรารภว่า เรื่องจะนำโยมแม่ออก (มารดาท่านซึ่งบวชเป็นชี) ไปส่งมอบให้น้องสาวท่านที่จังหวัดอุบลช่วยดูแล เพราะท่านเห็นโยมแม่ท่านชรามาก อายุ ๗๘ ปีแล้ว เกินความสามารถท่านผู้เป็นพระจะปฏิบัติได้แล้ว พระอาจารย์สิงห์ อาจารย์มหาปิ่น ต่างก็รับรองเอาโยมแม่ออกท่านไปส่งด้วย เพราะโยมแม่ออกของพระอาจารย์แก่มากหมดกำลัง ต้องไปด้วยเกวียนจึงจะไปถึงเมืองอุบล ฯ ได้ การเดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานีอันเป็นถิ่นบ้านเกิดเมืองนอนของท่านในครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง เพราะบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งใหญ่และเล็กก็ได้เตรียมที่จะเดินทางติดตามท่านในครั้งนี้แทบทั้งนั้น การเดินทางเป็นการเดินแบบเดินธุดงค์ แต่การธุดงค์นั้นเพื่อให้เป็นประโยชน์ด้วย ท่านจึงจัดเป็นคณะๆ ละ ๓ รูป ๔ รูปบ้าง ท่านเองเป็นหัวหน้าเดินทางไปก่อน เมื่อคณะที่ ๒ ไปก็จะพักที่เดิมที่คณะที่ ๑ พัก คณะที่ ๓-๔ เมื่อตามคณะที่ ๒ ไปก็จะพักที่เดิมนั้น ทั้งนี้เพื่อจะได้สอนญาติโยมตามรายทางด้วย การสอนนั้นก็เน้นหนักไปในทางกัมมัฏฐาน และการถึงพระไตรสรณาคมน์ ที่ให้ละการนับถือภูตผีปีศาจต่าง ๆ นานา เป็นการทดลองคณะศิษย์ไปในตัวด้วยว่า องค์ใดจะมีผีมือในการเผยแพร่ธรรม ในการเดินทางนั้น พอถึงวันอุโบสถ ก็จะนัดทำปาฏิโมกข์ หลังจากนั้นแล้วก็จะแยกย้ายกันไปตามที่กำหนดหมาย การเดินธุดงค์แบบนี้ท่านบอกว่าเป็นการโปรดสัตว์ เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พุทธบริษัททั้งหลาย และก็เป็นจริงเช่นนั้น แต่ละแห่งที่ท่านกำหนดพักนั้น ตามหมู่บ้าน ประชาชนได้เกิดความเลื่อมใสยิ่งในพระคณะกัมมัฏฐานนั้นเป็นอย่างดีและต่างก็รู้ผิดชอบในพระธรรมวินัยขึ้นมาก ตามสถานที่เป็นที่พักธุดงค์ในการครั้งนั้น ได้กลับกลายมาเป็นวัดของคณะกัมมัฏฐานเป็นส่วนใหญ่ในภายหลัง โดยญาติโยมทั้งหลายที่ได้รับรสพระธรรมได้พากันร่วมอกร่วมใจกันจัดการให้เป็นวัดขึ้น โดยเฉพาะให้เป็นวัดพระภิกษุสามเณร ฉันมื้อเดียว ฉันในบาตร บำเพ็ญสมาธิกัมมัฏฐาน อย่างไรก็ตาม คณะธุดงค์ทั้งหลายก็เผอิญไปพบกันเข้าอีก ที่จังหวัดสกลนคร เพื่อร่วมงานศพมารดานางนุ่ม ชุวานนท์ และงานศพพระยาปัจจันตประเทศธานี บิดาของพระพินิจฯ เมื่อเสร็จงานฌาปนกิจทั้งสองศพนั้นแล้ว พระอาจารย์ทั้งสองและสานุศิษย์ต่างก็แยกย้ายกันธุดงค์ต่อไปเพื่อมุ่งไปยังจังหวัดอุบลราชธานี ส่วนท่านอาจารย์มั่นฯ ธุดงค์ไปทางบ้านเหล่าโพนค้อ ได้แวะไปเยี่ยมอุปัชฌาย์พิมพ์ ต่อจากนั้นท่านก็ธุดงค์ต่อไป และพักบ้านห้วยทราย ๑๐ วัน โดยจุดมุ่งหมาย ท่านต้องการจะเดินทางกลับไปที่จังหวัดอุบลราชธานี ก็ได้บรรลุถึงหมู่บ้านหนองขอน อยู่ในเขตอำเภออำนาจเจริญ จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านหลวงปู่สิงห์ ซึ่งชาวบ้านเมื่อได้ฟังธรรมเทศนาของท่านแล้ว เกิดความเลื่อมใสจึงได้พร้อมใจกันอาราธนาให้ท่านจำพรรษา เมื่อท่านเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ก็รับอาราธนา ชาวบ้านจึงช่วยกันจัดแจงจัดเสนาสนะถวายจนเป็นที่พอเพียงแก่พระภิกษุที่ติดตามมากับท่าน พ.ศ. ๒๔๗๐ ในพรรษานี้ท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้พักอยู่บ้านหนองขอน ตามที่ชาวบ้านได้อาราธนา หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม และพระมหาปิ่นจำพรรษาที่บ้านหัวตะพาน บริเวณใกล้เคียงกัน สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) กับพระกรรมฐาน ต่อไปก็จะขอกล่าวเรื่องปัญหาที่พระกรรมฐานในสมัยนั้นได้ประสบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดทั้งความยุ่งยากต่อหมู่คณะพระกรรมฐาน และทั้งผลดีในแง่ที่ก่อให้เกิดการแพร่ขยายทั้งการสร้างวัดป่าขึ้นในสถานที่ต่าง ๆ ที่พระกรรมฐานได้ธุดงค์ไปพัก และทั้งทางด้านการปฏิบัติธรรมของประชาชนตามทางที่พระกรมฐานได้ธุดงค์ไปโปรด สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) นั้น แม้ท่านจะเป็นพระผู้มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาอย่างมหาศาล จัดการศึกษาแก่พระและแก่ประชาชนอย่างได้ผลดียิ่ง จัดการปกครองคณะสงฆ์ได้อย่างเรียบร้อยดีงาม ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมายเต็มบ้านเต็มเมืองทีเดียว แต่ในระยะต้นนั้นท่านไม่ชอบพระธุดงค์เอาเลย ท่านว่าเป็นพระขี้เกียจ ไม่ศึกษาเล่าเรียน ถึงกับมีเรื่องต้องขับไล่ไสส่งมาแล้วหลายครั้งหลายหน ท่านไม่เห็นด้วยกับการเป็นพระธุดงค์กรรมฐาน ไม่เห็นด้วยกับการศึกษาธรรมด้วยการนั่งสมาธิภาวนา ท่านจึงขัดขวางหลวงปู่ใหญ่เสาร์ และหลวงปู่มั่น แทบทุกวิถีทางก็ว่าได้ จากการที่สมเด็จฯ ไม่เห็นด้วยในการออกธุดงค์ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เป็น “พระธุดงค์เร่ร่อน” นี้ สมเด็จฯท่านจึงพยายาม “จัดระเบียบพระ” ให้อยู่เป็นหลักแหล่ง มีสังกัดที่แน่นอน ปัญหานี้จึงเป็นเหตุให้บูรพาจารย์บางองค์ท่านหลบหลีกความรำคาญ ข้ามโขงไปอยู่ทางฝั่งลาวก็มี หรือธุดงค์เข้าป่าทึบ ดงดิบไปเลยก็มี ในปี ๒๔๗๐ นี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้น พระกรรมฐานโดนพระเถระผู้ใหญ่ขับไล่ ระหว่างปีนั้น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺสเถระ อ้วน) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นพระโพธิวงศาจารย์ เจ้าคณะมณฑลและเจ้าคณะธรรมยุตในภาคอีสาน ทราบข่าวว่ามีคณะพระกัมมัฏฐานของพระอาจารย์มั่น เดินทางมาพักอยู่ที่บ้านหัวตะพาน จึงสั่งให้เจ้าคณะแขวง อำเภอม่วงสามสิบ กับเจ้าคณะแขวงอำเภออำนาจเจริญ พร้อมด้วยนายอำเภออำนาจเจริญ ไปทำการขับไล่พระภิกษุคณะนี้ออกไปให้หมด ทั้งยังได้ประกาศด้วยว่า ถ้าผู้ใดใส่บาตรพระกัมมัฏฐานเหล่านี้จะจับใส่คุกให้หมดสิ้น แต่ชาวบ้านก็ไม่กลัว ยังคงใส่บาตรกันอยู่เป็นปกติ นายอำเภอทราบเรื่องจึงไปพบพระภิกษุคณะนี้อีกครั้งหนึ่ง แล้วแจ้งมาว่า ในนามของจังหวัด ทางจังหวัดสั่งให้มาขับไล่ หลวงปู่สิงห์ซึ่งเป็นคนจังหวัดอุบลฯ ได้ตอบโต้ไปว่า ท่านเกิดที่นี่ท่านก็ควรจะอยู่ที่นี่ได้ นายอำเภอไม่ยอม พระอาจารย์ฝั้นก็ได้ช่วยพูดขอร้องให้มีการผ่อนสั้นผ่อนยาวกันบ้าง แต่นายอำเภอก็ไม่ยอมท่าเดียว จากนั้นก็จดชื่อพระกัมมัฏฐานไว้ทุกองค์ รวมทั้งพระอาจารย์มั่น หลวงปู่สิงห์ พระอาจารย์มหาปิ่น พระอาจารย์เที่ยง พระอาจารย์อ่อน พระอาจารย์ฝั้น พระอาจารย์เกิ่ง พระอาจารย์สีลา ฯลฯ จนหมด แม้กระทั่งนามโยมบิดามารดา สถานที่เกิด วัดที่บวช ทั้งหมดมีพระภิกษุสามเณรหว่า ๕๐ รูป และพวกลูกศิษย์ผ้าขาวอีกมากร่วมร้อยคน นายอำเภอต้องใช้เวลาจดตั้งแต่กลางวันจนถึงสองยามจึงเสร็จ ตั้งหน้าตั้งตาจดจนกระทั่งไม่ได้กินข้าวเที่ยง เสร็จแล้วก็กลับไป ทางฝ่ายพระทั้งหลายก็ประชุมปรึกษากันว่า ทำอย่างไรดีเรื่องนี้จึงจะสงบลงได้ ไม่ลุกลามออกไปเป็นเรื่องใหญ่ พระอาจารย์อ่อน และพระอาจารย์ฝั้นรับเรื่องไปพิจารณาแก้ไข เสร็จการปรึกษาหารือแล้ว พระอาจารย์ฝั้น ก็รีบเดินทางไปพบพระอาจารย์มั่นที่บ้านหนองขอน ซึ่งอยู่ห่างออกไป ๕๐ เส้น พระอาจารย์มั่น ทราบเรื่องจึงให้พระอาจารย์ฝั้นนั่งพิจารณา พอกำหนดจิตเป็นสมาธิแล้วปรากฏเป็นนิมิตว่า “แผ่นดินตรงนั้นขาด” คือแยกออกจากกันเป็นสองข้าง ข้างโน้นก็มาไม่ได้ ข้างนี้ก็ไปไม่ได้ พอดีสว่าง พระอาจารย์ฝั้นจึงเล่าเรื่องที่นิมิตให้พระอาจารย์มั่นฟัง เช้าวันนั้นเอง พระอาจารย์มหาปิ่นกับพระอาจารย์อ่อน ได้ออกเดินทางไปจังหวัดอุบล เพื่อพบกับเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัดชี้แจงว่า ท่านไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย จากนั้นได้ให้นำจดหมายไปบอกนายอำเภอว่า ท่านไม่ได้เกี่ยวข้อง เรื่องยุ่งยากทั้งหลายจึงได้ยุติลง ความพยายามในการแก้ไขปัญหา ปัญหาเรื่องพระผู้ใหญ่ กับ พระกรรมฐานนี้นั้นเป็นปัญหาที่ต่อเนื่องกันมายาวนาน พระอาจารย์ทั้งหลายในฝ่ายพระกรรมฐานก็ได้พยายามที่จะแก้ไขปัญหานี้มาโดยตลอด ในช่วงเวลาที่มีโอกาสก็จะพยายามโน้มน้าวเจ้าประคุณสมเด็จฯ ให้ลดทิฏฐิหันมาพิจารณาการปฏิบัติธรรมของพระกรรมฐาน ว่าเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมและมีผลดีต่อคณะสงฆ์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อ คณะสงฆ์ธรรมยุตเองด้วย หลวงปู่สิงห์เอง ท่านในฐานที่เป็นสัทธิวิหาริกของท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ก็ได้พยายามในเรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ เท่าที่มีโอกาส ในระยะแรกก็ไม่ค่อยจะได้ผล สมเด็จฯ ท่านไม่ฟัง มิหนำซ้ำท่านยังมีบัญชากับพระเณรด้วยว่า “ถ้าเห็นอาจารย์สิงห์มาอย่าให้ใครต้อนรับเด็ดขาด ให้ไล่ตะเพิดเสีย” แต่จากการที่คณะพระกรรมฐานอันมีพระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์มั่นเป็นหลัก เป็นประธานอยู่นั้น ไม่ได้มีปฏิกิริยาใด ๆ ในเชิงตอบโต้ ได้แต่หลีกเลี่ยงเสีย ถ้าเหตุการณ์รุนแรงนัก หรือ ชี้แจงแสดงเหตุผลในเมื่อมีโอกาส ประกอบกับท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านก็ได้ทั้ง “ทดสอบ” ทั้ง “ลองภูมิ” เหล่าคณะพระกรรมฐานอยู่ทุกเมื่อที่มีโอกาส ก็ได้แปลกใจที่เห็นว่าความรู้ในทางธรรมของคณะพระกรรมฐานดียิ่งเสียกว่าพระมหาเปรียญ ที่เชี่ยวชาญในเชิงปริยัติเสียอีก มีเรื่องเล่าว่า สมัยหนึ่ง เมื่อครั้งพระอาจารย์มั่นได้เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ ติดตามท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ไป และไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุหลวงอยู่ระยะหนึ่ง เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านเดินทางไปตรวจงานการคณะสงฆ์ มณฑลภาคเหนือ และมีโอกาสได้พบกับหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ ด้วยความเป็นคู่ปรับกับพระกรรมฐานมีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงตั้งคำถามในลักษณะตำหนิว่า “ญาคูมั่น เธอเที่ยวตามป่าเขาอยู่เพียงลำพังผู้เดียวอย่างนี้เธอได้สหธรรมิก ได้ธรรมวินัย เป็นแนวทางประพฤติปฏิบัติที่ไหน เธอได้รับฟังธรรมจากสหธรรมิกอย่างไร ทำไมเธอจึงได้ปฏิบัติมางมไปอย่างนั้น เธอทำอย่างนั้นจะถูกหรือ” ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ถามในเชิงติเตียนหลวงปู่มั่น เช่นนั้น เพื่อจะแสดงให้ผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้นเห็นว่าหลวงปู่มั่น เป็นพระเร่ร่อน หลักลอย ไม่มีสังกัด ไม่มีหมู่คณะรับรอง ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ในครั้งนั้น ได้ถึงกับมีการตรวจหนังสือสุทธิกันเลยทีเดียว ปกติหลวงปู่มั่น ท่านไม่เคยยอมแพ้ใคร และก็ไม่เอาชนะใครเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาต่างยกย่องว่า ท่านเป็นผู้มีสติปัญญา ปฏิภาณไหวพริบ ที่เฉียบคมและฉลาดปราดเปรื่องหาผู้เสมอเหมือนได้ยาก หลวงปู่มั่น ได้กราบเรียนตอบสมเด็จฯ ไปว่า “...สำหรับเรื่องนี้ พระเดชพระคุณท่านไม่ต้องเป็นห่วงกังวล กระผมอยู่ตามป่าตามเขานั้น ได้ฟังธรรมจากเพื่อนสหธรรมิกตลอดเวลา คือมีเพื่อนและฟังธรรมจากธรรมชาติ เลี้ยงนกเสียงกา เสียงจิ้งหรีด จักจั่นเรไร เสียงเสือ เสียงช้าง มันเป็นธรรมชาติไปหมด มันทุกข์หรือสุขกระผมก็รู้ เขาคอยตักเตือนกระผมอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้ลืมสติว่า เจ้าเป็นใครมาจากไหน อยู่อย่างไร แล้วก็จะไปไหน เวลาใบไม้ร่วงหล่นจากขั้ว ทับถมกันไปไม่มีสิ้นสุด ก็เป็นธรรม บางต้นมันก็เขียวทำให้ครึ้ม บางต้นมันก็ตายซากแห้งเหี่ยว เหล่านั้นมันเป็นธรรมเครื่องเตือนสติสัมปชัญญะไปหมด ฉะนั้น พระเดชพระคุณท่าน โปรดวางใจได้ ไม่ต้องเป็นห่วงกระผม เพราะได้ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน” เมื่อได้ฟังคำตอบเช่นนั้น เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านก็จนด้วยเหตุผล ไม่อาจจะหาคำพูดมาติเตียนหลวงปู่มั่น ต่อไปได้ เจ้าประคุณสมเด็จฯ คลายทิฏฐิ ต่อมาภายหลัง เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ท่านได้มีโอกาสออกตรวจการณ์คณะสงฆ์ตามหัวเมืองมณฑลอิสาน ปรากฏว่าการออกตรวจการณ์ในครั้งนั้น ได้สร้างความประทับใจให้ท่านเป็นอย่างมาก สมเด็จฯ ท่านเห็นประจักษ์ด้วยตาท่านเองว่า ทั่วอิสานได้เกิดวัดป่าสังกัดคณะธรรมยุตขึ้นอย่างมากมาย นับจำนวนหลายร้อยวัด ทั้งๆ ที่พระผู้ใหญ่ที่มีตำแหน่งฝ่ายบริหารขยายวัดธรรมยุตได้เพียง ๒ - ๓ วัด และก็อยู่ในเมืองที่เจริญแล้วเป็นส่วนใหญ่ ไม่สามารถขยายออกไปตามอำเภอ ตำบล และหมู่บ้านรอบนอกได้ การที่วัดป่าเกิดขึ้นมาอย่างมากมาย ก็เกิดจาก หลวงปู่ใหญ่เสาร์ หลวงปู่มั่น และลูกศิษย์พระกรรมฐานพระอาจารย์ใหญ่ทั้งสององค์ ยิ่งกว่านั้น เจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังพบว่า เมื่อท่านผ่านไปตามหมู่บ้านที่พระกรรมฐานเคยจาริกปฏิบัติธรรม และที่มีวัดป่าเกิดขึ้น ปรากฏว่าประชาชนในหมู่บ้าน มีกิริยามารยาทเรียบร้อย แสดงว่าได้รับการอบรมมาดี รู้จักปฏิบัติต่อพระสงฆ์องค์เจ้า รู้จักการปฏิบัติต้อนรับ รู้ของควร ไม่ควร เข้าใจหลักการพระพุทธศาสนา รู้จักสวดมนต์ไหว้พระ มีการรักษาศีล มีการปฏิบัติสมาธิภาวนา และมีความอ่อนน้อมถ่อมตนน่าชมเชย ต่างกันกับหมู่บ้านที่หลวงปู่ใหญ่เสาร์ หลวงปู่มั่น และลูกศิษย์ลูกหาไม่เคยจาริกผ่านไป ความประทับใจในครั้งนั้น ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ถึงกับประกาศในท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ว่า “การเผยแผ่พระพุทธศาสนาต้องให้พระกรรมฐานเป็นแนวหน้า หรือเรียกว่า กองทัพธรรมแนวหน้า” นับจากนั้นเป็นต้นมา เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ก็เริ่มมีทัศนคติที่ดีต่อ หลวงปู่ใหญ่เสาร์ หลวงปู่มั่น และคณะพระธุดงค์กรรมฐาน คำเรียกแต่เดิมว่า “ญาคูเสาร์ ญาคูมั่น” ก็เปลี่ยนไปเป็น “พระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์มั่น” ส่วนลูกศิษย์พระกรรมฐานที่มีอาวุโส สมเด็จฯ ท่านก็เรียกว่า “อาจารย์สิงห์ ท่านลี (ธมฺมธโร) ท่านกงมา (จิรปุญฺโญ)” เป็นต้น เมื่อเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ มีความรู้สึกที่ดีต่อพระธุดงค์กรรมฐานแล้ว ท่านก็ให้ความสนับสนุนพระกรรมฐานเป็นอย่างดี แม้แต่วัดภูเขาแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานีที่ หลวงพ่อโชติ อาภคฺโค เป็นเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านก็บัญชาให้สร้างเพื่อถวายหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ด้วยแห่งหนึ่ง เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) พระองค์นี้ท่านสร้างความเจริญให้แก่พระพุทธศาสนา ทั้งด้านปริยัติธรรมศึกษา และด้านการปฏิบัติภาวนา จนเกิดมีพระผู้ได้รับการศึกษาสูง และมีพระกรรมฐานที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างมากมาย สืบต่อมาจนปัจจุบัน หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: abac401 ที่ 05 มีนาคม 2011, 19:30:30 ขออนุโมทนาด้วยครับ
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 05 มีนาคม 2011, 19:36:40 ประวัติหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม(ตอนที่5) พระอาจารย์มั่นฯ ปรารภเรื่องปลีกตัวออกจากหมู่เพื่อวิเวก ครั้นออกพรรษาในปี ๒๔๗๐ แล้ว ท่านอาจารย์มั่น ฯ ก็ได้เดินธุดงค์ไปถึงตัวจังหวัดอุบลราชธานี ก็ได้นำโยมแม่ออกท่านไปมอบให้น้องสาวท่านในเมืองอุบล ฯ ท่านและคณะศิษย์พักที่วัดบูรพา คณะสานุศิษย์เก่า ๆ ทั้งหลาย อันมีอาจารย์อุ่น ธมฺมธโร, อาจารย์อ่อน ญาณสิริ, อาจารย์ฝั้น อาจาโร, อาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก พร้อมด้วยศิษย์ อาจารย์หลุย อาจารย์กว่า สุมโน, อาจารย์คูณ, อาจารย์สีลา อาจารย์ดี ( พรรณานิคม ) อาจารย์บุญมา (วัดป่าบ้านโนนทัน อุดรธานี ในปัจจุบันนี้ ) อาจารย์ทอง อโสโก อาจารย์บุญส่ง (บ้านข่า) อาจารย์หล้า หลวงตาปั่น (อยู่พระบาทคอแก้ง) เมื่อได้ทราบข่าวว่าท่านอาจารย์มั่น ฯ เดินทางมาพำนักอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี ทุกองค์เหล่านี้ก็ได้ติดตามมาในเดือน ๓ เพ็ญ บรรดาศิษย์ทั้งหมด มีหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นต้น ก็ได้ร่วมประชุมอบรมธรรมปฏิบัติอย่างที่เคย ๆ ปฏิบัติกันมา ในค่ำคืนวันหนึ่ง ท่านอาจารย์มั่นฯ ท่านได้เข้าที่ทำสมาธิภาวนาก็ได้ปรารภขึ้นในใจว่า “จะออกจากหมู่คณะไปแสวงหาสถานที่วิเวก เพื่อจะได้มีโอกาสพิจารณาค้นคว้าในปฏิปทาสัมมาปฏิบัติ ให้ได้รับความเข้าใจชัดเจน และแจ่มแจ้งเข้าไปอีก แล้วจะได้เอาปฏิปทาอันถูกต้องนั้นฝากไว้แก่เหล่าสานุศิษย์ในอนาคตต่อไป เพราะพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้วนั้น ย่อมมีนัยอันสุขุมลุ่มลึกมาก ยากที่จะทำความเข้าใจให้ถูกต้องตามพุทธประสงค์ได้ ผู้ปฏิบัติตามรอยพระบาทพระพุทธองค์และตามปฏิปทาที่พระอริยเจ้าได้ดำเนินมาก่อนแล้วนั้น เมื่อไม่เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ย่อมจะเขวไปจากปฏิปทาที่ถูกต้องก็เป็นได้ หรืออาจดำเนินไปโดยผิดๆ ถูก ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ผู้ปฏิบัติดีทั้งหลายก็จะเข้าไม่ถึงศีลถึงธรรม หรืออาจถึงกับป่วยการไม่เป็นประโยชนแก่ตนของตน การปฏิบัติพระธรรมวินัย ในพระพุทธศาสนาก็จะมีแต่ความพอกพูนกิเลสให้เจริญงอกงามขึ้นในตนของตนเท่านั้น ซึ่งไม่สมกับว่าพระธรรมวินัยเป็นของชำระกิเลสที่มีอยู่ให้สิ้นไปจากสันดานแห่งเวนัยสัตว์ทั้งหลาย อนึ่ง การอยู่กับหมู่คณะจะต้องมีภาระการปกครอง ตลอดถึงการแนะนำพร่ำสอนฝึกฝนทรมานต่าง ๆ ซึ่งทำให้โอกาสและเวลาที่จะค้นคว้าในพระธรรมวินัยไม่เพียงพอ ถ้าแลเราปลีกตัวออกไปอยู่ในสถานที่วิเวก ซึ่งไม่มีภาระแล้ว ก็จะได้มีโอกาสเวลาในการค้นคว้ามากขึ้น ผลประโยชน์ในอนาคตก็จะบังเกิดขึ้นมาให้เป็นที่น่าพึงใจ” ครั้นท่านปรารภในใจอยู่อย่างนั้นแล้ว ท่านจึงได้เรียกศิษย์ทั้งหลาย มีหลวงปู่สิงห์เป็นต้น มาประชุมกัน ท่านได้แนะนำให้มีความมั่นคงดำรงอยู่ในข้อวัตรปฏิบัติอย่างที่ได้เคยแนะนำสั่งสอนมาแล้วนั้น จึงได้มอบหมายให้อำนาจแต่หลวงปู่สิงห์และท่านมหาปิ่น เป็นผู้บริหารปกครองแนะนำพร่ำสอนตามแนวทางที่ท่านได้แนะนำมาแล้วต่อไป เมื่อเสร็จจากการประชุมแล้วในการครั้งนั้น ท่านก็กลับไปที่บ้านของท่านอีก ได้แนะนำธรรมปฏิบัติซึ่งท่านได้เคยแนะนำมาก่อนแก่มารดาของท่านจนได้รับความอัศจรรย์อันเป็นภายในอย่างยิ่งมาแล้ว ท่านจึงได้ไปลามารดาของท่าน และได้มอบให้นางหวัน จำปาศีล ผู้น้องสาวเป็นผู้อุปฐากรักษาทุกประการ จากนั้นออกพรรษาแล้วประมาณเดือน ๓ หรือเดือน ๔ ท่านก็ได้ออกเดินทางต่อไปยังกรุงเทพฯ กับเจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถระ จำพรรษาที่วัดสระปทุม และออกพรรษาแล้ว ก็ได้ติดตามพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ไปจำพรรษายังจังหวัดเชียงใหม่ ไปจังหวัดขอนแก่น ในพ.ศ. ๒๔๗๑ ระหว่างนี้หลวงปู่สิงห์และพระมหาปิ่น กับพระภิกษุสามเณรรวมกันถึง ๘๐ รูป ก็ได้เดินทางเที่ยววิเวกไปในสถานที่ต่างๆ ก็ได้เที่ยวเทศนาอบรมศีลธรรมประชาชนโดยการขอร้องของ เจ้าเมืองอุบลฯ เมื่อจวนเข้าพรรษาได้ไปพักจำพรรษาอยู่วัดบ้านหัวงัว อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นบ้านญาติท่าน ในช่วงที่หลวงปู่สิงห์ และพระอาจารย์มหาปิ่นอยู่ที่บ้านหัวงัว ท่านก็ได้ทราบข่าวจาก เจ้าคุณพระเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิโย) เมื่อครั้งยังเป็นพระครูพิศาลอรัญญเขต เจ้าคณะธรรมยุตจังหวัดขอนแก่น เจ้าอาวาสวัดศรีจันทราวาส ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นญาติของท่านด้วย ว่าทางขอนแก่นมีเหตุการณ์ไม่สู้ดี ขณะนั้นพระอาจารย์ฝั้นซึ่งจำพรรษาอยู่สำนักสงฆ์ ที่หนองน่อง บ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนมก็ได้มากราบนมัสการและได้ร่วมปรึกษาหารือกับหลวงปู่สิงห์ และพระอาจารย์มหาปิ่นในเรื่องดังกล่าว และเห็นควรลงไปช่วยพระครูพิศาลอรัญเขต (จันทร์ เขมิโย) เมื่อเห็นพ้องต้องกันแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันออกเดินทาง โดยกำหนดให้ไปพบกันก่อนเข้าพรรษาที่ที่วัดเหล่างา ขอนแก่น เมื่อเป็นดังนั้น ชาวอำเภอยโสธร มีอาจารย์ริน อาจารย์แดง อาจารย์อ่อนตา เป็นหัวหน้า พร้อมด้วยชาวบ้านร้านตลาด ได้จ้างเหมารถยนต์ให้ ๒ คัน ท่านและคณะได้พากันออกเดินทางจากอำเภอยโสธรโดยทางรถยนต์ไปพักแรมอยู่ จ.ร้อยเอ็ด ๑ คืน แล้วออกเดินทางไปพักอยู่ที่ จ.มหาสารคามที่ดอนปู่ตา ที่ชาวบ้านกล่าวกันว่าผีดุ มีชาวบ้านร้านตลาดและข้าราชการพากันมาฟังเทศน์มากมาย จากนั้นเดินทางต่อไปถึงบ้านโนนยาง อ.เมือง จ.ขอนแก่น เดือน ๓ แรม ๖ ค่ำ และได้ไปรวมกันอยู่ที่วัดเหล่างา ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองขอนแก่น เหตุการณ์ไม่สู้ดีที่ขอนแก่น ที่เมืองขอนแก่น นั้นคณะหลวงปู่สิงห์และพระมหาปิ่นได้พบว่าเหตุการณ์ก็ไม่สู้ดี ตามที่พระครูพิศาลอรัญเขตว่าไว้ ดังที่ปรากฏในหนังสือ อัตโนประวัติหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ซึ่งในสมัยนั้นท่านได้ร่วมอยู่ในคณะด้วย ท่านได้เขียนไว้ว่า “ข้าได้พักอยู่กับพระอาจารย์สิงห์ ฟังเสียงพวกโยนคนเมืองขอนแก่น ไม่เคยเห็นพระกรรมฐาน ตื่นเต้นกล่าวร้ายติเตียนกันไปสารพัดต่างๆ นานา มิใช่ เขาตื่นเต้นไปทางกลัวทางเสื่อมใส ดังพวกชาวเมืองราชคฤห์ ตื่นเต้นคราวได้เห็นพระพุทธเจ้าออกบรรพชาใหม่ไปเที่ยวบิณฑบาตนั้น เมืองขอนแก่นพากันตื่นเต้นอย่างเห็นพระกรรมฐานเป็นสัตว์ เรียกพวกพระกรรมฐานว่า “พวกบักเหลือง” คำว่า “บักเหลือง” นี้เขาว่าพระกรรมฐานทั้งหลายเป็นงูจงอาง อีหล้าคางเหลือง ฉะนั้นจึงมีคนเขาออกมาดูพวกพระกรรมฐาน เขาจำต้องมีมือ ถือไม้ค้อนกันมาแทบทุกคน เมื่อมาถึงหมู่พวกข้าแล้ว ถือค้อนเดินไปมาเที่ยวดูพระเณรที่พากันพักอยู่ตามร่มไม้และร้านที่เอากิ่งไม้ แอ้ม และมุงนั้นไปๆ มาๆ แล้วก็ยืนเอาไม้ค้อนค้ำเอว ยืนดูกันอยู่ก็มีพอควร แล้วก็พากันกลับบ้าน เสียงร้องว่าเห็นแล้วละพวกบักเหลือง พวกอีหล้าคางเหลือง พวกมันมาแห่น (แทะ) หัวผีหล่อน (กะโหลก) อยู่ป่าช้าโคกเหล่างา มันเป็นพวกแม่แล้ง ไปอยู่ที่ไหนฝนฟ้าไม่ตกเลยจงให้มันพากันหนี ถ้าพวกบักเหลืองไม่หนีภายในสามสี่วันนี้ ต้องได้ถูกเหง้าไม้ไผ่ค้อนไม้สะแกไปฟาดหัวมันดังนี้ไปต่างๆ นานา จากนี้ไปก็มีเขียนหนังสือปักฉลากบอกให้หนี ถ้าไม่หนีก็จะเอาลูกทองแดงมายิงบูชาละ ดังนี้เป็นต้น ไปบิณฑบาตไม่มีใครยินดีใส่บาตรให้ฉัน จนพระอาจารย์สิงห์ภาวนาคาถาอุณหัสสวิชัย ว่าแรงๆ ไปเลยว่า ตาบอดๆ หูหนวกๆ ปากกืก ๆ (ใบ้) ไปตามทางบิณฑบาตนั้นแหละ ทั้งมีแยกกันไปบิณฑบาต ตามตรอกตามบันไดเรือนไปเลย จึงพอได้ฉันบ้าง ทั้งพระอาจารย์ก็มีการประชุมลูกศิษย์วันสองวันต่อครั้งก็มี ท่านให้โอวาทแก่พวกลูกศิษย์ได้มีความอบอุ่นใจไม่ให้มีความหวาดกลัวอยู่เสมอ แต่ตัวข้าก็ได้อาศัยพิจารณากำหนดจิตตั้งอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ นี้อยู่เรื่อยไป” แยกย้ายกันไปตั้งวัดใหม่ ที่วัดเหล่างา (ปัจจุบันคือวัดวิเวกธรรม) พระปฏิบัติสัทธรรมชุดนี้ ได้ประชุมตกลงให้แยกย้ายกันไปตั้งเป็นสำนักสงฆ์วัดป่าฝ่ายอรัญวาสีขึ้นหลายแห่งในจังหวัดขอนแก่น เพื่อเผยแผ่ธรรม เทศนาสั่งสอนประชาชนให้ละมิจฉาทิฏฐิ เลิกจากการเคารพนับถือภูตผีปีศาจ และให้ตั้งอยู่ในไตรสรณาคมน์ โดย ได้แยกกันอยู่จำพรรษาตามสำนักสงฆ์ต่างๆ ดังต่อไปนี้ ๑. หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม พระอาจารย์ภุมมี ฐิตธมฺโม พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ พระอาจารย์หลุย อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์ วัดป่าวิเวกธรรม ตำบลโนนทัน อำเภอพระลับ จังหวัดขอนแก่น ๒. พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล ปธ.๕ พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่าบ้านพระคือ อำเภอพระลับ จังหวัดขอนแก่น ๓. พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่าบ้านผือ ตำบลโนนทัน อำเภอพระลับ จังหวัดขอนแก่น ๔. พระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺโต พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่าชัยวัน บ้านสีฐาน อำเภอพระลับ จังหวัดขอนแก่น ๕. พระอาจารย์สีลา อิสฺสโร อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่าบ้านคำไฮ ตำบลเมืองเก่า อำเภอพระลับ จังหวัด ขอนแก่น ๖. พระอาจารย์อุ่น พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่าบ้านทุ่ง อำเภอพระลับ จังหวัดขอนแก่น ๗. พระอาจารย์ดี ฉนฺโน พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่าบ้านโคกโจด อำเภอพระ ลับ จังหวัดขอนแก่น ๘. พระอาจารย์ซามา อุจุตฺโต พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่าบ้านยางคำจังหวัดขอนแก่น ๙. พระอาจารย์นิน อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์ วัดป่าสุมนามัย อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านพร้อมด้วยเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และพระอุปัชฌาย์ในท้องที่ อำเภอพระลับ จังหวัดขอนแก่น ออกเทศนาสั่งสอนประชาชนให้ละมิจฉาทิฐิ เลิกจากการถือภูติผีปีศาจ ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ทุกปีตลอดมาทั้ง ๓ ปี พระมหาปิ่น ได้ติดตาม หลวงปู่สิงห์ (พี่ชาย) พร้อมด้วย หมู่คณะออกเผยแพร่ธรรม อีกทั้งก่อสร้างเสนาสนะเพื่อปฏิบัติธรรม เฉพาะที่จังหวัดขอนแก่นรวมได้ถึง 60 แห่งเศษ โดยเฉพาะที่ ป่าช้าบ้านพระคือ ได้กลายเป็นที่ชุมนุมฟังธรรม และปฏิบัติธรรมของบรรดาชาวบ้าน ทั้งจากที่ใกล้และไกล ด้วยชื่นชอบศรัทธาว่าท่านเป็นพระที่มีความสามารถทั้งทางด้านปริยัติและปฏิบัติ หลวงปู่หัดเสือให้เดินจงกรม เรื่องนี้คุณหญิงสุรีย์พันธ์ มณีวัต เล่าไว้ในหนังสือ “จันทสาโรปูชา” ซึ่งเป็นประวัติของหลวงปู่หลุย จันทสาโรไว้ดังนี้ “ความอัศจรรย์ที่หลวงปู่ท่านชอบเล่ามากที่สุดก็คือเรื่องที่ท่านพระอาจารย์สิงห์ อาจารย์องค์ลำดับแรก ๆ ของท่าน ซึ่งท่านไปจำพรรษาอยู่ด้วยที่วัดป่าบ้านเหล่างา หรือวัดป่าวิเวกธรรม ที่จังหวัดขอนแก่นนั้น ท่านได้เล่าถึงว่า เมื่อเวลาท่านพระอาจารย์สิงห์เดินจงกรมในป่า ด้วยจิตท่านนั้นอ่อน แผ่เมตตาไปโดยไม่มีประมาณ ถึงกับว่า เมื่อมีเสือมานั่งอยู่ใกล้ทางจงกรม ท่านแผ่เมตตาให้จนจิตของเสือนั้นอ่อนรวมลงเป็นมิตรสนิทต่อท่าน ท่านหัดให้เสือเดินจงกรมตามท่านไปได้ ความนี้แม้แต่ภายหลัง ท่านพระอาจารย์มั่นก็กล่าวยกย่องท่านพระอาจารย์สิงห์ กรณีนี้อยู่เสมอ ท่านถึงกล่าวว่า สัตว์นั้น สุดท้ายย่อมทำให้อ่อนได้ด้วยแรงเมตตา ไม่ใช่การใช้กำลังอำนาจที่จะเอาชนะกัน มนุษย์สมัยนี้เอาชนะกันด้วยกำลัง จึงมีการฆ่าฟันกันตาย โกรธขึ้งหึงสาพยาบาทซึ่งกันและกัน พยาบาทแล้วก็เคียดแค้นกัน ก่อเวรก่อกรรมไม่มีที่สิ้นสุด” ช่วยหลวงปู่หลุยให้พ้นจากบุรพกรรม ในช่วงปี ๒๔๗๓ ท่านได้รับนิมนต์ไปที่หล่มสัก ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของมารดาของหลวงปู่หลุย จันทสาโร เพื่อไปในงานศพญาติคนหนึ่งของหลวงปู่หลุย และในงานนั้นหลวงปู่หลุยก็ได้รับนิมนต์ไปในงานนั้นด้วย ก็ได้ปรากฏเรื่องท่านหลวงปู่สิงห์ได้ช่วยให้หลวงปู่หลุยได้พ้นจากเหตุการณ์อันหวาดเสียวต่อสมณเพศไว้ได้ ดังที่คุณหญิงสุรีย์พันธ์ มณีวัต เล่าไว้ในหนังสือ “จันทสาโรปูชา” ไว้ดังนี้ “หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ท่านไม่เคยคิดเลยว่า การแวะไปเยี่ยมญาติและสวดมนต์ในครั้งนั้น จะทำให้ท่านถึงกับซวดเซลงแทบจะล้มลงทั้งยืน ล้ม...ล้มอย่างไม่มีสติสตังเลยทีเดียว ท่านเล่าให้เฉพาะผู้ใกล้ชิดฟังว่า วันนั้นท่านกำลังสวดมนต์เพลินอยู่ ระหว่างหยุดพักการสวด เจ้าบ้านก็นำน้ำปานะมาถวายพระแก้คอแห้ง บังเอิญตาท่านชำเลืองมองไปในหมู่แขกที่กำลังนั่งฟังสวดมนต์อยู่เพียงตาสบตา ท่านก็รู้สึกแปล๊บเข้าไปในหัวใจ เหมือนสายฟ้าฟาด แทบจะไม่เป็นสติสมประดี ท่านกล่าวว่า เพียงตาพบแว้บเดียว ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ท่านก็เซแทบจะล้ม เผอิญขณะนั้นท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ได้รับนิมนต์ไปด้วย ท่านคงสังเกตถึงอาการ หรือว่าท่านอาจจะกำหนดจิตทราบเหตุการณ์ก็ได้ ท่านจึงเข้ามาประคองไว้ เพราะมิฉะนั้นหลวงปู่คงจะล้มลงจริง ๆ ฝ่ายหญิงที่นั่งอยู่ทางด้านโน้นก็เป็นลมไปเช่นกัน คงจะเป็นอำนาจความเกี่ยวข้องแต่บุพชาติมา ที่มาบังคับให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้น ท่านบอกว่าในหัวอกเหมือนจะมีอะไร แต่ภายหลังได้พิจารณากลับมา และเมื่อท่านพระอาจารย์สิงห์ได้อธิบายให้ท่านทราบในภายหลังว่า การครั้งนี้เป็นนิมิต เนื่องจากบุพเพสันนิวาสท่านและสุภาพสตรีผู้นั้น เคยเป็นเนื้อคู่เกี่ยวข้องกันต่อมาช้านาน เคยบำเพ็ญบารมีคู่กันมา โดยเฉพาะเมื่อภายหลัง หลวงปู่ได้สารภาพถึงความในใจที่ตั้งปรารถนาพุทธภูมิ ท่านพระอาจารย์สิงห์ก็อธิบายว่า เธอผู้นั้นก็คงได้ปรารถนา บำเพ็ญบารมีคู่กันมาเช่นกัน ......เนื่องจากเป็นการปรารถนาพุทธภูมิเคียงคู่กันมา จึงมีอำนาจรุนแรงมาก และเนื่องจากว่า ฝ่ายหญิงมิได้พบกันแล้วก็ห่างกันไป.... ต้องพบประจันหน้ากันอีกหลายครั้ง เนื่องด้วยผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเป็นผู้คุ้นเคยกันประหนึ่งญาติ และมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาหลายชั้น ตั้งแต่ครั้งบิดามารดา ต้องพบเห็นกัน ไม่ใช่ว่าเป็นการพบกันแล้วก็ผ่านจากไป เช่นนั้นอาจจะเป็นกรณีที่ง่ายหน่อย แต่การนี้หลังจากพบครั้งแรกแล้วนั้น ก็ยังต้องเห็นกันอีก .... ท่านได้ยกกรณีของท่านขึ้นมาว่า องค์ท่านเองยังแทบเป็นลม ฝ่ายท่านนั้น พระเถระต้องเข้าประคอง ฝ่ายหญิงเป็นลม ญาติผู้ใหญ่และมารดาต้องเข้าประคอง หลวงปู่จึงเล่าภายหลังว่า ท่านรู้สึกเหมือนกับว่า หัวอกแทบจะระเบิด อกกลัดเป็นหนอง แต่ใจหนึ่งก็คิดมุ่งมั่นว่า จะต้องบำเพ็ญเพศพรหมจรรย์ต่อไป ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม เข้าใจในความรู้สึกของหลวงปู่ผู้เป็นศิษย์ใหม่ได้ดี ท่านจึงจัดการพาตัวหลวงปู่รีบจากหล่มสักมาโดยเร็วที่สุดหลวงปู่กล่าวว่า ไม่ใช่เป็นการพาตัวมาอย่างธรรมดา แต่เป็นการควบคุมนักโทษ ผู้นี้ให้หนีออกมาจากมารที่รบกวนหัวใจแต่โดยเร็ว หลวงปู่กล่าวว่า เป็นการเคราะห์ดีอย่างยิ่งที่บังเอิญเจ้าภาพที่หล่มสักนั้นได้นิมนต์ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ไปร่วมในงานศพในครั้งนั้นด้วย หากไม่มีพระเถระช่วยให้สติปรับปรุงแถมยังคอยควบคุมตัว ท่านว่า ไม่ทราบว่าจะรอดพ้นปากเหยี่ยวปากกามาได้หรือไม่ ท่านได้เห็นจริงในตอนนั้นว่า มาตุคามเป็นภัยแก่ตนอย่างยิ่ง เมื่อพระอานนท์กราบทูลถามสมเด็จพระพุทธองค์ว่า ควรปฏิบัติต่อมาตุคามเช่นใด พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า “ไม่ควรมอง ถ้าจำเป็นจะต้องมอง ก็ไม่ควรพูดด้วย ถ้าจำเป็นจะต้องพูดด้วย ก็ให้ตั้งสติ” ท่านตรัสบอกขั้นตอนปฏิบัติต่อมาตุคามเป็นลำดับ ๆ ไป แต่นี่หลวงปู่เพียงโดนขั้นแรก มอง ก็ถูกเปรี้ยงเสียแล้ว ถ้าเป็นนักมวยก็ขึ้นเวทียังไม่ทันจะเริ่มต่อย ก็ถูกน็อค ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม นี้เป็นศิษย์รุ่นใหญ่ของท่านพระอาจารย์มั่นต่อมาได้รับสมณศักดิ์เป็น ที่ พระญาณวิศิษฏ์ ท่านได้เห็นพระรุ่นน้องแสดงกิริยาดูน่ากลัวว่าจะพ่ายแพ้อำนาจของกิเลส ถ้าเป็นนักสู้ ก็เป็นนักสู้ที่ยินยอมจะให้เขายกกรีธาพาเข้าสู่ที่ประหารชีวิตแต่โดยดี ไม่พยายามฝืนต่อสู้แต่อย่างใด ท่านจึงควบคุมนักโทษ “ซึ่งเป็นนักโทษหัวใจ” ผู้นั้น รีบหนีออกจากหล่มสักโดยเร็ว ออกมาจากสถานที่เกิดเหตุคือเมืองหล่มสักโดยเร็วที่สุด เที่ยววิเวกลงมาตามป่าตามเขา และเร่งทำตบะความเพียรอย่างหนัก ท่านพระอาจารย์สิงห์สนับสนุนให้หลวงปู่อดนอน อดอาหาร เพื่อผ่อนคลายความนึกคิดถึงมาตุคาม ให้เร่งภาวนาพุทโธ...พุทโธถี่ยิบ และนั่งข่มขันธ์ แต่ความกลับกลายเป็นโทษ เคราะห์ดีท่านไม่ตามนิมิต ซึ่งแทนที่จะยอมสิโรราบตามเคราะห์กรรมที่มีอยู่เช่นนั้น เพราะเคยมีกรรมต่อกันมาเช่นนั้น ทำให้พอเห็นก็มืออ่อนเท้าอ่อน ยอมตายง่าย ๆ ท่านกลับเข้าหาครู เชื่อครู เล่านิมิตถวาย ท่านพระอาจารย์สิงห์ท่านได้โอกาส จึงได้อบรมกระหน่ำเฆี่ยนตีทันควัน” สมเด็จฯ สั่งให้ไปนครราชสีมา หลังจากเสร็จงานพิธีอุปสมบท หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ.๒๔๗๔ ซึ่งสามเณรจันทร์ศรี ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดศรีจันทร์ อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยมีพระครูพิศาลอรัญญเขตต์ (จันทร์ เขมิโย) เจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาปิ่น ปญญาพโล เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ในเดือนถัดมาคือ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๗๔ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะ ชั้นเจ้าคณะรอง (หิรัญญบัตร) ที่ พระพรหมมุนี (ติสฺโส อ้วน) เจ้าคณะมณฑลนครราชสีมา ท่านได้บังเกิดมีความสังเวชสลดใจ โดยได้ทัศนาการเห็นท่านพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ วัดบรมนิวาส จังหวัดพระนคร ป่วยหนัก ระลึกถึงตัวเองว่าไม่มีกัลยาณมิตรที่ดีทางฝ่ายวิปัสสนา จึงใคร่จะหาที่พึ่งอันประเสริฐต่อไป จึงตกลงใจต้องไปเอาหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล ซึ่งกำลังออกเที่ยวธุดงค์ไปจังหวัดขอนแก่นมาเป็นกัลยาณมิตรที่ดีให้จงได้ เมื่อตกลงใจแล้วก็เดินทางไปโดยฐานะเป็นเจ้าคณะตรวจการ ครั้นไปถึงจังหวัดขอนแก่นแล้ว ถามได้ทราบว่า หลวงปู่สิงห์ พระมหาปิ่น กำลังออกไปเทศนาสั่งสอนประชาชนอยู่อำเภอน้ำพอง ก็โทรเลขถึงนายอำเภอให้ไปอาราธนา หลวงปู่สิงห์ พระมหาปิ่น เอารถยนต์มาส่งถึงจังหวัดขอนแก่นในวันนั้น เมื่อหลวงปู่สิงห์ พระมหาปิ่นมาถึงจังหวัดขอนแก่นแล้ว ท่านบอกว่า จะเอาไปอยู่ด้วยที่จังหวัดนครราชสีมา เพื่อปรึกษาหารือกันด้านวิปัสสนาและอบรมสมถวิปัสสนาแก่พุทธบริษัททั้งหลายด้วย เพราะได้เห็น เจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ป่วยขาหักเสียแล้ว ท่านสลดใจมาก และในปีนี้เอง พ.ต.ต. หลวงชาญนิยมเขต ได้ถวายที่ดินหลังสถานีรถไฟ จำนวน ๘๐ ไร่เศษ ให้สร้างเป็นวัด ซึ่งต่อมาก็คือวัดป่าสาลวัน นั่นเอง หลวงปู่สิงห์จึงได้เรียกลูกศิษย์ที่อยู่ทางขอนแก่นลงไป เมื่อคณะศิษย์มาถึงนครราชสีมาก็ได้ออกเดินทางไปพักที่สวนของหลวงชาญฯ รุ่งขึ้นจากวันที่มีการถวายที่ดิน หลวงปู่สิงห์ และพระมหาปิ่น ปญฺญาพโล ก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยเดินทางร่วมมากับพระอาจารย์ฝั้น ซึ่งเป็นการเข้ากรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกของท่านอาจารย์ฝั้น เพื่อเข้ามาเยี่ยมอาการป่วยของเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) ที่วัดบรมนิวาส เมื่อถึงกรุงเทพฯ ก็ได้เข้าพักอยู่ที่วัดบรมนิวาส ตั้งแต่เดือนสาม จนถึงเดือนหก ในระหว่างนั้นท่านก็ได้ฝึกสอนพุทธบริษัทวัดบรมนิวาสให้นั่งสมาธิภาวนาและได้ไปฝึกสอนพุทธบริษัท วัดสัมพันธวงศ์ให้นั่งสมาธิภาวนา มีประชาชนพุทธบริษัทมาสดับตรับฟังและฝึกหัดนั่งสมาธิเป็นอันมากทั้ง ๒ สำนัก ช่วยหลวงปู่ฝั้นให้พ้นจากบุรพกรรมอีกองค์หนึ่ง ระหว่างพำนักอยู่ในกรุงเทพฯ เรื่องที่ไม่น่าจะเกิด ก็ได้อุบัติขึ้นแก่หลวงปู่ฝั้นโดยบังเอิญ ที่ว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นนั้น ก็เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสตรีเพศ เรื่องมีว่า วันหนึ่งพระอาจารย์สิงห์ ได้พาหลวงปู่ฝั้นไปนมัสการท่านเจ้าคุณ พระปัญญาพิศาลเถระ (หนู) ที่วัดสระปทุม ระหว่างทางได้เดินสวนกับผู้หญิงคนหนึ่งเข้า นับตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา พระอาจารย์ฝั้นก็ลืมผู้หญิงคนนั้นไม่ลง ท่านรู้สึกว่า ท่านได้เกิดความรักขึ้นในใจเสียแล้ว ขณะเดียวกัน ท่านก็บอกตัวเองด้วยว่า ท่านจะต้องขจัดความรู้สึกดังกล่าวออกไปเสียให้พ้นจากความรู้สึกนึกคิดให้ได้ เมื่อกลับวัดบรมนิวาสในวันนั้น ท่านได้นั่งภาวนา พิจารณาแก้ไขตัวเองถึงสามวัน แต่ก็ไม่ได้ผล ใบหน้าของผู้หญิงนั้นยังคงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด จนไม่อาจสลัดให้ออกไปได้ ในที่สุด เมื่อเห็นว่า เป็นการยากที่จะแก้ไขได้ด้วยตัวเองแล้ว ท่านจึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านพระอาจารย์สิงห์ฟัง เพื่อให้ช่วยแก้ไข พระอาจารย์สิงห์ได้แนะให้ท่านไปพักในพระอุโบสถ พร้อมกับให้พิจารณาทำความเพียรให้หนักขึ้น พระอาจารย์ฝั้นได้บำเพ็ญภาวนาอยู่ในพระอุโบสถเป็นเวลาถึง ๗ วัน ก็สามารถรู้ชัดถึงบุพเพสันนิวาสแต่ในปางก่อน ว่าผู้หญิงคนนี้กับท่าน เคยเป็นสามีภรรยากันมา จึงทำให้เกิดความรู้สึกดังกล่าวขึ้น เมื่อตระหนักในเหตุในผล ท่านก็สามารถตัดขาด ลืมผู้หญิงคนนั้นไปได้โดยสิ้นเชิง แยกย้ายกันสร้างวัดและเผยแพร่ธรรม ในระหว่างที่หลวงปู่สิงห์ และพระมหาปิ่น ปญฺญาพโล เดินทางเข้ากรุงเทพฯ คณะศิษย์ก็ร่วมกันจัดสร้างเสนาสนะชั่วคราวขึ้น พอท่านกลับมาถึงแล้วเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๔๗๕ หลวงปู่สิงห์ พระมหาปิ่น ก็ไปพักที่วัดป่าสาลวัน ซึ่งคุณหลวงชาญนิคม ได้เริ่มสร้างมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๗๔ ได้กุฏิ ๑ หลัง ศาลายังสร้างไม่เสร็จ ๑ หลัง จากนั้นพระอาจารย์มหาปิ่นก็ได้พาหมู่ศิษย์อีกหมู่หนึ่งไปสร้างเสนาสนะที่ข้างกรมทหาร ต. หัวทะเล อ. เมือง จ. นครราชสีมา ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นป่าช้าที่ ๒ สำหรับเผาศพผู้ที่ตายด้วยโรคติดต่อ เช่นอหิวาตกโรค และ กาฬโรค ฯลฯ เป็นต้น ให้ชื่อว่าวัดป่าศรัทธารวม พรรษานั้นมีพระผู้ใหญ่ด้วยกันหลายองค์ คืออาจารย์เทสก์ อาจารย์ฝั้น อาจารย์ภูมี อาจารย์หลุย อาจารย์กงมา โดยมีพระมหาปิ่นเป็นหัวหน้า พรรษานี้ท่านอาจารย์มหาปิ่นก็ได้รับแขกและเทศนาอบรมญาติโยมตลอดพรรษา ปีเดียวเกิดมีวัดป่าพระกรรมฐานขึ้นสองวัดเป็นปฐมฤกษ์ของเมืองโคราช พรรษาแรก ได้แยกกันอยู่จำพรรษา ดังนี้คือ ๑. หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ๒. พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ เผยแพร่พระพุทธศาสนาฝ่ายวิปัสสนาธุระ อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา มีพระ ภิกษุ ๓๘ รูป สามเณร ๑๒ รูป ๑. พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล ปธ.๕ กับ ๒. พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ๓. พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ เผยแพร่พระพุทธศาสนาอยู่จำพรรษาที่วัดป่าศรัทธารวม ตำบลหัวทะเล อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา มีพระภิกษุ ๑๐ รูป สามเณร ๔ รูป ได้มีการอบรมศีลธรรมให้แก่ประชาชน จนประชาชนเกิดความเลื่อมใสและตั้งตนอยู่ในพระไตรสรณาคมน์ ถือวัดป่าสาลวันเป็นจุดศูนย์กลางปฏิบัติกัมมัฏฐานและเป็นสถานที่ชุมนุมประจำ ครั้นเมื่อจะเข้าพรรษาก็ให้แยกย้ายพระไปวิเวกจำพรรษาในวัดต่าง ๆ ที่ไปตั้งขึ้น ตัวท่านหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม ไปจำอยู่ที่ศูนย์กลางคือ วัดป่าสาลวันนี้ ครั้นปีต่อมา คือในปี ๒๔๗๖ ก็ได้แยกกันอยู่จำพรรษา เป็นหลายสำนักมากขึ้น โดยลำดับ คือ ๑. พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม พร้อมด้วยพระภิกษุ ๕ รูป สามเณร ๒ รูป ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ท่านพักที่สำนักสงฆ์วัดป่าสุวรรณไพโรจน์ อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ๒. ท่านพระอาจารย์ภุมมี จิตรธมฺโม พร้อมด้วยพระภิกษุ ๕ รูป เผยแพร่พระพุทธศาสนาฝ่ายวิปัสสนาธุระ อยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์ วัดป่าท่าช้าง จังหวัดนครราชสีมา ๓. พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ให้ไปเผยแพร่พระ พุทธศาสนาฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในเขตอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา นายอำเภอมีความเลื่อมใสอาราธนาไปพักสำนักสงฆ์ วัดป่าสว่างอารมณ์ บ้านใหม่สำโรง อำเภอสี่คิ้ว จังหวัด นครราชสีมา ๔. พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร พร้อมทั้งพวกไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่อำเภอโชคชัย ขุนอำนาจ นายอำเภอมีศรัทธาเลื่อมใสมากได้อาราธนาให้ท่านพักที่สำนักสงฆ์วัดป่าธรรมนิการาม อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา ๕. พระอาจารย์บุญ พระอาจารย์พรหม พรหมสโร ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาฝ่ายวิปัสสนาธุระที่กิ่งอำเภอ บำเหน็จณรงค์ ท่านพักจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์วัดป่าสำราญจิต ตำบลบ้านชวน กิ่งอำเภอบำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ๖. พระอาจารย์คำตา พร้อมพระภิกษุ ๕ รูป สามเณร ๒ รูป ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่อำเภอปักธงชัย ท่านพักอยู่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์ วัดป่าเวฬุวัน อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ๗. พระอาจารย์ภุมมี ฐิตธมฺโม พร้อมด้วยพระภิกษุ ๕ รูป สามเณร ๒ รูป ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา ฝ่ายวิปัสสนาธุระ อำเภอจักรราช ท่านพักอยู่ที่สำนักสงฆ์วัดป่าจักรราช อำเภอจักรราช จังหวัดนครราชสีมา ระยะต่อมาก็มีการกระจายกันไปสร้างวัดโดยรอบวัดป่าสาลวัน เช่นสร้างวัดศรัทธาวนาราม ข้างกรมทหาร ตำบลหัวทะเล สร้างวัดป่าคีรีวัลย์ อำเภอท่าช้าง วัดป่าอำเภอกระโทก วัดป่าอำเภอจักราช วัดป่าสะแกราช อำเภอปักธงไชย วัดป่าบ้าใหม่สำโรง อำเภอสีคิ้ว วัดป่าบ้านมะรุม อำเภอโนนสูง ฯลฯ ... เป็นกองทัพธรรม กระจายแยกย้ายกันไปเทศนาอบรมประชาชน หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 05 มีนาคม 2011, 19:49:59 ประวัติหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม(ตอนที่6) ไปสร้างวัดป่าทรงคุณ ปราจีนบุรี หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโมได้จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าสาลวัน ได้ ๕ พรรษา ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาฝ่ายวิปัสสนาธุระในจังหวัดปราจีนบุรี ตามคำอาราธนาของท่านเจ้าคุณ พระปราจีนมุนี ตั้งแต่เมื่อยังไม่ตั้งสำนักสงฆ์วัดป่าทรงคุณ โดยมีพระมหาปิ่น ปญฺญาพโล ได้ติดตามไปด้วย ท่านพักที่สวนมะม่วงของอาจารย์พร บรรลือคุณ การมาอยู่จำพรรษาที่นี่ ท่านได้นำธรรมะปฏิบัติ สอนให้บรรดาชาวบ้านโดยทั่วไปประพฤติปฏิบัติ จนปรากฏว่าชื่อเสียงในการสั่งสอนและแสดงพระธรรมเทศนาของท่านลึกซึ้ง จับใจ ฟังแล้วเข้าใจง่าย คนที่ได้สดับรับฟังแล้วนำไปประพฤติปฏิบัติตามจนเกิดสติปัญญารอบรู้ แต่ก็สร้างความไม่พอใจแก่คนเลวบางคนเป็นยิ่งนัก ถึงขนาดจ้างมือปืนมาฆ่าท่าน แต่ก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นในขณะที่มือปืนเล็งปืนขึ้นหมายยิงท่านนั้น ต้นไม้ทุกต้นในบริเวณป่านั้นแกว่งไกวเหมือนถูกลมพายุพัดอย่างรุนแรง ขนาดต้นไม้โตๆ ล้มระเนระนาดหมด ทำให้มือปืนใจชั่วตกใจเหลือกำลัง จะวิ่งหนีแต่ขาก้าวไม่ออก ปืนที่หมายจะยิงพระอริยเจ้าผู้ปฏิบัติชอบ ได้ตกหล่นอยู่บนพื้นดิน มือปืนจึงก้มลงกราบ พร้อมกับกล่าวคำสารภาพผิด พระอาจารย์สิงห์ได้อบรมจิตใจของมือปืนรับจ้าง ด้วยความเมตตา และปล่อยตัวไป ซึ่งต่อมาผู้มีอิทธิพล ซึ่งจ้างมือปืนฆ่าพระอาจารย์สิงห์ได้สำนึก และได้รับฟังธรรมะโอวาทจากพระอาจารย์สิงห์ เกิดปีติในธรรมะอย่างล้นพ้น เลื่อมใสศรัทธาด้วยจิตใจบริสุทธิ์ จึงพร้อมใจกันฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์สิงห์ และ ได้ชักชวนกัน สร้างสำนักสงฆ์อันถาวร ถวายพระอาจารย์สิงห์ เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงคุณของท่าน ที่ได้เปิดตาเปิดใจพวกเขา ให้ได้รับแสงสว่างในธรรมะ และได้ตั้งชื่อไว้ว่า "วัดป่ามะม่วง" หรือ วัดป่าทรงคุณ แห่งจังหวัดปราจีนบุรีในปัจจุบันนี้ งานบำเพ็ญกุศลครบรอบ ๘๐ ปี ของหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ปี พ ศ. ๒๔๘๑ เมื่อครั้งจัดงานบำเพ็ญกุศลครบรอบ ๘๐ ปี ของหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล หลวงปู่สิงห์ กับ พระมหาปิ่นได้ร่วมกันเรียบเรียงหนังสือที่ระลึก เรื่องกติกาวิธีสัมมาปฏิบัติ ว่าด้วยข้อปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สำหรับสำนักชีกรรมฐาน ถวายมุทิตาจิตแด่หลวงปู่ใหญ่เสาร์เพื่อพิมพ์แจกในงาน ซึ่งก่อนหน้านี้ หลวงปู่สิงห์ และพระมหาปิ่น ปญฺญาพโล ได้เรียบเรียงแบบถึงพระไตรสรณคมน์ กับแบบวิธีนั่งสมาธิภาวนา ตามที่คุณหา บุญมาไชย์ ปลัดขวาอำเภอพระลับ จังหวัดขอนแก่น อาราธนาให้เรียบเรียงไว้เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๗๔ โดยถวายหลวงปู่ใหญ่เสาร์ให้พิจารณาตรวจทานด้วย ในงานดังกล่าว พระภิกษุที่ได้รับนิมนต์มาเจริญพระพุทธมนต์ในงานพิธีนี้ มีจำนวน ๘๐ รูป ครบเท่าอายุ โดยคณะศรัทธาญาติโยมได้จัดเตรียมผ้าจีวรครบ ๘๐ ชุด สำหรับท่านพระอาจารย์ใหญ่ ได้ทอดถวายเป็นผ้าบังสุกุล นอกจากนี้คณะพระลูกศิษย์ของท่าน ยังได้ช่วยกันตัดเย็บผ้าขาวเป็นจำนวน ๘๐ ผืน ให้ท่านได้แจกทานแด่แม่ชีที่มาในงานครั้งนี้ด้วย ในงานมุทิตาจิตหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโลนี้ไม่มีมหรสพสมโภชใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่การปฏิบัติธรรมและแสดงพระธรรมเทศนา โดย ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ท่านพระอาจารย์ดี ฉนฺโน ท่านพระมหาปิ่น ปญฺญาพโล และพระลูกศิษย์ที่มีเทศนาโวหารเก่งๆ ทั้งหลาย ได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นธรรมาสน์กล่าวธรรมกถาสะกดผู้ฟังที่มากันเต็มศาลาใหม่วัดบูรพารามนั้น หนังสือ แบบถึงพระไตรสรณคมน์ กับแบบวิธีนั่งสมาธิภาวนา ที่ได้กล่าวถึงข้างต้นนี้ได้เป็นเหตุนำมาซึ่งความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง และเป็นเหตุเริ่มต้นที่ทำให้เราได้มีพระสุปฏิปันโน เพิ่มขึ้นอีก ๒ องค์ด้วยกันคือ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ และ พระอาจารย์หลวง กตปญฺโญ โดยหลวงปู่เหรียญได้บวชเมื่ออายุย่างได้ ๒๐ ปีในเดือน มกราคม พ.ศ.๒๔๗๕ ที่วัดบ้านหงษ์ทอง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย มี ท่านพระครูวาปีดิฐวัตร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์พรหม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้กลับมาอยู่วัดโพธิ์ชัย บ้านหม้อ อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย พรรษาแรก จำพรรษา ณ วัดศรีสุมัง อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย โยมบิดาเอาหนังสือธรรมะมาถวายเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเจริญสมถะและวิปัสสนาของ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้อ่านดูเกิดความสนใจ เรื่อง สติปัฎฐานสี่ โดยเฉพาะเรื่อง กายานุปัสสนา ส่วนท่านพระอาจารย์หลวง กตปญฺโญ แห่งวัดป่าสำราญนิวาส จ.ลำปาง ได้เล่าให้พระอาจารย์มหาถาวร จิตฺตถาวโร แห่งวัดปทุมวนารามฟังว่า “สมัยอาตมาเป็นฆราวาส อาตมาได้รับหนังสือ แบบถึงพระไตรสรณคมน์ มาเล่มหนึ่ง พออ่านไป ๆ จิตใจนี้บังเกิดความเลื่อมใส อยากบวชเป็นพระเสียเลย พออ่านแล้ว จิตใจอยากบวช เพราะเกิดซาบซึ้งขึ้นในธรรมนั้น ๆ ทั้ง ๆ ที่อ่านเพียงครั้งแรก อาตมาก็ยังมานึกสงสัยอยู่เลยว่า ทำไมจึงเข้าใจได้เข้าใจดี นี่อาจเป็นวาสนาของอาตมาก็ได้นะ มันคงถึงคราวต้องบวชด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้… ตั้งใจปรารถนาพุทธภูมิ ท่านได้จำพรรษา ที่วัดป่าสาลวัน จนถึงปี ๒๔๘๓ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ท่านได้พิจารณาเห็นอุปสรรคแห่งการประพฤติปฏิบัติพระพุทธศาสนาถึงขั้นสละชีวิตทำความเพียร จึงตั้งสัจอธิษฐานทำความเพียรไม่ได้หลับนอนถึง ๗ วัน ๗ คืน เกิดอาพาธหนักทุกขเวทนากล้าแข็ง และเกิดโทมนัสคับแค้นใจเป็นกำลัง พิจารณาเห็นว่า บุญวาสนาไม่เพียงพอ จึงตัดสินใจปรารถนาพุทธภูมิสร้างบารมีเพื่อพระโพธิญาณสืบไป (ข้อมูลจาก ประวัติย่อหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ในเว็บไซต์หลวงพ่อพุธ ฐานิโย www.geocities.com/thaniyo/archan1044_2.html (http://www.geocities.com/thaniyo/archan1044_2.html)) หลวงปู่สิงห์จัดการงานศพหลวงปู่เสาร์ ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เมื่อหลวงปู่ใหญ่เสาร์ ได้มรณภาพลงที่วัดอำมาตยาราม นครจำปาศักดิ์ ข่าวการมรณภาพของพระครูวิเวกพุทธกิจ หรือหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ท่านอาจารย์กงแก้ว ได้ส่งโทรเลขไปยังเมืองอุบลฯ แจ้งข่าวให้ หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม และญาติโยมได้ทราบข่าวการมรณภาพของหลวงปู่ใหญ่ และให้เตรียมไปรับศพท่านกลับเมืองไทยต่อไป ทางด้านจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อทางหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโมและคณะได้ทราบข่าวการมรณภาพของหลวงปู่ใหญ่ จึงได้นำหีบศพที่หลวงปู่ใหญ่ได้เตรียมไว้ที่วัดบูรพารามคราวทำบุญอายุครบ ๘๐ ปีมุ่งหน้าเดินทางไปนครจำปาศักดิ์โดยด่วน การเดินทางได้ใช้รถยนต์ของคุณหญิงตุ่น โกศัลวิตรกับแม่ชีผุย ซึ่งเคยให้บริการเมื่อครั้งคณะของหลวงปู่ใหญ่เดินทางเข้ามาทางฝั่งลาว ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ขบวนรถนำหีบศพแล่นพ้นเขตอำเภอพิบูลมังสาหารเข้าไปทางช่องเม็ก มุ่งหน้าสู่เมืองเก่านครจำปาศักดิ์ เพียงเข้าเขตประเทศลาว รถวิ่งอยู่ดี ๆ ก็เกิดยางระเบิด พอเปลี่ยนยางเสร็จวิ่งไปได้สักครู่เครื่องยนต์ก็เกิดดับขึ้นเฉยๆ แก้ไขอย่างไรเครื่องก็ไม่ยอมติด ตะวันก็จวนจะมืดค่ำลงทุกขณะ บริเวณนั้นก็เป็นป่าเปลี่ยวด้วย จนปัญญาไม่สามารถจะแก้ไขให้รถยนต์วิ่งต่อไปได้ หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม จึงพูดขึ้นว่า “หรือว่าพวกเราจะขัดความประสงค์ของท่านอาจารย์ เทวดาทั้งหลายจึงได้ขัดขวางการที่พวกเราจะไปเคลื่อนศพท่านกลับมาประเทศไทย” หลวงปู่สิงห์ ให้คนจัดหาดอกไม้ธูปเทียนถวายท่าน แล้วท่านก็ลงคุกเข่าอยู่ตรงข้างๆ รถ ผินหน้าไปทางนครจำปาศักดิ์ กล่าวคำขมาโทษครูบาอาจารย์ แล้วพูดดังๆ ป่าวประกาศให้เทวดาฟ้าดินทั้งหลายได้รับทราบทั่วกันว่า “..ที่มานี้ก็มีความประสงค์อย่างแน่วแน่ที่จะไปรับศพของพระอาจารย์กลับมาบำเพ็ญกุศลทางฝั่งไทย เพราะลูกศิษย์ลูกหาทางฝั่งนั้นมีมาก หากพวกเขาจะต้องเดินทางมาบำเพ็ญกุศลทางฝั่งนี้จะเป็นการลำบากวุ่นวาย ไม่สะดวกโดยประการทั้งปวง ฉะนั้น ข้าพเจ้า พระอาจารย์สิงห์ จึงขอป่าวประกาศให้เทวดาฟ้าดินตลอดทั้งรุกขเทวดา อากาศเทวดา ภุมเทวดาทั้งหลายได้โปรดทราบโดยถ้วนทั่ว และขอศพพระอาจารย์เพื่อไปบำเพ็ญกุศลทางฝั่งประเทศไทยเถิด” พอหลวงปู่สิงห์กล่าวจบลง ท่านก็สั่งให้คนขับติดเครื่องทันที เป็นเรื่องที่แปลกและอัศจรรย์มาก หลวงปู่สิงห์ยังไม่ลุกจากที่นั่ง สตาร์ทเครื่องเพียงครั้งเดียวเครื่องยนต์ก็ติด รถจึงได้ออกแล่นมุ่งตรงไปยังนครจำปาศักดิ์เพื่อไปรับศพหลวงปู่ใหญ่ ที่วัดอำมาตยารามต่อไป หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม พร้อมคณะ ได้ขอศพหลวงปู่ใหญ่กลับไปบำเพ็ญกุศลที่เมืองอุบลฯ เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ พร้อมด้วยข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนได้ตั้งศพบำเพ็ญกุศลถวายอย่างสมเกียรติแก่พระบูรพาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน เป็นเวลาพอสมควรแล้ว และเห็นว่าระยะเวลานั้นอยู่ในช่วงสงครามอินโดจีนของฝรั่งเศส หรือสงครามบูรพาอาคเณย์ยังร้อนระอุอยู่ จะจัดงานศพครูบาอาจารย์ทางฝั่งลาวคงไม่สะดวกนัก จึงได้มอบศพหลวงปู่ใหญ่ ให้คณะของหลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้เคลื่อนย้ายจากวัดอำมาตยาราม นครจำปาศักดิ์ สู่จังหวัดอุบลราชธานีต่อไป เมื่อศพหลวงปู่ใหญ่ เดินทางถึงจังหวัดอุบลราชธานีแล้ว ได้ตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดบูรพาราม เมื่อเป็นเวลาพอสมควรแล้ว หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จึงสั่งให้บรรจุเก็บศพของท่านไว้ก่อน รอความพร้อมที่จะฌาปนกิจในปีต่อไป กำหนดวันจัดงานฌาปนกิจศพหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๖ ซึ่งเป็นเวลา ๑๔ เดือน หลังจากการมรณภาพของท่าน หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม ได้เป็นแม่งานในการจัดเตรียมงานทั้งหมดแทน หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ศิษย์ผู้มีอาวุโสมากที่สุด ที่กำลังเดินทางจากบ้านโคก จังหวัดสกลนครมาเป็นประธานก่อนวันเผาราว ๓ วัน และอยู่ต่ออีก ๑ วันหลังวันงาน จึงได้เดินทางกลับจังหวัดสกลนคร ในงานนั้นท่านอาจารย์มั่นก็ได้แสดงธรรม ซึ่งในตอนหนึ่งของการแสดงธรรม ท่านก็ได้พูดถึงพระอาจารย์สิงห์ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ได้เล่าไว้ว่า “...จำได้ว่างานศพหลวงปู่เสาร์ ตอนนั้นหลวงพ่อบวชเป็นพระได้พรรษาหนึ่ง อยู่วัดสระปทุม (วัดปทุมวนาราม เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ) ใครต่อใครเขาก็ไปกัน แต่พระอุปัชฌาย์ (เจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถร-หนู ฐิตปญฺโญ) ให้หลวงพ่อเฝ้ากุฏิ เลยไม่ได้ไปกับเขา พอพระอุปัชฌาย์ท่านไป กลับมาก็มาเทศน์ให้ฟัง...” ท่านอาจารย์มั่นแสดงธรรมว่า “...เมื่อสมัยท่านอาจารย์เสาร์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็เป็นครูบาอาจารย์สั่งสอนเรา บัดนี้ท่านอาจารย์เสาร์ได้มรณภาพไปแล้ว ก็ยังเหลือแต่เรา พระอาจารย์มั่น จะเป็นอาจารย์อบรมสั่งสอนหมู่ในสายนี้ต่อไป ดังนั้น ท่านผู้ใดสมัครใจเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่นต้องปฏิบัติตามปฏิปทาของท่านอาจารย์มั่น ถ้าใครไม่สมัครใจหรืปฏิบัติตามไม่ได้ อย่ามายุ่งกับท่านอาจารย์มั่นเป็นอันขาด ทีนี้ถ้าเราคืออาจารย์มั่น ตายไปแล้ว ก็ยังเหลือแต่ท่านสิงห์นั่นแหละ พอจะเป็นครูบาอาจารย์สั่งสอนหมู่ได้” จัดการงานศพพระมหาปิ่นผู้เป็นน้องชาย ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ท่านพำนักอยู่ที่จังหวัดอุบล ในปีนั้นสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) อาพาธหนัก ถึงขนาดฉันอาหารไม่ได้ ต้องถวายอาหารทางเส้นโลหิต ท่านจึงเรียกพระเถระฝ่ายกัมมัฏฐานเข้าไปปรึกษาหารือเพื่อหาทางบำบัดโรคในทางธรรมปฏิบัติ สมเด็จฯ ได้นิมนต์พระอาจารย์สิงห์ พระอาจารย์ทอง อโสโก และพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ให้มาอธิบายธรรมให้ท่านฟัง ปีนั้นเป็นปีเดียวกับที่พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล น้องชายของท่านซึ่งได้ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่จังหวัดปราจีนบุรีอยู่ ๕ พรรษา ได้กลับมาจังหวัดอุบลฯ พระมหาปิ่น เมื่อกลับจากจังหวัดปราจีนบุรี มาอยู่ที่อุบลฯ แล้วได้อาพาธด้วยโรคปอดอยู่ที่วัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ในช่วงนั้น พระอาจารย์ฝั้นซึ่งได้รับคำสั่งจากสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ให้พระอาจารย์ฝั้นอยู่ที่อุบลราชธานีเพื่ออุปัฏฐากสมเด็จ ในพรรษานั้น ในช่วงเวลาที่พ้นเวลาอุปัฏฐากสมเด็จ พระอาจารย์ฝั้นก็ประกอบยารักษาโรค ถวายพระอาจารย์มหาปิ่น พระอาจารย์ฝั้นได้พยายามหาสมุนไพรต่าง ๆ มาปรุง แล้วกลั่นเป็นยาถวายพระอาจารย์มหาปิ่น หยูกยาที่ทันสมัยก็ไม่มี เพราะขณะนั้นกำลังอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๘๗ เสร็จฤดูกาลกฐินแล้ว พระอาจารย์ฝั้น ได้เข้านมัสการลาสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ที่วัดสุปัฏนาราม ขอเดินทางไปสกลนคร อันเป็นจังหวัดบ้านเกิดของท่าน พระมหาปิ่นอาพาธอยู่ ๒ พรรษา ไม่หายและได้ถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๙ หลวงปู่สิงห์ก็ได้เป็นธุระในเรื่องเกี่ยวกับการศพพระมหาปิ่นจนเสร็จการ พระอาจารย์มั่นมรณภาพ ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๒ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของพระอาจารย์มั่น ในปีนั้นเมื่อใกล้จะออกพรรษา เหลืออีกประมาณ ๑๐ วัน พระอาจารย์มั่นท่านก็ได้บอกพระที่อยู่ใกล้ชิดว่า “ชีวิตของเราใกล้จะสิ้นแล้ว ให้รีบส่งข่าวไปบอกแก่คณาจารย์ที่เป็นศิษย์เราทั้งใกล้และไกล ให้รีบมาประชุมกันที่บ้านหนองผือนี้ เพื่อจะได้มาฟังธรรมะเป็นครั้งสุดท้าย” บรรดาพระที่อยู่ใกล้ชิดก็ได้จดหมายบ้าง โทรเลขบ้างไปยังที่อยู่ของพระคณาจารย์เหล่านั้น บรรดาคณาจารย์ทั้งหลายเมื่อได้รับจดหมายบ้าง โทรเลขบ้างแล้ว ต่างก็ได้บอกข่าวแก่กันต่อ ๆ ไปจนทั่ว เมื่อการปวารณาออกพรรษาแล้วต่างองค์ก็รีบเดินทางมุ่งหน้ามาหาอาจารย์มั่นฯ ยังบ้านหนองผือ อันเป็นจุดหมายเดียวกัน แต่ท่านอาจารย์มั่นฯ ได้สั่งให้นำท่านไปยังวัดสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร หลวงปู่สิงห์เมื่อได้ทราบข่าวก็รีบเดินทางเพื่อมาเฝ้าท่านพระอาจารย์มั่นโดยทันที และตามมาทันในระหว่างทางเมื่อคณะศิษย์และชาวบ้านได้นำท่านพระอาจารย์มั่นมาถึงวัดป่าดงนาภู่ ในวันขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ครั้นเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ได้นำท่านมาพักที่วัดป่าสุทธาวาส ใกล้เมืองสกลนคร โดยพาหนะรถยนต์ มาถึงวัดเวลา ๑๒.๐๐ น. เศษ ครั้นถึงเวลา ๒.๒๓ น. ของวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ศกเดียวกัน ท่านก็ได้ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการสงบ ในท่ามกลางศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย มีเจ้าพระคุณพระธรรมเจดีย์เป็นต้น สิริชนมายุของท่านพระอาจารย์ได้ ๘๐ ปี หลังงานถวายเพลิงศพท่านพระอาจารย์มั่นเมื่อวันอังคารที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ที่วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนครแล้ว หลวงปู่สิงห์ก็ได้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการแบ่งอัฐิธาตุของหลวงปู่มั่นซึ่งประกอบด้วย พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) พระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) พระพิศาลสารคุณ (อินทร์ ภิรเสวี) พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ พระมหาทองสุก สุจิตโต ในส่วนของท่านเองก็ได้รับมาส่วนหนึ่งและได้แจกไปตามวัดต่าง ๆ และอุบาสกอุบาสิกาที่เคารพนับถือในพระอาจารย์มั่นด้วย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๔ เจ้าคณะภาค (ธรรมยุต) ได้อาราธนาให้หลวงปู่สิงห์ ขนฺยาคโม ไปอบรมกรรมฐานแก่พุทธบริษัทชาวเมืองเพชรบุรี สมณศักดิ์และหน้าที่ทางสงฆ์ เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น เจ้าคณะฝ่ายธรรมยุต ผู้ช่วยจังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๙๖ คณะสงฆ์ขอสมณศักดิ์ที่ พระครูญาณวิศิษฏ์ ให้พระอาจารย์สิงห์ พร้อมกันกับหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี แต่คำขอสมณศักดิ์ให้หลวงปู่เทสก์ได้ตกไปเพราะท่านยังไม่มีสำนักเป็นที่อยู่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๙ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะธรรมยุตผู้ช่วยจังหวัดปราจีนบุรี-นครนายก เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๐๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นสามัญ ได้นามว่า พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์ และในปี พ.ศ.๒๕๐๐ นี้เอง ท่านเจ้าคุณพระปราจีนมุนีได้มรณภาพ หลวงปู่สิงห์ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการเจ้าคณะฝ่ายธรรมยุต จังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดนครนายก แทนท่านเจ้าคุณพระปราจีนมุนี ปฏิปทาของหลวงปู่สิงห์ ตลอดระยะเวลา หลวงปู่สิงห์ได้ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันมิได้ขาด ตอนเช้าทำวัตรสวดมนต์เสร็จ ท่านจะนำคณะออกบิณฑบาตแผ่บุญกุศลแก่ญาติโยม หลังจากนั้นท่านจะทำการอบรมพระภิกษุสามเณรให้ปฏิบัติกรรมฐานทุกๆ วันมิให้ขาด ตอนเย็นเมื่อกระทำวัตรสวดมนต์เสร็จ ท่านจะอบรมธรรมะ แก้ปัญหาธรรมที่มีภิกษุสามเณรติดขัดจนเป็นที่เข้าใจ ตอนกลางคืนท่านจะให้พระภิกษุสามเณรนั่งสมาธิภาวนาทุกรูป ซึ่งปรากฏว่าไม่มีใครกล้าหลีกเลี่ยง พอตอนเช้าท่านก็จะเรียกพระภิกษุสามเณรที่ไม่ปฏิบัติกรรมฐานมาว่ากล่าวตักเตือน ชี้ให้เห็นถึงความเสียหายต่าง ๆ จนเป็นที่ยำเกรงของคณะศิษย์ทุกรูป หลวงปู่สิงห์ฉันหนเดียว และฉันเฉพาะในบาตรเป็นวัตร ตลอดชีวิต ท่านถือผ้าไตรจีวรสามผืนเป็นวัตร ท่านถือผ้านิสีทนะปูนั่งเป็นวัตร คือจะนั่ง ณ ที่ใดก็ตาม ท่านด้องปูผ้านิสีทนะของท่านก่อนจึงจะนั่งทับลงไป การปฏิบัติต่าง ๆ หลวงปู่สิงห์ถือเคร่งครัดมาก ขันติของหลวงปู่สิงห์ ท่านมีความเพียรพยายามจริง ๆ เดินจงกรมตลอดวัน นั่งสมาธิตลอดคืน บางทีท่านจะสั่งลูกศิษย์ คือพระครูใบฎีกาณรงค์ชัย รักขิตสีโล ให้ปฏิบัติท่าน โดยท่านจะเข้าสมาบัติเป็นเวลา ๕ วันบ้าง ๗ วันบ้าง ซึ่งก็หมายความว่าท่านได้อดอาหารเป็นเวลา ๕- ๗ วันไปด้วยซึ่งร่างกายของท่านมิได้มีอะไรผิดปรกติ ยังเห็นท่านปฏิบัติกรรมฐานเดินจงกรมทุกวี่วันมิได้ขาด เมื่อเกิดการเจ็บป่วยเจ็บปวดมีทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ท่านก็ไม่เคยปริปากบอกใคร เวลาเจ็บป่วยหนักๆ ลุกไม่ขึ้น เมื่อมีแขกมาเยี่ยม แขกถามว่า ท่านอาจารย์สบายดีหรือ ท่านก็ตอบเขาไปว่า สบายดีอยู่ ทั้งๆที่เจ็บปวดอย่างที่คนธรรมดาสามัญจะทนไม่ได้ หลวงปู่สิงห์เป็นมะเร็งเกี่ยวกับลำไส้ ช่วงระยะเวลาช่วงหลังของชีวิต ท่านถูกโรคร้ายนี้คุกคามตลอดเวลา ครั้งหนึ่ง ตอนที่หลวงปู่สิงห์นอนป่วยอยู่ ท่านพระครูใบฎีกาณรงค์ชัย ได้เข้าเวรรักษาพยาบาลปรนนิบัติท่าน ขณะกำลังนั่งทำงานพัดอยู่ กลดเจ้ากรรมหล่นลงมากระแทกหน้าอกของหลวงปู่สิงห์ เป็นกลดแบบกรรมฐานที่ฝ่ายมหานิกายใช้เสียด้วย มันเบาอยู่เสียเมื่อไหร่ หนักร่วม ๓๐ กิโลกรัม ด้ามเป็นเหล็กด้วยซ้ำ ตกลงมาถูกหน้าอกท่านเป็นรอยช้ำ ท่านมิได้ปริปากพูดแต่ประการใด เพียงแต่นอนมองทำตาปริบๆ เท่านั้น ถ้าเป็นคนอื่นโดนเข้าแบบนี้ ในขณะที่ไม่สบายด้วยเช่นนี้ มิด่าโขมงโฉงเฉงไปหมดหรือ แต่ท่านมีขันติความอดทนเสียทุกอย่าง เป็นพระจริง ๆ สมกับเพศสมณะ ตอนงานผูกพัทธสีมา วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา กำลังทำสังฆกรรมในโบสถ์ พอดีกับเวลานั้นโรคมะเร็งของท่านกำเริบเจ็บปวดจนกระดิกตัวไม่ได้ ท่านก็ไม่ยอมปริปากบอกให้ใครรู้ จนเสร็จจากสังฆกรรมเรียบร้อย พระสงฆ์องค์อื่นลุกออกไปเกือบหมดแล้ว หลวงปู่สิงห์จึงได้บอกกับพระครูใบฎีกาณรงค์ชัยว่า “ขณะนี้ในท้องของเราไม่ปรกติเสียแล้ว” ท่านพูดเพียงแค่นี้เอง แต่ความไม่ปรกติของท่านนั้น ทำเอาท่านลุกไม่ขึ้น ด้องหามส่งเข้าโรงพยาบาลทันที ปฏิปทาในด้านความมีขันติของหลวงปู่สิงห์ เป็นที่กล่าวขวัญในระหว่างลูกศิษย์ทุกคนด้วยความศรัทธา กลับสู่สำนักเดิม ระยะหลังบั้นปลายของชีวิตของหลวงปู่สิงห์ ท่านถูกโรคมะเร็งรบกวนอย่างหนักตลอดเวลา แต่ท่านก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่สั่งสอนภิกษุสามเณรอยู่เสมอมิได้ขาด จวบจนปี พ.ศ.๒๕๐๒ คณะสัปบุรุษวัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา ได้มาอาราธนาหลวงปู่สิงห์จากวัดป่าทรงคุณ จ.ปราจีนบุรี ให้กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าสาลวันอีกหลวงปู่สิงห์ได้ไปจำพรรษาวัดป่าสาลวัน ๑ พรรษา พอปี พ.ศ. ๒๕๐๓ ท่านได้กลับมาจำพรรษาที่วัดป่าทรงคุณอีก ช่วงนี้เองอาการป่วยเริ่มเบียดเบียนท่านอีก ต้องเข้าทำการผ่าตัดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎๆ พอปี พ.ศ.๒๕๐๔ ท่านได้จัดงานผูกพัทธสีมาวัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา งานเสร็จก็ป่วยหนักจนด้องส่งเข้าโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ อีก วันเข้าพรรษาลูกศิษย์ได้รับมาพักรักษาตัวที่วัดป่าสาลวันตามเจตนาของหลวงปู่สิงห์ ดูเหมือนท่านจะรู้วาระของท่านอย่างแน่ชัด โดยท่านได้จัดการสั่งสอนศิษย์และภิกษุสามเณร มอบงานหน้าที่ต่าง ๆ จนเป็นที่เรียบร้อย จวบวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๔ ท่านก็มรณภาพด้วยอาการสงบ ท่ามกลางศิษย์ที่เฝ้าดูแล ยังความเศร้าสลดต่อลูกศิษย์ลูกหาที่เฝ้าดูแลเป็นอย่างยิ่ง วันมรณภาพของหลวงปู่สิงห์ ได้มีนิมิตบอกมายังพระครูใบฎีกาณรงค์ชัย ซึ่งตอนนั้นอยู่ที่วัดป่าทรงคุณ จ.ปราจีนบุรี พระครูใบฎีกาณรงค์ชัย จึงรีบเดินทางมายังวัดป่าสาลวัน แต่ก็มาถึงช้าไป ปรากฏว่าหลวงปู่สิงห์ได้มรณภาพเสียก่อนแล้วประมาณ ๒ ชั่วโมง หลวงปู่สิงห์มรณภาพ เวลา ๑๐.๒๐ น. ของวันที่ ๘ ก.ย. ๒๕๐๔ ซึ่งเป็นการสูญเสียพระวิปัสสนาจารย์องค์สำคัญของพระกรรมฐาน ในสายท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ทีเดียว สิ่งมหัศจรรย์ หลังจากที่ท่านมรณภาพ ลูกศิษย์จะนำศพของท่านจากกุฏิลงศาลาไปสรงน้ำ พอเจ้าหน้าที่ยกศพขึ้นจากที่ ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่มีเค้าเลย แต่พอวางศพท่านลงถึงพื้น ฝนหยุดตกทันที พอหมอนำยามาฉีดกันศพเน่า ก็เกิดฉีดไม่เข้าอีก เล่นเอาเข็มฉีดยาหักไปสามเล่ม เจ้าคณะจังหวัดนครราชสมาต้องหาดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมาและขออนุญาต พอแทงเข็มเข้าก็ยาไม่เดินอีก ต้องจัดหาดอกไม้ขัน ๕ มาบอกกล่าวอีก และเกิดปาฏิหาริย์ ไม่ต้องเร่งดันเข็ม ยาวิ่งเข้าเองเลย ทำให้คณะศิษย์ที่อยู่ในบริเวณยกมือท่วมหัวสาธุกันทั่วหน้า เป็นบุญบารมีของท่านอย่างแท้จริง เมื่อตกแต่งศาลาหลังต่ำเสร็จ จะนำศพท่านไปสรงน้ำและตั้งศพท่าน พอเจ้าหน้าที่ยกศพท่านขึ้น ฝนก็ตกลงมาอีกแต่พอถึงที่วางศพท่านลง ฝนก็หยุดทันที ยังความแปลกประหลาดใจแก่ผู้พบเห็นกันทั่วหน้า เมื่องานพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่สิงห์ก็เช่นกัน พอเจ้าหน้าที่ยกศพของท่านขึ้น ฝนก็เริ่มดกปรอย ๆ ได้นำศพของท่านแห่รอบศาลาเมรุสามรอบแล้วนำขึ้นตั้งบนเมรุ พอวางศพท่านลงฝนก็หยุดตกทันที ในวันพระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่สิงห์นั้นมีผู้คนจากทั่วสารทิศ มีคณะศิษย์ทั้งฆราวาสและสามเณรรวมทั้งภิกษุในสายอาจารย์มั่น ภูริทัตโต มาร่วมชุมนุมกันครบถ้วน จนบริเวณวัดป่าสาลวันแน่นขนัด คับแคบไปถนัดตา วัตถุมงคล หากจะไม่กล่าวถึงการสร้างวัตถุมงคลของท่าน ก็จะไม่นับเป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์ หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม ได้สร้างพระเครื่องไว้ ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ดังนี้ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๐ หลวงปู่สิงห์ ได้จัดให้สร้างเหรียญปางลีลา ด้านหน้าเขียนว่า “ฉลองพุทธศาสนา ๒๕๐๐” โดยทำเป็นเหรียญรูปไข่ ด้านหลังเป็นยันต์หมอมหาวิเศษของท่าน แบ่งออกเป็น ๒ แบบเป็นของชาย ของหญิง ไม่ใช้รวมกัน ได้จัดสร้างที่วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา พ.ศ.๒๕๐๑ หลวงปู่สิงห์ได้จัดสั่งให้สร้างเหรียญรูปเหมือนของท่าน หลวงปู่สิงห์ได้จัดสั่งให้ทำเป็นรูปไข่ แต่คนรับไปทำคือ นายสมศักดิ์ แสงจันทร์ กลับไปสั่งให้ร้านรับทำที่กรุงเทพๆ จัดทำเป็นรูปโดยตัดตามรอยหยักขององค์พระตามรูปท่านั่งสมาธิของหลวงปู่สิงห์ แต่เมื่อนำกลับมาส่งมอบให้ท่านปลุกเสก ท่านเห็นรูปเหรียญที่ทำมาท่านบอกว่า “แบบนี้เราไม่ต้องการ เราสั่งให้ทำเหรียญแบบรูปไข่แบบกลม ๆ ไปทำแบบไหนมา ให้นำไปฝัง” แต่ท่านก็ปลุกเสกให้ เมื่อท่านปลุกเสกให้แล้วจะนำไปฝังดินทิ้ง แต่ทหารค่ายจักรพงษ์ขอไปแล้วนำไปทดลองยิงปรากฏว่ายิงไม่ออก ยิงครั้งที่สามปืนแตกจนไหม้คนทดลองยิง เป็นเหตุให้คนต่างอยากได้ไว้บูชาประจำตัวกัน พวกลูกศิษย์ลูกหาจงมาขออ้อนวอนให้ท่านนำมาแจกในงานฉลองสมณศักดิ์ของท่าน เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ โดยนำเหรียญดังกล่าวใส่บาตรไว้ตามแต่ใครจะเอา ให้ทำบุญบูชาองค์ละ ๒๐ บาท นับว่าเหรียญรุ่นนี้แปลกกว่าเหรียญอื่นๆ การทำทำได้สวยงามมาก นับว่าเป็นเหรียญรุ่นแรกของหลวงปู่สิงห์ ปัจจุบันเหรียญรุ่นนี้หาดูยากแล้ว พ.ศ. ๒๕๐๔ หลวงปู่สิงห์ได้จัดสร้างเหรียญรูปเหมือนของท่าน เป็นแบบตัดริมหยักตามองค์พระอีก ด้านหลังเป็นยันต์หมอมหาวิเศษของท่านเช่นเติม คราวนี้จัดสร้างเป็นล็อกเกตรูปของท่านด้วยแบ่งเป็นของชายหญิงแยกกัน ทำแผ่นยันต์หมอมหาวิเศษ และแหวนเงินลงยารูปหลวงปู่สิงห์ด้วย พระชุดนี้สร้างแจกในงานผูกพัทธสีมาวัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา เหรียญรูปหลวงปู่สิงห์รุ่นนี้นับเป็นรุ่นที่ ๒ มีพวกรถไฟนำไปใช้แขวนสร้อยอยู่ ไปทะเลาะมีเรื่องกัน โดนฟันด้วยมีดขอ ๓ ครั้งไม่เข้า พอโดนฟันอีกครั้งโดนสร้อยขาดหลวงพ่อกระเด็น ไม่เข้าอีก หนที่ห้า หลวงพ่อไม่อยู่ด้วย ปรากฏว่าเข้า ตั้งแต่นั้นมา เหรียญหลวงพ่อแบบนี้จึงเป็นที่นิยมกันมาก เหรียญรุ่นนี้เคยมีคนขอเช่ากันในราคาเหรียญละหลายพันบาท จึงเป็นเหรียญเงียบๆ ที่มีราคาค่างวดสูง รู้กันเฉพาะคนที่สนใจในพุทธคุณจริง ๆคนที่มีอยู่ต่างก็หวงแหน พูดถึงด้านพุทธคุณกันแล้วเหรียญอาจารย์ดังๆในปัจจุบันยังเป็นรองหลายชั้นนัก หลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้สร้างอีก นับว่าเหรียญรุ่นที่ ๒ เป็นเหรียญรุ่นสุดท้ายของหลวงปู่สิงห์ เพราะหลังจากงานผูกพัทธสีมาวัดป่าสาลวันแล้ว หลวงปู่สิงห์ก็ล้มป่วยและมรณภาพในเวลาต่อมาด้วยโรคมะเร็งในท้อง ดังกล่าวแล้ว ที่มา : ประตูสู่ธรรม หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 05 มีนาคม 2011, 19:51:40 หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: ITTO008 ที่ 05 มีนาคม 2011, 19:56:52 ขอบคุณที่นำสิ่งดีๆมามอบให้มากๆครับ :wanwan017:
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: tonnant ที่ 05 มีนาคม 2011, 20:26:44 ขออนุโมทนาครับ :wanwan017:
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: successman ที่ 05 มีนาคม 2011, 21:23:42 อนุโมทนาบุญครับ ...
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: nongmeepooh ที่ 05 มีนาคม 2011, 21:30:19 สา ธุ ...
:wanwan017: หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: maleated ที่ 05 มีนาคม 2011, 21:41:04 ขออนุญาตนำไปเผยแพร่ต่อครับ
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: m-16-150 ที่ 05 มีนาคม 2011, 22:31:51 สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ :wanwan017:
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: Thanan ที่ 05 มีนาคม 2011, 23:47:36 อนุโมทนาด้วยครับ
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 15 มีนาคม 2011, 14:10:48 ขอบคุณที่นำสิ่งดีๆมามอบให้มากๆครับ :wanwan017: ด้วยความยินดีครับ :wanwan017: ขออนุโมทนาครับ :wanwan017: สาธุ :wanwan017: อนุโมทนาบุญครับ ... สาธุ :wanwan017: สา ธุ ... :wanwan017: สาธุ :wanwan017: ขออนุญาตนำไปเผยแพร่ต่อครับ ได้ครับ อย่าลืมบอกที่มาตามที่ผมเขียนไว้ด้วยนะครับ :wanwan017: สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ :wanwan017: สาธุ :wanwan017: อนุโมทนาด้วยครับ สาธุ :wanwan017: หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: thevoice ที่ 15 มีนาคม 2011, 14:22:24 ไม่ยึดติดกับพระสงฆ์รูปใด ๆ ครับ ยึดที่หลักของธรรมะก็พอ
เราไม่รู้ว่าพระสงฆ์รูปใดดี ไม่ดีอย่างไร แต่ธรรมะนั้นดีแน่แท้ 100% บูชาพระในใจ บูชาพระในบ้าน บูชาพระใกล้บ้าน แค่นั้นพอ ส่วนพระสงฆ์องค์เจ้ารูปใด ที่เป็นพระสุปฏิปันโน ก็อนุโมทนาสาธุด้วยครับ หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: skyworker ที่ 15 มีนาคม 2011, 15:31:18 กระทู้นี้ดีมากๆ
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: thitiwut09 ที่ 15 มีนาคม 2011, 16:13:49 :wanwan017: สาธุ ขอบคุณมาก ๆ
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: khonthai ที่ 15 มีนาคม 2011, 18:23:22 อนุโมธนา ครับ
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: monid ที่ 15 มีนาคม 2011, 18:57:13 ขอให้ผลกรรมดีจงมีต่อเจ้าของกระทู้ และขออนุญาตินำไปเผยแผ่ต่อ เผื่อเป็นการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: jane ที่ 15 มีนาคม 2011, 19:01:38 _/|\_ สาธุ อนุโมทนาบุญค่ะ _/|\_
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 16 มีนาคม 2011, 10:55:23 ไม่ยึดติดกับพระสงฆ์รูปใด ๆ ครับ ยึดที่หลักของธรรมะก็พอ เราไม่รู้ว่าพระสงฆ์รูปใดดี ไม่ดีอย่างไร แต่ธรรมะนั้นดีแน่แท้ 100% บูชาพระในใจ บูชาพระในบ้าน บูชาพระใกล้บ้าน แค่นั้นพอ ส่วนพระสงฆ์องค์เจ้ารูปใด ที่เป็นพระสุปฏิปันโน ก็อนุโมทนาสาธุด้วยครับ ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ เห็นด้วยอย่างยิ่งสิ่งที่จริงแท้แน่นอนนั้นคือ ธรรมะ :wanwan017: กระทู้นี้ดีมากๆ ขอบคุณครับ :wanwan017: :wanwan017: สาธุ ขอบคุณมาก ๆ สาธุ ด้วยความยินดีครับ :wanwan017: อนุโมธนา ครับ สาธุ :wanwan017: ขอให้ผลกรรมดีจงมีต่อเจ้าของกระทู้ และขออนุญาตินำไปเผยแผ่ต่อ เผื่อเป็นการทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไปครับ สาธุ นำไปเผยแผ่ต่อได้เลยครับ การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง :wanwan017: _/|\_ สาธุ อนุโมทนาบุญค่ะ _/|\_ สาธุ :wanwan017: หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: queen110 ที่ 16 มีนาคม 2011, 11:03:49 ขอบคุณที่เอามาเผยแพร่ครับ
รวมไว้อ่านง่ายดี จะไล่อ่านไปเลื่อยๆ มีพระที่ปฎิบัติดี เราคนธรรมดาก็ภูมิใจครับ เห็นด้วยศาสนาไม่ได้เสื่อม คนต่างหากที่ละทิ้งธรรมชาติ นั่นก็คือศาสนานั่นเอง หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 16 มีนาคม 2011, 12:12:46 5.หลวงปู่ชอบ ฐานสโม (http://2.bp.blogspot.com/_zlgC1hcNXLE/SXfpLBtI7xI/AAAAAAAACow/xYLS8f9NmPc/s320/หลวงปู่ชอบ.jpg) ประวัติหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม มีชาติกำเนินในสกุลแก้วสุวรรณ เดิมชื่อ บ่อ เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2444 ตรงกับวันพุธขึ้น 5 ค่ำ เดือน 3 ปีฉลู ณ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย โยมบิดาชื่อ มอ โยมมารดาชื่อ พิลา ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4 คน เป็นชาย 2 คน เป็นหญิง 2 คน มีชื่อเรียกกันตามลำดับคือ 1. ตัวท่าน บ่อ แก้วสุวรรณ 2. น้องสาว ชื่อ พา แก้วสุวรรณ 3. น้องสาว ชื่อ แดง แก้วสุวรรณ 4. น้องชายสุดท้อง ชื่อ สิน แก้วสุวรรณ ทั้งน้องสาวและน้องชาย รวม 3 คนนี้ปัจจุบันถึงแก่กรรมไปตามกาลเวลาหมดแล้ว โยมบิดามารดาเล่าให้ท่านฟังว่าบรรพบุรุษต้นตระกูลของท่านนั้น เดิมมีถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ที่ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย มีอาชีพหลักคือการทำนา แต่โดยที่พื้นที่ เป็นภูเขาเป็นส่วนใหญ่ การทำนาต้องอาศัยไหล่เขา ยกเดินเป็นขั้นบันไดเป็นชั้นๆ ไปจึงจะปลูกข้าวได้ แม้จะลงแรงทำงานหาเลี้ยงกันอย่างไม่ยอมเหนื่อย ต้องทำไร่ตามดอย เพิ่มเติม แต่ก็ไม่ค่อยพอปากพอท้อง โดยเฉพาะบางปีถ้าฝนแห้งแล้ง ข้าวไม่เป็นผล พืชล้มตาย ก็อดอยากแร้นแค้น จึงได้คิดโยกย้ายไปแสวงหาถิ่นทำกินใหม่ ซึ่งจะเป็นที่ราบลุ่ม อันไม่เป็นที่ดอยที่เขาเช่นแต่ก่อน ตระกูลของท่านพากันอพยพหนีความอัตคัดฝืดเคือง มาหภูมิสำเนาใหม่ ผ่านหุบเหวภูเขาสูงของอำเภอด่านซ้าย ผ่านป่าดงพงทึบของภูเรือ ภูฟ้า ภูหลวง ได้มาพบชัยภูมิใหม่เหมาะ คือที่บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง ยังเป็นที่รกร้างว่างเปล่าใกล้หุบห้วย เหมาะแก่การเพาะปลูก จึงช่วยกันหักร้างถางป่า ออกเป็นไร่นาสาโท คงยึดอาชีพหลักคือการทำนาเช่นเดิม ณ ที่บ้านโคกมนนี้เอง ที่เด็กชายบ่อ บุตรชายคนหัวปีของสกุลแก้วสุวรรณได้ถือกิเนิดมาเป็นประดุจพญาช้างเผือกที่มีกำเนิดจากกลางไพรพฤกษ์ ทำให้ชื่อป่าที่เกิด ของพญาช้างเผือกนั้น เป็นที่รู้จักขจรขจายไปทั่วสารทิศ...ฉันใด หลวงปู่ก็ทำให้ชื่อ "หมู่บ้านโคกมน" บ้านที่เกิดของท่านเป็นที่รู้จัก เป็นที่จาริกแสวงบุญ ของบรรดาชาวพุทธ ทั่วประเทศ ... ฉันนั้น ชีวิตตอนเป็นเด็กของท่าน นับว่ามีภาระเกินวัยด้วยเกิดมาเป็นบุตรหัวปี ต้องมีหน้าที่ช่วยบิดามารดา ทำการงานในเรือกสวนไร่นา พร้อมทั้งต้องทำหน้าที่พี่ใหญ่ ดูแลน้องๆ หญิงชายทั้งสามด้วย บ้านโคกมนในปัจจุบันนี้ แม้ว่าผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านจะคุยให้เราฟังว่า มีความเจริญขึ้นกว่าเมื่อเจ็ดสิบปีก่อนอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่ในสายตาของเราชาวกรุง ก็ยังเห็นคงสภาพเป็นบ้านป่าชนบทอยู่มาก ดังนั้นหากจะนึกย้อนกลับไป สมัยที่ท่านยังเป็นเด็กเล็กอยู่ ณ ที่นั้น บ้านเกิดของท่าน ก็คงมีลักษณะเป็นบ้านป่าเขา ที่น่าเห็นใจอย่างยิ่ง สมาชิกทุกคนในครอบครัว ต้องช่วยกันตัวเป็นเกลียว โดยไม่เลือกว่าผู้ใหญ่หรือเด็ก ระหว่างที่พวกผู้ใหญ่ต้องไถ หว่านปักกล้า ดำนา เด็กๆ ก็ต้องเลี้ยงควาย คอยส่งข้าวปลาอาหาร เด็กโตหรือลูกหัวปีอย่างท่าน ก็ต้องช่วยในการไถ ปักกล้า ดำนาด้วยขณะเดียวกันก็ต้องคอยดูแลน้องๆ กลับจากทำนา ก็ต้องช่วยกันหาผักหญ้า หน่อหวาย หน่อโจด หน่อบง หน่อไม้ รู้จักว่ายอดอ่อนของต้นไม่ชนิดใดในป่าในท้องนาควรจะนำมาเป็นอาหารได้ เช่น ยอดติ้วใบหมากเหม้า ผักกระโดน... โดยมากเด็กชายบ่อจะพอใจช่วยบิดามารดา ทางด้านเรือกสวนไร่นามากกว่ากล่าวคือ จะช่วยเป็นภาระทางด้านเลี้ยงควาย ไถนา เกี่ยวข้าว หาผักหญ้า แต่ด้านการหาอาหารที่ต้องเกี่ยวเนื่องด้วยชีวิตผู้อื่น เช่น การจับปู ปลา หากบ เขียด มาเป็นอาหารประจำวันอย่างเด็กอื่นๆ นั้น ท่านไม่เต็มใจจะกระทำเลย ยิ่งการเล่นยิงนก กระรอก กระแต ที่เด็กต่างๆ เห็นเป็นของสนุกสนานนั้น ท่านจะไม่ร่วมวงเล่นด้วยอย่างเด็ดขาดพูดง่ายๆ ท่านไม่มีนิสัยทาง "ปาณาติบาต" มาแต่เด็กนั่นเอง ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา หลวงปู่มีจิตโน้มน้าวไปสู่ธรรมตั้งแต่ยังเด็กกล่าวคือ เมื่อท่านมีอายุได้ 14 ปี ได้มีพระธุดงค์กรรมฐานองค์หนึ่งจาริกไปปักกลดรุกขมูลอยู่ที่วัดบ้านตระครูแซ ใกล้บ้านท่านพระธุดงคกรรมฐานองค์นั้นมีชื่อว่า พระอาจารย์พา เป็นศิษย์องค์หนึ่งของ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ท่านเป็นพระที่มีจริยาวัตรที่นุ่มนวล และเคร่งครัดในธรรมวินัย คนในหมู่บ้านรวมทั้งมารดาและญาติผู้ใหญ่ของหลวงปู่จึงมีความเลื่อมใสศรัทธาพากันไปปรนนิบัติอุปัฏฐาก ถวายกัปปิยะจังหัน อยู่มิได้ขาด ตัวท่านเองก็พลอยติดตามโยมมารดาไปด้วย ในฐานะที่เป็นเด็กชายแรกรุ่น วัยกำลังใช้กำลังสอย จึงได้รับหน้าที่มอบหมาย ให้คอยปฏิบัติรับใช้พระ ประเคนของ ล้างบาตร ให้พระอาจารย์ทุกวัน ราวกับว่าพระอาจารย์พา จะตั้งใจไปโปรดเด็กชายน้อย แห่งสกุลแก้วสุวรรณโดยเฉพาะ ท่านจึงปักกลดอยู่ใกล้หมู่บ้านนานพอดู จนกระทั่ง เด็กชายน้อยเกิดความรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคย กับท่านอาจารย์พาเป็นอย่างดี ท่านสอนให้เด็กชายรู้จักของควรประเคน และไม่ควรประเคน เวลาว่าง ก็เมตตาสอนหนังสือ ให้บ้าง และอบรมการสวดมนต์ภาวนาให้บ้าง จิตของเด็กชายน้อย จึงโน้มน้าวไปสู่ทางธรรมมากขึ้นทุกที จนในที่สุด เมื่อพระอาจารย์พาเห็นนิสัย อันสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ฝักใฝ่ในทางธรรมของเด็กชายน้อยผู้นี้ "บ่มได้ที่" แสดง "นิสัยวาสนา" แต่ก่อนอย่างเพียงพอแล้ว ท่านก็ออกปากชวนไปบวชด้วย "บวชกับเราไหม" เด็กชายน้อยแห่งสกุลแก้วสุวรรณก็ตอบคำเดียว...สั้นๆ อย่างไม่ลังเลเยว่า "ชอบครับ" ท่านถามย้ำ "บวชกับเราแน่หรือ" "ชอบครับ" เป็นคำตอบยืนยันอย่างเด็ดเดี่ยว ท่านจึงให้ไปขออนุญาตมารดาผู้ปกครองก่อน เมื่อหลวงปู่ไปขอลามารดา เพื่อจะตามพระอาจารย์ไปออกบวช มารดาทั้งประหลาดใจและตกใจระคนกัน -- ประหลาดใจ...ที่บุตรชายน้อยมีความคิดอาจหาญ เด็ดเดี่ยว...ใจคอจะทิ้งบ้าน ทิ้งอ้อมอกแม่อันอบอุ่น ทิ้งญาติพี่น้องไปได้หรือ -- ตกใจ...ที่ในวัยเพียงเท่านี้ บุตรชายน้อยจะต้องจากบ้านเดินทางไปถิ่นทางไกลอันลำบากยากแค้นลำเค็ญ เหมือนคนไร้ญาติขาดมิตร อย่างไรก็ดีท่านก็ยังพออุ่นใจได้บ้างว่า บุตรชายน้อยของท่านคงจะได้รับความคุ้มครองดูแลจากท่านอาจารย์พาเป็นอย่างดี แต่ที่จะไม่ให้ห่วงหาอาลัยเลย นั้นคงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งมารดาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ลูกของท่านจะมีความตั้งใจแน่วแน่มั่นคงแค่ไหน จึงถามย้ำแล้วย้ำอีก "จะบวชไหม" "จะบวชแน่หรือ" ทุกครั้ง...ไม่ว่าจะเป็นคำถามจากมารดาก็ดี จากญาติผู้ใหญ่ผู้ทราบเรื่องก็ตกใจ มาช่วยกันซักไซ้ไล่เรียง...ก็ดี ทุกครั้งจะได้รับคำยืนยันอย่างหนักแน่นมั่นคง จากเด็กชายน้อยว่า "ชอบครับ" ทุกคราวไป ดังนั้น ในเวลาต่อมา ชื่อ "เด็กชายบ่อ" จึงกลายเป็น "เด็กชายชอบ" ด้วยประการฉะนี้ เมื่อท่านมีอายุอย่างเข้า 19 ปี ท่านพระอาจารย์พาก็จัดการดูแลให้ผ้าขาวศิษย์รัได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบ้านนาแก บ้านากลาง อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู ด้วยเป็นวัดใกล้บ้านกับที่ลุงของท่านผู้เป็นพี่ชายโยมมารดามีหลักฐานบ้างช่องอยู่ อัฐบริขารนั้นโยมมารดาและยาย ช่วยกันจัดหาให้ด้วยความศรัทธา ท่านใช้ชีวิตระหว่างเป็นสามเณรอยู่ถึง 4 ปีกว่า โดยท่านอาจารย์พามิได้หวงแหน ให้ศิษย์ศึกษาอบรมอยู่กับท่านแต่ผู้เดียว ท่านได้ให้ศิษย์รัก ออกไปศึกษาธรรม กับครูบาอาจารย์ตามสำนักต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อให้มีความรู้แตกฉานกว้างขวางขึ้น หลวงปู่จึงได้มีโอกาสไปกราบเรียนข้อปฏิบัติกับพระอาจารย์องค์อื่นๆ บ้าง เช่น พระอาจารย์สุวรรณ สุจิณฺโณ วัดโยธานิมิต เป็นอาทิ ครั้นท่านมีอายุครบ 23 ปีบริบูรณ์ จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดสร่างโศกซึ่งปัจจุบันมีชื่อว่าวัดศรีธรรมาราม อำเภอเมืองยโสธร ซึ่งขณะนั้น ยังเป็นอำเภอหนึ่ง อยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี ยังมิได้ตั้งขึ้นเป็นจังหวัดยโสธร เช่นทุกวันนี้ หลวงปู่บวชเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2467 มีพระครูวิจิตรวิโสธนาจารย์ เป็นพระอุปัชฌายะ พระอาจารย์แดง เป็นพระกรรมวาจารย์ ได้รับฉายาว่า "ฐานสโม" ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า ท่านมิได้มีนิสัยสนใจทางการศึกษาด้านปริยัติธรรมมากนัก แม้การท่องปาฏิโมกข์นั้น ท่านใช้เวลาเรียนท่องถึง 7 ปี จึงจำได้หมด "รู้ความ แต่ไม่ได้ท่องจำ" ท่านเล่า เมื่อกราบเรียนถามว่าเหตุใดหลวงปู่จึงใช้เวลานานนัก ท่านก็ตอบอย่างขันๆ ว่า "นานๆ ท่องเถื่อ (ครั้งหนึ่ง บางทีก็ 2 เดือน ท่องเถื่อหนึ่ง บางทีก็ 3 เดือนท่องเถื่อหนึ่ง" "ในใจภาวนามากกว่า" ท่านสารภาพว่า ท่านดื่มด่ำในการภาวนามากท่านใช้คำบริกรรม "พุทโธ" อย่างเดียว มิได้ใช้ "อานาปานสติ" หรือกำหนดลมหายใจ เข้า-ออก ควบคู่กับพุทโธเลย สิ่งที่ไม่เคยเห็น ก็ได้เห็น สิ่งที่ไม่เคยรู้ ก็ได้รู้ สิ่งที่เป็นของสาธารณแก่ปุถุชนธรรมดาก็กลับปรากฏขึ้น เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง..! ท่านเล่าว่า จิตของท่านรวมลงสู่ความสงบได้โดยง่ายมากและเกิดความรู้พิสดาร การนี้เริ่มปรากฏแก่ท่าน ตั้งแต่ขณะที่ท่านยังเป็นสามเณรอยู่ ท่านสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่แปลกลึกลับได้ดีเกินกว่าสายตามนุษย์สามัญจะรู้เห็นได้ ได้ล่วงรู้ความคิดความนึกในจิตใจของผู้อื่น ไม่ได้นึกอยากเห็น ก็เห็นขึ้นมาเอง ไม่ได้นึกอยากรู้ ก็รู้ขึ้นมาเอง รวมทั้งการรู้เห็นสิ่งแปลกๆ เช่น พวกกายทิพย์ คือ เทวบุตร เทวธิดาอินทร์พรหม ยมยักษ์ นาค ครุฑ...หรือ การรู้วาระจิตคนอื่น ที่เขาคิด เขานึกอยู่ในใจก็สามารถได้ยินชัด... สิ่งเหล่านี้...แรกๆ ท่านก็ทั้งตกใจ ทั้งประหลาดใจ แต่เมื่อเป็นมาระยะหนึ่งได้รู้ว่าอะไรคือความจริง อะไรคือภาพนิมิตก็ระงับสติได้ มีสติว่านี่เป็นเรื่องพิสดาร แต่ไม่ควรจะให้ความสนใจมากนัก นี่เป็นเหตุหนึ่งที่เมื่อได้บวชเป็นภิกษุแล้ว ท่านก็บากบั่นมุ่งมั่นต่อไปในแดนพุทธอาณาจักรอย่างไม่ย่อท้อ ครูบาอาจารย์ก็ช่วยให้ความมั่นใจว่า เมื่อท่านเป็นผู้มีนิสัยวาสนาทางนี้แล้ว ก็ควรจะเร่งทำความพากความเพียรต่อไป ไม่ควรให้ความสนใจต่อสิ่งที่เป็นเหมือน "แขกภายนอก" เหล่านี้อย่านึกว่าตนเป็นผู้วิเศษ ผู้เก่งกล้าอะไร ผู้ใดมีวาสนาบารมี สร้างสมอบรมมาอย่างไร ก็จะเป็นไปอย่างนั้น เปรียบเสมือนการปลูกต้นผลไม้ หากเรานำเอาเมล็ดมะม่วงมาเพาะ ปลูก ลงดิน รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย บำรุงต้นไม้นั้นไป วันหนึ่งก็จะออกดอกออกช่อ ให้ผลเป็นมะม่วง จะกลายเป็นมะปราง หรือมะไฟ ก็หามิใช่ หรือผู้ที่ไม่เคยเพาะเลียงมะม่วง ไม่เคยปลูกมะม่วง แต่จะนั่งกระดิกเท้ารอให้เกิดต้นมะม่วง มีผลมะม่วงขึ้นมาเอง ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน ท่านเป็นผู้มีวาสนาบารมีธรรมสร้างสมอบรมมาแต่บรรพชาติ จิตจึงเกรียงไกร มีอานุภาพ แต่ก็ควรจะประมาณตนอยู่ เพราะความรู้สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่จุดหมาย ปลายทาง ของผู้กระทำความเพียรภาวนา นักปราชญ์จะไม่มัวหลงงมงายอยู่กับความรู้ภายนอก อันเป็นโลกียอภิญญา จุดมุ่งหมายปลายทาง ของปวงปราชญ์ ราชบัณฑิตนั้น อยู่ที่การกำจัดอาสวกิเลสที่หมักดองอยู่ในกมลสันดานของเราให้หมดไป สิ้นไป โดยไม่เหลือแม้แต่เชื้อต่างหาก หลวงปู่ได้น้อมรับคำสั่งสอน เตือนสติของครูบาอาจารย์ ด้วยความเคารพ แม้หมู่พวกเพื่อนๆ จะมีความเกรงใจท่านอยู่มาก แต่ท่านก็มีความเสงี่ยม เจียมตัวอยู่ มิได้นึกเห่อเหิมอวดดี แต่ประการใด ระยะแรกๆ ท่านเต็มไปด้วยความระวังตัว ด้วยไม่แน่ใจว่าบางครั้งภาพที่ปรากฏให้ท่านเห็นนั้น จะมีผู้อื่นเห็นเหมือนกับท่านหรือไม่ หากเขาปรากฏให้ท่านเห็นเพียงผู้เดียว การทักทายปราศรัยหรือสนทนา ก็อาจทำให้ถูกมองเหมือนเป็นคนบ้า คนประหลาด พูดคุยคนเดียวก็ได้ ท่านจึงเป็นผู้เงียบสงบ ไม่ค่อยพูดคุยสุงสิงกับใครมากนัก ด้วยได้ใช้ภาษาใจได้อย่างเป็นประโยชน์มากกว่า อย่างไรก็ดีต่อมาท่านก็ชำนาญในการนี้มากขึ้น จนรู้ได้ทันทีว่าเป็นนิมิตหรือไม่ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ท่านก็คิดหมายมาดว่า ท่านจะต้องเร่งโอกาสความเพียรพยายามต่อไปโดยไม่ประมาท หลวงปู่บวชแล้วถึง 4 ปี จึงได้มีโอกาสพบ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ...!!! ความจริง พระอาจารย์พา อาจารย์องค์แรกผู้พาท่านออกดำเนินทางธรรม โดยให้เป็นผ้าขาวน้อยเดินรุกขมูลไปกับท่าน จนกระทั่งเป็นธุระให้ท่านบวชเณร... ก็เป็นศิษย์องค์หนึ่งของท่านพระอาจารย์มั่น ท่านเคยเคารพเลื่อมใสพระอาจารย์พา อาจารย์ของท่านมาก และอดคิดแปลกใจไม่ได้ ที่ท่านพระอาจารย์พาเล่าให้ฟัง ถึงท่านพระอาจารย์มั่น อาจารย์ของท่านด้วยความเคารพเทิดทูนอย่างสูงสุด ท่านว่าพระอาจารย์พาเคร่งครัด ในเรื่องข้อวัตรปฏิบัติมากอยู่แล้ว แต่ท่านพระอาจารย์พา บอกว่าท่านพระอาจารย์มั่นเคร่งครัดในเรื่องข้อวัตรปฏิบัติมากที่สุด ท่านว่าพระอาจารย์พา ฉลาดรอบรู้ในการเทศนาธรรมมากอยู่แล้ว แต่ท่านพระอาจารย์พากล่าวว่า ท่านพระอาจารย์มั่น อาจารย์ของท่าน ฉลาดรอบรู้ในการเทศนาธรรม ได้กว้างขวางพิสดารมากที่สุด ท่านว่า พระอาจารย์พา อ่านใจคนได้มากอยู่แล้ว แต่ท่านพระอาจารย์พายืนยันว่า ท่านพระอาจารย์มั่น อาจารย์ของท่านอ่านใจคน ดักใจคน รู้จิตคนได้ทุกเวลา ทุกโอกาสมากที่สุด ท่านพระอาจารย์มั่นเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ ซึ่งในสมัยนี้ยากจะพบ "พระ" ผู้เป็น "พระ" อันประเสริฐ ผู้เป็นนาบุญอันเลิศ ยากจะหานาบุญใดมาเทียบได้ ควรที่ผู้สนใจใฝ่ทางธรรมอย่างเธอนี้ จะไปกราบกรานขอถวายตัวเป็นศิษย์ ครั้นหลวงปู่ได้ฟังก็อดคิดแปลกใจไม่ได้ว่า ในโลกปัจจุบันนี้ยังจะมีบุคคลผู้ประเสริฐเลิศลอยเช่นนี้อยู่อีกหรือ แต่เมื่ออาจารย์ของท่านบอกไว้ ท่านก็จดจำไว้ คอยสำเหนียกฟังข่าวท่านพระอาจารย์มั่นอยู่ตลอดเวลา และต่อมาเมื่อปรารภกับใคร กิตติศัพท์กิตติคุณของท่าน พระอาจารย์มั่นก็ดูจะเป็นที่เลื่องระบือมากขึ้น ท่านจึงคอยหาโอกาส จะเข้าไปกราบถวายตัวเป็นศิษย์ อยู่ตลอดเวลา ระหว่างที่มารดามาถวายจังหัน หรือฟังเทศน์ที่วัดก็ดี หรือเมื่อ "พระ" ได้ไปเทศน์โปรดที่บ้านก็ดี หลวงปู่ก็ได้มีโอกาสตอบแทนพระคุณโยมมารดา ผู้เป็นบุพการีของท่านเป็นปกติ พรฺหมาติ มาตาปิตโร ปุพฺพาจริยาติ วุจฺจเร อาหุเนยฺยา จ ปุตฺตานํ ปชาย อนุกมฺปกา มารดาบิดา ท่านว่าเป็นพรหมเป็นบูรพาจารย์ เป็นผู้ควรบูชาของบุตรและเป็นผู้อนุเคราะห์หมู่สัตว์ หลวงปู่ได้ให้ความอนุเคราะห์ท่านผู้เป็นพรหม เป็นครูอาจารย์คนแรก เป็นผู้ควรบูชาของท่าน ตามควรแก่สมณเพศวิสัย โดยช่วยเทศน์กล่อมเกลา ให้จิตของโยมมารดา เพิ่มพูนศรัทธาบารมี ในพระพุทธศาสนา แต่แรกโยมมารดาได้มารักษาศีลแปดอยู่ด้วยที่วัดก่อน สุดท้ายครั้นเมื่อศรัทธาปสาทะของท่าน เพิ่มพูนมากขึ้น เห็นทางสว่างทางด้านศาสนา โยมมารดาก็ปลงใจสละเพศฆราวาสโกนผมบวชเป็นชี โยมมารดาของท่านพบความสุขสงบ รู้จักทางภาวนากระทั่งบอกหลวงปู่ไม่ต้องเป็นห่วงท่าน ท่าน "รู้" แล้วให้พระลูกชายธุดงค์เที่ยววิเวกไปได้ตามใจ ธรรมโอวาท หลวงปู่มักจะเทศน์เรื่อง ไตรสรณคมน์หรือ ศีล 5 มากกว่าธรรมข้ออื่น ซึ่งดูเผินๆ เหมือนเป็นหญ้าปากคอก แต่ท่านว่านี่แหละคือ รากฐานของการบำเพ็ญเพียรภาวนา ถ้าไม่มีฐาน ไม่มีศีลรองรับ ก็ยากจะดำเนินความเพียรได้ เพราะ อาทิ สีลํ ปติฎฺฐา จ กลฺยาณญฺจ มาตฺกํ ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย เป็นประมุขของธรรมทั่วไป เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์ หลวงปู่จะเทศน์ เป็นวลีสั้นๆ ประโยคสั้นๆ แต่ก็เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง ถ้าปฏิบัติได้ ปฏิบัติจริง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ และพิจารณาได้ พิจารณาจริง พิจารณาถูก พิจารณาตรง พิจารณาชอบ ...แน่นอน มรรคผลนั้นคงอยู่แค่เอื้อมนั่นเอง เทศน์ที่สั้นที่สุด วาง พิจารณาตน วางตัวเจ้าของ จิตตะในอิทธิบาท 5 เอาใจใส่ มรณานุสฺสติ ให้พิจารณาความตาย... นั่งก็ตาย นอนก็ตาย ยืนก็ตาย เดินก็ตาย ปัจฉิมบท คุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต ได้กล่าวไว้ในคำแถลงหนังสือชีวประวัติ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2535 ว่า "เราเคยซาบซึ้งแก่ใจมานานแล้วว่า เมตตาของท่านใหญ่หลวงเพียงไร แต่ระหว่างการรวบรวมต้นฉบับที่ต้องกราบเรียนซักถาม เพื่อสอบทานรายละเอียดในชีวิตของท่าน ก็ยิ่งซาบซึ้งเป็นที่ประจักษ์แก่ใจผู้เขียน มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชีวิตระหว่างวัยเด็ก วัยรุ่น เริ่มบวช เริ่มธุดงค์ ประสพการณ์สิ่งลึกลับ หลวงปู่ได้เมตตาตอบข้อซัก แม้ริมฝีปากของท่าน จะลำบากในการเปล่งเสียง ลิ้นของท่านจะลำบากอย่างยิ่ง ในการเปล่งคำพูด แต่ท่านก็ยิ่งด้วยเมตตาธรรม เมตตาของท่านไม่มีประมาณจริงๆ" อันเมตตาของหลวงปู่ที่ไม่มีประมาณนั้น ได้แผ่ออกสู่ลูกศิษยานุศิษย์ ผู้ประพฤติธรรม พวกเราทั้งหลาย ซึ่งยังเวียนว่าย วกวนอยู่ในโลกใบกลมๆ ใบนี้ หากจะรับเมตตา ที่หลวงปู่แผ่ออกมาแล้ว พวกเราก็จะต้องปรับเครื่องรับ ให้ตรงกับคลื่นที่หลวงปู่แผ่ออกมา เพื่อที่จะรับกันได้ ศิษย์ผู้ปฏิบัติชอบ ตามหลักคำสอนของหลวงปู่ คงจะได้รับความบันดาลใจ และความสงบเยือกเย็น และด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และบารมีของพระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม คงจะดลบันดาลให้ต่างมีความสุข ความเจริญ ความรุ่งเรือง ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ทั้งทางโลกและทางธรรม ที่มา : ประตูสู่ธรรม หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 16 มีนาคม 2011, 12:48:24 ขอบคุณที่เอามาเผยแพร่ครับ รวมไว้อ่านง่ายดี จะไล่อ่านไปเลื่อยๆ มีพระที่ปฎิบัติดี เราคนธรรมดาก็ภูมิใจครับ เห็นด้วยศาสนาไม่ได้เสื่อม คนต่างหากที่ละทิ้งธรรมชาติ นั่นก็คือศาสนานั่นเอง ขอบคุณครับ หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: Himalayan ที่ 16 มีนาคม 2011, 13:21:03 +1 อนุโมทนาสาธุ :wanwan017:
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: chewpong ที่ 16 มีนาคม 2011, 21:18:31 อนุโมทนา สาธุ :wanwan017:
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 17 มีนาคม 2011, 13:11:19 +1 อนุโมทนาสาธุ :wanwan017: สาธุ อนุโมทนา สาธุ :wanwan017: สาธุ หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 17 มีนาคม 2011, 13:34:19 6.หลวงปู่หลุย จันทสาโร (http://www.dhammajak.net/board/files/_2_290.jpg) ประวัติหลวงปู่หลุย จันทสาโร (ตอนที่1) ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย พระคุณเจ้าหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร เป็นศิษย์สำคัญยิ่งทุกด้านของพระคุณเจ้าท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ ผู้เป็นบูรพาจารย์ เป็นบิดาแห่งวงศ์พระกรรมฐานในสมัยปัจจุบัน ศิษย์สำคัญระดับพระเถราจารย์ใหญ่ที่เป็นที่เคารพบูชา มีชื่อเสียงขจรขจาย เป็นที่คุ้นเคยนามของมหาชนทั่วประเทศ ถือเป็นรุ่นใกล้เคียงกับหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ทั้งสิ้น เช่น พระคุณเจ้าหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ หลวงปู่ชอบฐานสโม หลวงปู่ขาว อนาลโย และหลวงปู่ฝั้น อาจาโร เป็นต้น พระคุณเจ้าหลวงปู่ต่างมีอายุ และอุปสมบทญัตติเป็นธรรมยุตใกล้เคียงกันก่อนหลังดังนี้ เกิด ญัตติเป็นธรรมยุต หลวงปู่หลุย 11 กุมภาพันธ์ 2444 14 พฤษภาคม 2468 หลวงปู่ขาว 26 เมษายน 2434 14 พฤษภาคม 2468 หลวงปู่เทสก์ 26 เมษายน 2445 16 พฤษภาคม 2466 หลวงปู่อ่อน 3 มิถุนายน 2445 25 มกราคม 2467 หลวงปู่ชอบ 12 กุมภาพันธ์ 2444 21 มกราคม 2467 หลวงปู่ฝั้น 20 สิงหาคม 2442 21 พฤษภาคม 2468 ดังนั้นหลวงปู่หลุยจึงญัตติเป็นธรรมยุตก่อนหลวงปู่ฝั้น อาจาโร 7 วันแต่ ญัตติเป็นธรรมยุต วันเดียวกันกับหลวงปู่ขาว ต่างก็เป็นคู่นาคซ้ายขวา ซึ่งกันและกัน แม้จะมีอายุน้อยกว่าหลวงปู่ขาวนับ 10 ปี หลวงปู่อ่อนและหลวงปู่ชอบต่างก็มีอายุอ่อนกว่าหลวงปู่หลุย แต่หลวงปู่เทสก์ อุปสมบท ก่อนท่าน 2 พรรษา ส่วนหลวงปู่อ่อนและหลวงปู่ชอบอุปสมบทก่อน 2-3 เดือน แต่นับพรรษาเท่ากันด้วยระยะนับวันขึ้นปีใหม่ส่งถึงวันที่ 1 เมษายน หลวงปู่หลุยจึงเป็นแม่ทัพนายกองใหญ่และเป็นแม่ทัพหน้ารุ่นเริ่มยุคปฏิบัติธรรมของบูรพาจารย์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร เป็นบุตรของคุณพ่อคำฝอย วรบุตร ลูกชายเจ้าเมืองแก่นท้าว แขวงไชยบุรี ประเทศลาว และเจ้าแม่นางกวย (สุวรรณภา) วรบุตร ธิดาของผู้มีอันจะกินเขตเมืองเลย กำเนิดเมื่อวันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2444 เวลาอรุณรุ่งจวนสว่างมีพี่สาวต่างบิดา 1 คน และน้องชายร่วมบิดา มารดาอีก 1 คน เมื่ออายุ 7 ขวบ บิดาได้ถึงแก่กรรมทำให้มารดาท่านเป็นทุกข์จากการพลัดพรากของรักทั้งจากเป็นและจากตาย จึงอุทิศวิถีชีวิตส่วนใหญ่ ต่อพุทธศาสนา หลวงปู่ซึ่งเคยรื่นเริงสนุกสนาน พาเด็กในละแวกบ้านสนุกกระโดดน้ำ ปีนป่ายต้นไม้จนพลัดตก ซนไปต่างๆ นานา ก็แทบหมดสนุก ด้วยการสูญเสียร่มโพธิ์ร่มไทรของครอบครัว หลวงปู่จึงมักปลีกตัวไปดูสายน้ำ แม่น้ำเลยหลังบ้าน แล้วเปรียบเทียบกับชีวิตมนุษย์เหมือนกับกระแสน้ำ ไปแล้วไม่ยอมกลับ ท่านได้แต่คิด…คิดเพ่งดูน้ำ ดูกระแสน้ำ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของความคิดทางธรรม ภาวนาโดยอาศัยน้ำเป็นอารมณ์ คิดเรื่องชีวิตจนหมกมุ่นเกินวัย จนกระทั่งอายุ 9 ขวบ จิตตกภวังค์จมลง เกิดนิมิตแสงสว่างสีสรรคล้ายสีรุ้ง และในใจก็รู้สึกมาว่า ต่อไปจะต้องบวช และบวชแบบ กัมมัฏฐาน ทั้งที่ขณะนั้นยังเด็กไม่รู้จักกัมมัฏฐานมาก่อน เดิมบิดามารดาตั้งชื่อบุตรชายคนโตนี้ว่า “วอ” แต่เมื่อเข้าโรงเรียน ความมีนิสัยช่างซักช่างเจรจา ช่างออกความเห็นเหมือน “ครูบา” จึงถูกเรียกว่า “บา” จนกลายเป็นชื่อใหม่ของท่าน เด็กชายบาจึงมีโอกาสศึกษาที่โรงเรียนวัดศรีสะอาดจนจบชั้นประถมปีที่ 3 ซึ่งขณะนั้นถือว่าเป็นการศึกษาที่สูงมาก สำหรับเมืองชายแดน หลวงปู่ตั้งใจจะไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ ด้วยประสงค์จะรับราชการเป็นขุนหลวง พระ อย่างเพื่อนของบิดา และอยู่ในฐานะที่ มารดาส่งเรียนได้แต่มารดาเป็นห่วงจึงไม่อนุญาตหลวงปู่จึงเสียใจมากที่ไม่ได้ศึกษาต่อ ต่อมาหลวงปู่ได้ทำงานเป็นเสมียนกับพี่เขยที่เป็นสมุห์บัญชีสรรพากร อำเภอเชียงคาน ปี 2464 ได้ย้ายไปทำงานที่อำเภอแซงบาดาล (ธวัชบุรี) และที่ห้องอัยการภาคจังหวัดร้อยเอ็ด ด้วยการอุปถัมภ์ของอัยการภาคร้อยเอ็ด ขณะที่อยู่ที่เชียงคานด้วยหนุ่มคะนอง และชอบสวดมนต์ ประกอบกับอยากแกล้งมารดาและมีการติดต่อกับฝรั่งทางลาว หลวงปู่จึงรู้จักการเสิร์ฟ และผสมสุราอย่างฝรั่งเศส แล้วนับถือศาสนาคริสต์ จนคุณพระเชียงคาน ลุงของท่านเรียกชื่อว่า “เซนต์หลุย” ท่านจึงมีชื่อเรียกใหม่ว่าหลุยแต่บัดนั้นมา ซึ่งไม่ใช่ความหมายของคำว่า ”หลุย” ในภาษาอีสาน ซึ่งหมายถึง ไม่ถูกเป้าพลาดเป้าไป ไม่ถูกจุด การคลุกลคลีอยู่กับการจัดอาหารเลี้ยงบ่อยๆ ทำให้ท่านได้เห็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทั้งไก่ หมู วัว ควาย ซึ่งบังเกิดความสังเวชสลดใจ จึงออกจาก คริสต์ศาสนาหลังจากนับถือมา 5 ปี ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรมและปฏิปทา การทำราชการของหลวงปู่ไม่สู้จะราบรื่นนัก ด้วยผู้บังคับบัญชาเกิดแคลงใจในตัวท่านจึงรู้สึกอึดอัดใจในชีวิตฆราวาสอย่างยิ่ง ที่เคยรักใคร่เอ็นดู กลับเปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับภาพสัตว์ที่ถูกเชือดในงานเลี้ยง ยังตามมารบกวนความรู้สึกอยู่ในมโนภาพ ท่านเคนได้ทราบว่า การบวชจะแผ่ บุญกุศลไปให้สรรพสัตว์ที่ตายไปแล้วได้ จึงเป็นเหตุให้ท่านตัดสินใจจะละโลกฆราวาส ลาออกจากราชการแล้วเข้าสู่พิธีอุปสมบท เป็นพระมหานิกาย ณ อำเภอแซงบาดาล ร้อยเอ็ด เมื่อปี พ.ศ. 2466 โดยมีอัยการภาคเป็นเจ้าภาพบวชให้ ระหว่างพรรษาแรกที่ธวัชบุรี หลวงปู่ได้พยายามศึกษา พระธรรมวินัยทั้งปริยัติธรรมและปฏิบัติ เมื่อออกพรรษาท่านจึงลาพระอุปัชฌาย์กลับเพื่อไปเตรียมเกณฑ์ทหารที่จังหวัดเลย หลวงปู่ได้เดินทาง ไปทางจังหวัดนครพนมเพื่อนมัสการพระธาตุพนม ระหว่างทางได้พบพระธุดงค์กัมมัฎฐานรูปหนึ่ง มาจากอำเภอโพนทอง สนทนาชอบอัธยาศัย ซึ่งกันและกัน และทราบความมุ่งมั่นของหลวงปู่ที่อธิษฐานปวารณาตัวเพื่อพุทธศาสนา ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อความหมดไป ท่านอนุโมทนา จึงมอบกลดและมุ้งให้หลวงปู่ ท่านรู้สึกในพระคุณเป็นที่สุด ได้ใช้ในการภาวนา จนซ่อมแซมปะชุนไม่ได้ และเป็นปัจจัยให้ท่านทำกลด แจกจ่ายพระเณร มาตลอดเวลา หลวงปู่ได้ถวายภาวนาเป็นพุทธบูชา ณ ลานพระธาตุพนมตลอดคืน บังเกิดความอัศจรรย์ กายลหุตา จิตลหุตา กายเบา จิตเบา จึงตั้งสัจจาอธิษฐานว่าจะบวชกัมมัฎฐานตลอดชีวิต ระหว่างทางสู่จังหวัดเลย เมื่อมาถึงบ้านหนองวัวซอ ได้ทราบกิตติศัพท์ว่ามีพระกัมมัฎฐานจากจังหวัดอุบลราชธานีก็สนใจจึงแวะไปดู ได้เห็นศีลาจารานุวัตรและข้อปฏิบัติ ได้ฟังธรรมเทศนาของท่านพระอาจารย์บุญ ปญญาวโร เลื่อมใสมากจึงขอถวายตัวเป็นศิษย์ พระอาจารย์ได้ แนะนำให้ขอญัตติเป็นธรรมยุติ ที่จังหวัดเลยหลังจากเกณฑ์ทหารแล้ว หลวงปู่จึงขอญัตติจตุตถกรรมใหม่เป็นพระธรรมยุติที่วัดศรีสะอาด อำเภอเมือง จังหวัดเลย เมื่อหลวงปู่กลับมาอยู่กับพระอาจารย์บุญที่วัดหนองวัวซอ ได้ติดตามพระอาจารย์บุญไปวัดพระพุทธบาทบัวบก ที่นี่เองทำให้ท่านได้พบ พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล อยู่ปฏิบัติรับฟังโอวาทจากท่านพระอาจารย์เสาร์โดยมีพระอาจารย์บุญเป็นพระพี่เลี้ยง จากนั้นพระอาจารย์บุญ ก็ได้พาหมู่คณะศิษย์ พร้อมหลวงปู่ ไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต มหาเถระที่ท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ได้อยู่อบรมรับฟังโอวาท และฝึกปฏิบัติจากท่านอาจารย์มั่น จนจวบเข้าพรรษาจึงย้อนกลับมาจำพรรษากับหลวงปู่เสาร์ที่วัดพระพุทธบาทบัวบก ในพรรษานี้ การภาวนาของหลวงปู่ จิตรวมแล้วเกิดอาการสะดุ้ง พระอาจารย์บุญจึงให้ญัตติจตุตถกรรมใหม่ ที่วัดโพธิสมพรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2468 โดยมีท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) แต่เมื่อครั้งเป็นพระครูสังฆวุฒิกรเป็นพระอุปัชฌาย์ และท่านพระอาจารย์บุญ ปญญาวโร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่จึงบวช 3 ครั้ง คือ ปี 2466, 2467 และ 2468 หากนับตั้งแต่ครั้งแรกหลวงปู่จะมีพรรษาเท่ากับหลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ได้ออกธุดงค์จาริกแสวงหาโมกขธรรมตลอดชีวิตของท่านดังนี้ พรรษาที่ 1-6 พ.ศ. 2468-2473 จำพรรษาอยู่กับท่านพระอาจารย์บุญ ปญญวโร พ.ศ. 2468 จำพรรษา ณ วัดพระพุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2469-2473 จำพรรษา ณ วัดป่าหนองวัวซอ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ปัจจุบันมีชื่อว่า วัดบุญญานุสรณ์ และในปี พ.ศ. 2473 ได้จำพรรษาอยู่ร่วมกับกัลยาณมิตรหลวงปู่ขาว อนาลโย และหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ในปีนี้พระอาจารย์บุญ ปญญาวโร ได้มรณภาพ พรรษาที่ 7-8 พ.ศ. 2474-2475 ในกองทัพธรรม พ.ศ. 2474 จำพรรษาวัดป่าบ้านเหล่างา (ปัจจุบันวัดป่าวิเวกธรรม) หลังวิทยาลัยเทคนิคขอนแก่น อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ร่วมกับ พระอาจารย์สิงห์ ขน.ตยาคโม พระอาจารย์มหาปิ่น ปญญาพโล หลวงปู่อ่อน ฌานสิริ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม และหลวงปู่ฝั้น อาจาโร พ.ศ. 2475 ได้ร่วมกับคณะไปส่งสตรีกัมมัฏฐานที่นครราชสีมาร่วมสร้างวัดป่าสาลวัน แต่ไปจำพรรษาที่วัดป่าศรัทธา รวมกับ พระอาจารย์มหาปิ่น พระอาจารย์ภูมี จิตฺตธมฺโม พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ พระอาจารย์คำดี ปภาโส พรรษาที่ 9-16 พ.ศ. 2476-2477 เดินธุดงค์กับท่านพระอาจารย์เสาร์และได้วิชาม้างกาย จำพรรษา ณ ถ้ำบ้านโพนงาน-หนองสะไน ตำบลผักคำภู อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร พ.ศ. 2478 สร้างวัดหนองป่าผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร หรือวัดภูริทัตตถิราวาส และได้ออกอุบาย แนะชาวบ้านอาราธนานิมนต์ท่านอาจารย์ฝั้น มาจำพรรษาที่นี่ยาวนานที่สุด 5 ปี มากกว่าที่ใด (2487-2492) พ.ศ. 2479 อยู่ด้วยท่านพระอาจารย์เสาร์ จำพรรษา ณ วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร พ.ศ. 2480-2481 กลับมาสู่แผ่นดินถิ่นเกิดจำพรรษา ณ ป่าช้าหนองหลางฝาง ถ้ำผาปู่ ตำบลนาอ้อ อำเภอเมือง จังหวัดเลย และถ้ำผาบิ้ง อำเภอสะพุง จังหวัดเลย พ.ศ. 2482 ธุดงค์แสวงหาที่ว่างปฏิบัติธรรมในเขตป่าดงเถื่อนถ้ำ จังหวัดเลย จำพรรษา ณ ถ้ำผาปู่ อำเภอนาอ้อ จังหวัดเลย และพักเจริญธรรมที่บ้านหนองบง พ.ศ. 2483 เกิดอัศจรรย์ในดวงจิต จำพรรษา ณ โพนสว่าง อำเภอกุดบาก สกลนคร (โพนงาม, หนองสะไน) ได้โสรจสรงอมฤตธรรม ออกพรรษาได้ไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าโนนนิเวศน์ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งท่านจากหมู่ศิษย์ไปภาคเหนือ ตั้งแต่ปี 2475 พรรษาที่ 17-19 พ.ศ. 2484-2486 ในรัศมีบารมีบูรพาขณะที่หลวงปู่มั่นจำพรรษาที่โนนนิเวศน์ พ.ศ. 2484 จำพรรษาที่ห้วยหีบ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร พ.ศ. 2485-2486 จำพรรษาบ้านอุ่นโคกและป่าใกล้วัดป่าบ้านนามน ขณะที่หลวงปู่มั่นจำพรรษาที่บ้านโคกบ้านนามน จังหวัดสกลนคร พรรษาที่ 20-25 พ.ศ. 2487-2492 ดุจนายทวารแห่งบ้านหนองผือ พ.ศ. 2487-2488 จำพรรษา ณ บ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร พ.ศ. 2489-2490 จำพรรษา ณ บ้านอุ่นดง จังหวัดสกลนคร พ.ศ. 2491 จำพรรษา ณ บ้านโคกมะนาว จังหวัดสกลนคร พ.ศ. 2492 จำพรรษา ณ บ้านห้วยปุ่น ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ขณะที่หลวงปู่มั่นจำพรรษาช่วงปลายของชีวิต ณ วัดป่าหนองผือ ท่านจึงอยู่พรรษากับบูรพาจารย์ใหญ่ในปี 2487 และ 2488 โดยเฉพาะในปีนี้มีพระอาจารย์มหาบัว ญาณสม.ปน.โน พระอาจารย์มนู พระอาจารย์อ่อนสา พระอาจารย์เนตร ตนฺติสีโล พระอาจารย์วัน อุตฺตโม ร่วมจำพรรษาด้วย พรรษาที่ 26-31 พ.ศ. 2493-2498 ออกธุดงค์เรื่อยไป พ.ศ. 2493 หลังจากประทีปแก้วของพระกัมมัฎฐานได้ดับลงที่วัดป่าสุทธาวาส เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 และได้ถวายเพลิง ในต้นปี 2493 หลังจากงานศพท่านหลวงปู่มั่น ท่านได้ออกธุดงค์เรื่อยไปจำพรรษาที่วัดศรีพนมมาศ อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย พ.ศ. 2494 จำพรรษาถ้ำพระนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนนคร พ.ศ. 2495 จำพรรษาวัดป่าเขาสวนกวาง อำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น กับเจ้าคุณอริยคณาธาร พ.ศ. 2496 จำพรรษาวัดดอนเลยหลง อำเภอเมือง จังหวัดเลย ถ้ำผาปู่ พ.ศ. 2497 จำพรรษาบ้านไร่ม่วง (วัดป่าอัมพวัน) หลวงปู่ชา อจุตฺโต มาท่าแพ อำเภอเมือง จังหวัดเลย ที่เคยร่วมธุดงค์กันหลายครั้ง พ.ศ. 2498 จำพรรษาสวนพ่อหนูจันทร์ บ้านฝากเลย จังหวัดเลย พรรษาที่ 32 พ.ศ. 2499 อยู่บ้านกกกอกและผจญพญานาคที่ภูบักบิด จำพรรษาที่บ้านกกกอก ตำบลหนองงิ้ว อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ปัจจุบันคือ วัดปริตตบรรพต พรรษาที่ 33-35 จำพรรษาร่วมกับกัลยาณมิตร พ.ศ. 2500 จำพรรษา ณ วัดป่าแก้วชุมพลสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ร่วมกับหลวงปู่ขาว อนาลโย พ.ศ. 2501-2502 จำพรรษาร่วมกันอีกที่ถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู รวม 3 พรรษาติดต่อกัน ซึ่งเป็นระยะแรกที่หลวงปู่ขาว มาสร้างวัดถ้ำกลองเพล พรรษาที่ 36-52 พ.ศ. 2503 จำพรรษา ณ ถ้ำมโหฬาร ตำบลหนองหิน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย และเขตป่าเขาถ้ำเถื่อนในเขตจังหวัดเลย พ.ศ. 2504 จำพรรษา ณ วัดแก้งยาว บ้านโคกแฝก ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ได้พบงูใหญ่มาอยู่ใต้แคร่ พ.ศ. 2505 จำพรรษาที่เขาสวนกวาง อำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น พ.ศ. 2506 ได้อุบายธรรมจากกัลยาณมิตร จำพรรษา ณ ถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู กับหลวงปู่ขาว อนาลโย พ.ศ. 2507 จำพรรษาบ้านกกกอก ตำบลหนองงิ้ว อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย พ.ศ. 2508-2509 เสวยสุขจำพรรษา ณ วัดป่าถ้ำแก้งยาว บ้านโคกแฝก ตำบลพาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย พ.ศ. 2510-2515 จำพรรษา ณ ถ้ำผาบิ้ง บ้านนาแก ตำบลผาบิ้ง อำเภอวังสะพุงจังหวัดเลย สร้างวัดถ้ำผาบิ้ง และเริ่มรับนิมนต์ โปรดพุทธชนภาคอื่น ๆ เมื่ออายุกว่า 70 ปีแล้ว พ.ศ. 2516-2517 กลับไปบูรณะบ้านหนองผือ และถ้ำเจ้าผู้ข้า อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร พ.ศ. 2518 จำพรรษา ณ สวนบ้านอ่าง อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี เพื่อโปรดชาวภาคตะวันออก พ.ศ. 2519 เดินทางไปโปรดชาวภาคใต้ และจำพรรษา ณ วัดกุม๓ร์บรรพต นิคมควนกาหลง จังหวัดสตูล วัดควนเจดีย์ จังหวัดสงขลา พรรษาที่ 53-57 โปรยปรายสายธรรม พ.ศ. 2520 สวนปทุมธานี อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี พ.ศ. 2521 วัดป่าหนองแซง อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2522 โรงนายาแดง คลอง 16 อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก พ.ศ. 2523 วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. 2524 ที่พักสงฆ์บ้านคุณประเสริฐ โพธิ์วิเชียร อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พรรษาที่ 58 พิจารณาธาตุขันธ์จะแตกดับ พ.ศ. 2525 ถ้ำเจ้าผู้ข้า อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร พรรษาที่ 59-65 (พ.ศ. 2526-2532) แสงตะวันลำสุดท้าย พ.ศ. 2526 จำพรรษาวัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) กิ่งอำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย พ.ศ. 2527 จำพรรษาที่พักสงฆ์ ก.ม. 27 ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 จำพรรษาวัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) กิ่งอำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย พ.ศ. 2529-2531 จำพรรษาที่พักสงฆ์เย็นสุดใจ อำเภอท่าหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2532 จำพรรษาที่พักสงฆ์ ก.ม. 27 ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 17 มีนาคม 2011, 13:39:47 ประวัติหลวงปู่หลุย จันทสาโร (ตอนที่2) หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ในบรรดาศิษย์หลวงปู่มั่น เป็นผู้ที่สันโดษ มักน้อย ประหยัด มัธยัสถ์ที่สุด ท่านเป็นผู้ละเอียดละออมาก ท่านพบใคร ท่านจะบันทึกถึงประวัติ และโวหารธรรมที่ได้ฟังมาทุกองค์ ท่านจึงเป็นนักจดบันทึก ทำให้กิจประโยชน์ ต่อการศึกษาประวัติ และธรรมของบูรพาจารย์ และกองทัพธรรมทั้งมวล บันทึกของหลวงปู่หลายสิบเล่ม มีสภาพและขนาดต่าง ๆ กัน ทั้งสมุดฉีก สมุดนักเรียน เศษกระดาษที่นำมาตัดเย็บ ให้ได้ขนาดเท่ากัน แล้วทำเป็นเล่มทากาวทำปกเรียบร้อย ท่านว่าทุกอย่างมีราคาสูงต้องใช้ให้คุ้มค่า บันทึกของท่านก็ใช้ระบบประหยัด มีเขียน แทรกบรรทัด จริยาวัตรของหลวงปู่จะเปลี่ยนที่จำพรรษาไม่ซ้ำปี พรรษาในสถานที่เดิมบ่อยนัก ในช่วงตอนปลายชีวิต ระหว่างออกพรรษา ท่านมักพา ลูกศิษย์ไปกราบเยี่ยมนมัสการพระเถราจารย์ผู้ใหญ่ตามที่ต่าง ๆ เช่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ชอบ หลวงปู่คำดี ปภาโส หลวงปู่ชามา อัจฺจโต แม้ท่านจะอายุเกือบ 80 ปี แล้ว ยังไปคล่องมาคล่อง หลวงปู่เมตตาไปเยี่ยมลูกศิษย์ได้วันละ 5-6 บ้าน ท่านมีเมตตาแผ่มาโดยไม่มีประมาณ การเดินทางของหลวงปู่มาเร็วไปเร็ว และไปได้ง่าย ท่านเที่ยวโปรดสัตว์เรื่อย ๆ ไป หลวงปู่มีเมตตาโปรดไปทั่ว โปรยปรายสายธรรมไม่เฉพาะ ชาวอีสานถิ่นกำเนิดเท่านั้น ทั้งภาคกลาง ตะวันออก เหนือ ใต้ โดยเฉพาะชาวพระนครซึ่งท่านเห็นว่าสืบสานพระศาสนา วัดมาทำบุญที่อีสานมากมาย หลวงปู่จึงอยู่เมตตา เป็นศูนย์กลางอบรมสั่งสอนเผยแพร่ธรรมของหลวงปู่ตั้งแต่ถ้ำผาบิ้ง หลวงปู่จึงเป็นที่เคารพบูชาของสาธุชนชาวไทย และต่างประเทศ ธรรมโอวาท ธรรมเทศนาของหลวงปู่มีมากมายหลายร้อยหลายพันกัณฑ์ เพราะหลวงปู่ได้เทศน์โปรดญาติโยม ลูกศิษย์มากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว ยิ่งในระยะหลังที่ท่านออกไปเยี่ยมลูกศิษย์ตามบ้านต่างๆ หลังจากที่ปฏิสันถารถามทุกข์สุขของลูกศิษย์ด้วยความเมตตาแล้ว ท่านจะอบรมสั่งสอนด้วย ทุกครั้ง เป็นประจำมิได้ขาด…ทุกเช้า…ก่อนฉันขังหัน ทุกค่ำ…หลังทำวัตรเย็น… ท่านจะเทศนาสั่งสอนเสมอ บางครั้งขณะที่ท่านกำลังเทศน์อยู่นั้น มีกลุ่มคนที่เพิ่งมาใหม่ และมิได้ฟังเทศน์ของท่านแต่ต้น หลวงปู่ก็มีเมตตาย้อนกลับไปตั้งต้นเทศน์ใหม่อีก กลายเป็นเทศน์กัณฑ์ใหม่ขึ้นอีก การเทศนาสั่งสอนอบรมเช่นนี้หลวงปู่ได้กระทำมาจนถึงคืนสุดท้ายของท่าน เพียงหนึ่งชั่วโมงก่อนมรณภาพ ท่านก็ยังอบรมสั่งสอนลูกศิษย์อยู่…! (ที่นำเสนอนี้เป็นเพียงธรรมโอวาทบางประการและส่วนน้อยเท่านั้น) การรักษาศีล โดยเฉพาะในวันอาทิตย์ ท่านจะเน้นให้บรรดาศิษย์รักษาศีลเพิ่มขึ้นจากศีล 5 เป็นศีล 8 โดยท่านให้เหตุผลว่า สำหรับวันพระ ซึ่งควรเป็นวันรักษาอุโบสถนั้น ส่วนใหญ่พวกเราต้องทำราชการติดการงานต่างๆ ไม่ได้มีโอกาสมาวัดเลย เมื่อได้มาก็มาเฉพาะวันหยุดคือวันอาทิตย์ ก็ควรจะต้องรักษาให้ได้ใช้วันอาทิตย์เป็นวันพระแทน ท่านได้อธิบายอานิสงส์ของศีลให้ฟังว่า “ศีล 5 นี่ พระพุทธเจ้าท่านมีเมตตาต่อผู้ครองเรือน ให้รักษาศีล 5 อย่าดูถูกศีล 5 นะ เพราะผู้รักษาศีล 5 ย่อมสำเร็จโสดาบันได้สำหรับศีล 8 ก็จะสำเร็จถึงอนาคามีได้ …” ท่านจะไม่บังคับว่าใครควรจะรักษาศีล 5 ใครควรจะรักษาศีล 8 โดยท่านจะกล่าวนำ เริ่มต้นจากศีล 5 ซึ่งทุกคนจะต้องกล่าวตาม จากนั้นก่อนที่จะกล่าวนำศีลข้อ 6-8 ท่านจะแนะนำให้ผู้ที่รักษาศีล 5 กราบแล้วนั่งอยู่ ไม่ต้องกล่าวตาม เฉพาะผู้ที่จะรักษาศีล 8 ให้กล่าวตามคำที่ท่านกล่าวนำต่อไป “…เพื่อจะรักษาให้ดีให้บริบูรณ์ สิ้นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งด้วยอำนาจกุศลนี้ ขอจงเป็นบุพนิสัยเพื่อจะกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน” ต่อจากนั้นท่านจะเทศนาอบรมก่อนแล้วจึงให้พร พระธรรมเทศนาที่หลวงปู่มักจะหยิบยกขึ้นมาย้ำเตือนเสมอได้แก่ เรื่องการบริจาคทาน การรักษาศีลและการเจริญภาวนา ท่านมักจะเน้นเรื่องศีลอยู่เสมอ เพราะศีลแปลว่า ความปกติ เป็นการรักษาใจให้ปกติ ศีลเป็นบาทเบื้องต้นของการภาวนาด้วย ถ้าเรารักษาศีล ให้บริสุทธิ์แล้ว การภาวนาก็จะเจริญงอกงามไปอย่างรวดเร็ว ผู้ที่มีศีลย่อมต้องมีจิตใจผ่องใส เป็นที่รักของญาติพี่น้องเพื่อนฝูง และในสังคมที่เราอยู่ด้วย ถ้าทุกคนรักษาศีลอยู่ได้ เพียงแค่ศีล 5 บ้านเมืองก็จะสงบราบรื่น ปราศจากขโมยลักเล็กขโมยน้อย ไม่มีการฆ่าฟันกัน อิจฉาริษยา เกลียดชังกัน เพราะอานุภาพแห่งศีลย่อมรักษาตัวผู้รักษาศีล และสังคมโดยรอบได้ ส่วนด้านการภาวนา ท่านก็จะนำภาวนาในตอนกลางคืน โดยท่านเทศนาให้ฟัง แล้วให้ศิษย์ภาวนาไปด้วย ระหว่างฟังเทศน์ท่านถือว่า ก่อนจะเริ่มภาวนา เราต้องแต่งตัวให้เรียบร้อย อาบน้ำชำระจิตใจให้สะอาด ฟอกจิตของเราด้วยการรักษาศีล การบำเพ็ญทานนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่จะทำให้จิตใจโน้มน้าว ตัดความตระหนี่ให้มีใจเอื้อเฟื้อถึงกัน ศีลก็มี ทานก็มี แล้วยิ่งมีการภาวนาด้วย ก็จะยิ่งต่อไปได้ไกล เรื่องจิตภาวนานั้น ท่านเน้นมากว่าถ้าไม่หัดไว้ก็แสนจะลำบาก ท่านมักจะกล่าวบ่อยๆ ว่า การภาวนานั้นมีอานิสงค์มาก อย่างแค่ช้างฟัดหู งูแลบลิ้น ก็ยังมีอานิสงค์มหาศาลถ้าได้มากกว่านั้นก็จะยิ่งดีขึ้น ท่านเคยพูดว่า “…จิตติดที่ไหน ย่อมไปเกิด ณ ที่นั้น จิตติดเรือนก็อาจจะมาเกิดเป็นจิ้งจกตุ๊กแกได้ แม้แต่พระภิกษุติดจีวรยังไปเกิดเป็นเล็น น่าหวาดกลัวนัก แล้วกิเลสมีร้อยแปดประตู พุทโธมีประตูเดียว เพราะฉะนั้น ให้ฝึกปฏิบัติให้คุ้นเคย วาระที่เราจะเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติจะเข้าจิตได้ทันหรือเปล่า…” ท่านละเอียดพิถีพิถันมากในการที่จะนำศิษย์ให้รู้จักศีล ทาน ภาวนา การไหว้พระสวดมนต์ แม้แต่การ “กราบ” ซึ่งทุกคนรู้สึกว่า เป็นเรื่อง หญ้าปากคอก หลวงปู่ก็จะหัดให้ศิษย์บางคนแสดงท่ากราบให้ดู สุภาพสตรีผู้มีบรรดาศักดิ์ได้รับพระราชทานตราจุลจอมเกล้า มีคำนำหน้าเป็น คุณหญิงหลายท่าน จึงออกตกใจเมื่อมากราบนมัสการท่านแล้วจู่ๆ ท่านก็สั่งว่า “ไหนลองกราบให้ดูซิ” แล้วเมื่อเธอท่านนั้นได้กราบด้วยท่าทางที่เก้งก้าง ตามวิสัยชาวกรุงเทพฯ ซึ่งทำอะไรก็มักจะรีบร้อน ลุกลน ถือเสียว่าการกราบเพียงสักแต่ว่าให้เสร็จเรื่อง ท่านจะทำการกราบให้ดู โดยท่านจะแสดง ท่านั่งกระหย่ง พร้อมกับอบรมว่า กราบอย่างนี้เรียกว่า “กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์” ท่านอธิบายว่า “นอกจากเข่าทั้งสอง มือทั้งสอง ศอกจรดพื้น หน้าผากต้องแตะถึงพื้นด้วย ถึงจะเป็นท่ากราบที่งองาม” แล้วก็ไม่ใช่ท่าที่รีบร้อนจะไปไหน ในขณะที่กราบก็ต้องค่อยๆ กราบลงไป พร้อมกับจิตน้อม ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า นั่นเป็นครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สองนึกถึงพระธรรม คำสั่งสอนของท่าน ที่สืบต่อพระศาสนามาจนทุกวันนี้ กราบครั้งที่สามระลึกถึงคุณพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นสมมติสงฆ์ แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สืบพระศาสนาจนทุกวันนี้ พร้อมกับการกราบทุกๆ ครั้ง ต้องน้อมจิตให้ระลึกไปด้วยเสมอ จิตจะเอิบอาบในบุญ จิตจะเป็นจิตที่อ่อนน้อม ควรแก่การงาน เมื่อฝึกอยู่เช่นนี้ก็จะเข้าใจดีขึ้น จะเป็นผู้ที่นอบน้อมถ่อมตน น่ารัก ท่านเคยพูดเล่นๆ ว่า มองดูแค่การกราบ ก็สามารถบอกได้ทันทีเลยว่า เป็นลูกศิษย์มีครูหรือไม่ จะสังเกตได้ว่า ในภายหลังผู้ที่ผ่านการอบรมจากหลวงปู่จะกราบได้อย่างงดงามทั้งหญิง ทั้งชาย ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ เวลาเมื่อกราบพร้อมๆ กัน จะดูงดงามยิ่งนัก เป็นระเบียบที่น่าชม การฟังคำเทศนาสั่งสอนของท่านก็ดี การอบรมของท่านในระหว่างกลางคืนหรือตอนเช้าก็ดี นั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่สิ่งที่จะได้จากท่าน นอกเหนือไปกว่านั้นคือ ให้รู้ในสิ่งที่ท่านทำ ทำตามที่ท่านสอนก็จะได้ประโยชน์มหาศาล ปฏิปทาของท่าน กิริยาอาการของท่าน ทุกอย่างมีความหมาย เป็นเนติ เป็นแบบอย่างให้ศึกษา ให้ปฏิบัติตามต่อไปทั้งนั้น พระเณรใดที่ได้ปฏิบัติใกล้ชิดครูบาอาจารย์ ก็เท่ากับว่าผ่านการฝึกปรืออย่างหนักแล้ว ส่วนใหญ่จึงพยายามหันเข้าหาครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ - ให้ดูจิตของตัวเอง ภาวนาจิตใจให้สงบ มัธยัสถ์ปัจจุบัน ม้างกายให้มาก เพราะกรุงเทพฯมีสีสันมาก ม้างกายจะช่วยให้หมดความกำหนด - อานิสงค์ของการช่วยชีวิตสัตว์ที่เขาจะนำไปฆ่า … ทำให้อายุยืนหนึ่ง … ไม่ติดคุกติดตารางหนึ่ง … ถึงแม้จะตกทุกข์ได้ยากก็มีคนช่วยเหลือ - เมื่อมีศิษย์นิมนต์หลวงปู่ให้อยู่ถึงร้อยปี ท่านกลับให้โอวาทว่า… “ไม่ได้หรอก ฝืนสังขารไม่ได้หรอก ข้างนอกมันดี แต่ข้างในมันเสียหมด เหมือนกับเกวียนไม้ไผ่ที่ใช้มานานแล้ว ย่อมชำรุดเป็นธรรมดา…” และ “…กำหนดดูธาตุขันธ์เนื้อหนังมันทำงาน…มันดิ้น…มันเต้น หัวใจมันทำงาน เห็นมันเต้น ตุ๊บ…ตุ๊บ ธาตุขันธ์จะเอาไม่ไหวแล้ว ต้องกำหนดจิตอย่างเดียว ตอนเมื่อกี้ กำหนดจิตถึงคืนมา ม้างกายจนมันสว่างโร่ขึ้น หายเหมือนปลิดทิ้ง…” - ท่านนำ ”กาย” ของท่านมา “ม้าง” เป็นตัวอย่าง ดังนี้ … “สังขารของเราตอนนี้มันเหมือนเนื้อที่ถูกเขาฆ่าแล้วนำไปแขวนบนตระขอแต่เนื้อมันยังไม่ตายมันยังดิ้นทรมานอยู่ ก้อนเนื้อที่มันดิ้น มันเต้นนั้น เหมือนเนื้อวัวที่เขาปาดออกมาใหม่ๆ มันเต้น ตุ๊บ…ตุ๊บ ยังไงยังงั้น” และ “สังขารเราขณะนี้เหมือนพระจักขุบาล บำเพ็ญความเพียรมาตลอดสามเดือน…เราเหมือนกับล้อเกวียนทำด้วยไม้ไผ่ที่ใช้มานานแล้วจะต้องผุพังลง…” - การภาวนา หรือทำจิตใจ ให้ดูอาการของจิต ก่อนตาย อย่าไปตามดูอาการของเวทนา ให้ดูจิตอย่างเดียว เวลาธาตุจะตีลังกาเปลี่ยนภพ จิตจะออกจากร่าง พิจารณาตามจิต จะเห็นว่า จิตจะออกจากร่างอย่างไร ไปอย่างไร จิตจะเข้าๆ ออกๆ อย่างไร…มืดๆ สว่างๆ อย่างไร จิตจะเข้าๆ ออกๆ อย่างไร…มืดๆ สว่างๆ อย่างนั้น เหนื่อยหอบมาก กำหนดตามจิตคืน เห็นอาการของจิตชัด ถ้าไม่ทันก็ไปเลย ท่านย้ำโอวาทที่ว่า “อย่าไปตามดูอาการของเวทนา ให้ดูจิตอย่างเดียว” - ขอให้เร่งทำความเพียร ทุกๆ คนที่อยู่ร่วมกัน สามัคคีกัน กลมเกลียวกัน ปัจฉิมบท จากพรรษา 59 ถึงพรรษา 65 จัดได้ว่าเป็นช่วงปัจฉิมกาลของหลวงปู่จริงๆ ท่านมีอายุยืนยาวมาถึงกว่า 80 ปี อายุ 65-67 พรรษา เมื่อสมเด็จพระบรมครู สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปลงพระชนมายุสังขาร เสด็จเข้าสู่มหาปรินิพพานนั้นก็มีพระชนม์เพียง 83 พรรษาเท่านั้น หรือแม้แต่ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต บูรพาจารย์ของท่านก็ละสังขารไปเมื่ออายุ 80 ปีพอดี องค์ท่านมีอายุเกินกว่า 80 มาหลายปีแล้ว แต่หลวงปู่ก็ยังเมตตา นำพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา สวดมนต์ทำวัตรเช้า-ทำวัตรเย็น ตลอดจนเทศนาอบรมสั่งสอนและนำภาวนามิได้ขาด โดยการสวดมนต์ทำวัตรเช้าและเย็น หลวงปู่ได้มีแบบฉบับของหลวงปู่เอง ดังที่เคยกล่าวมาแล้ว โดยหลวงปู่จะน้อมนำให้ระลึกถึง คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างน่าซาบซึ้งก่อนแล้วจึงสวดบทบาลีต่อไป ถึงแม้ว่าหลวงปู่จะเจริญด้วยวัยอันสูงยิ่ง และมีสภาพสังขารดังที่หลวงปู่บันทึกไว้ว่า “…คำนวณชีวิตเห็นจะไม่ยั่งยืน ร่างกายบอกมาเช่นนั้น ทำให้เวียนศีรษะเรื่อยๆ แต่มีสติระวังอย่าให้ล้มมีคนอื่นพยุงเสมอ…” และ “…ธาตุขันธ์ทำให้วิงเวียนอยู่เรื่อยๆ คอยแต่จะล้ม ต้องระวังหน้าระวังหลัง…” ท่านก็ยังมีเมตตาไปโปรดเยี่ยมลูกศิษย์ตามที่ต่างๆบ่อยครั้ง โดยทุกครั้งจะไปวันละหลายๆ บ้าน และทุกๆ บ้านท่านมักจะอบรมณ์เทศน์เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย นึกถึงวัย นึกถึงสังขาร ผู้ที่มีอายุปานนั้นแล้ว ควรจะพักผ่อนได้แล้ว แต่กลับมาเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง ท่านไม่น่าจะปฏิบัติภารกิจเช่นนี้ได้ไหว แต่หลวงปู่ก็ยังคงมีเมตตาอยู่เช่นนั้นเสมอมาบำเพ็ญตยดุจเหล็จไหล ไปมาคล่องแคล่วว่องไวแทนที่ลูกศิษย์จะเป็นฝ่ายมากราบนมัสการเยี่ยมท่าน ท่านกลับไปเยี่ยมลูกศิษย์เสียเอง…! เมื่อดูจากภายนอก ท่านเป็นเสมือนบุรุษเหล็ก แต่จากบันทึกที่ค้นพบ ปรากฏว่า องค์ท่านเองกลับเหน็ดเหฯอยยิ่งนัก ดังที่ว่า “…เราสละชีวิตให้ญาติโยมมาดูดกินเลือดเนื้อของเรา…” มีอยู่หลายครั้งที่ท่านสารภาพว่า การเทศน์ก็ดี การอบรมก็ดี ดูดกินกำลังของท่านไปหมดจนแน่นหน้าอกแทบหายใจไม่ออก แต่ท่านก็อดทนทำ ด้วยว่าเป็นกิจของศาสนา…ตามที่ท่านว่า ในวันที่ 7 ตุลาคม 2532 ท่านรำพึงไว้ระหว่างที่พักอยู่ ณ ที่พักสงฆ์ ก.ม. 27 ดอนเมือง ความว่า “แก่ ชรา มานานเท่าไร พึงภาวนาให้คุ้นเคยกับความตาย เพราะจะต้องตายอยู่แล้ว เตรียมตัวไว้ก่อนตาย รอรถ รอเรือ ที่จะต้องขึ้นไปสวรรค์พระนิพพาน หูยิ่งหนวกหนักเข้าทุกวัน ตายิ่งไม่เห็นทน ตีนเท้าอ่อนเพลีย หันไปหาความตายเสมอไป ถือภาวนาในไตรลักษณ์ ทุกข อนิจจ อนตตา มีเกิดแล้วย่อมมีตาย เพราะโลกไม่เที่ยงอยู่แล้ว แปรปรวนไปต่างๅ สังขารเราบอกเช่นนั้น เที่ยงแต่พระนิพพานอย่างเดียว” “สมถะกับวิปัสสนา เป็นธรรมมีอุปการะแก่พระเถระ และพระขีนาสพเจ้า แต่ต้นจนวาระสุดท้ายแห่งขันธ์ ต้องอาศัยสมถะและวิปัสสนา เป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่ระหว่างขันธ์และจิตที่อาศัยกันอยู่จนกว่าขันธ์อันเป็นสมมติ และจิตอันวิสุธิและวิมุตติจะเลิกลาจากกัน…” ซึ่ง “ขันธ์” และ “จิต” ของหลวงปู่ก็ใกล้จะเลิกลาจากกันไปจริงๆ … ! ดูงดงามยิ่งนัก บารมีธรรมในระยะเวลาช่วงหลังๆ นี้ของหลวงปู่ ก็เห็นประดุจ “แสงตะวันลำสุดท้าย” ที่ใกล้จะอัสดงเช่นกัน ให้ความอบอุ่นทางจิตใจ ให้แสงสว่างในทางธรรมแก่บรรดาพุทธศาสนิกชนทุกถ้วนหน้าด้วยเมตตาธรรมอันสูงส่งของท่านอย่างมิมีประมาณ เช้าวันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม 2532 หลวงปู่ยังคงเดินจงกรมตามปกติ หลังจากนั้นได้เรียกพระเณรมาขอนิสัยใหม่ แล้วหลวงปู่ได้อบรมธรรมะ โดให้พระเณรนั้นภาวนาดูจิตตนเอง ภาวนาให้จิตสงบ ม้างกายให้มาก หลวงปู่มาอารมณ์ร่าเริงแจ่มใส ทักทายญาติโยมที่มาถวายจังหัน อย่างอารมณ์ดี แต่ปรารภถึงความตายบ่อยครั้ง หลวงปู่ยังบอกลาด้วยว่า ท่านคงจะอยู่กับลูกศิษย์ไม่ได้นาน ท่านตอบว่า ไม่ได้สังขารมันไม่เที่ยง เอาแน่ไม่ได้ หลวงปู่ยังเมตตาตอบคำถามการปฏิบัติภาวนาที่ญาติโยมถาม เวลา 11.00 น. หลวงปู่เดินจงกรมสลับกลับเข้าห้องพักเป็นช่วงๆ หลายครั้ง จนเวลา 13.00 น. ท่านเรียกพระอุปัฏฐากขึ้นไปพบและปรารภให้ฟังว่า ท่านไม่ได้พักเลย รู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก รู้สึกว่าลมมันตีขึ้นเบื้องบน แล้วบอกให้ช่วยนวดขา อาการดีขึ้นท่านจึงพูดกับญาติโยมที่เพิ่งมาถึงว่า “ดูหน้าหลวงปู่ไว้นะ และก็จำไว้จะไม่ได้เห็นอีกแล้ว” ญาติโยมจึงขอนิมนต์ให้หลวงปู่อยู่ถึง 100 ปี ท่านตอบว่าไม่ได้หรอก ฝืนสังขารไม่ได้ ข้างนอกมันดี แต่ข้างในเสียหมด จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.00 น. หลวงปู่ปรารภกับพระอุปัฏฐากว่าวันนี้เป็นอย่างไรไม่ทราบ นอนไม่ได้เลย นั่งพิงหรือเดินจงกรมค่อยยังชั่วหน่อย เวลา 16.00 น. อาการก็กำเริบอีกหลวงปู่หายใจไม่ออก จึงให้พระเณรช่วยนวด พระอาจารย์อุทัย สิริธโรและลูกศิษย์ขอนิมนต์ท่านไปโรงพยาบาล ท่านบอกว่า “หมอก็ช่วยไม่ได้ ขอตายที่หัวหินไม่เข้ากรุงเทพฯหรอก สถานที่ไม่สงบเลย เราจะเข้าจิตไม่ทัน” ลูกศิษย์จึงต้องไปตามแพทย์มาดูอาการของท่าน หมอบอกว่าโรคหัวใจกำเริบและอาหารไม่ย่อย ซึ่งตรงกับที่หลวงปู่บอกลูกศิษย์ก่อนที่หมอจะมา อาการของท่านกำเริบขึ้นอีกหลายครั้ง ท่านปรารภอาการให้พระเณรฟังว่า แน่นหน้าอก หายใจไม่ออกเลย ทำไมถึงเป็นแบบนี้ แปลกจัง ถ้าตายตอนนี้ก็ดีนะ ท่านพูดเสียงดังใบหน้ายิ้มแย้ม ท่านบอกว่าธาตุขันธ์จะไปไม่ไหวแล้ว ท่านขอแสดงอาบัติและบอกบริสุทธิ์แจ่มใสยิ่งนัก ท่านกล่าวต่อว่า ตายตอนนี้ก็ดีใจได้ตายท่ามกลางสงฆ์ พระอาจารย์อุทัย สิริธโร กราบเรียนท่านว่า หลวงปู่ไม่ตายหรอก จิตหลวงปู่ไม่ตาย ที่มันตายน่ะธาตุขันธ์ หลวงปู่พยักหน้ายิ้มแล้วแสดงธรรมอบรมธรรม ปฏิญานปลงอายุสังขารแล้วปรารภปัจฉิมเทศนาในเรื่องการทำกิจ การภาวนา การดูอาการของจิตก่อนตาย อย่าไปตามดูอาการของเวทนา ให้ดูจิตอย่างเดียว เมตตาธิคุณ กรุณาธิคุณของท่านไม่มีที่ประมาณจริงๆ ไม่อ้างกาล ไม่อ้างเวลา แม้อาพาธอย่างหนักครั้งสุดท้าย ช่วงเวลา 23.30 น. อาการของท่านกำเริบอีกและอาการหนักยิ่งขึ้นท่านจึงออกจากห้องพักมาบอกว่าแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกอีกแล้วเห็นจะประคองธาตุขันธ์ต่อไปไม่ไหวคงจะปล่อยวางแล้วขอเอาจิตอย่างเดียว ท่านขอบใจพระเณรที่ช่วยอุปัฏฐากหากได้ล่วงเกินซึ่งกันและกัน ก็ขอให้อโหสิกรรมกันและกันด้วย หลวงปู่ได้กล่าวคำสุดท้ายว่า “เอาขันธ์ไว้ไม่ไหวแล้ว” เวลานั้นเป็นเวลา 00.43 น. ของคืนวันที่ 24 ธันวาคม ซึ่งล่วงเข้าสู่วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2532 มาแล้ว 43 นาที รวมอายุ 88 ปี 65-67 พรรษา ที่มา : ประตูสู่ธรรม หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: ขัน ที่ 17 มีนาคม 2011, 13:47:46 ขออนุญาตินำไปเผยแพร่ต่อด้วยคนครับ สาธุ :wanwan017: หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 17 มีนาคม 2011, 14:05:23 ขออนุญาตินำไปเผยแพร่ต่อด้วยคนครับ สาธุ :wanwan017: ด้วยความยินดีครับ สาธุ _/|\_ หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 19 มีนาคม 2011, 12:54:29 7.หลวงปู่ฝั้น อาจาโร (http://www.dhammathai.org/webbokboon/data/imagefiles/R1140-3.jpg) ประวัติหลวงปู่ฝั้น อาจาโร (ตอนที่1) พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๙ ปีกุน ตรงกับวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๔๔๒ ที่บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ในตระกูล “สุวรรณรงค์” เจ้าเมืองพรรณานิคม บิดาของท่านคือ เจ้าไชยกุมมาร (เม้า) ผู้เป็นหลานปู่ของ พระเสนาณรงค์ (นวล) และหลานอาของ พระเสนาณรงค์ (สุวรรณ์) เจ้าเมืองพรรณานิคมคนที่ ๒ และที่ ๔ ตามลำดับ มารดาของท่านชื่อ นุ้ย เป็นบุตรีของหลวงประชานุรักษ์ พี่น้องร่วมบิดามารดา มีอยู่ทั้งหมด ๘ คน ถึงแก่กรรมแต่ยังเล็ก ๒ คน ส่วนอีก ๖ คน ได้แก่ ๑. นางกองแก้ว อุปพงศ์ ๒. ท้าวกุล ๓. นางเฟื้อง ๔. พระอาจารย์ฝั้น ๕. ท้าวคำพัน ๖. นางคำผัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทุกคนสู่สุคติภพไปสิ้นแล้ว ยังเหลือแต่ลูกหลานที่สืบสกุลอยู่ทุกวันนี้เท่านั้น เมื่อบุตรทุกคนเจริญวัยเป็นท้าวเป็นนางแล้ว เจ้าไชยกุมาร (เม้า) ผู้บิดา ได้อพยพพร้อมกับครอบครัวอื่น ๆ อีกหลายครอบครัว ออกจากบ้านม่วงไข่ ไปตั้งบ้านใหม่ขึ้นอีกหมู่หนึ่ง ให้ชื่อว่าบ้านบะทอง เพราะที่นั่นมีต้นทองหลางใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง แต่ปัจจุบันต้นทองหลางใหญ่ดังกล่าวได้ตายและผุพังไปสิ้นแล้ว สาเหตุที่อพยพออกจากบ้านม่วงไข่ก็เพราะเห็นว่า สถานที่ใหม่อุดมสมบูรณ์กว่า เหมาะแก่การทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ เช่นวัว ควาย และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเลี้ยงไหม เพราะเป็นพื้นที่ซึ่งมีลำห้วยขนาบอยู่ถึงสองด้าน ด้านหนึ่งคือ ลำห้วยอูนอยู่ทางทิศใต้ ส่วนอีกด้านหนึ่ง คือลำห้วยปลา อยู่ทางทิศเหนือ ก่อนอพยพจากบ้านม่วงไข่ เจ้าไชยกุมาร (เม้า) บิดาของพระอาจารย์ฝั้น ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านปกครองลูกบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุขมาก่อนแล้ว ครั้นมาตั้งบ้านเรือนกันใหม่ที่บ้านบะทอง ท่านก็ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ใหญ่บ้านต่อไปอีก เพราะลูกบ้านต่างให้ความเคารพนับถือในฐานะที่ท่านเป็นคนที่มีความเมตตาอารี ใจคอกว้างขวางและเยือกเย็นเป็นทีประจักษ์มาช้านาน สำหรับพระอาจารย์ฝั้น เมื่อครั้งยังอยู่ในวัยรุ่น มีความประพฤติเรียบร้อย อ่อนโยน อุปนิสัยในคอเยือกเย็นและกว้างขวาง เช่นเดียวกับบิดา ทั้งยังมีความขยันหมั่นเพียร อดทนต่ออุปสรรค หนักเอาเบาสู้ ช่วยเหลือกิจการงานของบิดามารดาและญาติพี่น้อง โดยไม่เห็นแก่ความลำบากยากเย็นใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนในด้านการศึกษานั้น พระอาจารย์ฝั้นได้เริ่มเรียนหนังสือมาตั้งแต่ครั้งยังอยู่ที่บ้านม่วงไข่ โดยเข้าศึกษาที่วัดโพธิชัย แบบเรียนที่เขียนอ่านได้แก่ มูลบทบรรพกิจเล่ม ๑ – ๒ ซึ่งเป็นแบบเรียนที่วิเศษสุดในยุคนั้น ผู้ใดเรียนจบจะแตกฉานในด้านการอ่านเขียนไปทุกคน ผู้เป็นอาจารย์สอนหนังสือแก่ท่านในครั้งนั้น ได้แก่พระอาจารย์ตัน (บิดาของ พันตรีนายแพทย์ตอง วุฒิสาร) กับนายหุ่น (บิดาของ นายบัวดี ไชยชมภู ปลัดอำเภอพรรณานิคม) ปรากฏว่า ท่านมีความหมั่นเพียรในการศึกษาเป็นอันมาก สามารถเขียนอ่านได้รวดเร็วกว่าเด็กอื่น ๆ ถึงขนาดได้รับความไว้วางใจจากอาจารย์ให้เป็นครูสอนเด็ก ๆ แทน ในขณะที่อาจารย์มีกิจจำเป็น ต่อมาพระอาจารย์ฝั้น ได้ไปศึกษาต่อกับนายเขียน อุปพงศ์ พี่เขยที่เป็นปลัดขวา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งต่อมาได้ย้ายไปเป็นปลัดขวา อำเภอกุดป่อง จังหวัดเลย เมื่อจบการศึกษา อ่านออกเขียนได้อย่างแตกฉานแล้ว พระอาจารย์ฝั้นมีความตั้งใจที่จะเข้ารับราชการ เพราะเป็นงานที่มีหน้ามีตา ได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนในสมัยนั้น แต่ภายหลังได้เปลี่ยนความตั้งใจเดิมเสียโดยสิ้นเชิง สาเหตุที่ท่านเกิดไม่ชอบงานราชการนั้น ก็เพราะเมื่อครั้งไปเล่าเรียนกับพี่เขยที่ขอนแก่น พี่เขยไห้ใช้เอาปิ่นโตไปส่งให้นักโทษอยู่เสมอ นักโทษคนหนึ่งคือ พระยาณรงค์ฯ เจ้าเมืองขอนแก่นนั้นเอง ท่านต้องโทษฐานฆ่าคนตาย จึงถูกคุมขังตามกระบิลเมือง นอกจากนี้ยังมีข้าราชการถูกจำคุกอีกบางคน เช่น นายวีระพงศ์ ปลัดซ้าย เป็นต้น ต่อมาพี่เขยได้ย้ายไปเป็นปลัดขวาที่อำเภอกุดป่อง จังหวัดเลย ครั้นเมื่อท่านเดินทางไปเยี่ยม ก็พบพี่เขยต้องหาฆ่าคนตายเข้าอีก เมื่อได้เห็นข้าราชการใหญ่โตได้รับโทษ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นถึงพระยานาหมื่นดังกล่าว ท่านจึงเปลี่ยนใจ ไม่อยากเข้ารับราชการเหมือนกับคนอื่น ๆ รีบลาพี่เขยกลับสกลนครทันที ซึ่งสมัยนั้นการคมนาคมมีทางเดียวคือทางบก จากจังหวัดเลยผ่านอุดรธานีถึงสกลนคร ท่านต้องเดินเท้าเปล่าและต้องนอนค้างกลางทางถึง ๑๐ คืน ปรากฏว่า สภาพของบรรดานักโทษที่ท่านประสบมาทั้งโทษหนักโทษเบา ได้มาเป็นภาพติดตาท่านอยู่เสมอตั้งแต่นั้น นับได้ว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ท่านรู้จักปลง และประจักษ์ถึงความไม่แน่นอนของชีวิต เมื่อกลับมาจากจังหวัดเลยมาถึงบ้านแล้ว ในปีเดียวกันนั้น ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดโพนทอง บ้านบะทอง ขณะที่ยังเป็นสามเณรอยู่นั้น ท่านเอาใจใส่ศึกษาและเคร่งครัดในพระธรรมวินัยเป็นอันมาก ถึงขนาดคุณย่าของท่านได้พยากรณ์เอาไว้ว่า ในภายภาคหน้า ท่านจะเข้าไปอาศัยอยู่ในป่าขมิ้น จนตลอดชีวิต ระหว่างนั้นจะสร้างแต่คุณความดีอันประเสริฐเลิศล้ำค่า จะเป็นผู้บริสุทธิ์ผ่องใส ประชาชนทุกชั้นตั้งแต่สูงสุดจนต่ำสุด ทุกเชื้อชาติศาสนาที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาของท่าน จะบังเกิดความเลื่อมใสในตัวท่านและรสพระธรรมที่ท่านเทศนาเป็นอันมาก ครั้นถึงอายุ ๒๐ ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พระอุโบสถวัดสิทธิบังคม ที่บ้านไฮ่ ตำบลไร่ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร โดยพระครูป้อง เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์สัง กับ พระอาจารย์มวล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ระหว่างจำพรรษาอยู่ที่วัดสิทธิบังคม ท่านได้ท่องบ่นเจ็ดตำนานจนจบบริบูรณ์ ขณะเดียวกันพระอุปัชฌาย์ของท่านก็ได้สอนให้รู้จักวิธีเจริญกัมมัฏฐานตลอดพรรษาด้วย ออกพรรษาปีนั้น ท่านได้กลับมาอยู่ที่วัดโพนทอง ซึ่งมีท่านอาญาครูธรรม เป็นเจ้าอาวาส (ภายหลังได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสกลสมณกิจ เจ้าคณะจังหวัดสกลนคร) ท่านอาญาครูธรรมชอบฝึกกัมมัฏฐานให้พระลูกวัดเสมอ หลังออกพรรษาระหว่างเดือนอ้ายถึงเดือน ๔ ท่านได้ชักชวนพระลูกวัดออกเที่ยวธุดงค์ ไปฝึกหัดภาวนาเจริญกัมมัฏฐานตามเขาลำเนาไพร ตามถ้ำตามป่าช้าต่าง ๆ ที่เป็นที่วิเวก ซึ่งพระอาจารย์ฝั้นก็ได้ติดตามไปด้วย การฝึกหัดภาวนาในสมัยนั้น มีวิธีฝึกใจให้สงบโดยอาศัยการนับลูกประคำ กล่าวคือ เอาลูกมะแทน ๑๐๘ ลูก ร้อยเป็นพวงคล้องคอ หรือพันข้อมือไว้ เวลาเจริญพุทธานุสติกัมมัฏฐานจะด้วยการนั่ง การนอน หรือจะยืน จะเดินก็ดี เมื่อบริกรรมว่า พุทโธ ๆ จะต้องนับลูกมะแทนไปด้วยทีละลูก คือนับ พุทโธ ๑๐๘ เท่าลูกมะแทน เมื่อถึงบทธัมโมและสังโฆ ก็ต้องนับเช่นเดียวกัน หากนับพลั้งเผลอ แสดงว่าจิตใจไม่สงบ ต้องย้อนกลับไปตั้งต้นใหม่ที่พุทโธ ๑ อีก เป็นการฝึกที่ดูเผิน ๆ น่าจะง่าย แต่เมื่อปฏิบัติอย่างจริงจัง จะเห็นว่าไม่ง่ายดั่งใจนึก เพราะต้องบริกรรมอยู่ตลอดเวลาด้วยจิตที่เป็นสมาธิ เว้นไว้แต่เวลาที่นอนหลับ และเวลาที่ฉันจังหันเท่านั้น ใน พ.ศ. ๒๔๖๓ เดือน ๓ ข้างขึ้น เป็นระยะเวลาที่พระอาจารย์ฝั้นได้พบพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และได้ปวารณาตนขอเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สาเหตุที่พบกันมีอยู่ว่า ระยะเวลาดังกล่าว พระอาจารย์มั่น พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรอีกหลายรูป ได้เที่ยวธุดงค์ไปพักที่วัดป่าภูไทสามัคคี บ้านม่วงไข่ ตำบลพรรณา อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ญาติโยมทั้งหลายในบ้านม่วงไข่ ได้พากันไปนมัสการ และขอฟังพระธรรมเทศนาของท่าน สำหรับพระภิกษุที่ไปร่วมฟังด้วย มีท่านอาญาครูดี พระอาจารย์กู่ และพระอาจารย์ฝั้น พระอาจารย์มั่น ได้แสดงพระธรรมเทศนาเบื้องต้นในเรื่องการให้ทาน รักษาศีล และการบำเพ็ญภาวนา ตามขั้นภูมิของผู้ฟัง ว่าการให้ทานและการรักษาศีลภาวนานั้น ถ้าจะให้เกิดผลานิสงส์มากจะต้องละจากความคิดเห็นที่ผิดให้เป็นถูกเสียก่อน ท่านยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวชาวบ้านมากที่สุดขึ้นอ้างว่า ชาวบ้านม่วงไข่นั้นส่วนใหญ่นับถือภูตผีปีศาจ ตลอดจนเทวดาและนางไม้เป็นสรณะ ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลวไหล ไร้เหตุผล ท่านได้แสดงข้อเท็จจริงขึ้นหักล้างหลายประการ และได้แสดงพระธรรมเทศนาอันลึกซึ้ง จนกระทั่งชาวบ้านเห็นจริง ละจากมิจฉาทิฏฐิ เลิกนับถือภูตผีปีศาจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โยมผู้หนึ่งคือ อาชญาขุนพิจารณ์ (บุญมาก) สุวรรณรงค์ ผู้ช่วยสมุหบัญชี อำเภอพรรณานิคม ซึ่งเป็นบุตรชายของพระเสนาณรงค์ (สุวรรณ์) เจ้าเมืองพรรณานิคม คนที่ ๔ และเป็นนายอำเภอพรรณานิคมคนแรกในสมัยรัชกาลที่ห้า ได้กราบเรียนถามพระอาจารย์มั่นว่า เหตุใดการให้ทานหรือการรับศีลจึงต้องตั้ง นโม ก่อนทุกครั้ง จะกล่าวคำถวายทานและรับศีลเลยทีเดียวไม่ได้หรือ พระอาจารย์มั่นได้แสดงธรรมเรื่องนโมอย่างลึกซึ้งให้ฟัง "เหตุใดหนอ นักปราชญ์ทั้งหลาย จะสวดก็ดี จะรับศีลก็ดี หรือจะทำการกุศลใดๆ ก็ดีจึงต้องตั้ง นโม ก่อนจะทิ้ง นโม ไม่ได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ นโม ก็ต้องเป็น สิ่งสำคัญ จะยกขึ้นพิจารณา ได้ความปรากฏว่า น คือธาตุน้ำ โม คือธาตุดิน พร้อมกับบทพระคาถาขึ้นมาว่า มาตาเปตฺติกสมฺภโว โอทนกุมฺมาสปจฺจโย สัมภวธาตุของมารดาบิดาผสมกันจึงเป็นตัวตนขึ้นมา เมื่อคลอดจากครรภ์มารดาแล้วก็ได้รับข้าวสุกและขนมกุมมาสเป็นเครื่องเลี้ยงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาได้ "น" เป็นธาตุ ของมารดา โม เป็นธาตุของบิดา ฉะนั้น เมื่อธาตุทั้ง ๒ ผสมกันเข้าไป ไฟธาตุของมารดาเคี่ยวเข้าจนได้นามว่า "กลละ" คือ น้ำมันหยดเดียว ณ ที่นี้เอง ปฏิสนธิวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิได้ จิตจึงได้ปฏิสนธิในธาตุ "นโม" นั้น เมื่อจิตเข้าไปอาศัยแล้ว "กลละ" ก็ค่อยเจริญขึ้นเป็น "อัมพุชะ" คือ เป็นก้อนเลือด เจริญจากก้อนเลือดมาเป็น "ฆนะ" คือ แท่งและ เปสี คือ ชิ้นเนื้อ แล้วขยายตัวออกคล้ายรูปจิ้งเหลน จึงเป็น ปัญจสาขา คือ แขน ๒ ขา ๒ หัว ๑ ส่วนธาตุ "พ" คือ ลม "ธ" คือ ไฟนั้น เป็นธาตุเข้ามาอาศัยภายหลัง เพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจาก กลละ นั้นแล้ว กลละ ก็ต้องเข้ามาอาศัยภายหลัง เพราะจิตไม่ถือ เมื่อละจากกลละนั้นแล้ว กลละ ก็ต้องทิ้งเปล่า หรือ สูญเปล่า ลม และไฟก็ไม่มี คนตาย ลมและไฟก็ดับหายสาบสูญไป จึงว่าเป็นธาตุอาศัย ข้อสำคัญจึงอยู่ที่ธาตุทั้ง ๒ คือ นโม เป็นดั้งเดิม ในกาลต่อมาเมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องอาศัย "น" มารดา "โม" บิดาเป็นผู้ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมา ด้วยการให้ข้าวสุก และขนมกุมมาสเป็นต้น ตลอดจนการแนะนำสั่งสอนความดีทุกอย่าง ท่านจึงเรียกมารดาบิดา ว่า "ปุพพาจารย์" เป็นผู้สอนก่อนใคร ๆ ทั้งสิ้น มารดาบิดาเป็นผู้มีเมตตาจิตต่อบุตรธิดาจะนับจะประมาณมิได้ มรดกที่ท่านทำให้กล่าวคือ รูปกายนี้แลเป็นมรดกดั้งเดิม ทรัพย์สินเงินทองอันเป็นภายนอก ก็เป็นไปจากรูปกายนี้เอง ถ้ารูปกายนี้ไม่มีแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ชื่อว่าไม่มีอะไรเลย เพราะเหตุนั้นตัวของเราทั้งตัวนี้เป็น "มูลมรดก" ของมารดาบิดาทั้งสิ้น จึงว่าคุณของท่านจะนับจะประมาณมิได้เลย ปราชญ์ทั้งหลายจึงหาได้ละทิ้งไม่ เราต้องเอาตัวเราคือ นโม ตั้งขึ้นก่อน แล้วจึงทำกิริยา น้อมไหว้ลงภายหลัง นโม ท่านแปลว่านอบน้อมนั้นเป็นการแปลเพียงกิริยา หาได้แปล ต้นกิริยาไม่ มูลมรดกนี้แลเป็นต้นทุนทำการฝึกหัดปฏิบัติตน ไม่ต้องเป็นคนจนทรัพย์สำหรับทำทุนปฏิบัติ นโม เมื่อกล่าวเพียง ๒ ธาตุเท่านั้นยังไม่สมประกอบ หรือยังไม่เต็มส่วน ต้องพลิกสระพยัญชนะดังนี้ คือ เอาสระอะ จากตัว "น" มาใส่ตัว "ม" เอา สระโอจากตัว "ม" มาใส่ตัว "น" แล้วกลับตัวมะ มาไว้หน้าตัว โน เป็น มโน แปลว่า ใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้ทั้งกายทั้งใจ เต็มตามสมควรแก่การใช้เป็นมูลฐานแห่งการปฏิบัติได้ มโน คือ ใจ นี้เป็นดั้งเดิมเป็นมหาฐานใหญ่ จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็นไปจากใจนี้ทั้งหมดได้ในพระพุทธพจน์ว่า มโนปุพฺพงฺ คมา ธมฺมา มโนเสฎฐา มโมยา ธรรมทั้งหลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ พระบรมศาสดาจะทรงบัญญัติพระธรรมวินัยก็ทรงบัญญัติออกไปจากใจ คือ มหาฐานนี้ทั้งสิ้น เหตุนี้เมื่อพระสาวกผู้ได้มาพิจารณาตามจนถึงรู้จัก นโม แจ่มแจ้งแล้ว มโน ก็สุดบัญญัติ คือพ้นจากบัญญัติทั้งสิ้น สมบัติทั้งหลาย ในโลกนี้ต้องออกไปจากนโมทั้งสิ้น ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่างถือเอาก้อนอันนี้ ถือเอาเป็นสมบัติ บัญญัติตามกระแสแห่งน้ำ โอฆะ จนเป็นอวิชชาตัวก่อภพก่อชาติด้วยการไม่รู้เท่า ด้วยการหลงถือว่าตัวเป็นเราเป็นของเราไปหมด" เมื่อแสดงจบ ญาติโยมน้อยใหญ่ต่างเชื่อถือและเลื่อมใสเป็นอันมาก พากันสมาทานรับเอาพระไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่ง ตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ส่วนท่านอาญาครูดี พระอาจารย์กู่ และพระอาจารย์ฝั้น เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาจบลง ก็บังเกิดความปีติยินดีและเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ทุกท่านเกิดกำลังใจมุมานะอยากบังเกิดความรอบรู้เหมือนพระอาจารย์มั่น จึงปรึกษาหารือกันว่า พระอาจารย์มั่น ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนหนังสือในชั้นสูง คือเรียนสนธิ เรียนมูลกัจจายน์ ประถมกัปป์ ประถมมูล จนกระทั่งสำเร็จมาจากเมืองอุบล จึงแสดงพระธรรมเทศนาได้ลึกซึ้งและแคล่วคล่องไม่ติดขัด ประดุจสายน้ำไหล พวกเราน่าจะต้องตามรอยท่าน โดยไปร่ำเรียนจากอุบลฯ ให้สำเร็จเสียก่อน จึงจะแปลอรรถธรรมได้เหมือนท่าน เมื่อปรึกษาหารือกันแล้ว ได้พากันปวารณาตัวขอเป็นศิษย์ต่อพระอาจารย์มั่น รับเอาข้อวัตรปฏิบัติ ถือธุดงควัตรโดยเคร่งครัด กับได้ขอติดสอยห้อยตามท่านอาจารย์มั่นไปด้วย แต่ท่านพระอาจารย์มั่นท่านคอยไม่ได้ เพราะทั้งสามท่านยังไม่พร้อมในเรื่องบริขารสำหรับธุดงค์ จึงออกเดินทางไปก่อน พระอาจารย์ทั้งสามต่างได้รีบจัดเตรียมบริขารสำหรับธุดงค์อย่างรีบด่วน เมื่อพร้อมแล้ว จึงออกติดตามท่านพระอาจารย์มั่นไปทั้งสามท่าน เหตุที่พระอาจารย์มั่นออกเดินทางไปโดยไม่คอยในครั้งนั้น ได้มีการสันนิษฐานในภายหลังว่า พระอาจารย์มั่นเห็นว่า พระอาจารย์ทั้งสามตัดสินใจอย่างกะทันหันเกินไป ท่านต้องการจะให้ตรึกตรองอย่างรอบคอบสักระยะเวลาหนึ่งก่อน แต่พระอาจารย์ทั้งสาม ได้บังเกิดศรัทธาอย่างแก่กล้าในตัวพระอาจารย์มั่นโดยไม่อาจถอนตัวได้เสียแล้ว จึงไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจดังกล่าว ในระหว่างนั้น พระอาจารย์ดูลย์ อตุโล (พระรัตนากรวิสุทธิ์ ปัจจุบันเป็นเจ้าคณะธรรมยุต จังหวัดสุรินทร์) ได้เที่ยวตามหาพระอาจารย์มั่นด้วยเหมือนกัน โดยเดินธุดงค์เลียบฝั่งแม่น้ำโขงมาจนถึงบ้านม่วงไข่ แล้วจึงได้ไปพักอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย เมื่อท่านอาญาครูดี พระอาจารย์กู่ และพระอาจารย์ฝั้น ได้ไปพบพระอาจารย์ดูลย์ที่วัดนั้น จึงได้ศึกษาธรรมเบื้องต้นกับท่านอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และเนื่องจากต่างก็มีความประสงค์จะตามหาพระอาจารย์มั่นด้วยกันอยู่แล้ว ดังนั้นพระอาจารย์ทั้ง ๔ จึงได้ร่วมกันเดินธุดงค์ติดตาม โดยพระอาจารย์ดูลย์รับหน้าที่เป็นผู้นำทาง เมื่อธุดงค์ติดตามไปถึงตำบลบ้านคำบก อำเภอหนองสูง (ปัจจุบัน อำเภอคำชะอี) จังหวัดนครพนม จึงทราบว่า พระอาจารย์มั่นอยู่ที่บ้านห้วยทราย และกำลังเดินธุดงค์ต่อไปยังอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร พระอาจารย์ทั้งสี่จึงรีบติดตามไปอย่างเร่งรีบ จนกระทั่งไปทันพระอาจารย์มั่นที่บ้านตาลโกน ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน พระอาจารย์ทั้งสี่ได้ศึกษาธรรมอยู่กับพระอาจารย์มั่นเป็นเวลา ๓ วัน จากนั้นจึงได้ไปกราบนมัสการพระอาจารย์เสาร์ ที่บ้านหนองดินดำแล้วไปหาพระอาจารย์สิงห์ ที่บ้านหนองหวาย ตำบลเดียวกัน ศึกษาธรรมอยู่กับท่านอีก ๗ วัน จากนั้นก็ได้กลับไปอยู่บ้านตาลเนิ้ง และได้ไปรับฟังธรรมจากพระอาจารย์มั่นอยู่เสมอ ๆ ต่อมาพระอาจารย์ฝั้น กับสามเณรพรหม สุวรรณรงค์ ผู้มีศักดิ์เป็นหลาน ได้เดินธุดงค์ไปอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี และได้ไปภาวนาอยู่ที่ถ้ำพระบท ก่อนเดินทางไปยังถ้ำพระบทแห่งนี้ ได้มีผู้เล่าให้ท่านฟังว่าที่ถ้ำนั้นผีดุมาก โดยเฉพาะที่ปากถ้ามีต้นตะเคียนสูงใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง มีเถาวัลย์ห้อยระโยงระยางอยู่เกะกะ และมืดครึ้มน่ากลัวยิ่ง ผู้ไม่กลัวผี เมื่อไปภาวนาอยู่ในถ้ำดังกล่าว ต่างก็เคยถูกผีหลอกมาแล้วมากต่อมาก เช่นมาหว่านดินรบกวนบ้าง หรือบางทีก็เขย่าต้นไม้ให้ดังเกรียวกราวบ้าง เป็นต้น พระอาจารย์ฝั้น ได้ฟังคำบอกเล่าดังนั้น จึงได้กล่าวว่า เกิดมายังไม่เคยเห็นผี หรือถูกผีหลอกเลยสักครั้ง เพียงแต่มีคนเล่ากันต่อ ๆ มาว่ามีผี ทั้งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยว่าผีหักคอคนไปกินทั้งดิบ ๆ ถ้าเป็นเสือสางหรือสัตว์อื่น ๆ ที่ดุร้ายละก็ไม่แน่ จากนั้นก็พาสามเณรพรหมเดินทางต่อไปจนกระทั่งถึงถ้ำพระบทเมื่อเวลา ๕ โมงเย็นเศษ ๆ เมื่อช่วยกันทำความสะอาดตามบริเวณปากทางถ้ำและในถ้ำแล้ว ได้พากันไปอาบน้ำที่อ่างหินใกล้ ๆ แล้วกลับมากางกลด กับเตรียมน้ำร้อนน้ำฉัน เสร็จแล้วก็ออกเดินจงกรม โดยพระอาจารย์ฝั้นเดินจงกรมอยู่ทางทิศตะวันออกของกลด ส่วนสามเณรพรหม เดินทางทิศตะวันออก ต่างเดินจงกรมด้วยจิตใจอันสงบและมั่นคง ไม่ปรากฏสิ่งผิดปกติใด ๆ มาแผ้วพานตลอดทั้งคืน ต่อมาในคืนที่ ๒ ได้มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในระหว่างภาวนาอยู่ในกลด สมดังที่มีผู้เล่าไว้ กล่าวคือ ได้ยินเสียงต้นไม้เขย่าดังเกรียวกราวอยู่เป็นระยะ ๆ เมื่อได้ยินครั้งแรก พระอาจารย์ฝั้นกับสามเณรพรหมต่างก็ขนลุกซู่ด้วยความตกใจ แต่ก็เร่งภาวนาอย่างเต็มที่เพื่อวางใจให้สงบ ในที่สุดขนที่ลุกซู่ก็เหือดหาย จิตใจก็เป็นปกติและเกิดความกล้าหาญขึ้น พระอาจารย์ฝั้นกับสามเณรพรหมจึงได้ออกจากกลดมาพิสูจน์ว่าเสียงต้นไม้ที่ดังเกรียวกราวเกิดจากอะไรแน่ คืนนั้นเป็นคืนเดือนหงาย จึงได้เห็นบ่างขนาดใหญ่ ๓ ตัว ตัวโตเท่าแมว บินฉวัดเฉวียนอยู่บริเวณต้นตะเคียนใหญ่ บางทีก็กระพือขึ้นไปตามเถาวัลย์ แล้วเขย่ากิ่งตะเคียนเล่น สะเก็ดจากกิ่งและใบที่แห้งร่วงหล่นลงมานั้นเหมือนผีมาเขย่าต้นไม้ไม่มีผิด ในคืนต่อมา เสียงเขย่าต้นไม้ก็ยังปรากฏอยู่ทุกคืน แต่พระอาจารย์ฝั้นกับสามเณรพรหม ได้ประจักษ์ความจริงเสียแล้ว จึงมิได้สนใจอีกต่อไป ระหว่างบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่ถ้ำพระบทนั้น การบิณฑบาต ก็ได้อาศัยเพียงตายายชาวไร่สองคนผัวเมียไม่มีลูก ซึ่งไปปลูกบ้านอยู่กลางดง ห่างถ้ำประมาณ ๑๐๐ เส้น ทั้งคู่ประกอบอาชีพในการทำไร่ข้าวและปลูกพริกปลูกฝ้าย เมื่อบิณฑบาตแต่ละครั้งได้ข้าววันละปั้นและพริกกับเกลือเท่านั้น ตกเย็นท่านก็ฉันยาดองด้วยน้ำมูตร กล่าวคือลูกสมอมาดองกับน้ำมูตรของท่านเองในกระบอกไม่ไผ่แล้วเผาไฟให้สุก เมื่อครบ ๑๕ วันแล้ว พระอาจารย์ฝั้นจึงได้พาสามเณรพรหมออกเที่ยวธุดงค์ต่อไป โดยตั้งใจว่าจะไปให้ถึงภูเขาควายในประเทศลาว แต่ในที่สุดเมื่อข้ามโขงไปแล้วก็เปลี่ยนใจ เพราะจากการสอบถามทางไปภูเขาควายกับพระภิกษุบางรูป และชาวบ้าน ได้รับคำบอกเล่าว่า ขณะนี้ฝรั่งเศสเข้มงวดกวดขันการเข้าประเทศมาก ท่านตรองดูแล้วเห็นว่า หนังสือเดินทางก็ไม่มี ใบสุทธิก็มิได้ติดตัวมาด้วย หากเกิดเรื่องขึ้นจะลำบาก ญาติโยมที่จะช่วยเหลือก็ไม่มี เพราะต่างบ้านต่างเมือง อีกประการหนึ่ง เมื่อภาวนาออกนอกลู่นอกทาง ก็ไม่มีผู้ใดจะปรึกษาแก้ไข เพราะห่างไกลครูบาอาจารย์ จึงตกลงเดินทางกลับ แต่มิได้กลับตามเส้นทางเดิม คราวนี้เดินเลียบฝั่งโขงขึ้นไปทางเหนือน้ำ โดยเดินไปตามทางเดินแคบ ๆ สองข้างทางเป็นป่าทึบ ทางเดินที่ปรากฏรอยตะกุยของเสืออยู่บ่อย ๆ ทั้งเก่าทั้งใหม่คละกันไปเรื่อย ยิ่งตอนที่ตะวันลับไม้ จะได้ยินเสียงเสือคำรามร้องก้องไปทั้งหน้าหลัง แม้จะภาวนาอยู่ตลอดทาง แต่จิตใจก็อดหวั่นไหวไม่ได้ จนบางครั้งถึงกับภาวนาผิด ๆ ถูก ๆ เพราะไม่แน่ใจเอาเสียเลย ว่ามันจะโจนเข้าตะครุบเอาเมื่อไหร่ เพื่อให้กำลังใจกล้าแข็งขึ้น พระอาจารย์ฝั้นได้อุทานภาษิตอีสานขึ้นมาบทหนึ่ง ซึ่งท่านเคยพูดถึงบ่อย ๆ เมื่อครั้งยังเป็นฆราวาสว่า “เสือกินโค กินควาย เพิ่นช้าใกล้ สื่อกินอ้าย เพิ่นช้าไกล” ภาษิตบทนี้ ท่านอธิบายให้ศิษย์ฟังในระยะหลังว่า ถ้าเสือกินโคหรือกินควาย เสียงร่ำลือจะไม่ไปไกลเพราะเป็นเรื่องธรรมดา คงร่ำลือเฉพาะในหมู่บ้านนั้น ๆ แต่ถ้าหากเสือกินคนหรือกินพระกัมมัฏฐานแล้ว ผู้คนจะร่ำลือไปไกลมากทีเดียว ภาษิตที่ท่านอุทานขึ้นมาบทนั้น ยังผลให้ท่านข่มความกลัวในจิตใจได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็บังเกิดความกล้า พร้อมที่จะเผชิญเหตุการณ์ทุกวิถีทาง พระกัมมัฏฐานกลัวสัตว์ป่าก็ไม่ใช่พระกัมมัฏฐาน นอกจากภาษิตข้างต้น ท่านยังกล่าวต่อไปอีกว่า ภาษิตบทนี้มีความหมายว่า กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปดนั้น มันฝังแน่นอยู่ในสันดานของมนุษย์ เช่นเดียวกับจระเข้ที่กบดานแน่นิ่งอยู่ใต้น้ำ นาน ๆ จึงจะโผล่หัวขึ้นมานอนอ้าปากตามชายฝั่ง พอแมลงวันเข้าไปไข่ มันจะคลานลงน้ำแล้วอ้าปากตรงผิวน้ำ เพื่อให้ไข่แมลงวันไหลออกไปเป็นเหยื่อปลา และเมื่อใดที่ปลาใหญ่ปลาเล็ก หลงเข้าไปกินไข่แมลงวันในปากของมัน มันก็จะงับปลากลืนกินไปทันที ส่วนกระท้างนั้นก็เช่นเดียวกับกระรอก ซึ่งหัวหางกระดุกกระดิกอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น หากกำคอจระเข้และคอกระท้างไว้ให้มั่น ไม่ปล่อยให้จระเข้มันฟาดหาง และไม่ยอมให้กระท้างกระดุกกระดิกได้ จิตใจก็จะสงบเป็นปกติ ไม่กลัวเกรงต่อภยันตราย ถึงเสือจะคาบไปกินก็ไม่กระวนกระวายเป็นทุกข์ ท่านกล่าวกับสามเณรพรหมในตอนนั้นอีกด้วยว่า เมื่อเรามีสติ กำหนดรู้เท่าทันมันดีแล้ว “การตายนั้นถึงตายคว่ำก็ไม่หน่าย จะตายหงายหน้าก็ไม่จ่ม” กล่าวคือไม่ว่าจะตายด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม สุคติเป็นหวังได้เสมอไป ดังนี้ หลังจากข่มสติให้หายกลัวเสือได้สำเร็จ การเที่ยวธุดงค์ก็เต็มไปด้วยความปลอดโปร่ง และต่อมาไม่นานนัก พระอาจารย์ฝั้นกับสามเณรพรหมก็บรรลุถึงท่าน้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเรือรับส่งข้ามฟากกันอยู่เป็นประจำ จึงเรียกเรือมารับแล้วข้ามกลับมาฝั่งไทย พอขึ้นฝั่งพักผ่อนได้ชั่วครู่ พระอาจารย์ฝั้นก็พาสามเณรพรหม เดินทางไปนมัสการพระอาจารย์มั่นที่บ้านนาสีดา ตำบลกลางใหญ่ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี เมื่อนมัสการพระอาจารย์มั่นเรียบร้อยแล้ว ทั้ง ๆ ที่พระอาจารย์ฝั้น ยังไม่ได้กราบเรียนให้พระอาจารย์มั่นทราบถึงเรื่องราวที่ได้ประสบมา แต่พระอาจารย์มั่นก็สามารถหยั่งรู้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพราะจากการสนทนาตอนหนึ่ง พระอาจารย์มั่นได้กล่าวขึ้นมาลอย ๆ ว่า “ท่านฝั้น เณรพรหม ได้ผี ได้เสือเป็นอาจารย์น่ะดีแล้ว ผีกับเสือสอนให้รู้วิธีตั้งสมาธิให้มั่นคง สอนให้กำหนดจิตใจให้สงบ รู้เท่าความกลัว ว่าอะไรมันกลัวผี กลัวเสือ ถ้าจิตใจกลัว เสือมันกินจิตใจคนได้เมื่อไหร่ มันกินร่างของคนต่างหาก นี่แหละเขาจึงพูดกันว่า ผู้ไม่กลัวตาย ไม่ตาย ผู้กลัวตายต้องตายกลายเป็นอาหารสัตว์ ที่ท่านฝั้นใช้ภาษิตต่าง ๆ เป็นอุบายอันแยบคาย เตือนจิตใจให้รู้สึกตัวอยู่เสมอ ขณะได้ยินเสียงเสือนั้นชอบแล้ว” ต่อจากนั้นพระอาจารย์มั่นได้ถามพระอาจารย์ฝั้นด้วยว่า จะไปเรียน “หนังสือใหญ่” คือเรียนประถมกัปป์ ประถมมูล กับมูลกัจจายน์ ตามที่ได้ตั้งใจไว้จริง ๆ หรือ พระอาจารย์ฝั้นตอบว่า มีเจตนาไว้เช่นนั้นจริง พระอาจารย์มั่นเห็นความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวของพระอาจารย์ฝั้นจึงบอกว่า ท่านฝั้น ไม่ต้องไปเรียนถึงเมืองอุบลหรอก อยู่กับผมที่นี่ก็แล้วกัน ผมจะสอนให้จนหมดไส้หมดพุงเลยทีเดียว หากยังไม่จุใจค่อยไปเรียนต่อทีหลัง ส่วนเณรพรหม เธอจะไปเรียนที่เมืองอุบลก็ได้ ตามใจสมัคร สามเณรพรหมจึงได้แยกกันกับพระอาจารย์ฝั้น ตอนนั้นเป็นปลายปีพุทธศักราช ๒๔๖๔ สามเณรพรหมลงไปเมืองอุบล กับพระอาจารย์สิงห์ ส่วนพระอาจารย์ฝั้นอยู่เรียน “หนังสือใหญ่” กับพระอาจารย์มั่น บางครั้งได้ออกบำเพ็ญภาวนาโดยลำพัง เมื่อขัดข้องสงสัยในข้ออรรถข้อธรรมอันใดก็กลับเข้ามาเรียนถามพระอาจารย์มั่น ต่อมาพระอาจารย์ฝั้นได้ออกเที่ยวธุดงค์ไปทางอำเภอวาริชภูมิ ขณะไปพักอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองแสง เกิดอาพาธเป็นไข้หวัด เป็นอุปสรรคต่อการพำเพ็ญภาวนาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังเกิดความวุ่นวายในจิตใจ ทั้งกลางวันและกลางคืน อุบายแก้ไขที่เคยกำหนดรู้ได้ก็หลงลืมหมด ไม่ผิดอะไรกับการเดินป่า พบขอนไม้ใหญ่ขวางกั้น จะข้ามไปมันก็สูงขึ้น จะลอดหรือมันก็ทรุดต่ำลงติดดิน จะไปขวาไปซ้าย ขอนไม้มันก็เคลื่อนเข้ากางกั้นไว้ทุกครั้ง เป็นเช่นนี้ถึง ๓ คืน ก็ยังเอาชนะอุปสรรคไม่สำเร็จ หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 19 มีนาคม 2011, 13:18:12 ประวัติหลวงปู่ฝั้น อาจาโร (ตอนที่2) เช้าวันรุ่งขึ้น พระอาจารย์ฝั้นออกไปบิณฑบาต กลับมาก็ฉันได้เพียงนิดหน่อย แต่ถึงกระนั้นท่านก็ยังตัดสินใจออกเดินธุดงค์ต่อ จัดแจงเครื่องบริขาร บ่าข้างหนึ่งสะพายบาตร บ่าอีกข้างหนึ่งแบกกลด ออกเดินไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่หายอาพาธ ระหว่างทางท่านได้พบสุนัขตัวหนึ่ง กำลังแทะกระดูกอยู่ พอมันเห็นท่านก็วิ่งหนี แต่แล้วก็เลียบเคียงกลับมาแทะกระดูกต่อ เป็นเช่นนี้ถึง ๓ ครั้ง ทันใดท่านได้เกิดธรรมสังเวช บังเกิดความสลดขึ้นในใจเป็นอย่างมาก จึงถามตนเองว่า ขณะนี้เธอเป็นฆราวาสหรือพระกัมมัฏฐาน ถ้าเป็นฆราวาสก็เหมือนกับสุนัขแทะกระดูกนี่แหละ กระดูกมีเนื้อหนังเมื่อไหร่ อย่างมากก็กลืนลงคอไปได้แต่น้ำลายเท่านั้นเอง แต่นี่เธอเป็นพระกัมมัฏฐาน เท่าที่เธอภาวนาไม่สำเร็จมาถึง ๓ คืน ก็เพราะเธออยากสร้างโลก สร้างภพ สร้างชาติ สร้างวัฏฏสงสาร ไม่มีสิ้นสุดแห่งความคิด อยากมีบ้าน มีเรือน มีไร่มีนา มีวัวมีควาย อยากมีเมียมีลูกมีหลาน จะไปสร้างคุณงามความดีในที่ใดก็ไม่ได้ เพราะเป็นห่วงสมบัติ และห่วงลูกห่วงเมีย พร้อมกันนั้น พระอาจารย์ฝั้นก็กล่าวภาษิตขึ้นมาบทหนึ่ง มีข้อความดังนี้ “ตัณหารักเมีย เปรียบเหมือนเชือกผูกคอ ตัณหารักลูกหลาน เปรียบเหมือนปอผูกศอก ตัณหารักวัตถุข้าวของต่าง ๆ เปรียบเหมือนปอผูกตีน” สมบัติพัสถานต่าง ๆ ที่สร้างสมไว้ เมื่อตายลงไม่เห็นมีใครหาบหามเอาไปได้เลยสักคนเดียว มีแต่คุณงามความดีกับความชั่วเท่านั้นที่ติดตัวไป พระอาจารย์ฝั้นปลงด้วยว่า ถ้าเธอเป็นพระกัมมัฏฐานไม่ควรคิดสร้างโลกวัฏฏสงสารเช่นนั้น ควรตั้งใจภาวนาให้รู้ให้เห็นในอรรถธรรมสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ทั้งสิ้น เมื่อกำหนดใจได้เช่นนั้น ไข้หวัดก็ดี ข้อขัดข้องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างอาพาธก็ดี ก็ปลาศนาการไปสิ้น เกิดสติสัมปชัญญะ รู้อาการของจิตทุกลมหายใจเข้าออก ต่อมาพระอาจารย์ฝั้นจึงได้เดินธุดงค์กลับไปนมัสการพระอาจารย์มั่นที่วัดมหาชัย อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี เมื่อไปถึง พอกราบพระอาจารย์มั่นเสร็จ ท่านก็บังเกิดความอัศจรรย์ใจอีกครั้งหนึ่ง เหมือนตอนกลับจากฝั่งลาวครั้งที่แล้ว เพราะพระอาจารย์มั่นได้หัวร่อก้ากขึ้นมาในทันใด แล้วกล่าวกับพระอาจารย์ฝั้นว่า “ท่านฝั้น ครั้งก่อนได้ยินเสือร้อง จิตใจถึงสงบ มาครั้งนี้ได้หมาแทะกระดูกเป็นอาจารย์เข้าอีกแล้ว จึงมีสติรอบรู้ในอรรถในธรรม ท่านฝั้นถือเอาหมาแทะกระดูกเป็นอุบายอันแยบคายสำหรับเปลี่ยนจิตใจให้สงบจนสามารถทำให้เห็นแจ้งในธรรมนั้นได้ถูกต้อง ชื่อว่าเป็นศิษย์ของพระพุทธองค์โดยแท้ การเห็นอะไรแล้วน้อมนำเข้ามาพิจารณาภายในจิตเช่นนี้ เป็นการกระทำที่ชอบแล้ว” น่าสังเกตว่า เมื่อพระอาจารย์ฝั้น สามารถฝึกจิตใจให้เข้มแข็งมั่นคง บำเพ็ญภาวนาได้ตลอดรอดฝั่ง โดยอุปสรรคใด ๆ ไม่อาจมารบกวนได้แล้ว ท่านจึงได้ตัดสินใจขอรับการญัตติเป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ เวลา ๑๕ นาฬิกา ๒๒ นาที ที่วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี โดยมีเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เมื่อครั้งเป็นที่พระครูสังฆวุฒิกร เป็นพระอุปัชฌายะ พระรถ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมุก เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ก่อนหน้านั้น ในเดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๖๗ ได้มีพระอาจารย์มารับการญัตติเป็นธรรมยุตอีก ๒ รูป คือ พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ และ พระอาจารย์อุ่น ฯ นอกนั้นยังมีพระอาจารย์กว่า สุมโน อีกรูปหนึ่ง ซึ่งพออายุครบบวชก็ได้อุปสมบทเป็นพระธรรมยุติกนิกาย หลังจากพระอาจารย์ฝั้นญัตติเพียงไม่กี่วัน สำหรับพระอาจารย์ฝั้น ภายหลังญัตติแล้ว ท่านก็เดินทางไปหาพระอาจารย์มั่นที่วัดอรัญวาสี อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคายและจำพรรษาอยู่ที่วัดนั้นเลย พระอาจารย์ต่าง ๆ ที่ร่วมจำพรรษาในปีเดียวกันนั้น (พ.ศ. ๒๔๖๘) ได้แก่ พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน พระอาจารย์กว่า สุมโน พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ พระอาจารย์สาร พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร และยังมีพระภิกษุสามเณรอีกรวมถึง ๑๖ รูป ระหว่างพรรษานั้น พระอาจารย์ฝั้นอาพาธเป็นไข้มาเลเรีย ออกพรรษาแล้วก็ยังไม่หายขาด ปรากฏว่า ระหว่างอาพาธอยู่นั้น แม้จะมีไข้จับ แต่เมื่อถึงวันประชุมฟังโอวาทจากพระอาจารย์มั่น ท่านก็ไม่เคยย่อท้อ อุตส่าห์ไปฟังโอวาทมิได้ขาดเลยสักครั้งเดียว ยิ่งไปกว่านั้น การทำข้อวัตรปฏิบัติ เช่น ตักน้ำ และปัดกวาดบริเวณวัด ทำความสะอาดเสนาสนะ ท่านก็ร่วมทำกับภิกษุสามเณรอื่น ๆ อยู่เสมอมา แม้จะมีผู้นิมนต์ให้ท่านหยุด ท่านก็ไม่ยอม การกระทำตนเหมือนมิได้ป่วยไข้ โดยใช้พลังจิตเข้าต่อสู้ดังกล่าว เป็นอุบายให้ท่านสามารถพลิกความป่วยเจ็บมาเป็นธรรมอริยสัจจขึ้นได้ จนกระทั่งพระอาจารย์มั่นถึงกับออกปากชมว่า “ท่านฝั้นได้กำลังใจมากนะ พรรษานี้” เมื่อใกล้จะออกพรรษา พระอาจารย์มั่นได้ประชุมหมู่ศิษย์เพื่อเตรียมออกเที่ยวธุดงค์หาที่วิเวก และได้จัดหมู่ศิษย์ออกไปเป็นพวก ๆ โดยจัดพระอาจารย์กู่ พระอาจารย์อ่อน และพระอาจารย์ฝั้นให้ไปเป็นชุดเดียวกัน เพราะเห็นว่ามีนิสัยต้องกันมาก นอกนั้นก็จัดเป็นชุด ๆ อีกหลายชุด ก่อนออกธุดงค์ พระอาจารย์มั่นได้สั่งไว้ด้วยว่า แต่ละชุดให้เดินธุดงค์เลียบภูเขา ภาวนาวิเวกไปตามแนวภูเขานั้น และแต่ละชุดก็ไม่จำเป็นต้องเดินธุดงค์ไปด้วยกันโดยตลอด ระหว่างทาง ท่านใดอยากไปพักวิเวก ณ ที่ใด เช่นตามถ้าซึ่งมีอยู่ตามทางก็ทำได้ เพียงแต่บอกเล่ากันให้ทราบ ในระหว่างพระภิกษุชุดเดียวกัน จะได้นัดหมายไปพบกันข้างหน้าเพื่อเดินธุดงค์ต่อไปได้อีก ครั้นออกพรรษาแล้ว พระอาจารย์กู่กับพระอาจารย์อ่อน ได้แยกไปทางภูเขาพระพุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ส่วนพระอาจารย์ฝั้น ออกไปทางบ้านนาบง ตำบลสามขา (ปัจจุบันเป็นตำบลกองนาง) อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย แล้วไปภาวนาอยู่ที่วัดร้างแห่งหนึ่ง พระอาจารย์ฝั้นพักอยู่ที่วัดร้างนั้นอีกหลายวัน จึงออกเที่ยวธุดงค์ต่อไปโดยเลียบไปกับฝั่งแม่น้ำโขง เมื่อเข้าเขตศรีเชียงใหม่ วันหนึ่งขณะที่ท่านออกเที่ยวไปจนค่ำ ไปพบศาลภูตาแห่งหนึ่งที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ เป็นศาลากว้างครึ่งวา ยาว ๑ วา สูงจากพื้นดินประมาณ ๑ ศอก มุงหลังคาด้วยแผ่นไม้เล็ก ๆ คล้ายกระเบื้อง เปิดโล่งสามด้านข้าง ท่านจึงเข้าไปอาศัยพัก ตอนย่ำรุ่ง มีคนแจวเรือมาจอดที่ริมฝั่งน้ำตรงกับบริเวณที่ตั้งศาลภูตานั้น แล้วยกมือขึ้นอธิษฐานด้วยเสียงอันดังว่า “ขอให้เจ้าแม่นางอั้วบันดาลให้ค้าขายดี ๆ ร่ำรวย อยู่เย็นเป็นสุข” ท่านนึกขำ จึงออกเสียงแทนเจ้าแม่ไปว่า “เออ เอาซี” เล่นเอาผู้นั้นรีบแจวหนีไปอย่างตกอกตกใจ ออกจากศาลภูตาแล้วท่านก็เที่ยวต่อไป และไปแวะที่วัดผาชัน (วัดอรัญญาบรรพต) ซึ่งอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำเช่นเดียวกัน พักอยู่หลายวันจึงเลยไปถึงที่หินหมากเป้ง พักอยู่อีกระยะหนึ่ง ต่อมาจึงเดินทางย้อนกลับไปพบพระอาจารย์กู่และพระอาจารย์อ่อน ที่พระพุทธบาทบัวบกตามที่ตกลงกันไว้ก่อนแยกทาง แต่พอถึงบ้านผักบุ้ง เชิงเขาพระบาทบัวบก ก็ทราบว่าพระอาจารย์ทั้งสองได้ออกเดินธุดงค์ไปที่บ้านค้อแล้ว ท่านจึงพักอยู่ที่บ้านผักบุ้ง ๕ วัน โดยหาสถานที่สงบ เจริญกรรมมัฏฐานอยู่ตามภูเขาลูกนั้น ระหว่างพำนักอยู่ที่นั่น มีเหตุการณ์อันไม่คาดฝันอุบัติขึ้น คือวันหนึ่งเมื่อท่านได้เดินขึ้นไปบนภูเขาเพื่อแสวงหาสถานที่สงบตามลำพัง ขณะผ่านราวป่าท่านถึงกับสะดุ้ง เพราะได้ยินเสียงผิดสังเกตห่างออกไปไม่มากนักทางด้านข้าง เป็นเสียงคล้ายสัตว์กำลังตะกุยดินอยู่ สามัญสำนึกบอกท่านว่าคงเป็นสัตว์ใหญ่ อาจเป็นสัตว์ร้าย และอาจเป็นเสือก็ได้ พอนึกถึงเสือ ท่านก็ยืนนิ่งตัวแข็ง แล้วในอึดใจนั้นเอง ขณะที่ท่านกำลังสำรวมจิตมิให้ตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ที่จะบังเกิดขึ้น สัตว์ตัวนั้นก็ผงกหัวพ้นกอหญ้าอันรกทึบขึ้นมา เสือจริง ๆ นั่นแหละ เห็นจากหัวที่โผล่ขึ้นมา ตัวมันไม่ใช่เล็ก พอแน่ใจว่าเป็นเสือ ท่านก็เย็นวาบไปตามไขสันหลัง เหงื่อเม็ดโป้ง ๆ ผุดขึ้นตามใบหน้า ความรู้สึกบอกตัวท่านโดยฉับพลันว่า ถ้าหันหลังวิ่ง เป็นเสร็จมันแน่ มันจะกระโจนเข้าใส่อย่างไม่มีปัญหา จึงพยายามสำรวมจิตใจให้แน่วแน่เพื่อรับกับสถานการณ์ที่อุบัติขึ้นอย่างกะทันหัน ทุกลมหายใจในขณะนั้นมันให้ติดให้ขัด ไม่สะดวกดายเหมือนในภาวะธรรมดา นับว่าท่านตัดสินใจรับสถานการณ์ได้ถูกต้อง เจ้าเสือร้ายจ้องดูท่านได้เพียง ๒ – ๓ อึดใจ ก็ร้องก้องป่าแล้วกระโจนหายกลับเข้าไปในป่า บรรดาพระเณรข้างล่างได้ยินเสียงร้องของเสือ ก็ตามขึ้นมาตะโกนถามว่าเกิดอะไรขึ้น ครั้นเมื่อทราบความจริงแล้ว ทุกรูปต่างก็โล่งอก หลังจากไปเที่ยวธุดงค์ไปหลายแห่งแล้ว พระอาจารย์ฝั้น ก็กลับมายังวัดอรัญวาสี อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ซึ่งเป็นวัดที่ท่านจำพรรษา แต่ขณะที่กลับมาถึง ปรากฏว่าก่อนหน้านั้น พระอาจารย์มั่นออกเดินธุดงค์ไปที่ตำบลหนองลาด อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ท่านจึงได้ติดตามไป พอถึงอำเภอสว่างแดนดิน ท่านก็เกิดอาพาธขึ้น การเดินทางจึงช้าลง และมาทราบภายหลังว่า พระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก และ พระอาจารย์สีลา อิสฺสโร ได้อาราธนานิมนต์พระอาจารย์มั่นไปอยู่บ้านสามผง อำเภอท่าอุเทน (ปัจจุบันอยู่ในอำเภอศรีสงคราม) จังหวัดนครพนม พระอาจารย์ฝั้นได้พยายามติดตามไปจนพบพระอาจารย์มั่น แต่อาการอาพาธของท่านก็ยังไม่หายดี พระอาจารย์มั่นจึงให้ท่านนั่งพิจารณาภายในร่างกายตลอดคืน ก็น่าอัศจรรย์อยู่ไม่น้อย พอรุ่งเช้า อาการอาพาธของท่านก็หายไปราวปลิดทิ้ง ท่านจึงตั้งใจว่า ในปีต่อไปจะจำพรรษาอยู่กับพระอาจารย์มั่นอีก พอเดือน ๗ ปี พ.ศ. ๒๔๖๙ พระอาจารย์ฝั้นได้เข้าร่วมทำญัตติกรรมพระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก และพระอาจารย์สีลา อิสฺสโร พร้อมทั้งพระภิกษุที่เป็นศิษย์ของท่านทั้งสองอีกประมาณ ๒๐ องค์ อีกด้วย ในจำนวนพระภิกษุที่มาทำการญัตติ มีพระอาจารย์สิม พุทธาจาโร ซึ่งครั้งนั้นยังเป็นสามเณรรวมอยู่ด้วยรูปหนึ่ง ที่อุทกุกเขปสีมา (โบสถ์น้ำ) หนองสามผง สำหรับโบสถ์น้ำที่ท่านจัดสร้างขึ้นนี้ ใช้เรือ ๒ ลำลอยเป็นโป๊ะ เอาไม้พื้นปูเป็นแพ แต่ไม่มีหลังคา เหตุที่สร้างโบสถ์น้ำทำสังฆกรรมคราวนี้ ก็เพราะในป่าจะหาโบสถ์ให้ถูกต้องตามพระวินัยไม่ได้ การทำญัตติกรรมครั้งนี้ ได้อาราธนาท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เมื่อครั้งเป็นพระครูชิโนวาทธำรง มาเป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากนั้นอีก ๗ วัน ท่านอาญาครูดี ซึ่งเป็นอาจารย์ของพระอาจารย์ฝั้นมาก่อน ก็เดินทางมาขอญัตติอีกรูปหนึ่ง ณ ที่เดียวกันนี้ ก่อนเข้าพรรษาประมาณ ๗ วัน กำนันบ้านดอนแดงคอกช้าง อำเภอท่าอุเทน (ปัจจุบันอยู่ในกิ่งอำเภอนาหว้า) จังหวัดนครพนม พร้อมด้วยลูกบ้านอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเลื่อมใสศรัทธาในคณะพระปฏิบัติสัทธรรมชุดนี้ได้เข้ามาพบ และขอร้องให้พระอาจารย์มั่นไปจำพรรษาที่บ้านดอนแดงคอกช้าง แต่พระอาจารย์มั่นมีเหตุอันจำเป็นต้องขัดข้อง จึงให้พระอาจารย์กู่ พระอาจารย์ฝั้น และพระอาจารย์กว่า ไปจำพรรษาที่บ้านดอนแดงคอกช้าง ตามที่ชาวบ้านปรารถนา ซึ่งนับเป็นพรรษาที่ ๒ ของพระอาจารย์ฝั้น หลังจากออกพรรษาแล้ว พระอาจารย์มั่นได้เดินทางมาที่บ้านดอนแดงคอกช้าง พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรประมาณ ๗๐ รูป และได้มีการประชุมหารือกันในเรื่องที่จะไปเผยแพร่ธรรมและไปโปรดเทศนาญาติโยมที่เมืองอุบล พร้อมกันนั้นก็ได้หารือในการที่จะให้โยมมารดาของพระอาจารย์มั่น ย้ายไปอยู่ที่เมืองอุบลด้วย เมื่อตกลงกันแล้วก็ปฏิบัติไปตามนั้น เมื่อส่งโยมมารดาของพระอาจารย์มั่น ไปอยู่เมืองอุบลแล้ว ก็แยกเดินทางออกเป็นหมู่ ๆ สำหรับพระอาจารย์ฝั้นได้เดินทางออกจากบ้านดอนแดงคอกช้างกับพระอาจารย์กู่ พระอาจารย์อ่อน พระอาจารย์กว่า และพระเณรอีก ๒ – ๓ รูป เดินธุดงค์ไปตามป่าเขา ผ่านบ้านตาน บ้านนาหว้า บ้านนางัว – บ้านโพธิสว่าง จนถึงบ้านเชียงเครือ แล้วพักอยู่ที่สกลนคร ๗ วัน จึงออกเดินธุดงค์ไปทางอำเภอนาแก ลัดป่าข้ามภูเขาไปยังบ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม แล้วเดินธุดงค์เข้าสู่เขตเมืองอุบล ระหว่างเดินธุดงค์ร่วมกันมา พระอาจารย์อ่อนเกิดความวิตกและกล่าวขึ้นว่า เมื่อไปพบกับพระอาจารย์มั่นที่เมืองอุบลแล้ว ที่นั่นมีญาติโยมที่เล่าเรียนพระปริยัติธรรมจนแตกฉานเป็นปราชญ์อยู่มาก ถ้าโยมเหล่านั้นตั้งปัญหาธรรมต่าง ๆ พระอาจารย์มั่นคงต้องตอบได้ไม่ติดไม่คา แต่ถ้าถามพระอาจารย์มั่นแล้ววกมาถามพวกศิษย์อย่างเรา ๆ บ้าง ว่าจะเก่งเหมือนพระอาจารย์มั่นหรือไม่ประการใด พวกศิษย์อย่างเราจะตอบปัญหาได้หรือไม่ก็ไม่ทราบ พระอาจารย์ฝั้นได้กล่าวว่า จะกลัวไปทำไมในเรื่องนี้ ธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นที่ใจ รวมอยู่ที่ใจ พวกเรารู้จุดรวมของธรรมทั้งหลายอยู่แล้ว ตอบเขาไปวันยังค่ำก็ไม่มีอับจน เรื่องนี้ไม่ต้องวิตก พระอาจารย์อ่อนได้ฟังดังนั้นก็เกิดกำลังใจ หายวิตกไปได้ ทั้งหมดเดินธุดงค์ไปถึงบ้านหัววัว ตำบลกำแมด เมืองอุบล (ปัจจุบันอยู่อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร) ก็พบพระอาจารย์มั่นคอยอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว เมื่อศิษย์ทั้งหลายตามมาครบทุกชุด ก็เดินธุดงค์ต่อไป จนกระทั่งไปพักที่บ้านหัวตะพาน อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี แต่พระอาจารย์มั่นแยกไปพักที่บ้านหนองขอน ห่างจากบ้านหัวตะพานไปประมาณ ๕๐ เส้น โดยพระอาจารย์ฝั้นติดตามไปจัดเสนาสนะถวาย ระหว่างนั้น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺสเถระ อ้วน) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นพระโพธิวงศาจารย์ เจ้าคณะมณฑลและเจ้าคณะธรรมยุติในภาคอีสาน ทราบข่าวว่าคณะพระกัมมัฏฐานของพระอาจารย์มั่น เดินทางมาพักอยู่ที่บ้านหัวตะพาน จึงสั่งให้เจ้าคณะแขวง อำเภอม่วงสามสิบ กับเจ้าคณะแขวงอำเภออำนาจเจริญ พร้อมด้วยนายอำเภออำนาจเจริญ ไปทำการขับไล่พระภิกษุคณะนี้ออกไปให้หมด ทั้งยังได้ประกาศด้วยว่า ถ้าผู้ใดใส่บาตรพระกัมมัฏฐานเหล่านี้จะจับใส่คุกให้หมดสิ้น แต่ชาวบ้านก็ไม่กลัว ยังคงใส่บาตรกันอยู่เป็นปกติ นายอำเภอทราบเรื่องจึงไปพบพระภิกษุคณะนี้อีกครั้งหนึ่ง แล้วแจ้งมาว่า ในนามของจังหวัด ทางจังหวัดสั่งให้มาขับไล่ พระอาจารย์สิงห์ซึ่งเป็นคนจังหวัดอุบลฯ ได้ตอบโต้ไปว่า ท่านเกิดที่นี่ท่านก็ควรจะอยู่ที่นี่ได้ นายอำเภอไม่ยอม พระอาจารย์ฝั้นก็ได้ช่วยพูดขอร้องให้มีการผ่อนสั้นผ่อนยาวกันบ้าง แต่นายอำเภอก็ไม่ยอมท่าเดียว จากนั้นก็จดชื่อพระกัมมัฏฐานไว้ทุกองค์ รวมทั้งพระอาจารย์มั่น พระอาจารย์สิงห์ พระอาจารย์มหาปิ่น พระอาจารย์เที่ยง พระอาจารย์อ่อน พระอาจารย์ฝั้น พระอาจารย์เกิ่ง พระอาจารย์สีลา ฯลฯ จนหมด แม้กระทั่งนามโยมบิดามารดา สถานที่เกิด วัดที่บวช ทั้งหมดมีพระภิกษุสามเณรหว่า ๕๐ รูป และพวกลูกศิษย์ผ้าขาวอีกมากร่วมร้อยคน นายอำเภอต้องใช้เวลาจดตั้งแต่กลางวันจนถึงสองยามจึงเสร็จ ตั้งหน้าตั้งตาจดจนกระทั่งไม่ได้กินข้าวเที่ยง เสร็จแล้วก็กลับไป ทางฝ่ายพระอาจารย์ก็ประชุมปรึกษากันว่า ทำอย่างไรดีเรื่องนี้จึงจะสงบลงได้ ไม่ลุกลามออกไปเป็นเรื่องใหญ่ พระอาจารย์อ่อน และพระอาจารย์ฝั้นรับเรื่องไปพิจารณาแก้ไข เสร็จการปรึกษาหารือแล้ว พระอาจารย์ฝั้น ก็รีบเดินทางไปพบพระอาจารย์มั่นที่บ้านหนองขอน ซึ่งอยู่ห่างออกไป ๕๐ เส้น พระอาจารย์มั่น ทราบเรื่องจึงให้พระอาจารย์ฝั้นนั่งพิจารณา พอกำหนดจิตเป็นสมาธิแล้วปรากฏเป็นนิมิตว่า “แผ่นดินตรงนั้นขาด” คือแยกออกจากกันเป็นสองข้าง ข้างโน้นก็มาไม่ได้ ข้างนี้ก็ไปไม่ได้ พอดีสว่าง พระอาจารย์ฝั้นจึงเล่าเรื่องที่นิมิตให้พระอาจารย์มั่นฟัง เช้าวันนั้นเอง พระอาจารย์มหาปิ่นกับพระอาจารย์อ่อน ได้ออกเดินทางไปจังหวัดอุบล เพื่อพบกับเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัดชี้แจงว่า ท่านไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย จากนั้นได้ให้นำจดหมายไปบอกนายอำเภอว่า ท่านไม่ได้เกี่ยวข้องเรื่องยุ่งยากทั้งหลายจึงได้ยุติลง เมื่อผ่านพ้นเรื่องนั้นไปด้วยดีแล้ว พระอาจารย์ฝั้นได้กราบลาพระอาจารย์มั่นออกธุดงค์ ย้อนกลับไปเยี่ยม พระอาจารย์ดี ฉนฺโน ที่บ้านกุดแห่ ตำบลกุดเชียงหมี อำเภอเลิงนกทา (ปัจจุบันขึ้นอยู่กับจังหวัดยโสธร) พระอาจารย์ดี ต้อนรับขับสู้พระอาจารย์ฝั้นอย่างแข็งขัน จากการถามทุกข์สุข พระอาจารย์ดีได้แสดงความวิตกกังวลต่อพระอาจารย์ฝั้นเรื่องหนึ่งว่า ท่านได้สอนธรรมข้อปฏิบัติให้ญาติโยมทั้งหลายไปแล้ว แต่ญาติโยมบางคนเมื่อปฏิบัติแล้วได้เกิดวิปัสสนูกิเลส มีอันเป็นไปต่าง ๆ บางพวกออกจากการภาวนาเดินไปถึงสี่แยก เกิดเข้าใจเอาว่าเป็นทางเดินของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตเจ้า พวกนี้จะพากันคุกเข่ากราบไหว้อยู่ที่นั่นเป็นเวลานานจึงได้ลุกเดินไปบ้าง พอไปถึงสี่แยกหน้าก็เข้าใจผิด และปฏิบัติเช่นนี้อีกเรื่อย ๆ บางคนลุกจากภาวนาได้ ก็ถอดผ้านุ่งผ้าห่มออกจนหมด เดินฝ่าญาติโยมที่นั่งภาวนาอยู่ด้วยกัน จนเกิดโกลาหลกันยกใหญ่ มีญาติโยมบางคนกราบไหว้พระอาจารย์ดี ให้ท่านช่วยไปแก้ไขให้ ท่านก็มิรู้จะแก้ได้อย่างไร เป็นเหตุให้กระวนกระวายใจมาเกือบปีแล้ว จึงขอความกรุณาให้พระอาจารย์ฝั้นช่วยแก้ไขให้ด้วย พระอาจารย์ฝั้นตรองหาทางแก้ไขอยู่ไม่นานนักก็รับปาก พระอาจารย์ดีจึงให้เณรเข้าไปป่าวร้องในหมู่บ้าน ให้บรรดาญาติโยมไปฟังธรรมโอวาทของพระอาจารย์ฝั้นที่วัดในตอนค่ำ ถึงเวลานัด ญาติโยมทั้งหลายก็หลั่งไหลเข้าไปในวัด เริ่มแรก พระอาจารย์ฝั้นให้ญาติโยมเหล่านั้นยึดพระไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่ง เมื่อบูชาคุณพระรัตนตรัยแล้ว ท่านได้เริ่มเทศนาให้รู้จักแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยตนเอง เมื่อญาติโยมเข้าใจวิธีแก้แล้ว ท่านจึงนำเข้าที่ภาวนา เมื่อเห็นผู้ใดกำหนดจิตไม่ถูกต้อง ท่านก็เตือน ขณะเดียวกันท่านก็กำหนดจิตติดตามกำกับจิตของญาติโยมเหล่านั้นไปเรื่อย ๆ ญาติโยมที่เคยกำหนดจิตหลงทาง ต่างก็กลับมาเดินถูกทางไปทั้งหมด พอเลิกจากการภาวนา ต่างก็สาธุการ และแซ่ซ้องยินดีโดยทั่วกัน พากันกราบไหว้เคารพว่า ท่านอาจารย์ช่างเข้าใจวิธีแก้ได้เก่งมาก หากไม่ได้ท่าน พวกเขาอาจถึงกับเสียจริตไปก็ได้ พระอาจารย์ฝั้นได้นำพวกญาติโยมภาวนาติดต่อกันไปถึง ๔ – ๕ คืน เมื่อเห็นว่าต่างก็เดินถูกทางกันแล้ว ท่านก็กลับมากราบเรียนพระอาจารย์มั่นที่บ้านหนองขอน ให้ทราบเรื่องราวที่ได้ปฏิบัติไป พระอาจารย์ฝั้นตั้งใจไว้ว่า ในปีนี้จะจำพรรษาร่วมกับพระอาจารย์มั่นต่อไปอีก ขณะเดียวกันท่านอาจารย์กู่ก็ไปจำพรรษาที่บ้านบ่อชะเนง อำเภอเดียวกัน ระยะนั้นปรากกว่าฝนตกชุกมาก พระภิกษุประสบอุปสรรคไม่อาจไปร่วมทำอุโบสถได้สะดวก โดยเฉพาะที่บ้านบ่อชะเนง ไม่มีพระสวดปาฏิโมกข์ได้ พระอาจารย์มั่นจึงได้สั่งให้พระอาจารย์ฝั้นซึ่งสวดปาฏิโมกข์ได้ ไปจำพรรษาเพื่อช่วยพระอาจารย์กู่ ที่บ้านบ่อชะเนง ในระหว่างพรรษาที่บ้านบ่อชะเนง พระอุปัชฌาย์ลุย เจ้าคณะตำบลบ้านเค็งใหญ่ได้ทราบว่าพระอาจารย์กู่ และพระอาจารย์ฝั้นมาสร้างเสนาสนะป่าเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นในเขตตำบลของท่าน จึงเดินทางไปขับไล่ เพราะไม่ชอบพระกัมมัฏฐาน พระอุปัชฌาย์ลุยปรารภขึ้นว่า ผมมาที่นี่เพื่อไล่พวกท่าน และจะไม่ให้มีพระกัมมัฏฐานอยู่ในเขตตำบลนี้ ท่านจะว่าอย่างไร พระอาจารย์ฝั้นตอบไปว่า ท่านมาขับไล่ก็ดีแล้ว กัมมัฏฐานนั้นได้แก่อะไร ได้แก่ เกศา คือ ผม โลมา คือขน นขา คือ เล็บ ทันตา คือ ฟัน และ ตโจ คือ หนัง ท่านเจ้าคณะก็เป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย ได้สอนกัมมักฐานแก่พวกกุลบุตรที่เข้ามาบวชเรียนเป็นศิษย์ของท่าน ท่านก็คงสอนกัมมักฐานอย่างนี้ให้เขาไม่ใช่หรือขอรับ แล้วท่านจะมาขับไล่กัมมัฏฐานด้วยวิธีใดกันล่ะ เกศา – โลมา ท่านจะไล่ด้วยวิธีต้มน้ำร้อนลวก แบบฆ่าเป็ดฆ่าไก่ แล้วเอาคีมเอาแหนบมาถอนเช่นนี้หรือ ? ส่วน นขา – ทันตา – และตโจ ท่านจะไล่ด้วยการเอาค้อนตี ตาปูตีเอากระนั้นหรือไร? ถ้าจะไล่กัมมัฏฐานแบบนี้กระผมก็ยินดีให้ไล่นะขอรับ พระอุปัชฌาย์ลุยได้ฟังก็โกรธมาก พูดอะไรไม่ออก คว้าย่ามลงจากกุฏิไปเลย ระหว่างพรรษาปีนั้น พระอาจารย์กู่กับพระอาจารย์ฝั้น ได้เทศนาสั่งสอนพวกญาติโยมบ้านบ่อชะเนงและบ้านอื่น ๆ ใกล้เคียงมาตลอด ผู้คนต่างก็เลื่อมใสในปฏิปทาของท่านทั้งสองเป็นอย่างมาก ถึงกับให้ลูกชายลูกสาว บวชเป็นพระเป็นเณร และเป็นแม่ชีกันอย่างมากมาย เมื่อออกพรรษาแล้ว พระอาจารย์มั่น ได้พาพระภิกษุสามเณร มาที่บ้านบ่อชะเนง แล้วปรึกษาหารือกันในอันที่จะเดินทางเข้าตัวจังหวัดอุบลฯ เพื่อเทศนาสั่งสอนประชาชนตลอดจนญาติโยมที่ศรัทธาต่อไป เมื่อนัดหมายกันแล้ว พระอาจารย์ฝั้นได้เดินทางร่วมกับพระอาจารย์มั่นไปก่อน พักที่วัดสุทัศน์ ๒ คืน วัดเลียบ ๒ คืน แล้วพักที่วัดบูรพาอีก ๑๐ คืน ระหว่างพักที่วัดบูรพา พระอาจารย์มั่นได้พาโยมมารดาจากอุบลฯ ไปอยู่บ้านบ่อชะเนง ตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น เมื่อจัดหาที่พักให้โยมมารดาเรียบร้อยแล้ว ก็มอบให้พระอาจารย์อุ่น รับภาระดูแลโยมมารดาต่อไป ออกพรรษาครั้งนี้ พระอาจารย์ฝั้น พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร ๓ รูป และลูกศิษย์ผ้าขาว ๒ คน ได้ลาพระอาจารย์มั่นออกเที่ยวธุดงค์ไปตามป่าเขา จนกระทั่งไปถึงบ้านหนองสูง อำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม ขณะเสาะหาสถานที่บำเพ็ญภาวนาอยู่นั้น โยมผู้หนึ่งได้แจ้งแก่ท่านว่า ละแวกนี้มีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อถ้ำจำปา ท่านจึงให้พาไป ครั้นพอไปถึงหนองน้ำใหญ่แห่งหนึ่งก็พากันหยุดพักพอหายเหนื่อยก็พากันเดินทางต่อไป เมื่อเดินไปได้พักใหญ่ก็ยังไม่ถึงสักที โยมชักละล้าละลัง แล้วก็บอกว่า ถ้าจะเลยมาเสียแล้ว จึงได้พากันเดินย้อนกลับมาที่หนองน้ำใหม่ ได้เดินกลับไปกลับมาเช่นนี้อยู่สองเที่ยว โดยวกไปเวียนมา ในที่สุดก็กลับมาที่เก่าทุกคราว โยมที่นำมาบอกว่า ไม่ใช่ที่เก่า ท่านจึงได้ชี้น้ำหมากที่ท่านได้บ้วนไว้ตอนหยุดพักเหนื่อยเมื่อสักครู่นี้ให้ดู โยมคนนั้นจึงได้ยอมจำนน แล้วได้พากันเดินทางต่อไป ในที่สุดก็พบถ้ำจำปาเอาเมื่อเวลาประมาณ ๕ โมงเย็น ต่างก็เข้าไปดูสภาพภายในถ้ำและจัดเตรียมที่ที่จะพักกันต่อไป พระอาจารย์ฝั้นได้ถามโยมผู้นั้นอีกว่าหมู่บ้านอยู่ที่ไหน เพื่อที่จะทราบที่บิณฑบาตและบริเวณนี้จะหาน้ำได้ที่ไหน โยมตอบว่า หมู่บ้านไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ตรงไหนแน่ ส่วนน้ำอยู่ใต้ถ้ำ คืนนั้น ในขณะที่ท่านได้นั่งสมาธิอยู่ ได้นิมิตเห็นทางคนเดิน และได้ยินเสียงวัวร้อง ท่านจึงได้มองตามทางสายนั้นไปเรื่อย ๆ จนได้ระยะจากถ้ำประมาณ ๒๐๐ เส้น จึงเห็นโรงนาหลังหนึ่งและทางเข้าหมู่บ้านอยู่ใกล้ ๆ ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นท่านพร้อมด้วย พระ เณร และลูกศิษย์ผ้าขาวคนหนึ่งได้ออกบิณฑบาต โดยตัวท่านเองเดินนำไปตามทาง ปรากฏว่า ระหว่างทางเป็นป่ารก ต้นไม้ก็ทึมทึบ สุดท้ายก็ได้พบโรงนาและทางเข้าหมู่บ้านซึ่งตรงกับที่ปรากฏในนิมิต ท่านจึงนำเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ซึ่งมีอยู่ประมาณ ๗ – ๘ หลังคาเรือน ในตอนกลับ ทั้งหมดต่างก็กลับไม่ถูก ได้ถามชาวบ้านดู ก็ไม่มีใครรู้จักถ้ำจำปาเลยสักคนเดียว ทั้งนี้เนื่องจากชาวบ้านเหล่านี้เพิ่งจะอพยพมาอยู่และตั้งหมู่บ้านนี้ขึ้นได้เมื่อไม่นานมานี้เอง ยังไม่คุ้นกับภูมิประเทศในละแวกนี้ ท่านได้ออกปากถามถึงหนองน้ำใหญ่ ชาวบ้านก็รู้จักกันดี ท่านจึงได้ให้ชาวบ้านพาไปส่ง แล้วจับเส้นทางจากหนองน้ำกลับไปถ้ำ กว่าจะถึงก็เป็นเวลาล่วงเข้า ๓ โมงเช้าแล้ว ที่ถ้ำจำปา พระอาจารย์ฝั้นได้พักทำความเพียรอยู่เป็นเวลาถึง ๒๐ วัน จึงได้เดินทางกลับไปที่บ้านบ่อชะเนง พอไปถึงได้ทราบว่า เจ้าคุณพระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดสระปทุม ได้พาพระอาจารย์มั่นเข้ากรุงเทพฯ ไปแล้ว เมื่อไม่พบพระอาจารย์มั่น ท่านจึงได้เดินทางย้อนกลับไปยังบ้านหนองสูงอีก ในพรรษมี่ ๔ ของพระอาจารย์ฝั้น คือ พ.ศ. ๒๔๗๑ ท่านได้จำพรรษาอยู่สำนักสงฆ์ ที่หนองน่อง บ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นที่พระอาจารย์มั่นได้เคยจำพรรษาเมื่อปี ๒๔๖๔ ระหว่างที่จำพรรษาท่านได้อาพาธโรคกระเพาะ อาการหนักมาก แต่พอออกพรรษาก็ค่อยหายเป็นปกติ จึงได้เดินทางย้อนกลับมาที่อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลฯ อีกครั้ง และได้ร่วมปรึกษาหารือกับพระอาจารย์สิงห์ และพระอาจารย์มหาปิ่น ที่บ้านหัววัวว่า ขณะนี้จังหวัดขอนแก่นมีเหตุการณ์ไม่สู้ดี ควรลงไปช่วยเจ้าคุณพระพิศลอรัญเขต (จันทร์ เขมิโย) ซึ่งเป็นเจ้าคณะธรรมยุตจังหวัดขอนแก่นอยู่ เมื่อเห็นพ้องต้องกันแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันออกเดินทาง โดยกำหนดให้ไปพบกันก่อนเข้าพรรษาที่ขอนแก่น สำหรับพระอาจารย์ฝั้น ต้องการจะไปเยี่ยมญาติโยมทางอำเภอพรรณานิคมก่อน จึงได้เดินทางผ่านธาตุพนม นาแก มาจนถึงสกลนคร พอถึงวัดพระธาตุเชิงชุม ก็เห็นรถยนต์โดยสารเข้า ตั้งแต่เกิดมาท่านไม่เคยเห็นรถยนต์เลย จึงคิดจะลองขึ้นดูบ้าง เมื่อนั่งไปได้สักครู่หนึ่ง ก็เกิดความสงสัยขึ้นมา ว่ารถยนต์นี้วิ่งไปได้อย่างไรหนอ จึงได้กำหนดจิตพิจารณาไปจนกระทั่งเข้าไปถึงเครื่องยนต์ เพียงแวบเดียวเครื่องยนต์ก็ดับ คนขับก็ลงไปตรวจดู แต่ก็ไม่พบข้อบกพร่อง จึงติดเครื่องใหม่ รถก็สตาร์ทติดเป็นปกติ แต่พอรถวิ่งผ่านกรมทหาร (ปัจจุบันคือที่ตั้ง กองทัพภาค ๒) ไปได้หน่อยเดียว ท่านก็กำหนดจิตกลับเข้าไปที่เครื่องยนต์อีก เพียงแวบเดียว เครื่องยนต์ก็ดับอีกเป็นครั้งที่ ๒ พอคนขับลงไปแก้ไข ก็ไม่พบข้อบกพร่องเหมือนครั้งแรก จึงขึ้นมาติดเครื่องขับต่อไปใหม่ เมื่อรถวิ่งไปอีกสักครู่ ท่านก็กำหนดจิตเข้าในในเครื่องอีก เครื่องยนต์ก็ดับอีกเป็นครั้งที่ ๓ ครั้งนี้ท่านจึงได้ทราบสาเหตุและคิดเสียใจที่ความอยากรู้อยากเห็นของท่านทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนและเสียเวลา จึงได้เลิกพิจารณาอีก รถก็ได้วิ่งไปถึงพรรณานิคมโดยเรียบร้อย พระอาจารย์ฝั้น ลงรถที่บ้านม่วงไข่แล้วเดินไปพักที่บ้านบะทอง เมื่อเยี่ยมญาติโยมที่นั่นตามที่ตั้งใจไว้แล้ว ก็ออกเดินทางต่อไปทางบ้านแร่ ไปออกอำเภอวาริชภูมิ ตัดป่าฝ่าภูเขาไปอำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรฯ ไปพักที่บ้านเชียงแหว และมุ่งต่อไปอำเภอกุมภวาปี แล้วเดินไปจนถึงอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น จากนั้นก็ขึ้นรถไฟจากน้ำพองไปลงในตัวจังหวัด เพื่อพบกับพระอาจารย์สิงห์และพระเณรตามที่ได้นัดกันไว้ที่วัดเหล่างาต่อไป หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 19 มีนาคม 2011, 13:32:46 ประวัติหลวงปู่ฝั้น อาจาโร (ตอนที่3) ที่วัดเหล่างา (ปัจจุบันคือวัดวิเวกธรรม) พระปฏิบัติสัทธรรมชุดนี้ซึ่งมีอยู่ประมาณ ๗๐ รูป ได้ประชุมตกลงให้แยกย้ายกันไปตั้งเป็นสำนักสงฆ์วัดป่าฝ่ายอรัญวาสีขึ้นหลายแห่งในจังหวัดขอนแก่น เพื่อเผยแผ่ธรรม เทศนาสั่งสอนประชาชนให้ละมิจฉาทิฏฐิ เลิกจากการเคารพนับถือภูตผีปีศาจ และให้ตั้งอยู่ในไตรสรณาคมน์ ในพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๗๒ พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม พระอาจารย์ภุมมี ฐิตธมฺโม พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ พระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร จำพรรษาที่วัดเหล่างา ตำบลโนนทัน อำเภอพระลับ (ปัจจุบัน อำเภอเมือง) จังหวัดขอนแก่น พระอาจารย์สิม พุทฺธาจาโร ซึ่งอุปสมบทเป็นพระภิกษุในปีนั้น ก็ได้มาจำพรรษารวมอยู่ด้วย พระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ จำพรรษาที่วัดป่าบ้านพระ คือ ตำบลโนนทัน พระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตฺตโก จำพรรษาที่วัดป่าชัยวัน บ้านสีฐาน อำเภอพระลับ พระอาจารย์สีลา อิสฺสโร จำพรรษาที่วัดป่าบ้านคำไฮ ตำบลเมืองเก่า พระอาจารย์ดี ฉนฺโน จำพรรษาที่วัดบ้านโคกโจด อำเภอพระลับ พระอาจารย์อุ่น จำพรรษาที่วัดป่าบ้านทุ่ม พระอาจารย์ชามา อจุตโต จำพรรษาที่วัดป่าบ้านยางคำ พระอาจารย์นิน จำพรรษาที่วัดป่าสุมนามัย อำเภอบ้านไผ่ สำหรับพระอาจารย์ฝั้นเอง จำพรรษาที่วัดป่าบ้านผือ ตำบลโนนทัน เมื่อพระอาจารย์ฝั้นเดินทางไปถึงบ้านผือ ท่านได้ไปพักอยู่ที่ศาลภูตา ศาลภูตาคือสถานที่ซึ่งชาวบ้านสร้างเป็นหอขึ้น สำหรับเป็นที่สิงสถิตของภูตผีปีศาจ ชาวบ้านไปสักการะบวงสรวงกันบ่อย ๆ เพราะถือเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างที่ไปพักอยู่ศาลภูตา มีชาวบ้านสองคนมาตักน้ำ เมื่อพบท่านเข้า จึงเอาน้ำมาถวาย ท่านก็ขอให้ชาวบ้านทั้งสองไปบอกผู้ใหญ่บ้านให้รับทราบในการมาพักของท่านด้วย หลังจากนั้นไม่นานนัก ผู้ใหญ่บ้านกับลูกบ้านอีก ๔ คน ก็มาถึง ลูกบ้านได้แสดงความไม่พอใจในการที่ท่านมาพักที่ศาลภูตานี้ คนหนึ่งได้โวยวายขึ้นว่า พระอะไรไม่เคยเห็น มานอนกลางดินกินกลางทรายเช่นนี้ จะถือว่าเป็นพระอย่างไรได้ คนที่สองให้ความเห็นขึ้นมาดัง ๆ ว่า เอาปืนยิงหัวเสียก็สิ้นเรื่อง คนที่สามก็โพล่งขึ้นว่า เอาสากมองที่หัวไปก็พอ แต่คนสุดท้ายออกความเห็นไม่รุนแรงเหมือนสามคนแรก เพียงให้เอาก้อนหินขว้างขับไล่ให้ไป ผู้ใหญ่บ้านดูจะเป็นคนที่มีใจเป็นธรรมกว่าเพื่อน ได้ทัดทานลูกบ้านทั้ง ๔ คนนั้นไว้ว่า ควรสอบถามดูก่อนว่าเป็นพระจริงหรือพระปลอม พระดีหรือพระร้าย ยังผลให้ลูกบ้านทั้ง ๔ ไม่พอใจแต่พากันถอยออกไปยืนดูอยู่ห่าง ๆ พระอาจารย์ฝั้นได้บอกกับผู้ใหญ่บ้านว่า ท่านเที่ยวธุดงค์ปฏิบัติกัมมัฏฐานไปตามสถานที่อันวิเวกต่าง ๆ เมื่อมาถึงที่นี่ จึงขอพักอาศัยในศาลภูตานี้ เพราะศาลภูตาเป็นที่พึ่งของคนในหมู่บ้าน ท่านจึงขอพึ่งพาอาศัยบ้าง ท่านได้บอกผู้ใหญ่บ้านไปด้วยว่า ท่านพึ่งศาลภูตาได้ดีกว่าชาวบ้านเสียอีก ชาวบ้านพึ่งศาลภูตากันอย่างไร ปล่อยให้สกปรกรกรุงรังอยู่ได้ ท่านเองพอเข้ามาพึ่งก็ปัดกวาดถากถางหนามและข่อยออกไปจนหมดสิ้นอย่างที่เห็น ผู้ใหญ่บ้านประจักษ์ข้อเท็จจริงเพียงประการแรกถึงกับนิ่งงัน ครั้นแล้วก็สอบถามท่านถึงปัญหาธรรมต่าง ๆ เหมือนเป็นการลองภูมิ ท่านก็อธิบายให้ฟังอย่างลึกซึ้งหมดจดไปทุกข้อ ทำเอาผู้ใหญ่บ้านถึงกับออกปากว่า “น่าเลื่อมใสจริง ๆ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จโปรดเทศนาสั่งสอนคนสมัยก่อน บัดนี้มาเจอเอาคนจริงเข้าแล้ว” เช่นเดียวกัน ลูกบ้านทั้ง ๔ ซึ่งยืนสดับตรับฟังอยู่ใกล้ ๆ เกิดความเลื่อมใสไปด้วย ทั้งหมดได้กลับไปหมู่บ้าน จัดหาเสื่อที่นอนและหมอนมุ้งไปทำที่พักให้พระอาจารย์ฝั้น ทิฏฐิเดิมที่มีอยู่ปลาศนาการไปจนหมดสิ้น ถึงกับนิมนต์ให้ท่านจำพรรษาเสียที่นั่นเลยด้วยซ้ำ แต่ท่านปฏิเสธว่า ที่นั่นน้ำท่วม เพราะใกล้กับลำชี ไม่อาจจำพรรษาได้อย่างที่ชาวบ้านปรารถนา ชาวบ้านซึ่งมีความเลื่อมใสศรัทธาอยู่ก็แจ้งแก่ท่านว่า ไม่ห่างไปจากที่นี่นัก มีดอนป่าช้าอยู่แห่งหนึ่งน้ำไม่ท่วม เหมาะสำหรับเป็นสถานที่จำพรรษาอย่างยิ่ง ท่านไม่อาจปฏิเสธต่อไปอีกได้ จึงไปจำพรรษาอยู่ที่ดอนป่าช้าตามที่ชาวบ้านนิมนต์ ถึงกลางพรรษา ชาวบ้านส่วนหนึ่งซึ่งยังนับถือภูตผีปีศาจอยู่ ได้รับความเดือดร้อนตามความเชื่อเรื่องผีเข้าเป็นอันมาก กล่าวคือ เชื่อกันว่า มีผีเข้าไปอาละวาดอยู่ในหมู่บ้าน เข้าคนโน้นออกคนนี้ ที่ตายไปก็มี ที่ยังไม่ตายก็มี นอกจากนี้ยังมีโยมอุปัฏฐาก ๓ – ๔ คน ไปปรึกษากับพระอาจารย์ฝั้นด้วย เล่าว่า สามีล่องเรือบรรทุกข้าวไปขายที่จังหวัดอุบลราชธานี ภรรยากับลูก ๆ ซึ่งเป็นโยมอุปัฏฐากกลัวว่าถูกผีเข้าเหมือนคนอื่น ไม่ทราบจะพึ่งใครได้ จึงมากราบไหว้ขอให้ท่านเป็นที่พึ่ง พระอาจารย์ก็บอกว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว ภาวนา พุทโธ พุทโธ ไว้เสมอ ผีเข้าไม่ได้หรอก ต่อให้เรียกผี หรือท้าผีมากิน มันก็ไม่กล้ามากิน หรือมารบกวน โยมอุปัฏฐากกลุ่มนั้นก็เชื่อฟังและปฏิบัติตาม อย่างไรก็ดี ปรากฏว่ายังมีผีเข้าชาวบ้านอยู่เรื่อย ๆ มีชาวบ้านได้ไปแจ้งแก่พระอาจารย์ฝั้นให้ทราบว่า ได้ถามผีดูแล้วว่า ทำไมไม่ไปเข้าพวกที่ปฏิบัติอุปัฏฐากบ้างล่ะ ผีในร่างคนก็ตอบว่า ไม่กล้าเข้าไป จะเข้าไปได้อย่างไร พอเข้าบ้านก็เห็นแต่พระพุทธรูปนั่งอยู่เป็นแถว อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านกลุ่มอื่นยังคงมีความหวาดหวั่นเรื่องผีเข้ากันอยู่ ได้มีการประชุมหารือกันเพื่อหาหมอผีมาไล่ผีออกไป เมื่อเสาะหาหมอผีมาได้แล้ว ชาวบ้านกลับเดือดร้อนหนักยิ่งขึ้นไปอีก เพราะหมอผีตั้งเงื่อนไขว่า จะไล่ผีออกไปจากหมู่บ้านนั้นไม่ยาก แต่ทุกครัวเรือนต้องนำเงินไปมอบให้เสียก่อน จึงจะทำพิธีขับไล่ให้ โยมอุปัฏฐากจึงได้นำความไปปรึกษาหารือกับพระอาจารย์ฝั้น ว่าจะทำอย่างไรดี ท่านจึงแนะนำว่า หากหมอผีจะเก็บเงินเพื่อไปสร้างโน่นสร้างนี่ที่เป็นสาธารณสมบัติ หรือสร้างวัดวาอารามก็ควรให้ แต่ถ้าหมอผีเก็บเงินไปเพื่อประโยชน์ส่วนตนก็ไม่ควรให้ ทั้งยังได้แนะนำไม่ให้เชื่อเรื่องผีสางอีกต่อไป เพราะเป็นเรื่องเหลวไหล คนเราป่วยเจ็บกันได้ทุกคน จะปักใจเชื่อเอาเสียเลยว่าผีเข้า ย่อมเป็นเรื่องงมงายไร้เหตุผล โยมเหล่านั้นก็พากันเชื่อฟังท่าน และไม่ยอมจ่ายเงินให้ตามที่หมอผีเรียกร้องไว้ ในที่สุด หมดผีก็หมดความสำคัญไป ความเชื่อเรื่องผีสางของชาวบ้านก็ค่อย ๆ ลดน้อยลง ออกพรรษาปีนั้น พระอาจารย์ฝั้นได้ลาญาติโยมออกจากป่าช้าจะไปอำเภอน้ำพอง เมื่อถึงวัดศรีจันทร์ ปรากฏว่าเดินทางต่อไปไม่ได้ เพราะชาวบ้านเหล่านั้นได้ติดตามมาขอร้องให้ท่านกลับไปช่วยเหลืออีกสักครั้ง โดยอ้างว่ามีผีร้ายขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้านทุกหลัง ท่านจึงต้องกลับไปที่หมู่บ้านนั้นอีกครั้งหนึ่ง การกลับไปครั้งนี้ ผู้ใหญ่บ้านได้ประชุมลูกบ้านแล้วมานมัสการท่าน ขอรับไตรสรณคมน์ ต่อจากนั้นความเชื่อเรื่องผีสางจึงหมดสิ้นลง ปี พ.ศ. ๒๔๗๓ พระอาจารย์ฝั้นได้จำพรรษาที่วัดบ้านผือ จังหวัดขอนแก่น พอออกพรรษาแล้ว ท่านกับพระอาจารย์อ่อน ได้เที่ยวธุดงค์กัมมัฏฐานไปจนถึงหมู่บ้านจีด ในเขตอำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี บังเอิญได้ข่าวว่า โยมพี่สาวของพระอาจารย์อ่อนป่วยหนัก พระอาจารย์อ่อนจึงแยกไปรักษาโยมพี่สาว ส่วนท่านพำนักอยู่ที่บ้านจีดโดยลำพัง ที่นั่น พระอาจารย์ฝั้นได้เผชิญศึกหนักเข้าเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ “ธรรมต่อไก่” ธรรมต่อไก่เป็นวิธีบรรลุธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งชีผ้าขาวคนหนึ่งชื่อ “ไท้สุข” บัญญัติขึ้นมาว่า หากใครนำไก่ตัวผู้และไก่ตัวเมียคู่หนึ่งมามอบให้ชีผ้าขาวแล้ว เพียงแต่กลับไปนอนบ้านก็สามารถบรรลุธรรมได้ มีชาวบ้านหลงเชื่อกันอยู่เป็นจำนวนมาก พระอาจารย์ฝั้นได้ชี้แจงแสดงธรรมต่อไปทั้งวัน ชีผ้าขาวกับผู้ที่เชื่อถือเหล่านั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ ตอนหนึ่ง ชีผ้าขาว อ้างว่าตนมีคาถาดี คือ ทุ โส โม นะ สา ธุ พระอาจารย์ฝั้นได้ออกอุบายแก้ว่า ทุ สะ นะ โส เป็นคำของเปรต ๔ พี่น้อง ทั้งสี่ ก่อนตายเป็นเศรษฐีทีทรัพย์สมบัติมากมาย แต่ตลอดชีวิตไม่เคยทำคุณงามความดี ไม่เคยสร้างกุศลเลย เอาแต่ประพฤติชั่ว เสเพลไปตามที่ต่าง ๆ ครั้นตายแล้ว จึงกลายไปเป็นเปรตไปหมด ต่างตกนรกไปถึง ๖ หมื่นปี พอครบกำหนด คนพี่โผล่ขึ้นมาก็ออกปากพูดได้คำเดียวว่า “ทุ” พวกน้อง ๆ โผล่ขึ้นมาก็ออกปากได้คำเดียวเช่นกันว่า “สะ” “นะ” “โส” ตามลำดับ หมายถึงว่า เราทำแต่ความชั่ว เราไม่เคยทำความดีเลย เมื่อไหร่จะพ้นหนอ ฉะนั้น คำเหล่านี้จึงเป็นคำของเปรต ไม่ใช่คาถาหรือคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สั่งสอนแก้ไขกันอยู่ถึงอาทิตย์หนึ่ง ก็ยังไม่อาจละทิฏฐิของพวกนั้นลงได้ พอดีโยมพี่สาวของพระอาจารย์อ่อนหายป่วย พระอาจารย์อ่อนจึงย้อนกลับมา โดยมีพระอาจารย์กู่มาสมทบด้วยอีกรูปหนึ่ง กำลังใจของพระอาจารย์ฝั้นจึงดีขึ้น เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ทางฝ่ายท่านมีท่านเพียงรูปเดียวเท่านั้น อธิบายอะไรออกไปก็ถูกขัดถูกแซงเสียหมด ในที่สุดชีผ้าขาวกับพรรคพวกก็ยอมแพ้ ยอมเห็นตามและรับว่า เหตุที่เขาบัญญัติ “ธรรมต่อไก่” ขึ้นมาก็เพื่อเป็น “นากิน” (อาชีพหากินด้วยการหลอกลวง) และยอมรับนับถือไตรสรณาคมน์ตามที่ท่านสั่งสอนไว้แต่ต้น แต่ปัญหาก็ยังไม่หมดไปอยู่ดี เพราะว่าเมื่อพระอาจารย์ฝั้นบอกให้ชีผ้าขาวตัดผมเสีย ชีผ้าขาวผู้นั้นก็ไม่ยอมตัด อ้างว่าถ้าตัดผมเป็นต้องตายแน่ ๆ พระอาจารย์อ่อนจึงบอกว่า อย่ากลัว ดูทีหรือว่าจะตายจริงหรือไม่ คนอื่นเขาตัดผมกันทั่วไปไม่เห็นตายเลยสักคน ชีผ้าขาวจึงได้ยอมเมื่อตัดผมแล้วไม่ตาย ชีผ้าขาวจึงยอมรับนับถือบรรดาพระอาจารย์ทั้งสามยิ่งขึ้น ระหว่างที่พำนักอยู่ที่บ้านจีด มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง ไอทั้งวันทั้งคืน เสาะหายาจากที่ต่าง ๆ มากิน จนนับขนานไม่ถ้วนก็ยังไม่หาย ผังเทศน์ก็ฟังไม่ได้ ขณะฟังก็ไออยู่ตลอดเวลา เป็นที่รบกวนสมาธิของผู้อื่น คืนที่สาม พอฟังเทศน์จบลง พระอาจารย์ฝั้นจึงถามว่า ทำไมไม่รักษา โยมผู้นั้นตอบว่า กินยามาหลายขนานแล้วก็ไม่เห็นหาย ท่านจึงบอกโยมผู้นั้นไปว่า คงเป็นกรรมเก่าที่ทำมาแต่ปางก่อน ขอให้หัดภาวนาดู แล้วบอกคาถาให้บริกรรมว่า ปฏิกะ มันตุ ภูตานิ วันแรกท่านให้ภาวนาตั้งจิตบริกรรม โดยกำหนดจิตที่ใดที่หนึ่ง วันแรกนั่งบริกรรมได้สักพักก็ยังไออยู่ตลอด วันที่สองปรากฏว่ามีอาการค่อยชุ่มคอขึ้นหน่อย อาการไอห่างไปบ้าง พอถึงวันที่สามอาการไอก็หายไปราวกับปลิดทิ้ง รู้สึกคอชุ่มขึ้น โยมผู้นั้นนั่งบริกรรมอยู่จนดึกดื่น ใคร ๆ หลับกันหมด แกก็ยังไม่ยอมหลับ ในที่สุดอาการไอก็หายโดยเด็ดขาดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โยมผู้นั้นสำนึกในบุญคุณ ได้เอาเงินทองมาถวายพระอาจารย์ฝั้น แต่ท่านไม่ยอมรับ ผลที่สุดก็เอาจักรเย็บผ้ามาถวาย อ้างว่าเป็นค่ายกครู เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ ท่านจึงได้เอาจักรนั้นไปเย็บจีวรของท่านเองจนเสร็จแล้วจึงคืนให้ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๔ ซึ่งเป็นพรรษาที่ ๗ ของพระอาจารย์ฝั้น ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่ภูระงำ อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น โดยมีพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ติดตามอยู่ร่วมจำพรรษาด้วย นับเป็นปีที่ ๓ ที่ท่านไปจำพรรษาอยู่ที่ขอนแก่น ก่อนหน้าที่จะไปถึงภูระงำ ท่านได้ออกจากอำเภอหนองหาน มาที่วัดศรีจันทร์ และได้เข้าร่วมพิธีกระทำญัตติกรรมพระภิกษุครั้งใหญ่ ในการนี้ท่านอดตาหลับขับตานอนจนตาลายไปหมด เพราะต้องเตรียมตัดเย็บสบง จีวร สังฆาฏิ ทั้งกลางวันกลางคืน เป็นเหตุให้ท่านอาพาธลง พอเข้าใกล้พรรษาจึงได้ตัดสินใจไปจำพรรษาที่ภูระงำ ซึ่งขณะนั้นอาการอาพาธของท่านก็ยังไม่ทุเลาดีนัก ระหว่างจำพรรษาอยู่บนภูระงำ ปรากฏว่าท่านได้รับความทุกขเวทนาเป็นอันมาก ตามเนื้อตัวปวดไปหมด จะนั่งจะนอนก็ปวดเมื่อยไปทุกอิริยาบถ ท่านจึงตัดสินใจออกไปนั่งภาวนาทำความเพียรอยู่ในที่โล่งแจ้ง ตั้งใจว่าจะภาวนาสละชีวิต คือภาวนาไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมรณภาพ โดยนั่งภาวนาถึงความทุกข์ ความเวทนาที่เกิดขึ้นในร่างกาย และด้วยความสำรวมใจที่แน่วแน่ จิตของท่านก็พลันสงบวุบลงไป ร่างกายเบาหวิว ความทุกข์ทรมานทั้งหลายแหล่ก็พลอยปลาศนาการไปหมดสิ้น ตั้งแต่ทุ่มเศษจนกระทั่ง ๙ โมงเช้า ท่านนั่งภาวนาในอิริยาบถเดียวอยู่ตลอดเวลา จนพระเณรทั้งหลายที่กลับจากบิณฑบาต ไม่กล้ารบกวน แต่พอพระเณรเข้าไปกราบท่านก็รู้สึกตัวและถอนจิตออกจากสมาธิลืมตาขึ้นมา พระเณรต่างนิมนต์ให้ท่านฉันจังหัน แต่ท่านแย้งว่า ยังไม่ได้ออกบิณฑบาตเลย พระเณรต้องกราบเรียนว่า ขณะนั้นใกล้จะ ๑๐ โมงอยู่แล้ว ต่างไปบิณฑบาตกลับมากันหมดแล้ว ท่านจึงรำพึงขึ้นมาว่า ท่านได้นั่งภาวนาประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเอง นึกไม่ถึงเลยว่าจะข้ามคืนมาจนถึงขณะนี้ ปรากฏว่า จากการนั่งบำเพ็ญสมาธิภาวนาบนภูระงำครั้งนั้น ยังผลให้ท่านระลึก พุทโธ ได้เป็นครั้งแรก อาการอาพาธปวดเมื่อยหายไปหมด พ้นจากการทุกข์ทรมาน เบาตัว เบากาย สบายเป็นปกติ และทำให้ท่านคิดได้ด้วยว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เคยทำความเพียร นั่งสมาธิอยู่ได้นานถึง ๔๙ วัน เมื่อเป็นเช่นนี้ หากท่านจะนั่งนานยิ่งกว่าที่ท่านเคยนั่งในขณะนี้อีกสักเท่าไหร่ ก็ควรจะต้องนั่งได้ ในการนั่งภาวนาทำความเพียรอีกครั้งหนึ่ง พอจิตสงบ ท่านได้นิมิตเห็นหญิงมีครรภ์แก่มาเจ็บท้องอยู่ตรงหน้า แล้วคลอดมาเป็นเด็กใหญ่ สามารถเดินได้ วิ่งได้เลยทันที ขณะเดียวกันก็นิมิตคาถาขององคุลีมาล ซึ่งเป็นคาถาสำหรับหญิงคลอดลูกขึ้นมาได้ด้วย เมื่อถอนจิตจากสมาธิแล้ว ท่านได้จดคาถาบทนั้นไว้ว่า “โสตถิคัพพะสะ” ต่อมาปรากฏว่า มีหญิงชราผู้หนึ่ง พาลูกสาวซึ่งเจ็บท้องใกล้จะคลอดเป็นท้องแรกมาหา แจ้งว่า เจ็บท้องมา ๓ วันแล้วไม่คลอดสักที ได้รับทุกข์เวทนาเป็นอันมาก ขอร้องให้ท่านช่วยเหลือ เพราะไม่ทราบจะพึ่งใครได้ พระอาจารย์ฝั้นจึงได้เขียนคาถาบทนั้นลงไปบนซองยา แล้วให้ไปภาวนาที่บ้าน ต่อมาอีก ๓ วัน หญิงชราก็มาส่งข่าวว่า ลูกสาวคลอดบุตรแล้ว ไม่เจ็บไม่ปวดแต่ประการใด ตั้งแต่นั้นมา ชาวบ้านจะคลอดลูก ก็มาขอคาถาท่านอยู่เป็นประจำ ออกพรรษาคราวนั้น ท่านลงจากภูระงำ เที่ยวธุดงค์ปฏิบัติกัมมัฏฐาน เทศนาธรรมสั่งสอนชาวบ้านไปเรื่อย ๆ จนถึงอำเภอน้ำพอง ซึ่งที่นั่น ท่านได้พบพระอาจารย์สิงห์ พระอาจารย์มหาปิ่น และพระเณรอีกหลายรูป ซึ่งต่างก็เที่ยวธุดงค์กันมาจากสถานที่ที่จำพรรษาด้วยกันทั้งนั้น และที่อำเภอน้ำพองนี่เอง สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) เจ้าคณะมณฑลอีสาน เมื่อครั้งยังเป็นพระพรหมมุนี ได้มีบัญชาให้พระอาจารย์สิงห์นำพระภิกษุสามเณรในคณะของท่านเดินทางไปจังหวัดนครราชสีมา เพื่อเทศนาสั่งสอนพุทธบริษัท ซึ่งพระอาจารย์ฝั้นก็ได้ร่วมเดินทางไปกับพระภิกษุสามเณรคณะนี้ด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่า สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) นั้น แต่ไหนแต่ไรมาท่านไม่ชอบพระธุดงค์เอาเลย ท่านว่าเป็นพระขี้เกียจ ไม่ศึกษาเล่าเรียน ถึงกับมีเรื่องต้องขับไล่ไสส่งมาแล้วหลายครั้งหลายหน แม้แต่พระอาจารย์สิงห์ ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกของท่านเองก็ยังเคยถูกขับไล่มาแล้ว จนบางครั้ง พระอาจารย์สิงห์เกิดรำคาญถึงกับจะหลบออกนอกประเทศไปเลยก็มี แต่ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์รุนแรงดังกล่าว พระอาจารย์ฝั้นจะเป็นผู้แก้ไข และได้พยายามขอร้องให้พระอาจารย์สิงห์ต่อสู้ด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาตลอด ในที่สุดสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ก็กลับบังเกิดความเลื่อมใส และยอมรับปฏิปทาของพระอาจารย์ทั้งปวงในสายกัมมัฏฐานตลอดมา จนถึงกาลอวสานแห่งชีวิตของท่าน เมื่อถึงนครราชสีมา พระอาจารย์ฝั้นได้ไปพักอยู่ที่วัดสุทธจินดา ที่วัดนั้นมีพุทธบริษัทไปร่วมทำบุญกันมาก เมื่อครั้งที่หลวงชาญนิคม ผู้บังคับกองตำรวจ จังหวัดนครราชสีมา ได้ยกที่ดินผืนใหญ่ให้สร้างวัดป่าสาลวัน ท่านก็อยู่ร่วมในพิธีถวายที่ดินคราวนั้นด้วย รุ่งขึ้นจากวันที่มีการถวายที่ดิน พระอาจารย์ฝั้นก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก โดยเดินทางร่วมมากับพระอาจารย์สิงห์ และพระมหาปิ่น ปญฺญาพโล เพื่อเข้ามาเยี่ยมอาการป่วยของเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) เมื่อถึงกรุงเทพฯ ก็ได้เข้าพักอยู่ที่วัดบรมนิวาส ตั้งแต่เดือนสาม จนถึงเดือนหก ระหว่างพำนักอยู่ในกรุงเทพฯ เรื่องที่ไม่น่าจะเกิด ได้อุบัติขึ้นแก่ท่านโดยบังเอิญ ที่ว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นนั้น ก็เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสตรีเพศ เรื่องมีว่า วันหนึ่งพระอาจารย์สิงห์ ได้พาท่านไปนมัสการท่านเจ้าคุณ พระปัญญาพิศาลเถระ (หนู) ที่วัดสระปทุม ระหว่างทางได้เดินสวนกับผู้หญิงคนหนึ่งเข้า นับตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา พระอาจารย์ฝั้นก็ลืมผู้หญิงคนนั้นไม่ลง ท่านรู้สึกว่า ท่านได้เกิดความรักขึ้นในใจเสียแล้ว ขณะเดียวกัน ท่านก็บอกตัวเองด้วยว่า ท่านจะต้องขจัดความรู้สึกดังกล่าวออกไปเสียให้พ้นจากความรู้สึกนึกคิดให้ได้ กลับวัดบรมนิวาสในวันนั้น ท่านได้นั่งภาวนา พิจารณาแก้ไขตัวเองถึงสามวัน แต่ก็ไม่ได้ผล ใบหน้าของผู้หญิงนั้นยังคงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด จนไม่อาจสลัดให้ออกไปได้ ในที่สุด เมื่อเห็นว่า เป็นการยากที่จะแก้ไขได้ด้วยตัวเองแล้ว ท่านจึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านพระอาจารย์สิงห์ฟัง เพื่อให้ช่วยแก้ไข พระอาจารย์สิงห์ได้แนะให้ท่านไปพักในพระอุโบสถ พร้อมกับให้พิจารณาทำความเพียรให้หนักขึ้น พระอาจารย์ฝั้นได้บำเพ็ญภาวนาอยู่ในพระอุโบสถเป็นเวลาถึง ๗ วัน ก็สามารถรู้ชัดถึงบุพเพสันนิวาสแต่ในปางก่อน ว่าผู้หญิงคนนี้กับท่าน เคยเป็นสามีภรรยากันมา จึงทำให้เกิดความรู้สึกดังกล่าวขึ้น เมื่อตระหนักในเหตุในผล ท่านก็สามารถตัดขาด ลืมผู้หญิงคนนั้นไปได้โดยสิ้นเชิง หลังจากพักอยู่ในวัดบรมนิวาสได้ ๓ เดือน พระอาจารย์ฝั้นก็เดินทางกลับไปที่จังหวัดนครราชสีมา และได้จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าศรัทธารวม ตำบลหัวทะเล พรรษานี้เป็นพรรษาที่ ๘ ของท่าน (พ.ศ. ๒๔๗๕) และน่าสังเกตด้วยว่า นับแต่ปี ๒๔๗๕ เป็นต้นมาจนถึงปี ๒๔๘๖ (พรรษาที่ ๘ ถึง พรรษาที่ ๑๙) ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัด ในจังหวัดนครราชสีมาโดยตลอด วัดป่าศรัทธารวมที่ท่านจำพรรษาในพรรษาที่ ๘ นั้น แต่ก่อนเคยเป็นป่าช้าที่ ๒ สำหรับเผาศพผู้ที่ตายด้วยโรคติดต่อ เช่นอหิวาตกโรค และ กาฬโรค ฯลฯ เป็นต้น ในพรรษานี้ มีพระภิกษุสามเณรอยู่จำพรรษาด้วยกันรวม ๑๔ รูป คือนอกจากท่านแล้ว ยังมีพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล, พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี, พระอาจารย์ภุมมี ฐิตธมฺโม, พระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร, พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ฯลฯ รวมพระภิกษุ ๑๐ รูป และสามเณรอีก ๔ รูป ตลอดระยะเวลาเข้าพรรษา พระอาจารย์เทสก์ กับพระอาจารย์ฝั้นได้ช่วยเหลือพระอาจารย์มหาปิ่นในภาระต่าง ๆ เป็นอันมาก เช่นแสดงพระธรรมเทศนาอบรมญาติโยม และรับแขกที่มาเยี่ยมเยือนเป็นต้น ออกพรรษาปีนั้น คือ พ.ศ. ๒๔๗๕ พระอาจารย์ฝั้นได้ชวนพระอาจารย์อ่อน ธุดงค์ไปวิเวกภาวนาที่บ้านคลองไผ่ ตำบลลาดบัวขาว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ตอนหนึ่งขณะไปวิเวกอยู่ที่บ้านหนองบัว พระอาจารย์ฝั้นได้เกิดอาพาธเป็นไข้มาเลเรียขึ้นมาอีก ฉันยาควินินก็แล้ว ยาอื่น ๆ ก็แล้ว ก็ไม่หายขาดลงไปได้ ท่านจึงได้ใช้วิธีนั่งภาวนากำหนดจิตดู พอจิตรวมได้ที่แล้ว ท่านก็พิจารณากายเพื่อดูอาการไข้ ทันใด ท่านก็นิมิตเห็นอะไรอย่างหนึ่งจะเรียกว่าอะไรก็ไม่ทราบ ได้กระโดดออกจากร่างของท่านไปยืนอยู่ข้างหน้า ท่านพิจารณากำหนดจิตเพ่งดูมันต่อไป เจ้าอะไรตนนั้นก็กลับกลายเป็นกวาง แล้วกระโดดลงไปในห้วย จากนั้นกระโดดขึ้นจากห้วยวิ่งต่อไป ขณะวิ่งมันได้กลายเป็นช้างตัวใหญ่ บุกป่าเสียงไม้หักโครมครามลับไปจากสายตาของท่าน รุ่งเช้าอาการไข้ของท่านก็กลับหายเป็นปกติ พอเข้าเดือน ๖ นายอำเภอขุนเหมสมาหารได้อาราธนาพระอาจารย์อ่อนกับพระอาจารย์ฝั้นไปจัดสร้างวัดขึ้นวัดหนึ่ง ใกล้สถานีรถไฟบ้านใหม่สำโรง ตำบลลาดบัวขาว อำเภอสีคิ้ว เสร็จแล้วพระอาจารย์ฝั้นได้ธุดงค์กลับไปโคราชเพื่อต่อไปยังอำเภอโนนสูง พอถึงบ้านมะรุม ได้จัดสร้างเสนาสนะป่าเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นบนโคกป่าช้า ซึ่งอยู่ระหว่างหมู่บ้านแฝกและหมู่บ้านหนองงา ตำบลพลสงครามและได้จำพรรษาอยู่ใน พ.ศ. ๒๔๗๖ – ๒๔๗๗ (พรรษาที่ ๙ – ๑๐) ส่วนพระอาจารย์อ่อนได้แยกไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านใหม่สำโรง ออกพรรษาปี ๒๔๗๖ พระอาจารย์ฝั้นได้กลับไปโคราช เพื่อนมัสการพระอาจารย์สิงห์ ที่วัดป่าสาลวัน พอดีเกิด “กบฏบวรเดช” จะเที่ยวธุดงค์ทางไกลก็ไม่ได้ จึงชวนพระอาจารย์อ่อนพร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรอีกหลายรูป ไปเที่ยววิเวกภาวนาอยู่ในท้องที่อำเภอปักธงไชย ระหว่างไปพักอยู่ที่ถ้ำเขาตะกุรัง มีเสือมารบกวนทั้งคืน เลียบ ๆ เคียง ๆ จะเข้ามาทำร้ายให้ได้ ท่านนึกรำคาญขึ้นมา จึงคว้าก้อนหินโยนเข้าไปก้อนหนึ่ง มันก็เลยโจนเข้าป่าไป ไม่มารบกวนอีกต่อไป หลังจากตระเวนทำความเพียรในที่ต่าง ๆ ตนตลอดฤดูแล้ง ถึงเดือน ๖ พระอาจารย์ฝั้นก็กลับมาที่อำเภอปังธงไชย พอดีพวกญาติโยมมีความศรัทธาอาราธนาให้ท่านสร้างวัดป่าขึ้นใกล้ ๆ อำเภอ ท่านจึงพักอยู่ที่นั่นเพื่อจัดการให้ พอกำหนดเขตวัด วางแนวกุฏิศาลาไว้ให้พอสมควรแล้ว ท่านก็มอบหน้าที่ให้บรรดาญาติโยมสร้างกันเองต่อไป ส่วนท่านเดินทางกลับวัดป่าสาลวัน เพื่อกราบเรียนให้ท่านอาจารย์สิงห์ทราบว่าไปสร้างวัดป่าไว้ ขอให้ท่านรับรองการสร้างวัดนี้ไว้ด้วย ในพรรษาที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๔๗๗) พระอาจารย์ฝั้นได้กลับไปจำพรรษาอยู่ที่บ้านมะรุม อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา ต่อมาออกพรรษาปีนั้น พระอาจารย์ฝั้นได้ตกลงใจจะออกเดินธุดงค์ ไปทางดงพญาเย็นโดยมีพระภิกษุ ๓ รูป กับสามเณรอีก ๑ รูปร่วมคณะไปด้วย โยมผู้หนึ่งชื่อหลวงบำรุงฯ มีศรัทธาเอารถไปส่งให้จนถึงชายป่า เมื่อลงจากรถแล้วก็มุ่งเข้าดงพญาเย็นทั้งคณะ ระหว่างเดินธุดงค์ พระเณรที่ร่วมคณะเกิดกระหายน้ำ ท่านก็บอกให้หยุดฉันน้ำก่อน ส่วนท่านเองเดินล่วงหน้าไป สักพักหนึ่งก็รู้สึกสังหรณ์ใจว่ากำลังมีอะไรเกิดขึ้นแก่ท่านสักอย่าง เดินอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกใจเต้นแรง แต่มองไปรอบข้าง ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ ท่านจึงเดินไปเรื่อย ๆ แม้กระนั้นก็ยังไม่หายใจเต้น ทันใดท่านก็เห็นเสือนอนหันหลังให้อยู่ตัวหนึ่งข้างหน้า จะหลบหลีกก็ไม่ได้เสียแล้ว เพราะเป็นเรื่องกะทันหันเกินไป ตอนนี้หัวใจที่เต้นแรงแทบว่าจะพาลหยุดเต้นเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างไร ท่านก็ยังสำรวมสติได้อย่างรวดเร็ว ท่านตัดสินใจอย่างไม่เคยมีใครทำมาก่อน เดินเข้าไปใกล้ ๆ มัน แล้วร้องตามไปว่า “เสือหรือนี่ ! “ เจ้าเสือร้ายผงกหัวหันมาตามเสียง พอเห็นท่านก็เผ่นแผล็ว หายเข้าป่ารกทึบไป เมื่อพระเณรตามมาทัน ทั้งหมดจึงออกเดินทางต่อเพื่อมุ่งหน้าไปยังบ้านสอยดาว อำเภอปากช่อง อยู่ห่างจากสถานีจันทึกไปประมาณ ๓๐๐ เส้น แต่ก่อนจะถึงได้แวะไปที่ไร่หลวงบำรุงฯ แล้วพักอยู่ที่นั่นหลายวัน คนของหลวงบำรุงฯ ได้จัดทำอาหารถวายพระ โดยมิได้ขาดตกบกพร่องแต่ประการใด ที่ไร่ของหลวงบำรุงฯ ท่านอาจารย์ฝั้นได้เผชิญกับผีกองกอยเข้าครั้งหนึ่ง ปกติพวกชาวบ้านเข้าใจว่า ผีกองกอยคือนกไม้หอม ถ้านกประเภทนี้ไปร้องที่ไหน เชื่อกันว่ามีไม้หอมอยู่ที่นั่น ก่อนไปหาไม้หอม เช่น ไม้จันทร์หอม ชาวบ้านจะทำพิธีบวงสรวงกันเสียก่อน อธิษฐานให้นกไปร้องอยู่ที่บริเวณที่มีไม้หอม จะได้หาพบง่ายยิ่งขึ้น พอบวงสรวงเสร็จก็เข้าไปนั่งคอยนอนคอยอยู่ในป่า ตกกลางคืนได้ยินเสียงนกประเภทนี้ร้องทางไหน ก็ตามเสียงไปทางนั้น ท่านอาจารย์ฝั้นได้ยินมันร้องทุกคืน พอตะวันตกดิน ได้ยินเสียงร้องจากทางหนึ่งไปอีกทางหนึ่ง พอสว่างก็ได้ยินเสียงร้องย้อนกลับไปทางเก่า ระหว่างนั้น เด็กคนหนึ่งซึ่งติดตามมาด้วยได้ละเมิดคำสั่งของท่าน ขณะเข้าป่าไม่ได้สำรวมศีล มักลักลอบไปจับไก่ กิ้งก่า หรือบางทีก็จับแย้มาฆ่ากิน ด้วยเหตุนี้ พอตกกลางคืน แทนที่ผีกองกอยจะไปตามทางของมันอย่างเคย กลับวกมายังที่พักธุดงค์แล้วไปยังที่พักของเด็ก ท่านให้นึกเอะใจว่า เด็กคงศีลขาดเสียแล้ว จึงพร้อมทั้งพระภิกษุสามเณรจุดโคมเทียนโดยมีผ้าคลุมติดไว้ทุกทิศ แล้วนั่งล้อมเด็กไว้ คอยพิจารณาดูตัวมัน แต่ได้ยินเพียงเสียงของในเท่านั้น พระอาจารย์ฝั้นจึงนั่งสมาธิพอจิตรวมได้ที่ก็เห็นผีกองกอยตัวนั้น หน้าเท่าเล็บมือ ผมยาวคล้ายชะนี หล่นตุ๊บลงมาจากต้นไม้แล้วหายสาบสูญไปเลย เมื่อทราบความจริงว่า เด็กละเมิดคำสั่งสอนของท่านจนศีลขาด ท่านจึงส่งเด็กกลับไปเสีย แล้วคณะของท่านก็เดินทางต่อไปจนถึงบ้านสอยดาว ทำความเพียรอยู่ที่นั่นอีกหลายเดือน จึงได้กลับไปยังนครราชสีมา หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: wince ที่ 19 มีนาคม 2011, 14:01:07 อนุโมธนาครับ
หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 19 มีนาคม 2011, 16:08:13 ประวัติหลวงปู่ฝั้น อาจาโร (ตอนที่4) ระหว่างอยู่นครราชสีมา ท่านได้บำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่พักหนึ่ง กล่าวคือท่านตั้งใจจะอดอาหารสักระยะเวลาหนึ่ง โดยจะไม่ฉันอะไรเลยนอกจากน้ำ เช้าขึ้นมา ท่านออกไปบิณฑบาตก็จริง แต่ได้มาแล้ว ก็ถวายองค์อื่นจนหมดสิ้น จากนั้นก็นั่งเย็บปะจีวร สบง ไปตามเรื่อง พอล่วงเข้าวันที่ ๓ ขณะที่กำลังสนเข็มอยู่ ท่านก็รู้สึกว่ามือสั่น จึงพิจารณาทบทวนดู ก็ประจักษ์ความจริงว่า ไฟถ้าขาดเชื้อเสียแล้วย่อมไม่อาจลุกโพลงขึ้นได้ฉันใด มนุษย์เราก็จะต้องมีอาหารสำหรับประทังชีวิตฉันนั้น ท่านจึงเลิกอดอาหาร แต่ฉันให้น้อยลงกว่าเดิม แม้ลูกศิษย์ของท่านบางคนมาขออนุญาตอดอาหารบ้าง ท่านก็ไม่อนุญาต เพราะเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์อันใดดังกล่าวแล้ว ในพรรษาที่ ๑๑ – ๑๙ (พ.ศ. ๒๔๗๘ – ๒๔๘๖) ท่านได้กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าศรัทธารวม ตำบลหัวทะเล จังหวัดเดียวกันอีก เมื่อเดือน ๓ ข้างขึ้น ๑๔ ค่ำ ปี ๒๔๗๙ ท่านได้ออกจากวัดป่าศรัทธารวม ไปตามพระอาจารย์มั่นที่เชียงใหม่ เพราะเวลาที่จากกัน ท่านคิดถึงพระอาจารย์มั่นอยู่ตลอดเวลา ในการไปตามหาพระอาจารย์มั่นครั้งนี้ พระอาจารย์อ่อนได้เดินทางร่วมไปด้วย เมื่อลงรถไฟที่สถานีเชียงใหม่แล้ว ทั้งสองท่านได้เดินทางต่อไปที่วัดเจดีย์หลวง นับว่าน่าอัศจรรย์เป็นอันมาก ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์มั่นหยั่งรู้ได้อย่างไร จึงมาคอยท่านอยู่ก่อนแล้ว พระอาจารย์มั่น ได้บอกกับท่านทั้งสองว่า พระเณรมาหาเป็นร้อย ๆ ยังไม่ดีใจเท่าที่ท่านมาเพียงสององค์ มีพระเณรมาหากันมากแต่ไม่พบ เพราะท่านเที่ยวธุดงค์ปฏิบัติกัมมัฏฐานไปเรื่อย ๆ เมื่อเข้าสู่ที่พักซึ่งพระอาจารย์มั่นกำหนดให้แล้ว ทั้งสองท่านได้ถวายการปฏิบัติต่อพระอาจารย์มั่น สักพักใหญ่ พระอาจารย์มั่นก็ลุกขึ้นมาเทศนาให้ฟัง ตอนหนึ่งท่านบอกด้วยว่า พระอาจารย์อ่อนและพระอาจารย์ฝั้น เป็นพระเจ้าชู้ พระอาจารย์ทั้งสองได้ฟังก็งุนงงและบังเกิดความตกใจ แต่เมื่อพิจารณาตัวเองดูแล้ว ก็ประจักษ์ว่าจริงอย่างที่ท่านบอก เพราะผ้าจีวร สบง เปลี่ยนไปเป็นสีเหลือง ไม่ใช่สีกลัก มิหนำซ้ำ ฝาบาตรที่ท่านพระอาจารย์ฝั้นใช้อยู่ยังประดับมุกอีกด้วย คืนนั้น พระอาจารย์ทั้งสองนั่งสมาธิทำความเพียรจนสว่าง เช้าวันรุ่งขึ้น พระอาจารย์อ่อนขอลาพระอาจารย์มั่นไปอำเภอพร้าว พระอาจารย์ฝั้นจะไปด้วย แต่พระอาจารย์มั่นไม่ยอมให้ไป ท่านให้พักอยู่ด้วยกันไปก่อน ต่อมาพระอาจารย์อ่อน และพระอาจารย์ฝั้นได้ขอลาไปวิเวกที่อื่นอีกหลายครั้ง แต่พระอาจารย์มั่นพูดตัดบทไว้ทุกที อ้างว่าอยู่ที่นี่ดีอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี พระอาจารย์มั่นได้อนุญาตให้ท่านทั้งสองไปพักอยู่ที่ห้วยน้ำริน และต่อมาได้ไปยังบ้านปง ที่บ้านปงนี้เอง พระอาจารย์อ่อนเกิดอาพาธด้วยไข้มาเลเรีย พระอาจารย์ฝั้นได้ช่วยรักษาพยาบาลจนกระทั่งทุเลาลง แล้วพากันกลับไปหาพระอาจารย์มั่นยังวัดเจดีย์หลวงอีกครั้ง กลับไปคราวนี้ พระอาจารย์มั่นได้ให้พระอาจารย์ฝั้น มุ่งทำความเพียรทั้งกลางวันกลางคืน ปรากฏว่าท่านทั้งสองต่างสามารถมองเห็นกันทางสมาธิโดยตลอด ทั้ง ๆ ที่กุฏิห่างกันเป็นระยะทางถึงเกือบ ๕๐๐ เมตร พอใกล้เข้าพรรษา สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) ครั้งเป็นพระญาณดิลก ได้ขึ้นไปเป็นกรรมการสอบสวนชำระอธิกรณ์ที่วัดเจดีย์หลวง ได้ให้พระอาจารย์อ่อนเดินทางไปให้นิสสัยพระมอญ ซึ่งได้รับการญัตติกรรมเป็นพระธรรมยุตินิกาย ที่วัดหนองดู่ จังหวัดลำพูน แต่เนื่องจากวัดนี้อยู่ริมแม่น้ำปิง ขณะนั้นน้ำกำลังท่วม พระอาจารย์อ่อนจึงตัดสินใจไม่ไป พอดีกับพระอาจารย์ฝั้นได้รับจดหมายพร้อมกับธนาณัติจากหลวงเกรียงศักดิ์พิชิตเป็นปัจจัยมูลค่า ๔๐ บาทถวายเป็นค่าพาหนะ ให้ท่านเดินทางกลับไปจำพรรษาที่นครราชสีมา ท่านทั้งสองจึงตัดสินใจกลับจากเชียงใหม่ในเดือน ๘ ขึ้น ๗ ค่ำ ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ระหว่างออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๘๖ พระอาจารย์ฝั้นได้ออกเดินธุดงค์จากวัดป่าศรัทธารวม อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา อันเป็นวัดที่ท่านพำนักจำพรรษาติดต่อกันนานถึง ๑๒ ปี ไปพักวิเวกภาวนาตามป่าเขา ที่เห็นว่าสงบเงียบพอเจริญกัมมัฏฐานได้ โดยเปลี่ยนสถานที่ผ่านหมู่บ้านและอำเภอต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ จนถึงเขาพนมรุ้ง อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อบำเพ็ญความเพียรอยู่ที่เขาพนมรุ้งเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว ท่านได้เดินทางต่อไปถึงจังหวัดสุรินทร์ และได้ไปพักอยู่ในไม้กระเบา ริมห้วยเสนง ซึ่งร่มรื่นและเงียบสงัด เหมาะแก่การภาวนาเป็นอย่างยิ่ง การเดินธุดงค์ครั้งนี้ มีพระและเณรติดตามไปด้วยรวม ๓ รูป ทั้งยังมีเด็กลูกศิษย์ ๓ คน ขอติดตามท่านมาจากอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์อีกด้วย ระหว่างที่พระอาจารย์ฝั้น พำนักอยู่ในป่าริมห้วยเสนง บรรดาพุทธบริษัทชาวจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดใกล้เคียงต่างเลื่อมใสในตัวท่านเป็นอันมาก สังเกตได้จากจำนวนผู้คนที่พากันไปฟังพระธรรมเทศนาและรับการอบรมจากท่านอย่างเนืองแน่นมิได้ขาด ผู้คนล้นหลามไปนมัสการทั้งกลางวันกลางคืน ราวกับว่ามีงานมหกรรมขึ้นมากทีเดียว พระอาจารย์ฝั้น ได้ให้ลูกศิษย์หาเครื่องยามาประกอบเป็นยาดอง โดยมีผลสมอเป็นตัวยาสำคัญ กับเครื่องเทศอีกบางอย่าง ปรากฏว่ายาดองที่ท่านประกอบขึ้นคราวนี้มีสรรพคุณอย่างมหาศาล แก้โรคได้สารพัด แม้คนที่เป็นโรคท้องมานมาหลายปี รักษาที่ไหนก็ไม่หาย พอไปฟังพระธรรมเทศนา รับไตรสรณาคมน์ และรับยาดองจากท่านไปกินเพียง ๓ วัน โรคท้องมานก็หายดังปลิดทิ้ง แม้กระทั่งคนที่เสียจริต เมื่อรับไตรสรณาคมน์ และได้รับการประพรมน้ำมนต์แล้วก็หายเป็นปกติ ทันตาเห็น ไปหลายราย พุทธบริษัททั้งหลายจึงพากันแตกตื่นในความศักดิ์สิทธิ์ของท่านเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดขนานนามให้ท่านเป็น “เจ้าผู้มีบุญ” เลยทีเดียว ตั้งแต่นั้นมา แม้พระอาจารย์ฝั้นจะจากไปประจำอยู่ที่จังหวัดสกลนครแล้ว พุทธบริษัทชาวจังหวัดสุรินทร์ ก็ยังพยายามติดตามไปนมัสการ ทำบุญ ภาวนา และรับการอบรมจากท่านอยู่เสมอมิได้ขาด ระหว่างพักอยู่ริมห้วยเสนงนั้น พระอาจารย์ฝั้นได้ย้ายสถานที่ไปพักโปรดญาติโยมตามที่ต่าง ๆ ตามคำนิมนต์ของชาวบ้านผู้มีจิตเลื่อมใสบ้างเป็นบางครั้ง แต่ละแห่งที่ท่านไปพัก บรรดาพุทธบริษัทต่างก็ติดตามไปรับการอบรมและปฏิบัติธรรมอย่างล้นหลามทุกครั้ง สถานที่แห่งที่สามที่ท่านไปพัก ต่อมาได้กลายเป็นวัดป่าโยธาประสิทธิ์ ซึ่งได้เจริญรุ่งเรืองเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ พอใกล้จะเข้าพรรษา พระอาจารย์ฝั้น จึงได้ลาญาติโยมเดินทางออกจากสุรินทร์ไปจำพรรษาที่วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานีตามบัญชาของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) สังฆนายก สาเหตุที่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ มีบัญชาให้พระอาจารย์ฝั้นไปจำพรรษาที่จังหวัดอุบลราชธานี เป็นเพราะในปีนั้น สมเด็จฯ อาพาธหนัก ถึงขนาดฉันอาหารไม่ได้ ต้องถวายอาหารทางเส้นโลหิต ท่านจึงเรียกพระเถระฝ่ายกัมมัฏฐานเข้าไปปรึกษาหารือเพื่อหาทางบำบัดโรค ในทางธรรมปฏิบัติ สมเด็จฯ ได้นิมนต์พระอาจารย์สิงห์ให้อธิบายธรรมเป็นองค์แรก เมื่อพระอาจารย์สิงห์อธิบายจบลงแล้ว สมเด็จฯ จึงให้พระอาจารย์ทอง อโกโส เจ้าอาวาสวัดบูรพาอธิบายอีก จากนั้นจึงหันมาทางพระอาจารย์ฝั้น ให้อธิบายธรรมให้ฟังอีกเป็นองค์สุดท้าย พระอาจารย์ฝั้นจึงได้อธิบายธรรมถวายโดยมีอรรถดังนี้ ให้ท่านทำจิตเป็นสมาธิ ยกไวยกรณ์ธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ยกอันนี้ไว้เสียก่อน ทำจิตให้เป็นสมาธิ เราต้องตั้งสมาธิให้ได้ ภาวนากำหนดจิตให้เป็นสมาธิ พอตั้งเป็นสมาธิดีแล้ว ให้เป็นหลัก เปรียบเหมือนเราจะนับตั้งร้อยตั้งพัน ก็ต้องตั้งหนึ่งเสียก่อน ถ้าเราไม่ตั้งหนึ่งเสียก่อน ก็ไปไม่ได้ ฉันใด จิตของเราจะรู้ได้ เราก็ตั้งจิตของเราเป็นสมาธิเสียก่อน เรียบเหมือน นัยหนึ่งคือเหมือนเราจะปลูกต้นไม้ พอปลูกลงแล้ว ก็มีคนเขาว่า ปลูกตรงนั้นมันจะงามดี ก็ถอนไปปลูกตรงนั้น และก็มีคนเขามาบอกอีกว่า ตรงโน้นดีกว่า ก็ถอนไปปลูกตรงโน้นอีก ทำอย่างนี้ ผลที่สุดต้นไม้ก็ตาย ทิ้งเสียเปล่า ๆ ไม่ได้อะไรเสียอย่าง ฉันใด เราจะทำจะปลูกอะไร ก็ฝังให้มันแน่น ไม่ต้องถอนไปไหน มันเกิดขึ้นเอง นี้แหละสมาธิ ฉันใดก็ฉันนั้นแหละ หรืออีกนัยหนึ่ง เปรียบเหมือนเราจะขุดน้ำบ่อ ต้องการน้ำในพื้นดิน เราก็ขุดลงไปแห่งเดียวเท่านั้น พอเราขุดไปได้หน่อยเดียว ได้น้ำสัก ๒ – ๓ บาตรแล้ว มีคนเขาบอกว่าที่นั่นมันตื้น เราก็ย้ายไปขุดที่อื่นอีก พอคนอื่นเขาบอกว่า ตรงนั้นไม่ดี ตรงนี้ไม่ดี ก็ย้ายไป ย้ายมา ผลที่สุดก็ไม่ได้กินน้ำ ใครจะว่าก็ช่างเขา ขุดมันแห่งเดียวคงถึงน้ำ ฉันใด เปรียบเหมือนสมาธิของเรา ต้องตั้งไว้แห่งเดียวเท่านั้น เมื่อเราตั้งไว้แห่งเดียว ไม่ต้องไปอื่นไกล ไม่ต้องส่งไปข้างหน้า ข้างหลัง ไม่ต้องคิดถึงอดีต อนาคต กำหนดจิตให้สงบอันเดียวเท่านั้น ได้ให้ท่านทำสมาธิภาวนา ทำจิตให้สงบ ให้พิจารณาแยกธาตุ แยกขันธ์และอายตนะออกเป็นส่วน ๆ ตามความเป็นจริง พิจารณาให้เห็นความเป็นไปของสิ่งเหล่านั้นตามหน้าที่ของมัน ให้แยกกายออกจากจิต แยกจิตออกจากกาย ให้ยึดเอาตัวจิต คือผู้รู้เป็นหลัก พร้อมด้วยสติ ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้พิจารณาให้อยู่ในสภาพของมันเองแต่ละอย่าง เมื่อพิจารณาตามความเป็นจริงแล้ว จะเห็นได้ว่า ธาตุทั้ง ๔ ต่างเจ็บไม่เป็น ป่วยไม่เป็น แดดจะออก ฝนจะตก ก็อยู่ในสภาพของมันเอง ในตัวคนเราก็ประกอบไปด้วยธาตุทั้ง ๔ นี้รวมกัน การที่มีความเจ็บปวดป่วยไข้อยู่นั้น ก็เนื่องมาจากตัวผู้รู้ คือจิต เข้ายึดด้วยอุปาทานว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นของเขาของเรา เมื่อพิจารณาตามความเป็นจริงแล้ว ตัวผู้รู้คือจิตเท่านั้นที่ไปยึดเอามาว่าเจ็บ ว่าปวด ว่าร้อน ว่าเย็น หรือหนาว ฯลฯ ตามสภาพความเป็นจริงแล้ว สิ่งทั้งปวงเหล่านั้นไม่ได้เป็นอะไรเลย ดินก็คงเป็นดิน น้ำก็คงเป็นน้ำ ไม่มีส่วนรู้เห็นในความเจ็บปวดใด ๆ ด้วย เมื่อทำจิตให้สงบและพิจารณาเห็นสภาพความเป็นจริงแล้ว จิตย่อมเบื่อหน่ายและวางจากอุปาทาน คือเว้นการยึดถือมั่นในสิ่งเหล่านั้น เมื่อละได้เช่นนี้ ความเจ็บปวดต่าง ๆ ตลอดจนความตายย่อมไม่มีตัวตน เพราะฉะนั้น หากทำจิตให้สงบ เป็นสมาธิแน่วแน่แล้ว โรคต่าง ๆ ก็จะทุเลาหายไปเอง เมื่อพระอาจารย์ฝั้นอธิบายธรรมถวายสมเด็จพระมหาวีรวงศ์จบแล้ว สมเด็จฯ ได้พูดขึ้นว่า เออ, เข้าทีดี แล้วถามพระอาจารย์ฝั้นว่า ในพรรษานี้ ฉันจะอยู่ได้รอดตลอดพรรษาหรือไม่ พระอาจารย์ฝั้นก็เรียนตอบไปว่า ถ้าพระเดชพระคุณทำจิตให้สงบได้ดังที่อธิบายถวายมาแล้ว ก็รับรองว่าอยู่ได้ตลอดพรรษาแน่นอน สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ จึงมีบัญชาให้พระอาจารย์ฝั้นไปจำพรรษาอยู่กับท่านที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อจะได้ศึกษาธรรมให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นดังกล่าวแล้ว โดยพระอาจารย์ฝั้นได้เลือกเอาวัดบูรพาเป็นที่จำพรรษา เพราะวัดนี้อยู่ฝั่งเดียวกันกับวัดสุปัฏน์ที่สมเด็จฯ พำนักอยู่ การไปมาสะดวกกว่าวัดป่าแสนสำราญ ซึ่งอยู่ทางฝั่งอำเภอวารินชำราบ วัดบูรพาที่ท่านเลือกพัก มีเขตเป็นสองตอน ตอนหนึ่งเป็นสำนักเรียนพระปริยัติธรรม อีกตอนหนึ่งเป็นป่า มีกุฏิหลังเล็ก ๆ อยู่ ๕ – ๖ หลัง สำหรับพระเณรอาศัยปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะ พระอาจารย์ฝั้นได้เลือกเอาด้านที่เป็นป่า เป็นที่พักตลอดพรรษานั้น และได้หมั่นไปอธิบายธรรมปฏิบัติถวายสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ที่วัดสุปัฏน์เกือบทุกวัน และด้วยอำนาจการปฏิบัติธรรมนั้น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ก็หายวันหายคืน ทั้งอยู่ได้ตลอดพรรษาและล่วงเลยต่อมาอีกหลายปี สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ได้ออกปากยอมรับในความจริงและชมว่า พระคณะกัมมัฏฐานนี้เป็นผู้ปฏิบัติดีจริง ทั้งยังทำได้ดังพูดจริง ๆ อีกด้วย สมควรที่พระมหาเปรียญทั้งหลายจะถือเอาเป็นตัวอย่างปฏิบัติต่อไป ท่านได้กล่าวต่อหน้าพระอาจารย์ฝั้นด้วยว่า ฉันเป็นพระอุปัชฌาย์ บวชพระบวชเณรมาจนนับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยนึกสนใจใน ตจปัญจกกัมมัฏฐานเหล่านี้เลย เพิ่งจะมารู้ซึ้งในพรรษานี้เอง พูดแล้วท่านก็นับ เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ แล้วถามพระอาจารย์ฝั้นว่า นี่เป็นธาตุดิน นี่เป็นธาตุน้ำ นี่เป็นธาตุลม นี่เป็นธาตุไฟใช่ไหม ? พระอาจารย์ฝั้นก็รับว่าใช่ จากนั้นท่านก็ปรารภขึ้นว่า ตัวท่านเองเปรียบเหมือนผู้บวชใหม่ เพิ่งจะมาเรียนรู้ เกสา โลมา ฯลฯ ความรู้ในด้านมหาเปรียญ ที่เล่าเรียนมามากนั้น ไม่ยังประโยชน์และความหมายต่อชีวิตท่านเลย ยศฐาสมณศักดิ์ ก็แก้ทุกข์ท่านไม่ได้ ช่วยท่านไม่ได้ พระอาจารย์ฝั้นให้ธรรมปฏิบัติในพรรษานี้ได้ผลคุ้มค่า ทำให้ท่านรู้จักกัมมัฏฐานดีขึ้น ในพรรษา พ.ศ. ๒๔๘๗ นั้น พระอาจารย์ฝั้นเกือบไม่มีเวลาเป็นของตัวท่านเองเลย ทั้งนี้เพราะท่านได้ทำหน้าที่อุปัฏฐากพร้อมกันถึง ๒ อาจารย์ กล่าวคือ นอกจากกลางคืนจะต้องเข้าถวายธรรมแก่สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ที่วัดสุปัฏน์ จากหัวค่ำไปจนถึงเวลาประมาณ ๔ ทุ่ม บางครั้งก็ถึง ๖ ทุ่ม จึงได้กลับวัดบูรพา แล้วพอเช้าขึ้น ท่านก็ออกบิณฑบาตไปเรื่อย ๆ แล้วข้ามแม่น้ำมูลไปทางฝั่งอำเภอวารินชำราบ ไปฉันเช้าที่วัดป่าแสนสำราญ ฉันเสร็จก็ประกอบยารักษาโรค ถวายพระอาจารย์มหาปิ่น ซึ่งปีนั้นกำลังอาพาธด้วยโรคปอด อยู่ที่วัดป่าแสนสำราญ พระอาจารย์ฝั้นได้พยายามหาสมุนไพรต่าง ๆ มาปรุง แล้วกลั่นเป็นยาถวายพระอาจารย์มหาปิ่น หยูกยาที่ทันสมัยก็ไม่มี เพราะขณะนั้นกำลังอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ เมื่อพูดถึงสงครามโลกครั้งที่ ๒ น่าบันทึกไว้เป็นพิเศษในที่นี้ด้วยว่า การหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าของพระอาจารย์ฝั้น ยังเป็นที่จดจำและประทับใจในบรรดาลูกศิษย์ลูกหาและบรรดาพุทธบริษัทจำนวนมากในจังหวัดอุบลราชธานีมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ปีนั้นอยู่ในราวกลางพรรษา พ.ศ. ๒๔๘๗ จังหวัดอุบลราชธานี กลาดเกลื่อนไปด้วยทหารญี่ปุ่นซึ่งเข้าไปตั้งมั่นอยู่ จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจะต้องจดจ้องทำลายล้าง โดยส่งเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดตามจุดยุทธศาสตร์อยู่เสมอ ชาวบ้านร้านถิ่นจึงพากันอพยพหลบภัยออกไปอยู่ตามรอบนอก หรืออำเภอชั้นนอกที่ปลอดจากทหารญี่ปุ่น ในตัวเมืองอุบลฯ จึงเงียบเหงาลงถนัด จะหลงเหลืออยู่ก็เฉพาะผู้ที่มีความจำเป็นไม่อาจโยกย้ายหรืออพยพเท่านั้น ตกกลางคืน คนเหล่านี้จะนอนตาไม่หลับลงง่าย ๆ ต้องคอยหลบภัยทางอากาศกันอยู่เสมอ ปกติเครื่องบินฝ่ายพันธมิตรจะมาทิ้งระเบิดในราวอาทิตย์ละ ๒ หรือ ๓ ครั้ง ถ้าวันไหนเครื่องบินจะล่วงล้ำเข้ามาทิ้งระเบิด พระอาจารย์ฝั้นจะบอกล่วงหน้าให้บรรดาศิษย์ทั้งหลายรู้ก่อนอย่างน้อย ๒ ชั่วโมง เช่นในตอนเย็น ขณะพระเณรซึ่งเป็นศิษย์ กำลังจัดน้ำฉันน้ำใช้ถวายอยู่นั้น ท่านจะเตือนขึ้นว่า ให้ทุกองค์รีบทำกิจให้เสร็จไปโดยเร็ว แล้วเตรียมหลบภัยกันให้ดี คืนนี้เครื่องบินจะมาทิ้งระเบิดอีกแล้ว ภิกษุสามเณรทั้งหลายก็รีบทำตามที่ท่านสั่ง พอตกกลางคืน ก็มีเครื่องบินข้าศึกเข้ามาทิ้งระเบิดจริง ๆ บางครั้งในตอนกลางวันแท้ ๆ ท่านบอกลูกศิษย์ลูกหาว่า เครื่องบินมาแล้ว รีบทำอะไรให้เสร็จ ๆ แล้วรีบไปหลบภัยกันเสีย ทุกองค์ต่างมองตากันด้วยความงุนงง แต่อีกไม่นานนัก ก็มีเครื่องบินเข้ามาจริง ๆ ชาวบ้านหอบลูกจูงหลานเข้าไปหลบภัยอยู่ในบริเวณวัดเต็มไปหมด พระอาจารย์ฝั้นก็ลงจากกุฏิไปเตือนให้อยู่ในความสงบ และให้ภาวนา “พุทโธ พุทโธ” ไว้โดยทั่วกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๘๗ เสร็จฤดูกาลกฐินแล้ว พระอาจารย์ฝั้น ได้เข้านมัสการลาสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ที่วัดสุปัฏนาราม ขอเดินทางไปสกลนคร อันเป็นจังหวัดบ้านเกิดของท่าน เพื่อบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน อุทิศแด่บุพการี คือโยมบิดามารดา สมเด็จฯ ก็อนุญาต จากนั้นท่านได้ไปนมัสการลาพระอาจารย์สิงห์ กับพระอาจารย์มหาปิ่นที่วัดแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ แล้วไปลาญาติโยมพุทธบริษัท เสร็จแล้วท่านพร้อมด้วยพระภิกษุรูปหนึ่ง สามเณรรูปหนึ่ง กับเด็กลูกศิษย์อีกคนหนึ่ง ได้ออกเดินทางจากอุบลราชธานี มุ่งหน้าไปสกลนคร ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ น้ำมันเชื้อเพลิงขาดแคลนมาก รถยนต์โดยสารต้องใช้ถ่านแทน และมีวิ่งน้อยคัน พระอาจารย์ฝั้นได้พาพระภิกษุสามเณรและลูกศิษย์ นั่งรถโดยสารซึ่งใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิง ออกจากอุบลราชธานีตั้งแต่เช้า ไปถึงอำเภอมุกดาหารจังหวัดนครพนม เมื่อเวลา ๓ ทุ่มเศษ แล้วไปขอพักค้างคืนที่วัดศรีมงคล เช้ารุ่งขึ้นได้โดยสารรถคันเดิมไปพักค้างคืนที่วัดป่าเกาะแก้ว อำเภอธาตุพนม ซึ่งที่นั่นพระอาจารย์ฝั้นได้พาคณะของท่านไปกราบนมัสการพระธาตุพนมด้วย แล้วได้กล่าวแก่พระภิกษุสามเณรและลูกศิษย์ว่า ใครผู้ใดเดินทางผ่านมาถึงแล้วไม่แวะนมัสการองค์พระธาตุพนม คน ๆ นั้นนับว่าบาปหนา มีกรรมปกปิดจนไม่สามารถจะมองเห็นปูชนียสถานอันสำคัญ ท่านเล่าด้วยว่า ก่อนโน้น บริเวณพระธาตุพนมเต็มไปด้วยป่ารกรุงรัง องค์พระธาตุก็เต็มไปด้วยเถาวัลย์ปกคลุม พระอาจารย์เสาร์กับพระอาจารย์มั่น สมัยยังหนุ่มแน่นเมื่อเที่ยวธุดงค์ถึงที่นั่นก็มักจะนำญาติโยมไปรื้อเถาวัลย์ออก และถางป่ารอบ ๆ บริเวณจนสะอาด หลังจากพักอยู่ที่วัดป่าเกาะแก้วได้ ๔ – ๕ วัน พระอาจารย์ฝั้นก็พาคณะออกเดินทางต่อ โดยสะพายบาตรแบกกลด หิ้วกาน้ำออกเดินทาง จากอำเภอธาตุพนมมุ่งไปยังอำเภอนาแก กว่าจะถึงก็เกือบมืด จึงแวะพักที่วัดบ้านนาแกน้อยคืนหนึ่ง พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็ออกเดินทางต่อไปถึงวัดป่าบ้านนาโสก ที่วัดนี้ท่านได้บำเพ็ญภาวนาอยู่หลายคืน และที่วัดนี้เอง ท่านได้ดัดนิสัยกลัวภูตผีของพระภิกษุลูกศิษย์ที่ร่วมคณะไปด้วยจนได้ผล เรื่องมีอยู่ว่า ท่านจะพำนักอยู่วัดใดก็ตาม ปกติท่านจะลงจากกุฏิไปอยู่ตามร่มไม้ ซึ่งเรียกว่าอยู่รุกขมูลเสมอมา เมื่อมาพักที่วัดป่านาโสก เจ้าอาวาสได้จัดกุฏิถวายให้ท่านพักก็จริง แต่ท่านพักได้คืนเดียว ก็พาพระภิกษุที่เดินทางไปด้วย ลงไปทำที่พักใหม่ โดยยกแคร่ขึ้นใต้ร่มไม้ในบริเวณป่าช้า ซึ่งที่นั่นเป็นป่าโปร่งบ้าง ทึบบ้าง สัตว์ป่าต่าง ๆ ก็ชุกชุมมาก เมื่อทำที่พักเฉพาะท่านเสร็จแล้ว ท่านก็บอกพระภิกษุให้หาที่พักในบริเวณเดียวกันตามใจชอบ แล้วถามว่ากลัวผีกันหรือเปล่า พระภิกษุรูปนั้นก็ตอบตามตรงว่า กลัว แต่แทนที่ท่านจะบอกให้ทำที่พักใกล้ ๆ ท่านกลับพาไปหาที่พักกลางป่าช้า ลึกเข้าไปในดงดิบ รอบ ๆ ที่พักเต็มไปด้วยหลุมศพทั้งเก่าและใหม่ แต่เนื่องจากเคารพและเชื่อฟังในตัวท่าน พระภิกษุรูปนั้นจึงจัดทำที่พักโดยมิได้อิดเอื้อนแต่ประการใด ทั้ง ๆ ที่จิตใจเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ระยะนั้น อากาศกำลังหนาวจัด แต่คืนนั้นพระภิกษุลูกศิษย์แม้ไม่ใช้ผ้าห่มเลย เหงื่อก็ยังไหลโทรมร่าง เพราะจิตใจไม่เป็นปกติให้กลัวผีมาหลอกหลอนอยู่เรื่อย คืนต่อมา พระอาจารย์ฝั้นก็สั่งสอนให้รู้จักแก้ความกลัวในสิ่งต่าง ๆ โดยท่านถามว่า เมื่อคืนนี้ เวลากลัวมาก ๆ อย่างนั้นน่ะ ภาวนาไปแล้วจิตมันสงบหรือเปล่า พระภิกษุรูปนั้นตอบว่า จิตไม่สงบเลย เพราะมีแต่ความกลัวจนนอนไม่หลับ พระอาจารย์ฝั้นก็บอกว่า ถ้าจิตไม่สงบก็แสดงว่ามันไม่กลัวน่ะซี เพราะถ้าจิตมันกลัว มันก็ต้องสงบ และต้องรวมเป็นสมาธิได้ ถ้าจิตมันยังแส่หา หรือนึกว่ามีผีและยังกลัวอยู่ เรียกว่าจิตไม่สงบ เมื่อจิตไม่รวม ไม่สงบ ก็แสดงว่าจิตมันไม่กลัว ตามธรรมดา เมื่อคนเราบังเกิดความกลัวขึ้นมา เป็นต้นว่า กลัวช้าง กลัวเสือ หรือกลัวสัตว์ต่าง ๆ ย่อมต้องหาที่หลบที่กำบัง หรือหาที่พึ่ง เช่นวิ่งเข้าหลบในบ้านเรือน เมื่อหลบกำบังแล้ว ความกลัวมันก็หายไป ตรงกันข้าม ถ้าวิ่งออกไปข้างนอกโดยปราศจากที่สำหรับกำบัง ความปลอดภัยจะเกิดขึ้นได้อย่างไร จิตของคนเราก็เช่นกัน เมื่อบังเกิดความกลัว ก็ความสวบนิ่งอยู่กับสมาธิภาวนา ไม่ใช่วิ่งออกไปหาผีตามป่าช้าแล้วก็นั่งกลัวตัวสั่นอยู่คนเดียว แล้วท่านก็สั่งสอนอีกว่า ความกลัวผีนั้นเป็นเพียงอุปาทานของเราเอง เราหลอกตัวเราเอง เราเองนึกขึ้นว่าผี แล้วเราก็กลัวผี เมื่อบังเกิดความกลัวขึ้นมา ต้องรีบสำรวมใจให้สงบ จิตจะได้มีกำลังต้านทานต่อสิ่งร้ายเหล่านั้นได้ จิตของเราจะได้มีกำลังพิจารณาหาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อจะได้ต่อสู้กับภัยทั้งปวงที่จะเกิดขึ้น จิตยิ่งฟุ้งซ่านเท่าไหร่ แม้ใบไม้ร่วงก็เข้าใจว่าผีหลอก ดีไม่ดี ออกวิ่งจีวรปลิวไปเปล่า ๆ เมื่อสั่งสอนถึงตอนนี้แล้ว ท่านก็บอกต่อไปว่า ต่อไปนี้ ถ้ากลัวผีมากกว่าครูบาอาจารย์ละก็ จงไปคุกเข่ากราบผีเสียดีกว่า ไม่ต้องมากราบไหว้ครูบาอาจารย์ให้เสียเวลา พระภิกษุรูปนั้นเล่าในภายหลังว่า ได้ยินคำสอนของพระอาจารย์ฝั้นเช่นนั้นแล้ว ให้บังเกิดความมานะเป็นอันมาก พยายามต่อสู้ความกลัวด้วยการรวบรวมสมาธิจนเป็นผลสำเร็จ และได้พบความจริงด้วยว่า เมื่อพิจารณากันด้วยเหตุผล กล้าต่อสู้กับความเป็นจริงอย่างพระอาจารย์ฝั้นสั่งสอนแล้ว แม้ตกอยู่กลางป่าช้าดงดิบอันเต็มไปด้วยหลุมฝังศพ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวแต่ประการใด เพียงแต่ตัวเองคิดขึ้นมาหลอกตัวเองเท่านั้น พักอยู่ที่วัดป่าบ้านนาโสกประมาณ ๘ – ๙ วัน พระอาจารย์ฝั้นก็พาภิกษุสามเณรเดินทางต่อไปพักที่วัดป่าบ้านนามน ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร อันเป็นวัดที่พระอาจารย์มั่นพักจำพรรษาอยู่ก่อน แต่ขณะนั้นพระอาจารย์มั่นได้ย้ายไปพักมนที่วิเวกใกล้ ๆ กับบ้านห้วยแคนแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้น พระอาจารย์ฝั้นจึงเดินทางไปกราบนมัสการพระอาจารย์มั่น ที่วัดป่าห้วยแคน และอีก ๓ วันต่อมา ได้เดินทางต่อไปยังวัดป่าบ้านโคก ซึ่งเป็นวัดที่พระอาจารย์มั่น เคยพักจำพรรษามาก่อนเช่นกัน พระอาจารย์ฝั้นพักอยู่กับพระอาจารย์กงมา จิรปญฺโญ ประมาณ ๔ – ๕ คืน ก็เดินทางต่อไปยังวัดป่าสุทธาวาส แต่ไปได้แค่บ้านนายอก็ค่ำลงเสียก่อน ท่านจึงแวะพักค้างคืนที่โรงเรียนประชาบาล เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากบิณฑบาตและฉันเสร็จก็เดินทางต่อไปยังวัดป่าสุทธาวาส พักอยู่ที่วัดนั้นอีก ๓ คืน จึงเดินทางต่อไปยังอำเภอพรรณานิคมแล้วเดินทาง ตัดทุ่งนาไปยังบ้านบะทอง อันเป็นบ้านเกิดของท่านเอง พักที่บ้านบะทองเพียงคืนเดียว ก็ย้ายเข้าไปพักในป่าข้างป่าช้าใกล้ ๆ กับหนองแวง ซึ่งบรรดาญาติโยมได้พากันไปถากถางทำที่พักชั่วคราวถวายให้ ที่พักชั่วคราวดังกล่าวได้กลายมาเป็นวัดป่าอุดมสมพรในปัจจุบัน ส่วนหนองแวงได้กลายมาเป็นสระน้ำใหญ่ที่มีโบสถ์น้ำอยู่กลางสระ ณ ที่พักชั่วคราวนั้นเอง พระอาจารย์ฝั้นได้เตรียมการทำบุญอุทิศส่วนกุศล แด่บุพการีของท่าน โดยมีญาติโยมมาช่วยเตรียมการด้วยอย่างแข็งขัน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ท่านจึงได้เริ่มพิธี งานทำบุญครั้งนั้นปรากฏว่าได้กระทำกันอย่างใหญ่โต ชาวบ้านหลายหมู่บ้านได้ไปร่วมงานอย่างคับคั่ง ไม่มีมหรสพ ไม่มีเครื่องกระจายเสียง มีแต่ฟังเทศน์อบรมธรรมแต่ประการเดียวตลอดคืน โดยมีพระเถระผู้ใหญ่ไปร่วมในพีด้วยหลายรูป เมื่อพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์เรียบร้อยแล้ว ก็เป็นการแสดงธรรม พระภิกษุองค์แรกที่ขึ้นแสดงธรรมคือพระอาจารย์ฝั้น ในนามของเจ้าภาพ ท่านได้ตักเตือนให้บรรดาญาติโยมตั้งใจรับการอบรมอย่างจริงจัง อย่ารบกวนสมาธิของผู้ฟังด้วยกัน จากนั้นก็นิมนต์พระอาจารย์ดี หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “ท่านอาญาครูดี” ขึ้นเทศน์เป็นองค์ต่อไป พระอาจารย์ดีเทศน์จนถึง ๖ ทุ่ม ก็จบลง ต่อไปพระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ ได้ขึ้นเทศน์ต่อตั้งแต่ ๖ ทุ่มไปจนสว่าง เมื่อได้เวลาออกบิณฑบาต ท่านจึงได้ลงจากธรรมาสน์ บรรดาญาติโยมที่ไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลกับพระอาจารย์ฝั้นครั้งนั้น ต่างก็ปลื้มปีติและซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง เพราะนาน ๆ จะมีพระภิกษุไปชักจูงให้ประกอบการบุญการกุศลสักครั้งหนึ่ง และตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา สถานที่แห่งนั้นก็เริ่มมีพระภิกษุสามเณรอยู่จำพรรษามาตลอด จนได้กลายเป็นวัดป่าอุดมสมพรดังได้กล่าวแล้วข้างต้น น่าสังเกตว่า คืนแรกที่พระอาจารย์ฝั้นได้พาพระภิกษุร่วมคณะเข้าไปพักในป่าแห่งนี้นั้น ท่านได้ให้โยมถางป่าแล้วเอาฟางมาปู จากนั้นก็ปูเสื่อทับลงไปบนฟาง ตกกลางคืนปลวกได้กลิ่นฟางจึงออกมาอาละวาด ต้องย้ายกันตลอดคืนถึง ๔ – ๕ ครั้งจนสว่าง ทุกรูปต่างไม่ได้หลับไม่ได้นอนตลอดคืน เช้ารุ่งขึ้นต้องทำเป็นแคร่ยกขึ้นพ้นจากพื้น จึงปลอดภัยจากกองทัพปลวกไปได้ การที่สถานที่นั้นกลายมาเป็นวัดป่าอุดมสมพร ที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ในปัจจุบัน ก็เป็นเพราะว่าพระอาจารย์ฝั้นได้บุกเบิกมาด้วยความยากลำบาก นับตั้งแต่คืนแรกเลยทีเดียว เสร็จจากการบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานแด่บุพการีของท่านแล้ว อีกไม่กี่วันต่อมา พระอาจารย์ฝั้นได้ลาบรรดาญาติโยมทั้งหลายเดินทางไปยังจังหวัดอุบลราชธานีอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากได้รับนิมนต์ไปร่วมงานศพของคุณแม่ชีสาริกา ซึ่งทางเจ้าภาพและคณะสงฆ์จากจังหวัดอุบลฯ นิมนต์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ก่อนจะเดินทางออกจากจังหวัดอุบลฯ มาจังหวัดสกลนคร เมื่อจัดบริขารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระอาจารย์ฝั้นก็พาศิษย์ออกเดินทางโดยเดินเท้าจากที่พักดังกล่าว ย้อนกลับไปทางตัวเมืองสกลนคร แต่เดินทางไปทั้งวันไปได้แค่บ้านพาน จึงแวะเข้าไปพักในป่าช้าหนึ่งคืน รุ่งเช้าจึงออกไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน วันนั้นพระอาจารย์ฝั้นและพระลูกศิษย์บิณฑบาต ได้เพียงข้าวเหนียวกับน้ำอ้อยเพียง ๔ ก้อนเท่านั้น เกี่ยวกับบิณฑบาตนี้ พระอาจารย์ฝั้นได้เคยเล่าให้บรรดาพระภิกษุสามเณรที่เป็นศิษย์ใกล้ชิดฟังว่า สมัยก่อนท่านเที่ยวธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ บางหมู่บ้านท่านบิณฑบาตไม่ได้อะไรเลยก็มี แม้ข้างเหนียวสักปั้นหนึ่งก็ไม่ได้ ต้องอดอาหารเดินทางต่อไปอีก แต่ถึงจะลำบากยากเข็ญสักเพียงใด ท่านก็ไม่เคยย่อท้อ ยิ่งอดอยากมากเท่าไรก็ยิ่งทำความเพียรได้มากขึ้นเท่านั้น สำหรับท่านเองนั้นเคยฝึกหัดทรมานตนด้วยการอดอาหารมาแล้วเป็นเวลาหลาย ๆ วันก็มี เมื่อฉันข้าวเหนียวกับน้ำอ้อยตอนเช้าวันนั้นเสร็จแล้ว พระอาจารย์ฝั้นกับพระภิกษุลูกศิษย์ก็เดินทางต่อไปยังวัดป่าธาตุนาเวง ซึ่งพระอาจารย์พรหม จิรปุญฺโญ เคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่มาก่อน วัดนี้เป็นป่าดงดิบอยู่ใกล้กับโรงเรียนพลตำรวจ เขต ๔ เมื่อสมัยโน้น แต่ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นวิทยาลัยครูสกลนครไปแล้ว ท่านตั้งใจจะพักที่วัดป่าธาตุนาเวงเพียงคืนเดียว แต่เนื่องจากมีผู้นิมนต์ให้ท่านจำพรรษาอยู่ที่สกลนคร เพื่อแบ่งเบาภาระพระอาจารย์มั่นอีกแรงหนึ่ง ประกอบกับธุรกิจการกุศลที่ท่านตั้งใจไปกระทำที่อุบลราชธานี ได้หมดความจำเป็นไปแล้ว เพราะศพคุณแม่ชีสาริกาได้จัดการเผาไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากกำหนดการเดิมผิดพลาดไป ท่านจึงตกลงใจรับปาก และพักจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าธาตุนาเวง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นต้นมา ขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าธาตุนาเวงนั้น พระอาจารย์ฝั้นได้เป็นผู้นำในการบูรณะวัด โดยซ่อมแซมกุฏิที่ผุพังให้มีสภาพดีขึ้นสำหรับอยู่อาศัย ภายหลังวัดนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดป่าภูธรพิทักษ์ พอถึงวันอุโบสถ พระอาจารย์ฝั้นจะอบรมสานุศิษย์เป็นประจำ อบรมแล้วก็นำให้นั่งสมาธิภาวนาและเดินจงกรมตลอดคืน ระหว่างพรรษานั้น มีเรื่องอัศจรรย์ซึ่งบรรดาพระลูกศิษย์ชุดที่จำพรรษาอยู่ด้วยยังจำกันได้แม่นยำอยู่เรื่องหนึ่ง กล่าวคือ เวลาพระอาจารย์ฝั้นมีกิจธุระต้องเข้าไปในตัวเมือง หรือไปที่วัดป่าสุทธาวาสนั้น หากคิดระยะทางดูแล้วจะเห็นได้ว่า จะต้องเดินเท้าออกจากวัดไปเป็นระยะทาง ๑ กิโลเมตรเศษจึงจะถึงสี่แยกถนนใหญ่ และจากสี่แยกไปจนถึงตัวเมืองสกลนคร จะเป็นระยะทางอีกประมาณ ๖ กิโลเมตร บางครั้งท่านจะนำพระภิกษุสามเณรออกเดินทางด้วยเท้าไปจนถึงตัวเมืองเลยทีเดียว แต่ที่น่าอัศจรรย์มีอยู่ว่า บางครั้ง เมื่อเตรียมตัวจะออกจากวัดเพื่อเดินทาง ก็ได้ยินเสียงรถยนต์วิ่งกระหึ่มอยู่บนถนนใหญ่ ซึ่งแน่ใจได้ว่าเป็นรถโดยสารที่วิ่งจากอุดรฯ จะเข้าสู่ตัวเมืองสกลนคร พอได้ยินเสียงรถ พระภิกษุที่จะร่วมเดินทางด้วยก็เรียนท่านว่า จะขอวิ่งออกไปก่อนเพื่อบอกให้รถหยุดรอตรงสี่แยก แต่ท่านจะบอกว่า ไม่ต้องหรอก วิ่งไปให้เหนื่อยเปล่า ๆ รถคันนั้นต้องหยุดรอเราแน่ ๆ จากนั้นท่านก็นำคณะออกเดินเท้าไปตามสบาย พอถึงสี่แยกก็พบรถโดยสารจอดรอเราอยู่แล้วจริง ๆ ปรากฏว่าเครื่องยนต์ดับ คนขับสตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติด พระอาจารย์ฝั้นได้สอบถามดูแล้ว ท่านก็บอกแก่คนขับรถโดยสารว่า เอาละ เครื่องดีแล้ว รีบไปกันเถอะ อาตมาขอโดยสารไปในตัวเมืองด้วย กล่าวจบท่านก็ หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 19 มีนาคม 2011, 16:14:18 ประวัติหลวงปู่ฝั้น อาจาโร (ตอนที่5) ก่อนเข้าพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๘๘ พระอาจารย์ฝั้นได้พาพระภิกษุอีกบางรูป เที่ยวธุดงค์ต่อไปโดยออกจากวัดป่าบ้านหนองผือ เมื่อเดินทางไปถึงวัดป่าบ้านโคก พระภิกษุรูปหนึ่งเกิดอาพาธเป็นไข้มาเลเรียอย่างหนัก ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ หยูกยาหายากมาก ท่านได้รีบพากลับวัดป่าธาตุนาเวง และให้การรักษาพยาบาลป้อนข้าวป้อนน้ำอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งหายเป็นปกติ เกี่ยวกับเรื่องไข้มาเลเรียนี้ ท่านได้เล่าให้บรรดาสานุศิษย์ฟังว่า ตัวท่านเคยประสบมาแล้วเช่นเดียวกัน ออกเดินธุดงค์คราใด จะต้องมีรากยาติดย่ามไปด้วยเสมอ บางครั้งเดินอยู่ดี ๆ เกิดอาการไข้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ต้องแวะนอนใต้ร่มไม้ เอารากยาออกมาเคี้ยวแล้วกลืนน้ำลายเข้าไปแทน เพราะน้ำที่จะฝนรากยาหาไม่ได้ในละแวกนั้น ต้องทนลำบากเพราะไข้มาเลเรียอยู่ถึงสิบกว่าปี จึงได้ชินกับไข้ประเภทนี้ ท่านได้เตือนบรรดาพระลูกศิษย์ที่ร่วมธุดงค์อยู่เสมอมาด้วยว่า เวลาเดินธุดงค์ไปในที่ต่าง ๆ ให้ระวังเรื่องน้ำ เหนื่อย ๆ และหิวจัดอย่าดื่มน้ำในทันทีที่เห็นน้ำ ควรรอให้หายเหนื่อยเสียก่อนจึงค่อยดื่ม เหงื่อกำลังออกโชกร่างก็เช่นเดียวกัน อย่าอาบน้ำทันที ควรรอให้เหงื่อแห้งเสียก่อน จึงค่อยอาบน้ำ ถ้าดื่มน้ำในเวลาที่หิวจัด หรืออาบน้ำทั้งเหงื่อ หรือกำลังเหนื่อย บางครั้งจะจับไข้ทันที เสร็จฤดูกาลรับกฐิน หลังออกพรรษาปี ๒๔๘๘ พระอาจารย์ฝั้น ได้ออกเที่ยวธุดงค์ไปในเขตเทือกเขาภูพาน ไปพักวิเวกตามสถานที่อันสงบตามเชิงเขาบ้าง ไปป่าทึบอันเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายต่าง ๆ บ้าง แล้วเลยขึ้นไปพักบนภูเขาใกล้ ๆ กับบ้านนาสีนวล (วัดดอยธรรมเจดีย์ในปัจจุบัน) ซึ่งขณะนั้นยังเป็นป่า เต็มไปด้วยเสือร้ายและสัตว์ป่านานาชนิด พักวิเวกอยู่ที่นั่นได้ประมาณเดือนเศษก็ลงมา แล้วไปพักที่วัดป่าบ้านโคก จากนั้นเดินทางไปพักที่วัดป่าร้างใกล้กับบ้านหนองมะเกลือ ตำบลดงชนอีกประมาณเดือนเศษ จึงย้ายไปพักที่ป่าไผ่ บ้านธาตุดุม ห่างตัวเมืองสกลนครในราว ๔ – ๕ กิโลเมตร โดยมีพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ร่วมขบวนไปด้วย ครึ่งเดือนกว่า ๆ ต่อมา เมื่อทราบข่าวว่าพระอาจารย์มั่นอาพาธอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองผือ พระอาจารย์ฝั้นกับพระอาจารย์กงมา จึงรีบเดินทางไปเยี่ยม ปรนนิบัติท่านอยู่ในราว ๒ สัปดาห์ พระอาจารย์มั่นก็ทุเลาลง จึงเดินทางกลับไปพักที่ป่าไผ่บ้านธาตุดุมอีก และต่อมาได้ย้ายไปพักที่วัดร้างแห่งหนึ่งในเขตเทศบาลเมืองสกลนคร คือวัดสระแก้ว วัดนี้ร้างพระเณรอยู่หลายปีมาแล้ว บริเวณวัดจึงเต็มไปด้วยป่ารกรุงรัง (ปัจจุบันปลูกสร้างเป็นโรงพยาบาลจังหวัดสกลนคร) ระยะแรกที่พระอาจารย์ฝั้น กับพระอาจารย์กงมา พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรอีกบางรูป ได้เข้าไปพักในวัดร้างแห่งนี้ ภายในวัดมีกุฏิร้างจะพังมิพังแหล่หันหน้าเข้าหากันอยู่ ๒ หลัง ระหว่างกลางเป็นชานโล่ง ปูพื้นติดต่อถึงกัน พระอาจารย์ทั้งสองท่านต่างก็พักอยู่รูปละหลัง พระภิกษุสามเณรไปพักรวมกันอยู่อีกหลังหนึ่ง คนละด้านกับพระอาจารย์ ส่วนอีกหลังหนึ่งนั้น จัดไว้สำหรับเป็นที่ฉันจังหันรวม สำหรับพระอาจารย์กงมานั้น พักอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งก็เดินทางกลับไปวัดป่าบ้านโคก ต่อมาวันหนึ่ง พระอาจารย์ฝั้นได้บอกกับพระภิกษุสามเณรว่า พักอยู่บนกุฏินี้ไม่ค่อยสงบนัก ลงไปอยู่ร่มไม้รุกขมูลกันดีกว่า แล้วท่านก็ลงจากกุฏิไปเลือกเอาที่พักใหม่ใต้ต้นสัก ซึ่งมีสระน้ำอยู่ใกล้ ๆ โดยทำที่พักและทางจงกรมขึ้น แล้วยกแคร่ไม่ไปตั้งเป็นที่นอน พระอาจารย์ฝั้นพักอยู่ตรงนั้นได้ ๒ –๓ คืน เช้ารุ่งขึ้นก็บอกกับพระลูกศิษย์ว่า เมื่อคืนนี้เห็นแก้วอะไรใส ๆ จมอยู่ที่ก้นสระ แล้วจึงพาพระลูกศิษย์กับนายใช้ ผู้ซึ่งมีบ้านอยู่ติดกับรั้ววัดและได้ปฏิบัติอุปัฏฐากพระอาจารย์ฝั้นมาตลอดเวลาที่พักอยู่ในวัดนั้น ไปเดินรอบ ๆ สระ ปรากฏว่าสระนั้นเต็มไปด้วยสาหร่ายมองไม่เห็นอะไรเลย พระอาจารย์ฝั้นเดินสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง ก็ชี้ลงไปที่สาหร่ายแห่งหนึ่ง แล้วบอกว่าอยู่ตรงนี้แหละ เมื่อนายใช้ลงไปงมดูก็พบขวดโหลแก้วขนาดกลางจมอยู่ในเลน ๒ ลูก เมื่อล้างสะอาดพิจารณาดูแล้ว พระอาจารย์ฝั้นก็เอ่ยขึ้นว่า คงเป็นโหลใส่อัฐิของท่านผู้ใดผู้หนึ่ง อาจเป็นโหลใส่อัฐิของคุณพระพินิจฯ ก็ได้ เพราะบริเวณนั้นมีเจดีย์เก็บอัฐิของคุณพระพินิจฯ อยู่ใกล้ ๆ จึงพากันเดินไปดูที่เจดีย์ เมื่อให้นายใช้ปีนขึ้นไปดูด้านบน ก็พบว่าเจดีย์ถูกคนร้ายลอบขุด โดยคนร้ายทุบคอเจดีย์แตกแล้วขนสมบัติมีค่าต่าง ๆ ที่บรรจุอยู่ข้างในไปหมด ส่วนอัฐิของคุณพระพินิจฯ และภรรยา ก็ถูกเทออกจากขวดโหลกองไว้เป็น ๒ กอง เมื่อญาติ ๆ ของคุณพระพากันมาดู ก็ยืนยันว่าเป็นขวดโหลที่ใส่อัฐิดังกล่าวจริง จึงพร้อมใจกันทำบุญอุทิศส่วนกุศลและทำพีบรรจุอัฐิใหม่ แล้วบรรจุเข้าไว้ยังเจดีย์ตามเดิม พระอาจารย์ฝั้น พักวิเวกอยู่ที่วัดร้างแห่งนั้นประมาณเดือนเศษ ก็พาพระภิกษุสามเณรกลับไปวัดป่าธาตุนาเวงอีก และได้นำบรรดาทหาร ตำรวจในจังหวัดให้ช่วยกันพัฒนาวัดป่าธาตุนาเวงให้สะอาดเรียบร้อยขึ้น จนเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมาเป็นวัดป่าภูธรพิทักษ์กระทั่งทุกวันนี้ มีข้อเท็จจริงที่ประจักษ์แจ้งอยู่ประการหนึ่งว่า การพัฒนาบ้านเมืองซึ่งทางราชการกำลังเร่งรัดเพื่อความเจริญของท้องถิ่น ตลอดจนสนับสนุนให้ประชาชนร่วมกันพัฒนาอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น แม้ที่จริงพระอาจารย์ฝั้น ได้มีโครงการและลงมือปฏิบัติเอง และได้เป็นผู้นำในการพัฒนามาก่อนแล้ว กล่าวคือ ไม่ว่าท่านจะไปพำนักอยู่ที่ใด แม้จะชั่ว ๓ วัน ๗ วันก็ตาม ท่านจะแนะนำชาวบ้านให้ทำความสะอาดบ้านเรือน ตลอดจนถนนหนทางให้ดูสะอาดตาอยู่เสมอ แม้ขณะที่ท่านไปพำนักอยู่ในป่าช้าหรือหมู่บ้านบริเวณเชิงเขาภูพาน หนทางที่ท่านจะเดินไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน จะมีชาวบ้านร่วมกันถากถาง ปัดกวาด และทำความสะอาดอยู่เสมอ ที่โรงเรียนพลตำรวจเขต ๔ ในสมัยนั้นก็เช่นเดียวกัน ก่อนที่พระอาจารย์ฝั้นจะไปพักอยู่ที่วัดป่าธาตุนาเวง บริเวณนั้นรกรุงรังด้วยป่าหญ้า ไข้มาเลเรียก็ชุกชุม ตำรวจป่วยเป็นไข้มาเลเรียขึ้นสมอง ถึงขนาดโดดหน้าต่างกองร้อยตายไปก็มี ตำรวจและครอบครัวเชื่อกันว่า เป็นเพราะผีเจ้าพ่อหนองหญ้าไซพิโรธ หาใช่โรคมาเลเรียอะไรไม่ พระอาจารย์ฝั้น ได้พยายามอธิบายให้ตำรวจเหล่านั้นเข้าใจในเหตุผล เลิกเชื่อถือผีสาง แต่ตำรวจและครอบครัวเหล่านั้นก็ยังไม่ยอมเชื่อ ต่อมาเมื่อคณะตำรวจนิมนต์ท่านไปเทศน์ที่กองร้อย ท่านจึงปรารภกับผู้กำกับการตำรวจว่า ถ้าอยากให้เกิดความอยู่เย็นเป็นสุข ก็ควรจัดสถานที่ให้สะอาดขึ้น ตัดถนนหนทางเรียบร้อย ถางป่าและหญ้าในบริเวณเสียให้เตียน อากาศจะได้ปลอดโปร่งและถ่ายเทได้ดีขึ้น สำหรับหนองหญ้าไซนั้นเล่าก็ควรขุดลอกให้เป็นสระน้ำเสีย จะได้ดูสวยงามและได้ประโยชน์ในการใช้สระน้ำด้วย เมื่อผู้กำกับประชุมตำรวจแล้ว ที่ประชุมตกลงทำทุกอย่าง เว้นแต่การขุดลอกหนองหญ้าไซเท่านั้น เพราะกลัวผีเจ้าพ่อหนองหญ้าไซจะพิโรธ คร่าชีวิตตำรวจตลอดจนสมาชิกในครอบครัวมากขึ้น แล้วก็จัดการตัดถนน ทำสนามฟุตบอล สนามเด็กเล่น ถางป่า ถางหญ้าจนสะอาดตา ทำให้อากาศถ่ายเทโดยสะดวกขึ้นกว่าก่อน ต่อมาถึงวาระประชุมอบรมฟังเทศน์ที่กองร้อยอีก คณะตำรวจและครอบครัวไปประชุมฟังเทศน์กันอย่างคับคั่ง พระอาจารย์ฝั้นจึงหยิบยกปัญหาการขุดลอกหนองหญ้าไซขึ้นมาปรารภอีกครั้งหนึ่ง ทุกคนก็บอกว่าไม่กล้า กลัวเจ้าพ่อหักคอเอา แต่หากท่านไปนั่งเป็นประธานดูพวกตนขุดแล้วจึงจะยอมทำ พระอาจารย์ฝั้นก็ตอบตกลง การขุดลอกหนองหญ้าไซจึงได้เริ่มขึ้นในโอกาสต่อมา ต่อหน้าพระอาจารย์ฝั้น จนกลายเป็นสระน้ำขึ้นมา อากาศก็ดีขึ้น ไข้มาเลเรียที่เคยชุกชุมก็ค่อย ๆ ทุเลาลงจนเหือดหายไปในที่สุด ก่อนเข้าพรรษาปีนั้นคือปี พ.ศ. ๒๔๘๙ หลวงหาญสงคราม ผู้บัญชาการทหารนครราชสีมา ซึ่งเป็นศิษย์ที่มีความเคารพพระอาจารย์ฝั้นเป็นอย่างมาก ได้เดินทางไปตรวจราชการที่จังหวัดสกลนคร พอทราบว่าพระอาจารย์ฝั้นพำนักอยู่ที่วัดป่าธาตุนาเวง ก็รีบรุดไปหา เพื่อขอนิมนต์ไปโปรดทหาร และประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมาอีกครั้ง หลวงหาญสงครามนี้เคยเป็นศิษย์ของท่านสมัยที่ท่านพำนักอยู่ที่นครราชสีมา โดยเฉพาะเมื่อคราวที่ท่านเป็นแม่ทัพนำกำลังเข้าล้อมเมืองเชียงตุง ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ล้อมอยู่หลายวัน ไม่อาจหาทางเข้าตีขั้นแตกหักได้ จึงนั่งสมาธิภาวนาระลึกถึงพระอาจารย์ฝั้นในคืนวันหนึ่ง เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ได้ชวนทหาร ๒ –๓ คนออกเดินสำรวจไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ไปพบมารดาเจ้าเมืองเชียงตุงเข้าโดยบังเอิญ จึงได้รู้ถึงทางเข้าตีเมืองเชียงตุงจากมารดาเจ้าเมือง การยกเข้าตีก็ประสบความสำเร็จ หลวงหาญฯ จึงรำลึกในพระคุณ ของพระอาจารย์ฝั้นยิ่งขึ้น ภายหลังเที่ยวได้ตามหาพระอาจารย์ฝั้น แต่ไม่พบ จนกระทั่งไปราชการที่สกลนครแล้วทราบที่พำนักของท่านเข้า จึงรีบรุดไปนิมนต์ดังกล่าวแล้ว แต่หลวงหาญสงครามไม่อาจนิมนต์พระอาจารย์ฝั้นไปโปรดที่นครราชสีมาได้ เพราะผู้กำกับการโรงเรียนพลตำรวจเขต ๔ ได้พยายามทัดทานไว้อย่างหนัก ต่างฝ่ายต่างขอกันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดหลวงหาญฯ ก็ใจอ่อนเลิกล้มความตั้งใจ กล่าวคือไม่นิมนต์ท่านไปนครราชสีมา แต่ท่านตั้งข้อแม้เอาไว้ว่า ท่านผู้กำกับการตำรวจจะต้องดูแลปฏิบัติพระอาจารย์ฝั้นของท่านให้ดี ผู้กำกับการก็รับปากจะปฏิบัติตามนั้นอย่างแข็งขัน ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ หลังเข้าพรรษามาจนถึงเดือนเก้า คือ เดือนสิงหาคมเข้าไปแล้ว ฝนฟ้าก็ยังไม่ตกต้องตามฤดูกาล ชาวบ้านกลัวอดข้าวเพราะทำนาไม่ได้ จึงไปปรารภกับพระอาจารย์ฝั้น ท่านจึงแนะนำให้รักษาศีลให้เคร่งครัดโดยพร้อมเพรียงกัน ท่านกล่าวว่า หากยึดมั่นในพระรัตนตรัยแล้วจะไม่อดตายอย่างแน่นอน กุศลความดีทั้งหลายจะรักษาผู้ปฏิบัติชอบเสมอ บรรดาญาติโยมและอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายต่างก็พากันเข้าวัด ปฏิบัติถือศีล ๕ ศีล ๘ กันอย่างมั่นคง ต่อมาวันหนึ่ง พระอาจารย์ฝั้นให้ศิษย์เอาเสื่อไปปูที่กลางแดดบนลานวัด แล้วท่านกับพระภิกษุ ๒ รูป สามเณรอีก ๒ รูป ก็ลงไปนั่งสวดคาถาท่ามกลางแสงแดดจ้า (คาถาที่สวดนั้นพระอาจารย์ฝั้นเป็นผู้จดลงในสมุดปกแข็งสีน้ำเงิน มีความยาวประมาณ ๓ หน้ากระดาษ) นั่งสวดไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น ท้องฟ้าที่กำลังมีแดดจ้า พลันมีเสียงฟ้าคำราม แล้วบังเกิดก้อนเมฆกับมีฝนเทลงมาอย่างหนัก พระอาจารย์ฝั้นจึงให้พระเณรที่ร่วมสวดหลบฝนไปก่อน ส่วนตัวท่านเองก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมอีกนานจึงได้ลุกขึ้น ฝนตกอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้นเกือบ ๓ ชั่วโมง จึงได้หยุดตก และเมื่อหยุดตกแล้ว ท้องฟ้าก็แจ่มใสดังเดิม ตั้งแต่นั้นมา ฝนฟ้าก็ตกต้องตามฤดูกาล ชาวบ้านได้ทำนากันตามปกติโดยทั่วถึง พระอาจารย์ฝั้นได้พำนักและบูรณะวัดป่าธาตุนาเวงเป็นเวลานานถึง ๙ ปี ระหว่างนั้นเมื่อเสร็จฤดูกาลกฐิน ท่านจะพาภิกษุสามเณร เดินธุดงค์ไปวิเวกตามสถานที่ต่าง ๆ อยู่เสมอ ในปีพ.ศ. ๒๔๙๑ เมื่อออกพรรษา ท่านได้พาภิกษุสามเณร เดินธุดงค์ไปวิเวกที่ภูวัว ในท้องที่อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย เหตุที่จะไปพำนักเพื่อบำเพ็ญความเพียรบนภูวัว เริ่มจากท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ วัดโพธิสมภรณ์ ได้นิมนต์ท่านไปในงานศพของพระอาจารย์อุ่น ที่อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม เสร็จงานศพแล้ว พระอาจารย์ฝั้น พระอาจารย์อ่อน และท่านพระครูอุดมธรรมคุณ (ทองสุข สุจิตโต อดีตเจ้าอาวาส วัดป่าสุธาวาส) ได้ปรึกษาหารือกันว่า จะไปทางไหนกันดี หรือจะแยกย้ายกันกลับวัด พระอาจารย์อ่อนก็ออกความเห็นว่า ไปวิเวกต่อแถว ๆ ภูลังกา หรือภูวัวก่อนดีกว่า ต่างก็เห็นดีด้วย ทั้งสามท่าน พร้อมด้วยภิกษุผู้เป็นศิษย์อีกบางรูป จึงพร้อมกันออกเดินทางจากอำเภอท่าอุเทนไปทางอำเภอบ้านอพง ตนกระทั่งถึงภูลังกา ซึ่งเป็นที่พำนักของพระอาจารย์วัง ฐิติสาโร เมื่อขึ้นไปพักอยู่กับพระอาจารย์วังฯ ได้ประมาณ ๗ – ๘ วัน พระอาจารย์ฝั้นได้พิจารณาเห็นความยอกลำบากในการขึ้นลง เพราะเขาสูงมากลงมาบิณฑบาตไม่ได้ พวกญาติโยมต้องจัดสเบียงอาหารส่งขึ้นไปให้ลูกศิษย์ทำอาหารถวาย พระเณร ยิ่งมากรูปก็ยิ่งลำบากแก่ญาติโยมมากขึ้น จึงได้สอบถามพระอาจารย์วังฯ เกี่ยวกับภูวัว โดยปรารภว่า อยากจะไปวิเวกอยู่ที่นั่น พระอาจารย์วังก็บอกว่า ภูวัวเป็นที่วิเวกดีมาก เป็นป่าดงดิบเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด เช่น ช้าง เสือ ตลอดจนวัวกระทิง โดยเฉพาะอีเก้ง กับกวางลิงมีเป็นฝูง ๆ พระอาจารย์อ่อนกับพระอาจารย์ฝั้น และท่านพระครูอุดมธรรมคุณ จึงได้ลงจากภูลังกา เดินทางต่อไปยังบ้านโพธิ์หมากแข้ง แล้วไปพักอยู่ในวัดร้างบริเวณป่าใกล้ ๆ บ้านโสกก่าม เมื่อถามญาติโยมถึงสถานที่อันเหมาะแก่การบำเพ็ญกัมมัฏฐานบนภูวัว พวกญาติโยมก็บอกว่ามีอยู่หลายแห่ง พระอาจารย์ฝั้นจึงให้นำขึ้นไป วันแรกที่ขึ้นภูวัว ได้ไปพักที่ “ก้อนน้ำอ้อย” ที่เรียกว่าก้อนน้ำอ้อยเพราะเป็นหินก้อนใหญ่ รูปร่างคล้ายงบน้ำอ้อย ตั้งอยู่บนหินใหญ่อีกก้อนหนึ่ง ใต้หินก้อนน้ำอ้อยเป็นที่หลบแดดหลบฝนได้สบายมาก เพราะด้านใต้ของหินเป็นเพิงออกมาโดยรอบคล้าย ๆ ถ้ำ พระอาจารย์ทั้งสามพำนักอยู่ที่นี่หลายวัน ก็เห็นว่าเป็นสถานที่ไม่สงบนัก เพราะเป็นทางช้างผ่านขึ้นลงอยู่เป็นประจำ กลางคืนช้างจะขึ้นมาทั้งโขลง ส่งเสียงรบกวนสมาธิอยู่เสมอ โขลงหนึ่งนับร้อย ๆ เชือก ช้างไม่อาจใช้ทางอื่นได้ เพราะทางอื่นเป็นหน้าผาชันไปทั้งหมด ทั้งสามท่านจึงย้ายไปพักวิเวกที่ถ้ำพระ โดยให้พวกญาติโยมยกแคร่ขึ้นเป็นที่พัก ถ้ำพระแห่งนี้ อยู่ในบริเวณริมห้วยบางบาด มีลานหินกว้างใหญ่ และมีที่สำหรับบำเพ็ญภาวนาอย่างเหมาะสม ร่มรื่นและสงบดีเป็นอันมาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังห่างไกลจากหมู่บ้าน ลงไปบิณฑบาตไม่ได้ ต้องให้ลูกศิษย์ทำอาหารถวายทุกวัน โดยอาศัยญาติโยมบ้านนาตะไก้ บ้านโสกก่าม และบ้านดอนเสียด หมุนเวียนกันส่งเสบียงทุกวันพระ ถ้าวันไหนพระอาจารย์ฝั้นจะไม่ฉันจังหัน ท่านก็จะบอกให้ทำฉันกันเอง ท่านจะอดอาหารไปกี่วัน ท่านก็จะบอกล่วงหน้าให้ทราบ เพื่อความสะดวกในการจัดทำอยู่เสมอ จริงอย่างที่พระอาจารย์วังพูดไว้ บนภูวัวเต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด น้ำท่าก็อุดมสมบูรณ์ดี ในห้วยบางบาดมีวังน้ำอยู่แห่งหนึ่ง น้ำลึกมากและมีจระเข้ตัวใหญ่ ๆ อาศัยอยู่หลายตัว กลางวันแดดร้อนจัด มันจะขึ้นจากถ้ำมานอนอ้าปากตากแดดอยู่เป็นประจำ แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมีจระเข้อาศัยอยู่ในวังน้ำแห่งนั้น แต่ขณะนี้มีหมู่บ้านใหม่ตั้งใกล้เข้าไปอีก ห่างจากถ้ำพระประมาณ ๖ – ๗ กิโลเมตร พระและเณรที่ไปพักวิเวกจึงพอเดินไปบิณฑบาตกันได้แล้ว พระอาจารย์ฝั้นพักวิเวกอยู่ที่ถ้ำพระบนภูวัวได้ประมาณ ๒ เดือนเศษ ท่านพระครูอุดมธรรมคุณ ก็ออกความเห็นขึ้นว่า ควรจะทำอะไรไว้เป็นที่ระลึกในสถานที่นั้นสักอย่าง บังเอิญบนที่พักสูงขึ้นไปเป็นหน้าผา เหมาะสำหรับจะสร้างพระประธานไว้สักการะบูชาเป็นอย่างยิ่ง พระอาจารย์ฝั้นจึงได้ตกลงสร้างพระพุทธรูปบนหน้าผาขึ้นด้วยวัสดุที่หาได้ง่าย ๆ เช่น มูลช้าง มูลวัว จึงแจ้งให้บรรดาญาติโยมบ้านดอนเสียด บ้านโสกก่าม และบ้านนาตะไก้ พร้อมด้วยบ้านอื่น ๆ ใกล้เคียงช่วยหาให้ สำหรับช่างปั้นนั้น พระอาจารย์ฝั้นกับพระครูอุดมมีฝีมือเยี่ยมอยู่แล้ว จึงไม่ต้องเสาะหา เมื่อได้ของพร้อมแล้วก็ลงมือทันที ปีนั้นฝนตกหนัก น้ำก็หลากมาแรง การสร้างพระพุทธรูปบนหน้าผาจึงประสบอุปสรรคไปบ้าง แต่ทั้ง ๆ ที่ยังสร้างไม่เสร็จ พระอาจารย์ฝั้นก็ผลุนผลันชวนท่านพระครูอุดมธรรมคุณลงจากภูวัวโดยไม่มีใครคาดฝัน พระอาจารย์ฝั้นไม่มีเหตุผลอะไรในสายตาของพระภิกษุลูกศิษย์ และในสายตาของญาติโยมทั้งหลายทั้งปวง ในการทิ้งงานสำคัญไปอย่างกะทันหัน พระภิกษุลุกศิษย์ไปทราบเอาเมื่อท่านกลับไปถึงวัดป่าบ้านหนองผือแล้วว่า การที่ท่านผลุนผลันลงมาจากภูวัวนั้น เป็นเพราะท่านต้องการกลับไปเยี่ยมอาการอาพาธของพระอาจารย์มั่น ซึ่งขณะนั้นกำลังป่วยหนักยิ่งกว่าครั้งใด ๆ พระอาจารย์ฝั้นทราบได้อย่างไรว่าพระอาจารย์มั่นกำลังป่วยหนัก เรื่องนี้เป็นที่ประหลาดใจกันอยู่ในหมู่พระภิกษุผู้เป็นศิษย์ ยิ่งไปกว่านั้นยังปรากฏด้วยว่า พระอาจารย์มั่นกำลังต้องการพบพระอาจารย์ฝั้นอยู่จริง ๆ ถึงขนาดให้พระเณรออกตามหาพระอาจารย์ฝั้นอยู่ด้วยซ้ำ เมื่อปฏิบัติพระอาจารย์มั่นอยู่ได้ประมาณ ๒ สัปดาห์ พระอาจารย์มั่นก็ค่อยทุเลาลง พระอาจารย์ฝั้นจึงได้กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ เมื่อออกพรรษาปีนั้น (พ.ศ. ๒๔๙๑) พระอาจารย์ฝั้นได้ไปเยี่ยมอาการของพระอาจารย์มั่นอีกครั้งหนึ่งที่วัดป่าบ้านหนองผือ พักอยู่ที่นั่นหลายวัน จึงได้กลับไปวัดป่าภูธรพิทักษ์อีกเพราะเห็นว่าอาการดีขึ้นมากแล้ว ต่อมาประมาณเดือนมกราคม ๒๔๙๒ พระอาจารย์ฝั้นก็ชวนท่านพระครูอุดมธรรมคุณไปวิเวกที่ภูวัวอีก เพื่อสร้างเสริมพระประธานบนหน้าผาให้เสร็จเรียบร้อย การเสริมสร้างได้กระทำอย่างเร่งรีบ เพราะท่านเป็นห่วงพระอาจารย์มั่นเป็นอันมาก เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว บรรดาญาติโยมได้ขึ้นไปร่วมอนุโมทนา บำเพ็ญกุศลด้วยเป็นจำนวนมาก จากนั้นท่านจึงได้ลาญาติโยมลงจากภูวัวกลับไปยังวัดภูธรพิทักษ์ รวมเวลาที่พักอยู่ในถ้ำพระที่ภูวัวประมาณ ๒ เดือนเศษ กลับไปที่วัดป่าภูธรพิทักษ์คราวนี้ เมื่อเห็นว่าอาการอาพาธของพระอาจารย์มั่น ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีกแล้ว พระอาจารย์ฝั้นจึงได้เริ่มงานสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง กล่าวคือได้ชักชวนบรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายสร้างศาลาโรงธรรมหลังใหม่ขึ้นที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ (คือศาลาโรงธรรมในปัจจุบันนี้) โดยท่านเองเป็นประธานสำหรับการควบคุมการก่อสร้าง ในการนี้ ตำรวจกับชาวบ้านได้มีจิตศรัทธาไปร่วมมือกับพระภิกษุสามเณรอยู่ตลอดเวลา การก่อสร้างกระทำแบบค่อยทำค่อยไป กินเวลา ๗ เดือนเศษจึงได้เสร็จ ในกลางพรรษา ระหว่างก่อสร้างศาลาโรงธรรมดังกล่าว มีเหตุที่ควรบันทึกไว้ในที่นี้อีกเรื่องหนึ่ง กล่าวคือ ตอนเข้าพรรษาปีนั้น ได้มีพระภิกษุสามเณรมากเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น แม้การก่อสร้างศาลาโรงธรรมจะกำลังดำเนินอยู่ แต่ตอนกลางคืน ท่านก็ให้ทำความเพียรอย่างไม่ลดละ ท่านได้นำพระภิกษุสามเณรทำความเพียรด้วยการเดินจงกรมและนั่งสมาธิกันเป็นประจำ อนึ่งกลางพรรษานั้นฝนตกหนัก บางครั้งตกทั้งกลางวันและกลางคืน อากาศก็เปลี่ยนแปลงไม่เป็นปกติ เป็นเหตุให้พระภิกษุสามเณร เป็นไข้มาเลเรียกันหลายรูป เณรรูปหนึ่งอาการหนักต้องนำส่งโรงพยาบาลนครพนม รักษาอยู่หลายสัปดาห์กว่าจะหายเป็นปกติ พระภิกษุรูปหนึ่งเกิดวิปริตทางจิต จะเป็นด้วยไข้ขึ้นสมองหรืออย่างไรไม่ทราบ เป็นมากถึงขนาดพูดไม่ยอมหยุด คือพูดฝ่ายเดียวโดยไม่เปิดโอกาสให้คู่สนทนาได้พูดเลย พระอาจารย์ฝั้นจึงได้เรียกพระภิกษุรูปนั้นขึ้นไปหาท่านบนกุฏิเพื่อถามอาการ พระภิกษุก็บอกท่านว่า ไม่ได้เป็นอะไรเลย สบายดีทุกอย่าง แต่ก็พูดอยู่ตลอดเวลาไม่ยอมหยุด ท่านจะตักเตือนอย่างไรก็ไม่ฟัง เอาแต่พุดอย่างน้ำไหลไฟดับ พระอาจารย์ฝั้นจึงปล่อยให้พูดไปเรื่อย ๆ ส่วนท่านนั้นก็นั่งกำหนดจิตของท่านด้วยความสงบนิ่ง ประมาณ ๕ นาทีต่อมา ปรากฏว่าพระภิกษุรูปนั้นหยุดพูดลงทันที แล้วอ้าปากหาวล้มลงนอนต่อหน้าท่านไปเฉย ๆ ท่านก็บอกให้พระภิกษุรูปหนึ่งหาหมอนมารองศีรษะให้ แล้วสั่งว่า ให้นอนหลับอยู่เช่นนี้แหละ นอนอิ่มแล้วจะตื่นขึ้นมาเอง ท่านพูดแล้วก็ลงทำกิจวัตรด้วยการปัดกวาดลานวัดตามแกติ จากนั้นสรงน้ำแล้วก็เดินจงกรมต่อ พระภิกษุรูปนั้นหลับไปตั้งแต่ ๑๕ น. จนถึงเวลาราว ๑๘ น. จึงได้ลุกขึ้นมาอย่างงง ๆ แล้วถามขึ้นว่า ผมมานอนอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ส่วนอาการอาพาธก็หายไปราวกับปลิดทิ้ง เมื่อพระภิกษุอื่น ๆ เล่าความให้ฟังแล้ว ท่านก็แสดงความแปลกใจ บอกว่าไม่รู้ตัวอะไรเลย แม้การพูดโดยไม่ยอมหยุด ก็กระทำไปโดยไม่รู้ตัว พระอาจารย์ฝั้นไม่ได้พูดอะไรถึงเรื่องนี้ แต่บรรดาสานุศิษย์ต่างในใจกันว่า นี่เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่งและคงจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากเป็นการใช้กระแสจิตเข้าแก้ไข ศาลาโรงธรรมดังกล่าว พอออกพรรษาก็เสร็จเรียบร้อย ทันพิธีรับกฐินบนศาลาหลังใหม่พอดี พอถึงกลางพรรษา พระอาจารย์มั่นก็อาพาธอีก พระอาจารย์ฝั้นได้รีบไปเยี่ยมทันที โดยแวะรับพระอาจารย์อ่อน จากวัดป่าบ้านม่วงไข่ไปด้วย อาการอาพาธของพระอาจารย์มั่นครั้งนี้ปรากฏว่าน่าวิตกกว่าทุกคราว ทางจังหวัดสกลนครทราบข่าวจึงให้คุณวัน คมนามูล นำรถยนต์ไปรับพระอาจารย์มั่น ไปพักที่วัดป่าสุทธาวาส เพื่อให้ใกล้หมอยิ่งขึ้น พระอาจารย์อ่อน พระอาจารย์ฝั้น พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรอีกมากมาย ได้ตามไปพักที่วัดนั้นด้วย เป็นเหตุให้กุฏิไม่พอพักอาศัย ต้องพักรวมกันทั้งพระอาจารย์ กับพระลูกศิษย์ แพทย์ผู้รักษาได้ให้ยานอนหลับแก่พระอาจารย์ในในตอนกลางวันของวันที่ไปถึงวัด พระภิกษุรูปหนึ่งผู้เป็นศิษย์พระอาจารย์ฝั้น ยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดีว่า หลังจากพระอาจารย์มั่นฉันยานอนหลับไปแล้ว พระอาจารย์ฝั้นได้ลงจากกุฏิที่พระอาจารย์มั่นพักอยู่ แล้วบอกแก่พระภิกษุสามเณรบางรูปว่า ถึงเวลา ๖ โมงเย็น พระอาจารย์มั่นจึงจะตื่น ให้รีบสรงน้ำกันแต่วัน ๆ หน่อย สำหรับพระอาจารย์ฝั้นนั้น เมื่อสรงน้ำเสร็จก็รีบกลับขึ้นไปเฝ้าดูอาการของพระอาจารย์มั่นอีก จนกระทั่งประมาณ ๓ ทุ่มเศษ ท่านจึงได้ลงจากกุฏิมาบอกว่าพระอาจารย์มั่นยังไม่ฟื้น ท่านเองจะพักสักครู่หนึ่งก่อน หากถึงเวลา ๖ ทุ่มแล้ว ถ้าท่านยังหลับอยู่ ก็ให้พระภิกษุผู้เป็นศิษย์ปลุกด้วย เพราะจะต้องขึ้นไปเปลี่ยนเวรเฝ้าพระอาจารย์มั่น กว่าพระอาจารย์ฝั้นจะหลับก็ร่วม ๆ ๕ ทุ่มเข้าไปแล้ว พอถึงเวลาประมาณ ๖ ทุ่มเศษ ท่านก็ลงจากกุฏิแล้วเรียกน้ำไปบ้วนปาก พอพระภิกษุผู้เป็นศิษย์ยกน้ำเข้าไป ท่านก็เร่งว่าเร็ว ๆ หน่อย ท่านบ้วนปากอย่างลวก ๆ แล้วรีบไปที่กุฏิพระอาจารย์มั่นทันที สักครู่จากนั้น พระอาจารย์ฝั้นก็สั่งให้พระภิกษุรีบไปนิมนต์ครูบาอาจารย์ทุก ๆ องค์ไปพร้อมกันที่กุฏิที่พักพระอาจารย์มั่นโดยด่วน เมื่อศิษย์ชั้นผู้ใหญ่ของพระอาจารย์มั่นไปรวมพร้อมกันทุกรูปแล้ว ถึงเวลาประมาณตี ๒ เศษ พระอาจารย์มั่นก็ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการสงบ ท่ามกลางบรรดาสานุศิษย์ที่รายล้อมเฝ้าดูอาการอยู่ ณ ที่นั้น บรรดาศิษย์ชั้นผู้ใหญ่ของพระอาจารย์มั่นได้ประชุมเพื่อจัดงานศพ และได้เตรียมงานกันถึง ๓ เดือน จึงกำหนดประชุมเพลิง พระอาจารย์ฝั้นได้อยู่ช่วยจัดการมาแต่ต้น จนกระทั่งประชุมเพลิงแล้วเสร็จ ต่อมาประมาณต้นเดือนมีนาคมของปี ๒๔๙๓ พระอาจารย์ฝั้น ได้นำพระภิกษุบางรูปออกเดินทางธุดงค์ไปทางจังหวัดนครพนม เพื่อหาสถานที่วิเวกทำความเพียรต่อไป ในการนี้ได้ไปพักวิเวกที่วัดป่าบ้านท่าควายอยู่ประมาณ ๗ วัน แล้วเลยไปพักวิเวกที่ภูกระแตอีก ๑๐ วัน ณ ที่นี้ พระอาจารย์ฝั้นก็ปรารภขึ้นว่า พักที่นี่อันที่จริงก็ดีอยู่ แต่ผู้คนมาเยี่ยมเยียนเป็นการรบกวนมากเหลือเกิน ไม่มีโอกาสที่จะทำความเพียรได้โดยสะดวก แล้วท่านก็พาพระภิกษุเดินทางไปยังภูวัวอีกครั้งหนึ่ง โดยกลับไปพักที่บ้านท่าควายอีกครั้ง แล้วลงเรือขึ้นเหนือไปขึ้นบกที่บ้านท่าสีได จากนั้นเดินทางไปพักที่บ้านโสกก่ามคืนหนึ่ง เพื่อให้ญาติโยมได้เตรียมเสบียงอาหารสำหรับขึ้นภูวัว การไปวิเวกที่ภูวัวครั้งนี้ มีพระภิกษุร่วมเดินทางไปด้วย ๑ รูป และสามเณรอีก ๑ รูป อนึ่ง ก่อนจะออกจากบ้านท่านสีได ไปยังบ้านโสกก่าม พระอาจารย์ฝั้นได้พาภิกษุสามเณรไปพักอยู่ในป่าดงดิบคืนหนึ่ง รุ่งเช้าท่านได้ถามพระภิกษุที่ไปด้วย ว่าเป็นยังไง เมื่อคืนภาวนาได้ดีไหม พระภิกษุรูปนั้นก็ตอบไปตามตรงว่า เมื่อคืนรู้สึกนานเหลือเกินกว่าจะสว่าง ท่านก็หัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า มัวแต่นั่งเหงื่อแตกกลัวเสือร้องอยู่น่ะซิ มัวแต่นั่งกลัว นอนกลัว จะไปสวรรค์ ไปนิพพานได้อย่างไรกันล่ะ ปรากฏว่าพระภิกษุรูปนั้นไม่เป็นอันภาวนาทั้งคืนจริง ๆ เพราะตลอดคืนได้ยินแต่เสียงเสือรอบ ๆ ที่พัก ถึงขนาดจะออกจากกลดมาเดินจงกรมก็ไม่กล้า ได้แต่นั่งเหงื่อแตกอยู่ข้างใน พระอาจารย์ฝั้นได้เทศน์สั่งสอนไว้ในตอนนั้นด้วยว่า ได้เคยบอกแล้วหลายครั้งว่า “พระนิพพานอยู่ฟากตาย ความสุขก็อยู่ฟากทุกข์” เราทำความเพียรภาวนาไป พอถึงทุกข์ก็เกิดความกลัวทุกข์เสียแล้ว แล้วเมื่อใดจะพ้นทุกข์ไปได้เล่า พาไปอยู่ป่าช้าก็กลัวผี พามาอยู่ในดงก็กลัวเสือ การกลัวผีก็ดี การกลัวเสือก็ดี นั่นไม่ใช่กลัวตายหรอกหรือ ลองนั่งภาวนาดูซิว่า เสือมันจะมาคาบคอไปกินจริง ๆ ไหม การกลัวควรกลัวแต่ในทางที่ผิด คือกลัวความผิด ไม่กระทำผิด กลัวว่าตนเองจะไม่พ้นจากวัฏทุกข์ แล้วรีบเร่งบำเพ็ญความเพียรเข้าจึงจะถูก การขึ้นภูวัวครั้งนี้ มีญาติโยมไปส่ง ๖ –๗ คนพร้อมเสบียงอาหาร โดยออกเดินทางลัดเลาะไป สองฟากข้างทางเป็นป่าดงดิบที่แสนจะรกทึบ ทางเดินก็เต็มไปด้วยรอยเท้าช้างกับรอยเท้าเสือทั้งเก่าและใหม่ กว่าจะขึ้นถึงถ้ำพระบนภูวัวก็ตกบ่ายประมาณ ๓ โมงกว่า พวกญาติโยมได้ช่วยกันซ่อมแซมที่พักอาศัย และนอนค้างอยู่บนนั้นด้วย คืนนั้นพระอาจารย์ฝั้นได้เทศนาอบรมให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมและรักษาศีล ๕ ศีล ๘ จากนั้นได้นำญาติโยมนั่งสมาธิภาวนาอยู่จนใกล้จะตี ๒ จึงได้หยุดพักผ่อน เช้าวันรุ่งขึ้น พวกญาติโยมได้จัดการทำอาหารใส่บาตร แล้วไปหาไม้มาซ่อมที่พักต่อ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็พากันลงจากภูวัว ไปในตอนบ่าย ๓ โมง บนถ้ำพระ ภูวัวจึงเหลือแต่พระอาจารย์ฝั้นกับพระภิกษุสามเณรอีก ๒ รูป ทั้ง ๓ รูป ได้ทำความเพียรทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นเวลาหลายเดือน เรื่องอาหารการฉัน พระอาจารย์ฝั้นสั่งสอนให้ฉันแต่พอควร พอเป็นกำลังให้อยู่เพื่อบำเพ็ญภาวนาก็พอแล้ว ถ้าวันไหนคิดจะไม่ฉันก็ไม่ต้องประกอบอาหาร แต่ถึงอย่างไร ท่านก็กำชับว่า อย่าถึงกับหักโหมอดอาหารเสียเลย ให้ฉันแต่น้อยก่อน แล้วค่อย ๆ ผ่อนลง ถ้าอดอาหารทันที โดยกำลังใจไม่เข้มแข็งพอจะเกิดโทษ นับแต่นั้นมา การฉันอาหารของภิกษุสามเณรก็น้อยลงตามลำดับ พระอาจารย์ฝั้นเองก็พยายามลดอาหารลง จนกระทั่งบางวันไม่ฉันอะไรเลย บางทีก็อดไปเป็นเวลาหลาย ๆ วัน พระอาจารย์ฝั้นได้ปรารภกับภิกษุสามเณรว่า ปีนี้ท่านจะจำพรรษาอยู่บนภูวัว พอถึงเดือน ๘ ก่อนเข้าพรรษา ท่านก็บอกให้พระภิกษุสามเณรลงจากภูวัวกลับไปวัด ตัวท่านเองจะจำพรรษาอยู่รูปเดียวตามที่ตั้งใจไว้แล้ว ท่านบอกว่า บนภูเขาเช่นนั้น ผู้ที่มีกำลังใจไม่เข้มแข็งพออาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ ทั้งยังกล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้ มีพระอาจารย์มั่นเป็นครูบาอาจารย์ และเป็นที่พึ่งแก่สานุศิษย์ทั้งหลายอยู่ บัดนี้ ท่านล่วงลับไปแล้ว เราจำเป็นต้องรีบเร่งทำความเพียร เพื่อปฏิบัติเอาตัวรอดก่อน ปรากกว่า ระยะนั้นฝนกำลังตกหนักทั้งกลางวันและกลางคืน บางครั้งตกติดต่อกันหลายวัน ทำให้ญาติโยมไม่สามารถส่งเสบียงอาหารขึ้นมาได้ ครั้นต่อมาในวันพระใกล้จะเข้าพรรษา แม้ว่าฝนจะกำลังตกหนัก แต่ความเป็นห่วงและด้วยศรัทธาอันแก่กล้า บรรดาญาติโยมก็ได้บุกฝ่าห่าฝนขึ้นมาด้วยความยากลำบากทุลักทุเล คืนนั้นหลังจากพระอาจารย์ฝั้นได้เทศนาอบรมญาติโยมแล้ว ท่านได้พิจารณาเห็นว่า ถ้าจะจำพรรษาอยู่ที่นี่ต่อไปแล้ว จะเป็นภาระหนักต่อญาติโยมเป็นอย่างมาก ดังนั้นในวันรุ่งขึ้น ท่านก็ได้ตัดสินใจลงจากภูวัว เสร็จแล้วท่านจึงได้พาภิกษุและสามเณรเดินทางต่อไป หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 19 มีนาคม 2011, 16:21:16 ประวัติหลวงปู่ฝั้น อาจาโร (ตอนที่6) ในระหว่างที่พักอยู่ในถ้ำพระ บนภูวัวครั้งนั้น พระอาจารย์ฝั้นได้ประสบอุบัติเหตุ ซึ่งน่าจะนับว่าร้ายแรงที่สุดในชีวิตของท่าน กล่าวคือ วันหนึ่ง พวกญาติโยมบ้านดอนเสียดและบ้านโสกก่ามได้พากันขึ้นไปนมัสการ ตกกลางคืน พระอาจารย์ฝั้นได้เทศนาอบรมตามปกติ พอเช้าวันรุ่งขึ้น ท่านก็ขอให้พวกญาติโยมพาไปชมภูมิประเทศบนภูวัว และเพื่อที่จะแสวงหาสมุนไพรบางอย่างด้วย เมื่อฉันจังหันเสร็จ ก็ออกเดินทางโดยมีโยม ๒ คนเดินนำหน้า พระอาจารย์ฝั้นและพระภิกษุตามหลัง ส่วนสามเณรอีกรูปหนึ่งท่านสั่งให้อยู่ที่พัก ทั้งหมดเดินขึ้นไปตามลำห้วยบางบาด พอถึงลานหินที่ลาดชันขึ้นไปข้างบน ยาวประมาณ ๑๐ กว่าวา บนลานมีน้ำไหลริน ๆ และมีตะไคร่หินขึ้นอยู่ตามทางลาดชันนั้นโดยตลอด โยม ๒ คนเดินนำหน้าขึ้นไปก่อน ท่านเดินตามขึ้นไป และตามด้วยพระภิกษุซึ่งรั้งท้ายอีกรูปหนึ่ง โยมทั้งสองไต่ผ่านลานหินอันชันลื่นขึ้นไปได้ ส่วนพระอาจารย์ฝั้นไต่จวนจะถึงอยู่แล้วเพียงอีกก้าวเดียวก็จะพ้นไปได้ พอก้าวเท้าข้ามร่องน้ำ ท่านก็ลื่นล้มลงทั้งยืน ศีรษะฟาดกับลานหินดังสนั่น เหมือนมะพร้าวถูกทุบ จากนั้นก็ลื่นไถลลงมาตามลาดหิน โดยศีรษะลงมาก่อน พระภิกษุซึ่งรั้งท้าย ตกใจตัวสั่นอยู่กับที่ จะช่วยเหลืออะไรก็ไม่ได้ เพราะท่านเองประคองตัวแทบไม่ได้อยู่แล้ว ได้แต่มองดูพระอาจารย์ไถลผ่านหน้าไปด้วยความตกตะลึง ไถลลงไปได้ประมาณ ๖ วา ก็ไปตกหลุมหินซึ่งเป็นแอ่งแห่งหนึ่ง แต่ด้วยความลื่นของตะไคร่ ท่านไม่ได้หยุดอยู่ลงเพียงนั้น กลับหมุนไปอยู่ในลักษณะเอาศีรษะขึ้น แล้วไถลลื่นต่อไปอีก ข้างหน้าของท่านมีช่องหิน ใหญ่ครือ ๆ กับตัวคน น้ำที่ไหลลงมา ไปรวมหล่นอยู่ในช่องนั้นเป็นส่วนใหญ่ หากท่านไถลไปถึงช่องนั้นแล้วไหลพรวดลงไป ย่อมมีทางเดียวคือมรณภาพอย่างแน่นอน แต่ด้วยอำนาจบุญ ก่อนจะถึงช่องหิน ท่านก็กลับตั้งหลักลุกขึ้นได้ แล้วเดินขึ้นไปตามทางเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พระภิกษุที่ไปด้วยได้ขอให้ท่านขึ้นไปทางอื่น แต่ท่านไม่ยอม บอกว่า เมื่อมันตกลงมาตรงนี้ ก็ต้องขึ้นไปตรงนี้ให้ได้” แล้วท่านก็เดินขึ้นไปใหม่ จนถึงที่จริง ๆ น่าอัศจรรย์ตรงที่ว่า พระอาจารย์ฝั้นไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่น้อย ถึงจะมีถลอกเพียงเท่าหัวไม้ขีดบนข้อศอก ก็ไม่น่าจะเรียกว่าบาดแผล ตกเย็นกลับมาถึงที่พัก หลังจากสรงน้ำและต้มน้ำร้อนเสร็จแล้ว ท่านก็ออกเดินจงกรมตามปกติ พอตกค่ำ พระภิกษุได้เข้าไปปฏิบัติ แล้วถามอาการของท่าน ว่าขณะมี่ศีรษะกระแทกหินดังสนั่นนั้น ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง ท่านก็ตอบว่า อาการก็เหมือนสำลีตกลงบนหินนั่นแหละ พระภิกษุรูปนั้นขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ มีความเห็นว่า ในขณะที่ท่านกำลังลื่นล้มก่อนศีรษะฟาดลานหินนั้น ท่านสามารถกำหนดจิตได้ในชั่วพริบตา ทำให้ตัวท่านเบาได้ดังสำลีโดยฉับพลัน เพราะท่านเคยเทศน์สั่งสอนเสมอว่า จิตของผู้ที่ฝึกให้ดีแล้ว ย่อมมีสติพร้อมอยู่ทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง หรือนอน ถึงแม้หลับอยู่ ก็หลับด้วยการพักผ่อนในสมาธิ การเดินทางลงจากถ้ำพระภูวัว ในคราวนั้น ประสบความยากลำบากยิ่งกว่าคราวก่อน เพราะฝนตกหนักทำให้น้ำมาก การข้ามห้วยข้ามคลองซึ่งมีอยู่หลายแห่งจึงไม่สะดวกเท่าที่ควร ที่น่าหนักใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตัวทาก ซึ่งชอบเกาะแข้งเกาะขาเพื่อกัดกินเลือด โดยเฉพาะในเขตที่เป็นดงดิบ จะมีฝูงทากนับไม่ถ้วนสองข้างทางเลยทีเดียว ดีที่โยมตัดไม้ไผ่เอามาเหลาให้แบนคล้ายใบมีด แล้วถวายพระอาจารย์ฝั้นกับพระภิกษุสามเณรที่ร่วมทาง พอมันกระโดดเกาะขาก็เขี่ยหลุดไปได้โดยมันไม่ทันกัด เมื่อเดินทางมาถึงบ้านดอนเสียด พระอาจารย์ฝั้นได้แวะพักเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านดังกล่าวรวม ๓ คืน เพราะระยะนั้นชาวบ้านเจ็บป่วยกันมาก นอกจากนั้น ทุกคืน ยังมีแสงอะไรไม่ทราบ แดงโร่พุ่งข้ามหมู่บ้านไปมา นายคำพอ หัวหน้าหมู่บ้านได้นิมนต์ไปที่บ้านและขอให้ท่านได้เจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล พอเสร็จแล้วท่านได้อบรมชาวบ้าน แล้วเทศนาสั่งสอนต่อให้ละจากมิจฉาทิฏฐิ ให้เคารพกราบไหว้บูชาพระรัตนตรัย กับให้ภาวนา “พุทโธ” โดยทั่วกันทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต่อจากนั้นก็ประพรมน้ำพุทธมนต์ให้โดยทั่วถึง ปรากฏว่า ชาวบ้านมีกำลังใจดีขึ้น หายเจ็บหายไข้เป็นปกติทุกคน แสงไฟแดงโร่ที่พุ่งข้ามหมู่บ้านไปมาทุกคืนก็พลอยหายไปด้วย พระอาจารย์ฝั้นจึงพาพระภิกษุสามเณรเดินทางต่อไปยังบ้านโสกก่าม พอไปถึง ชาวบ้านได้นิมนต์ให้พักที่วัดร้างในดงข้างหมู่บ้านอีก ๔ คืน เพราะอยากจะทำบุญฟังเทศน์กันให้เต็มที่ พระอาจารย์ฝั้น พักอยู่บนศาลาหลังเล็ก ๆ แต่ให้พระภิกษุสามเณรพักลึกเข้าไปในดง ให้แยกพักกันคนละด้าน โดยมีพวกโยมทำแคร่ยกพื้นให้แต่ไม่มีฝากั้น เช้าวันรุ่งขึ้น พระอาจารย์ฝั้นได้ถามพระภิกษุรูปนั้นว่า เมื่อคืนได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า พระภิกษุตอบว่า ตอนสองยามเศษ ๆ ได้ยินเสียงสัตว์อะไรก็ไม่ทราบ ร้องเหมือนอีเก้ง วนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ขณะจุดไฟเดินจงกรม พระอาจารย์ฝั้น ก็บอกให้ทราบว่า ไม่ใช่อีเก้ง แต่เป็นเสือใหญ่ พอมันออกจากที่นั่นก็ไปกินวัวของชาวบ้าน ปรากฏว่าเป็นความจริง ขณะออกบิณฑบาต ชาวบ้านได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนนี้ เจ้าลายใหญ่กัดวัวไปถึงสองตัว ตัวหนึ่งเอาไปไม่ได้ มันกัดเสียจนเอวหัก แต่ไม่ตาย อีกตัวหนึ่งมันคาบหายไปเลย ออกจากบ้านโสกก่าม พระอาจารย์ฝั้นได้พาพระภิกษุสามเณรเดินทางต่อไปยังอำเภอบ้านแพง แวะพักที่วัดป่าในอำเภอบ้านแพงคืนหนึ่ง เช้าวันรุ่งขึ้น ลงเรือล่องไปขึ้นที่จังหวัดนครพนม พักที่วัดป่าบ้านท่าควายอีกหนึ่งคืน แล้วขึ้นรถยนต์ต่อไปยังวัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร เพื่อเข้าจำพรรษาที่วัดนั้น ตอนกลางพรรษา พระอาจารย์ฝั้นได้อบรมสั่งสอนพระเณรสานุศิษย์ ให้ตั้งใจบำเพ็ญความเพียรอย่างจริงจัง ถึงวันธรรมสวนะ ตามปักข์ ท่านจะพาสานุศิษย์นั่งบำเพ็ญร่วมกันบนศาลาโรงธรรมตลอดคืน ส่วนวันธรรมดา หลังจากเทศน์อบรมแล้ว ก็ให้แยกย้ายกันทำความเพียรต่อไป พระอาจารย์ฝั้นพยายามทำตนเป็นตัวอย่างแก่สานุศิษย์ตลอดพรรษา ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน แทบว่าจะหาเวลาพักผ่อนได้ยากยิ่ง เช่นตอนหัวค่ำ ท่านเทศน์อบรมพระเณรจน ๓ ทุ่มครึ่ง จากนั้นท่านก็ลงเดินจงกรมไปจนถึง ๕ ทุ่มเศษ แล้วท่านก็ขึ้นกุฏิให้พระภิกษุขึ้นไปปฏิบัติท่านจนถึง ๖ ทุ่มเศษ เสร็จจากนั้นท่านก็ลงมาเดินจงกรมอีก แล้วขึ้นกุฏิ พอประมาณตี ๓ ท่านก็ออกมาล้างหน้าบ้วนปาก ไหว้พระสวดมนต์ สวดมนต์จบแล้วเดินจงกรมต่อจนสว่าง พอถึงเวลาออกบิณฑบาต ท่านจึงได้ขึ้นศาลาเตรียมครองผ้าออกบิณฑบาตต่อไป เมื่อออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๓ พระอาจารย์ฝั้นพร้อมด้วยพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ ได้พาพระภิกษุสามเณรอีกบางรูปเดินธุดงค์ไปจังหวัดจันทบุรี โดยพระอาจารย์วิริยังค์ได้นิมนต์ไปในงานที่วัดดำรงธรรม ในเขตอำเภอขลุง การเดินทางครั้งนี้ ท่านกับคณะได้นั่งรถยนต์โดยสารจากสกลนครไปขึ้นรถไฟที่อุดรฯ เข้ากรุงเทพฯ แล้วนั่งรถโดยสารจากกรุงเทพฯ ไปจันทบุรีอีกทอดหนึ่ง ระหว่างพักที่วัดดำรงธรรม อำเภอขลุง ได้มีประชาชนสนใจเข้าฟังธรรมและรับการอบรมเป็นจำนวนมาก ต่อมา พระอาจารย์วิริยังค์ได้นิมนต์ไปพักที่สำนักสงฆ์บ้านกงษีไร่ ซึ่งสร้างขึ้นใหม่ ลึกเข้าไปในป่า ท่านได้พักอยู่ที่นั้นหลายวัน แล้วจึงกลับไปพักที่วัดดำรงธรรม ต่อมาอีกหลายวัน ก็มีโยมนิมนต์ท่านและคณะไปพักวิเวกบนเขาหนองชึม อำเภอแหลมสิงห์ พักอยู่ที่นั่นได้ประมาณครึ่งเดือนก็มีโยมนิมนต์ท่านกับคณะไปพักที่ป่าเงาะ ข้างน้ำตกพริ้วอีกหลายวัน ซึ่งที่นั่นมีญาติโยมเข้ารับการอบรมในข้อปฏิบัติกันเป็นจำนวนมากตามเคย หลังจากนั้น จึงรับนิมนต์ไปพักตามป่าตามสวนของญาติโยมอีกหลายแห่ง การเดินทางกลับ พระอาจารย์ฝั้นและคณะได้แวะตามสถานที่ต่าง ๆ อีกหลายแห่ง ครั้งสุดท้ายได้ไปพักที่วัดเขาน้อย ท่าแฉลบ เพื่อรอเรือกลับกรุงเทพฯ พักที่วัดนั้นประมาณ ๙ – ๑๐ วัน จึงได้ลงเรือมาถึงกรุงเทพฯ ในตอนเช้าของวันใหม่ รวมเวลาที่พักอยู่ในจันทบุรีเกือบ ๓ เดือน ในกรุงเทพฯ พระอาจารย์ฝั้นกับคณะได้ไปพักที่วัดนรนารถฯ ๓ คืน จากนั้นก็มีโยมรับไปพักที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ แต่ขณะนั้น พระอาจารย์ลี ยังสร้างวัดไม่เสร็จเรียบร้อย พระอาจารย์ลีจึงได้พาพระอาจารย์ฝั้นกับคณะไปชมวัดต่าง ๆ ในจังหวัดลพบุรี และนมัสการพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรีด้วย หลังจากนั้นอีก ๗ – ๘ วัน ท่านจึงพาคณะกลับไปยังวัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร และนับแต่นั้นมา พระอาจารย์ฝั้นได้มีกิจนิมนต์ต้องเดินทางไปจังหวัดจันทบุรี เป็นประจำเกือบทุกปี กลับวัดป่าภูธรพิทักษ์คราวนี้ พอถึงเดือนกุมภาพันธ์ พระอาจารย์ฝั้นได้จัดงานสำคัญขึ้นชิ้นหนึ่งที่วัดป่าสุทธาวาส และหลังจากนั้น งานดังกล่าวได้ถือปฏิบัติตลอดมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน นั่นคือจัดวันประชุมใหญ่พระกัมมัฏฐาน ในวันคล้ายวันประชุมเพลิงศพของพระอาจารย์มั่น เพื่อระลึกถึงพระคุณของท่านที่มีต่อสานุศิษย์อย่างคงเส้นคงวามาตลอด พระอาจารย์ฝั้นได้ไปพักที่วัดป่าสุทธาวาสเพื่อเตรียมงานก่อนเป็นเวลาหลายวัน เพราะการก่อสร้างพระอุโบสถ เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งพระอาจารย์มั่น กำลังกระทำอยู่อย่างรีบเร่ง โดยสร้างขึ้นบนพื้นที่ที่ใช้เผาศพพระอาจารย์มั่น เสร็จงานประชุมพระกัมมัฏฐานคราวนั้นแล้ว พระอาจารย์ในได้กลับไปยังวัดป่าภูธรพิทักษ์ เพราะได้ตรากตรำในการงานมามาก สังขารเล่าก็ทรุดโทรมและอ่อนแอลงไปมาก ประมาณเดือนเมษายน หรือพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ ท่านเจ้าคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) วัดบรมนิวาส ได้มีบัญชาให้พระอาจารย์ฝั้น ไปพบที่กรุงเทพฯ ด่วน ท่านและพระภิกษุอีกรูปหนึ่ง กับเด็กลูกศิษย์อีกคนหนึ่งได้เดินทางเข้ากรุงเทพทันที ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ให้พักที่วัดบรมนิวาสได้สองคืน ก็เรียกท่านเข้าพบอีกครั้งแล้วให้ท่านเดินทางไปที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทราโดยด่วน เพราะที่วัดนั้นมีเรื่องไม่สงบเกิดขึ้นภายใน พระภิกษุสามเณรแตกความสามัคคีกัน พระอาจารย์ฝั้น จึงพร้อมด้วยพระภิกษุและสานุศิษย์ที่มาจากสกลนคร เดินทางไปวัดนั้นทันที เมื่อไปถึง ได้ไปสังเกตการณ์และสืบหาข้อเท็จจริงจากข้าหลวงอยู่ที่วัดนั้น ๔ – ๕ วัน พอประมวลเหตุการณ์ได้แล้ว จึงเดินทางกลับวัดบรมนิวาส และได้รายงานให้ท่านเจ้าคุณ สมเด็จฯ ทราบว่า ชาวบ้านและพระลูกวัดต้องการให้ส่งเจ้าอาวาสวัดนั้น ที่สมเด็จฯ เรียกมาสอบเรื่องราวแล้วยังไม่ได้ส่งกลับไป จึงเกิดเรื่องขัดแย้งไม่เข้าใจ และแตกแยกกันขึ้น เมื่อเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทราบข้อเท็จจริงแล้ว จึงได้ส่งเจ้าอาวาสกลับคืนวัดนั้นไป เรื่องต่าง ๆ จึงค่อยสงบลง ระหว่างที่อยู่ที่วัดบรมนิวาส พระอาจารย์ฝั้น กับพระลูกศิษย์ต้องออกบิณฑบาตไปเรื่อย ๆ ตามตรอกซอยต่าง ๆ พอเข้าไปในซอยแห่งหนึ่ง ชาวบ้านดีใจกันเป็นอันมาก เพราะไม่เคยมีพระไปบิณฑบาตในซอยนั้นมาก่อนเลย ต่างนิมนต์ให้รอก่อน บางบ้านก็จัดหาเก้าอี้มาให้นั่ง แล้วเตรียมข้าวปลาอาหารใส่บาตรกันอย่างฉุกละหุก เมื่อทราบว่าพระอาจารย์ฝั้นมาจากต่างจังหวัด ก็นิมนต์ให้เข้าไปบิณฑบาตทุกวันจนกว่าจะกลับ โดยเฉพาะในซอยหนึ่งแถว ๆหลังวัดพระยายัง พระอาจารย์ฝั้นสามารถทำให้ฝรั่งครอบครัวหนึ่งเกิดศรัทธาออกมาใส่บาตร ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวนี้ไม่เคยใส่บาตรมาก่อนเลย เมื่อจากฝรั่งครอบครัวนั้นออกมาแล้ว พระอาจารย์ฝั้นได้ปรารภกับพระลูกศิษย์ว่า ฝรั่งแท้ ๆ ยังรู้จักใส่บาตร อีกไม่กี่วันต่อมา พระอาจารย์ฝั้นก็เดินทางกลับวัดป่าภูธรพิทักษ์ที่จังหวัดสกลนคร ก่อนกลับท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ ได้ปรารภขึ้นว่า ตั้งใจจะให้ท่านไปเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพนิมิตร ที่ฉะเชิงเทรา แต่ท่านไปสังเกตการณ์ตนได้ความกระจ่าง สามารถคลี่คลายสถานการณ์ไปได้เช่นนี้ ก็นับว่าท่านได้ทำประโยชน์ให้มากทีเดียว หลังจากพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ถึงแก่มรณภาพไปแล้ว ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ มีสามเณรเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะหลายรูปหันเข้ามาปฏิบัติต่อพระอาจารย์ฝั้น ส่วนที่ยังอ่อนต่อการศึกษาก็มุ่งหน้ามาเล่าเรียนฝึกหัด กุฏิที่มีอยู่จึงไม่เพียงพอให้พำนัก ในปี ๒๔๙๔ พระอาจารย์ฝั้นจึงได้จัดให้มีการก่อสร้างกุฏิถาวรขึ้นหลายหลัง เพื่อให้เพียงพอแก่การอยู่จำพรรษา น่าสังเกตว่า ท่านได้เตือนพระภิกษุสามเณรอยู่เสมอว่า การก่อสร้างใด ๆ ไม่ให้มีการบอกบุญเรี่ยไรเป็นอันขาด ให้ทำเท่าที่จำเป็นสามารถจะทำได้ และให้ทำต่อเมื่อมีผู้ศรัทธาจะทำ มิฉะนั้นจะเป็นเรื่องเดือดร้อนถึงชาวบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่จะให้ท่านคิดทำขึ้นเองนั้นน้อยเหลือเกิน เพราะท่านไม่ต้องการให้เป็นปลิโพธิกังวล แก่บรรดาพระเณร จะได้มีเวลากระทำความเพียรได้โดยปราศจากอุปสรรคของข้อกังวลนั้น ๆ เข้าพรรษาปีนั้น พระอาจารย์ฝั้นได้จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ตามปกติ แนะนำพร่ำสอนและทำเป็นตัวอย่างแก่สานุศิษย์อย่างเคร่งครัดเหมือนปีก่อน ๆ รวมทั้งเทศนาสั่งสอนประชาชนตลอดพรรษา การประกอบความเพียรก็เร่งทั้งกลางวันและกลางคืน พระเณรรูปใดมีอารมณ์ฟุ้งซ่านไปในทางที่ผิด ท่านก็เทศน์สอนขึ้นมาเองโดยไม่มีใครบอก ราวกับว่าท่านหยั่งรู้ได้ด้วยตัวของท่านเองฉะนั้น บรรดาพระเณรจึงตั้งใจสำรวมกันอย่างเต็มที่ พอออกพรรษาแล้ว พระอาจารย์วิริยังค์ได้นิมนต์พระอาจารย์ฝั้น และพระอาจารย์กงมาไปร่วมงานที่วัดดำรงธรรม อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี อีกครั้งหนึ่ง เสร็จงานวัดนั้นแล้ว ท่านได้ไปพักวิเวกอยู่ในป่าข้าง ๆ น้ำตกพริ้ว และได้มีญาติโยมนิมนต์ไปพักตามที่ต่าง ๆ อีกหลายแห่งตลอดระยะเวลาร่วม ๒ เดือน ตอนเดินทางกลับ พระอาจารย์ฝั้นได้แวะพักที่วัดป่าบ้านฉางเป็นเวลา ๔ – ๕ วัน ประจวบกับชาวไร่กำลังเดือดร้อนเรื่องด้วงมะพร้าวกันมาก บางไร่กินจนมะพร้าวตายแทบเกลี้ยง บางแห่งต้องตัดสินใจเผาทิ้งหมดทั้งไร่ โยมผู้หนึ่งจึงขอให้ท่านทำน้ำมนต์ให้ เพื่อขจัดปัดเป่าความเดือดร้อนดังกล่าวให้หมดสิ้นไป พระอาจารย์ฝั้นก็ได้ทำน้ำมนต์ให้ แล้วหยิบไม้สีฟันของท่านให้ไปด้วย ๔ – ๕ อัน กำชับให้ตั้งใจภาวนา พุทโธ ให้ดี แล้วให้เอาไม้สีฟันไปเหน็บ ๔ มุมไร่ กับให้เอาน้ำมนต์ไปพรมรอบ ๆ ไร่ด้วย อีก ๒ วันต่อมา โยมผู้นั้นกับภรรยาก็กลับมาหาพระอาจารย์ฝั้นอีก ยกมือไหว้ท่วมหัวพร้อมกับเรียนว่า ความเดือดร้อนทั้งปวงเหือดหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ บัดนี้ ตัวด้วงทั้งหลายหายไปจากไร่ของตนจนหมดสิ้นแล้ว ไม่ต้องเผาไร่เหมือนเจ้าของไร่คนอื่น ๆ ออกจากวัดป่าบ้านฉาง พระอาจารย์ฝั้น ได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ แวะพักกับพระอาจารย์ลี ที่วัดอโศการาม จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๙๕ จึงพาคณะกลับไปยังจังหวัดสกลนคร กลับไปคราวนี้ท่านและไปพักที่วัดป่าสุทธาวาส เพื่อเตรียมการประชุมในวันที่ระลึกคล้ายวันประชุมเพลิงศพพระอาจารย์มั่น จนกระทั่งเสร็จการประชุมแล้ว จึงได้กลับไปพักที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ตามปกติ แต่เมื่อพักได้ในราว ๒ สัปดาห์ พระอาจารย์ฝั้นก็พาพระลูกศิษย์ออกธุดงค์อีก คราวนี้ไปพักวิเวกที่ถ้ำเป็ด เขตอำเภอสว่างแดนดิน ใกล้ ๆ กับวัดพระอาจารย์วัน อุตฺตโม ในปัจจุบัน ถ้ำเป็ดเป็นสถานที่วิเวกสงบดีมาก เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนาเป็นอย่างยิ่ง ตลอดเวลาหลายเดือนที่ท่านไปพักวิเวกอยู่นั้น ท่านได้จัดการบูรณะสร้างถังน้ำ และได้สร้างกุฏิ ๒ – ๓ หลัง พร้อมทั้งศาลาโรงฉันไว้ด้วย ปัจจุบันถ้ำเป็ดอยู่ในกิ่งอำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร ซึ่งแยกออกมาจากอำเภอสว่างแดนดิน มาตั้งเป็นอีกอำเภอหนึ่ง การคมนาคมก็สะดวกขึ้นกว่าเดิม เพราะสมัยโน้นไม่มีถนนหนทางไปบ้านส่องดาว การไปมาต้องเดินเท้าแต่ประการเดียว ที่ถ้ำเป็ด นอกจากพระอาจารย์ฝั้นจะพัฒนาทางด้านสถานที่ โดยชักชวนชาวบ้านให้ช่วยกันสร้างถาวรวัตถุไว้เป็นสาธารณะประโยชน์แล้ว ยังพัฒนาทางด้านจิตใจของชาวบ้านพร้อมกันไปด้วยอีกทางหนึ่ง โดยการเทศน์สั่งสอนให้รู้จักทาน ศีล และภาวนา ให้ขยันหมั่นเพียรในการทำมาหากิน ปกติเมื่อพ้นฤดูทำนาแล้ว ชาวบ้านแถบนั้นจะเที่ยวเล่นสนุกสนานไปโดยไร้ประโยชน์ แล้วก็พากันบ่นว่าอดอยาก อาหารการกินก็ไม่สมบูรณ์ พระอาจารย์ฝั้นได้แนะนำให้ทำสวนครัว ปลูกผักต่าง ๆ ตลอดจนพริก มะเขือ ฯลฯ เป็นต้น แรก ๆ มีบางคนเท่านั้นที่ทำตาม และก็ได้ผลดีแก่เศรษฐกิจในครอบครัว ทำให้ชาวบ้านทั่วไปพากันเอาอย่าง ถึงขนาดบางรายมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจำหน่ายผลผลิตด้วย ความสะอาดเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พระอาจารย์ฝั้นพยายามเทศน์สั่งสอน โดยแนะนำผู้ใหญ่บ้านให้ประชุมลูกบ้าน แล้วแนะนำให้ลูกบ้านรักษาความสะอาด และรักษาสุขภาพอนามัยทุกหลังคาเรือน เวลาออกบิณฑบาตเห็นตรงไหนสกปรกรกรุงรัง ก็บอกให้ทำความสะอาดตรงนั้น ไม่นานนัก หมู่บ้านนั้นก็สะอาด มองไปทางไหนก็ดูสดใสขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนหรือถนนหนทางโดยทั่วไป อีกหมู่บ้านหนึ่งใกล้ ๆ กับถ้ำเป็ด ถึงฤดูแล้ง ชาวบ้านไม่ทำมาหากินอะไรเลย เฝ้าแต่ขุดหาอึ่งอ่างมาประกอบอาหารอยู่ทุกวี่ทุกวัน ยางวันไม่ได้สักตัวเดียว บางวันได้แค่ตัวสองตัว เมื่อไม่พอกินก็บ่นว่าอดอยาก พระอาจารย์ฝั้นได้ใช้โอกาสที่ชาวบ้านมาฟังธรรม เทศนาสั่งสอนว่าเป็นการขยันหมั่นเพียรในทางที่ผิด ปราศจากประโยชน์ทั้งส่วนตัวและประโยชน์ส่วนรวม ขุดอึ่งอ่างได้ไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป ควรเอาเวลาว่างจากการทำนามาขุดดินทำไร่ทำสวนจะดีกว่า ชาวบ้านก็ประจักษ์ในเหตุผลและพากันทำตาม จนกระทั่งเห็นผลขึ้นมาตามลำดับ บางคนถึงกับไปปรารภกับพระอาจารย์ฝั้นว่า ถ้าทำอย่างที่ท่านแนะนำมาแต่ต้น ป่านฉะนี้คงตั้งหลักฐานได้กันหมดแล้ว เมื่อขึ้นไปพักที่ถ้ำเป็ดใหม่ ๆ มีถ้ำเล็ก ๆ อยู่ถ้ำหนึ่งถัดลงมาจากที่พักของพระอาจารย์ฝั้น พระภิกษุศิษย์รูปหนึ่งเห็นว่าสงบดี เหมาะแก่การพักวิเวก จึงให้พวกโยมที่ขึ้นไปส่ง จัดการยกแคร่สูงคืบเดียวให้ เพื่อใช้เป็นที่พัก ตกเย็นก่อนลงไปพักที่ถ้ำเล็กนั้น พระอาจารย์ฝั้นได้เตือนพระภิกษุลูกศิษย์ว่า “ลงไปนอนที่ถ้ำนั้น ภาวนให้ดีล่ะ อย่าถึงกับหอบบริขารบาตรจีวรหนี ตั้งใจภาวนาให้ดี อย่าประมาท” ท่านหยุดหัวเราะแล้วกล่าวต่อไปอีกด้วยว่า “ความกลัวของคนเรานั้นน่ะ ถ้ากลัวสุดขีดถึงกับเป็นพระกัมมัฏฐานก็เป็นบ้าได้เหมือนกัน ถ้าไม่กลัวตายเสียอย่างเดียวอยู่ไหนก็อยู่ได้” พระภิกษุรูปนั้นเข้าใจว่าท่านตักเตือนเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เมื่อตกดึกทำกิจวัตรเสร็จประมาณ ๖ ทุ่มเศษ ก็ลงไปถ้ำเล็ก เข้าทำวัตรสวดมนต์จบแล้วก็เอนกายลงนอนพัก ตั้งใจว่าสักครู่จะลุกขึ้นภาวนาตามปกติ กำลังเคลิ้ม ๆ พระภิกษุรูปนั้นก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เนื่องจากมีฝูงกบและเขียดแตกตื่นออกมาจากถ้ำเป็นฝูง ๆ แคร่ที่ยกไว้เป็นที่พักก็อยู่ตรงปากถ้ำพอดี กบใหญ่ ๆ ๓ – ๔ ตัว จึงโดดขึ้นมาเกาะอยู่บนหน้าอกจนรู้สึกเย็นยะเยือก พอท่านผุดลุกขึ้นมันก็โดดหนี จะลุกหนีออกมาก็บังเอิญนึกถึงคำเตือนของพระอาจารย์ฝั้นขึ้นมาได้ จึงสงบใจให้เป็นปกติ แล้วนั่งสดับเหตุการณ์อยู่เงียบ ๆ ทันใดก็ได้ยินเสียงงูเลื้อยดังแกรกกรากอยู่ในถ้ำ จะหนีก็เหมือนไม่เชื่อพระอาจารย์ จึงมุมานะนั่งภาวนาท่ามกลางเสียงงูเลื้อย และท่ามกลางเสียงกบเขียดกระโดดเป็นฝูง ๆ ตลอดคืน ในที่สุดเมื่อจิตสงบดีแล้ว ความกลัวก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง เช้าวันนั้น เมื่อลงไปทำกิจวัตรที่กุฏิพระอาจารย์ฝั้นตามปกติ ท่านได้ทักทายขึ้นว่า “เป็นไงมั่ง เกือบจะหอบบริขารวิ่งหนีความตายแล้วไหมล่ะ จะหนีไปอยู่ที่ไหนจึงจะพ้นความตายเล่า อยู่ที่ไหนมันก็ตายเหมือนกันแหละ” พูดจบ ท่านก็ล้างหน้าบ้วนปากแล้วลงเดินจงกรมตามปกติ พระภิกษุรูปนั้นได้แต่รับฟังด้วยความอัศจรรย์ พระอาจารย์ฝั้น พำนักอยู่ที่ถ้ำเป็ดจนเกือบจะเข้าพรรษา คณะตำรวจโรงเรียนพล ฯ เขต ๔ จึงเอารถจี๊ปกลางขึ้นไปรับ เพื่อนิมนต์กลับไปจำพรรษาที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ตามเดิม กลับมาจำพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๕ มีพระเณรเพิ่มขึ้นมาก ท่านจึงรับภาระเพิ่มมากขึ้นไปด้วย ทั้งการสั่งสอนศิษย์ภายใน คือ พระภิกษุสามเณร และศิษย์ภายนอก คือบรรดาญาติโยมที่ไปศึกษาธรรม ตลอดจนคณะอุบาสก อุบาสิกา ที่ไปรักษาศีลอุโบสถเป็นประจำทุกวันพระ ท่านได้บำเพ็ญตนเป็นตัวอย่างแก่บรรดาสานุศิษย์อย่างเคร่งครัด เสมอต้นเสมอปลายตลอดทั้งพรรษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันพระอุโบสถ ตอนกลางคืนท่านจะพาสานุศิษย์นั่งสมาธิภาวนาตลอดคืน เมื่อเห็นว่ามีง่วงเหงาหาวนอน ก็จะเทศน์อบรมสลับไปเป็นช่วง ๆ เป็นที่น่าเลื่อมใสและศรัทธาแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง บางคนถึงกับออกปากปฏิญาณตนเลิกการประพฤติชั่วโดยเด็ดขาด นับว่าท่านได้ยังประโยชน์แก่มวลชนอย่างได้ผลเป็นอันมาก หลังออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๕ พระอาจารย์ฝั้นมีกิจนิมนต์ลงไปกรุงเทพฯ พร้อมด้วยพระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ เสร็จกิจแล้วได้เลยไปจันทบุรีอีกครั้งหนึ่ง กลับจากจันทบุรีได้แวะเข้าพักที่วัดอโศการาม หลังจากนั้นแล้วจึงเดินทางกลับไปจังหวัดสกลนคร โดยมีคณะศิษย์ทั้งหลายจากกรุงเทพฯ บ้าง จากจังหวัดใกล้เคียงบ้าง พากันติดตามไปรับการอบรมธรรมจากท่านหลายคน พร้อมทั้งคณะทายก ทายิกาที่เป็นศิษย์ประจำอยู่ก่อนก็ยกขบวนเข้ารับการอบรมด้วยเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้ท่านต้องมีภาระในการรับแขกมากยิ่งขึ้น แต่ท่านก็มิได้ย่อท้อหรือเบื่อหน่าย ใครจะไปนมัสการเมื่อใดท่านต้อนรับเสมอหน้ากันหมด บางครั้งแขกมากมายทั้งกลางวันและกลางคืน จนท่านจะหาเวลาลุกไปสรงน้ำก็ยังยาก กว่าแขกจะกลับหมดก็ตก ๓ ทุ่มเศษ จึงได้มีโอกาส เคยมีพระภิกษุลูกศิษย์แนะนำให้รับแขกเป็นเวลา แต่ท่านไม่ยอม อ้างว่าจะทำให้คนเหล่านั้นเสียเวลาทำมาหากิน ต้องมารอกันเสียเวลาเป็นชั่วโมง ๆ โดยเปล่าประโยชน์ ในพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๖ พระอาจารย์ฝั้นคงจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ตามเดิม ระหว่างนั้น ทางด้านฆราวาสญาติโยมยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ผู้ที่ไปนมัสการก็มีมาก ทั้งใกล้และไกล แต่ท่านก็ยังเข้มแข็งในปฏิปทาตามปกติ ตอนกลางพรรษาปีนั้น พระอาจารย์ฝั้นได้ปรารภกับศิษย์ทั้งปวงอยู่เสมอว่า ท่านได้นิมิตเห็นถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง อยู่ทางทิศตะวันตกของเทือกเขาภูพาน ในถ้ำนั้นมีแสงสว่างเท่า ๆ กับตะเกียงเจ้าพายุ ๒ ดวง อากาศก็ดี สงบและวิเวก เมื่อขึ้นไปอยู่ในถ้ำนั้นแล้วก็เหมือนกับอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งทีเดียว ท่านปรารภอยู่เสมอด้วยว่า ออกพรรษาแล้วจะต้องไปดูให้ได้ พอออกพรรษา พระอาจารย์ฝั้นก็ตัดสินใจออกเดินทางไปยังถ้ำตามที่นิมิตไว้ แต่มิได้ตรงไปยังถ้ำดังกล่าวเสียทีเดียว ท่านได้ออกเดินทางไปกับพระภิกษุสามเณรอย่างละรูป ไปพักที่วัดป่าอุดมสมพร เพื่อพาคณะญาติโยมบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานอุทิศแก่บุพการีทั้งหลาย เสร็จแล้วออกเดินทางไปพักที่วัดป่าบ้านกู่ เพื่อบำเพ็ญกุศลครบรอบวันฌาปนกิจของพระอาจารย์กู่ จากนั้นได้เดินทางไปพักที่วัดป่าข้าง ๆ วัดบ้านไอ่ ๒ คืน แล้วเดินทางต่อไปยังบ้านคำข่า พอไปถึงพวกโยมได้พาไปพักในดงข้างหมู่บ้าน เป็นดงหนาทึบมาก ชาวบ้านเรียกกันว่า ดงวัดร้าง เมื่อทำความคุ้นเคยกับญาติในหมู่บ้านดีแล้ว ท่านก็ถามว่า ภูเขาแถบนี้มีถ้ำบ้างหรือไม่ พวกโยมตอบว่ามีหลายแห่งทั้งถ้ำเล็กและถ้ำใหญ่ ท่านจึงให้พวกโยมพาขึ้นไปดูในวันต่อมา วันนั้นทั้งวันให้ดูถ้ำหลายถ้ำ แต่ไม่ตรงกับถ้ำที่นิมิตสักแห่ง จึงกลับไปยังที่พัก ญาติโยมได้บอกท่านว่า ยังมีอีกถ้ำหนึ่ง อยู่บนยอดเขา เป็นถ้ำใหญ่มาก ชาวบ้านเรียกว่าถ้ำขาม ทุกปีเมื่อถึงวันสงกรานต์ ชาวบ้านจะขึ้นไปทำบุญและสรงน้ำพระบนถ้ำนั้นเป็นประจำ แล้วก็พาท่านไปดูในวันรุ่งขึ้น การเดินทางเต็มไปด้วยความยากลำบาก ต้องปีนต้องไต่ไปตามไหล่เขาอันเต็มไปด้วยขวากหนาม เมื่อไปถึงถ้ำขามแล้ว พระอาจารย์ฝั้นเดินดูรอบ ๆ บริเวณอยู่สักครู่ ก็ออกปากขึ้นทันทีว่า “เออ ถ้ำนี้แหละที่เรานิมิตเห็นตอนกลางพรรษา” พูดแล้วท่านก็ให้พวกโยมจัดหาไม้มาทำเป็นแคร่นอนขึ้นในถ้ำรวม ๒ ที่ ความจริงท่านตั้งใจจะพักค้างคืนในคืนนั้นเลย แต่เนื่องจากไม่ได้เตรียมบริขารและเสบียงอาหารไปด้วย จึงจำต้องกลับลงมาก่อน ระหว่างทางที่ลงมานั้น ท่านได้ให้พวกโยมตัดทางลงมาด้วย จะได้ขึ้นโดยสะดวกในวันหลัง เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากฉันจังหันเสร็จแล้ว ท่านก็เดินทางขึ้นไปยังถ้ำขามพร้อมด้วยญาติโยมและเสบียงกรัง เพราะถ้ำนั้นอยู่ห่างจากหมู่บ้านมาก การสัญจรบิณฑบาตไม่สะดวก ต้องอาศัยลูกศิษย์ทำอาหารเอง จึงต้องเตรียมเสบียงกรังขึ้นไปด้วย พระอาจารย์ฝั้นได้ขึ้นไปพักอยู่บนถ้ำขาม พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณรผู้เป็นศิษย์เมื่อประมาณเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ เมื่อขึ้นไปพักใหม่ ๆ มีความขัดข้องในเรื่องน้ำกินน้ำใช้ พวกโยมก็แนะนำว่ามีน้ำบ่อซึมอยู่ที่ภูเขาอีกลูกหนึ่งทางตะวันออก ห่างจากถ้ำขามไปประมาณ ๔ กิโลเมตร เมื่อไม่มีแหล่งน้ำใดใกล้กว่า จึงจำเป็นต้องใช้น้ำจากบ่อซึมดังกล่าว โดยใช้กระบอกไม่ไผ่เป็นภาชนะบรรจุน้ำ สะพายใส่บ่าทั้งสองข้างกลับไปยังถ้ำขาม หากใช้ถังหรือปีบบรรจุจะหกเสียหายแทบหมด เพราะต้องหาบหามระหกระเหินเป็นระยะทางไกลมาก ในช่วงที่ขึ้นไปใหม่ ๆ การใช้น้ำต้องกระทำอย่างประหยัด พระเณรต้องเดินไปสรงน้ำไกลถึง ๔ กิโลเมตรเศษ เสร็จแล้วจึงสะพายกระบอกน้ำกลับขึ้นมาบนถ้ำขามอีก กว่าจะถึงที่พักเหงื่อก็โทรมร่างราวกับว่ายังไม่ได้อาบน้ำมาเลย อยู่ในสภาพเช่นนั้นมาประมาณครึ่งเดือน พระอาจารย์ฝั้นก็บอกพระภิกษุลูกศิษย์ว่า บนเขาหลังถ้ำขามนี้มีอ่างน้ำอยู่เหมือนกัน แต่ดินถมลงไปจนเต็มหมด หากขุดดินออกคงเก็บน้ำฝนได้มากอยู่ ท่านบอกว่าได้นิมิตเห็นอ่างที่ว่ามา ๒ – ๓ วันแล้ว จากนั้นก็พากันเดินสำรวจ ในที่สุดก็ได้เห็นปากอ่างซึ่งมีหญ้าปกคลุมอยู่เต็ม พระอาจารย์ฝั้นได้ให้พระภิกษุลูกศิษย์โกยดินขึ้น พอโกยดินลึกลงไปประมาณเมตรเศษ ๆ ก็มีน้ำซึมออกมา จึงปล่อยไว้ให้น้ำซึมออกมาเป็นน้ำบ่อ อาศัยตักใช้ไปได้หลายวัน พอน้ำแห้งก็โกยดินกันใหม่ให้ลึกลงไปกว่าเก่า ก็มีน้ำซึมออกมาให้ใช้อีก เป็นอยู่เช่นนั้นประมาณเดือนเศษ พอขุดลึกลงไปโพรงอันกว้างใหญ่ ๒ – ๓ โพรงซึ่งอยู่ใต้ดินก็ทะลุถึงกันเข้าเอง เป็นเหตุให้กลายสภาพเป็นอ่างขนาดใหญ่ ขนาดลงไปยืนแล้วยื่นมือขึ้นมาไม่ถึงปากหลุม เป็นอ่างเก็บน้ำฝนได้อย่างดีจนกระทั่งทุกวันนี้ และต่อมาอีกปี ก็ได้ระเบิดหินทำเป็นสระน้ำขึ้นอีก ๓ สระ บนหลังเขา จึงมีน้ำใช้มาตลอดจนถึงปัจจุบัน ทางด้านหลังถ้ำ ซึ่งเต็มไปด้วยต้นลั่นทมขาว ดอกสะพรั่งส่งกลิ่นหมอฟุ้งไปทั่งบริเวณ พระอาจารย์ฝั้นได้ให้พวกญาติโยมปัดกวาดทำความสะอาดจนกระทั่งมีสภาพเรียบร้อยน่าดูขึ้น ถึงวันวิสาขบูชาเดือน ๖ พระอาจารย์ฝั้นได้นำญาติโยมทำพิธีเวียนเทียน เสร็จแล้วเทศนาอบรมสั่งสอนตลอดทั้งคืน ท่านนั่งเทศน์ใต้ต้นลั่นทมจนสว่างคาตา มีชาวบ้านขึ้นไปร่วมงานมากเป็นพิเศษ ธูปเทียนบูชาสว่างไสวไปหมดทั้งภูเขา ต่อมาพระอาจารย์ฝั้นได้ให้ญาติโยมช่วยกันทำที่พักมีหลังคาและฝากั้น เพื่ออาศัยจำพรรษาที่ถ้ำขามในปีนั้น แต่การจำพรรษาจะให้พระภิกษุสามเณรอยู่กันน้อยรูปที่สุด เพราะลำบากเกี่ยวกับอาหารการฉัน หมู่บ้านก็อยู่ไกล บิณฑบาตไปไม่ถึง ท่านปรารภด้วยว่า ได้พบสถานที่อันเหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรอย่างสมบูรณ์แล้ว ท่านเองไม่ลงไปจำพรรษาข้างล่างอย่างแน่นอน แล้วท่านก็เลือกที่พักสำหรับจำพรรษา คือ กุฏิของท่านที่อยู่บนถ้ำขามในปัจจุบัน ชาวบ้านเรียกว่าถ้ำเสือ เมื่อขึ้นไปพักใหม่ ๆ เสือตัวนี้ยังขึ้นลงเข้าออกอยู่เป็นประจำ ต่อมาเมื่อท่านไปทำที่พักขวางทางเข้า มันจึงหลบหนี ไม่กล้ำกรายเข้ามาอีกเลย เป็นอันว่าในปีพ.ศ. ๒๔๙๗ พระอาจารย์ฝั้นได้จำพรรษาอยู่บนถ้ำขาม โดยมีพระภิกษุอีก ๓ รูป กับสามเณรอีก ๓ รูปร่วมจำพรรษาอยู่ด้วย แม้จะอดอยากอย่างไรก็มิได้ถือเป็นอุปสรรค เพราะที่นั่นไกลจากหมู่บ้าน ต้องเดินเท้าเปล่าจากถนนใหญ่ไปอีกเป็นระยะทางถึงกว่า ๒๐ กิโลเมตรการบิณฑบาตจึงไม่อาจกระทำได้ แต่ในพรรษานั้นมีชาวไร ๓ ครอบครัวขึ้นไปทำไร่พริกบนภูเขาอีกลูกหนึ่ง และมีศรัทธานิมนต์พระไปบิณฑบาตเป็นประจำ จึงไม่ถึงกับอดอยากกันเท่าไรนัก ส่วนพระอาจารย์ฝั้นนั้น หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 19 มีนาคม 2011, 16:26:36 ประวัติหลวงปู่ฝั้น อาจาโร (ตอนที่7) เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านได้พาญาติโยมซึ่งเสร็จจากการทำนาไปทำสระน้ำบนหลังถ้ำ และตัดเส้นทางลงมาบิณฑบาต โดยวิธีนัดพบกันกลางทาง กล่าวคือทางพระเดินจากถ้ำลงมา ชาวบ้านออกจากบ้านไปใส่บาตร เมื่อใส่บาตรแล้วก็แยกย้ายกันกลับ ถึงฤดูแล้งปีพ.ศ. ๒๔๙๘ พระอาจารย์ฝั้นปรารภกับบรรดาญาติโยมที่ไปปฏิบัติท่านว่า ผู้คนที่ไปปฏิบัติท่าน เพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน ศาลาโรงธรรมที่มีอยู่ไม่แข็งแรงและไม่เพียงพอแก่การพักอาศัย สมควรที่จะสร้างศาลาโรงธรรมอันเป็นที่พักให้ถาวรขึ้น ญาติโยมทั้งหลายก็เห็นพ้องด้วย จึงช่วยกันจัดหาอุปกรณ์การก่อสร้าง โดยตกลงให้พระอาจารย์ฝั้นเป็นผู้อำนวยการสร้างด้วยตัวของท่านเอง การลำเลียงอุปกรณ์ก่อสร้างขึ้นไปบนภูเขาครั้งนั้น เต็มไปด้วยความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง ทั้งพระทั้งเณรพร้อมด้วยชาวบ้าน ต้องใช้กำลังกายแบกหามวัสดุต่าง ๆ ขึ้นไป เสาบางต้นยาวตั้ง ๑๑ – ๑๒ เมตร แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครย่อท้อ ระหว่างนั้นชาวบ้านได้ทราบข่าวว่า พระอาจารย์ฝั้นจะสร้างศาลาโรงธรรม ก็พร้อมใจกันขึ้นไปช่วยอย่างคับคั่ง จนกระทั่งการขนอุปกรณ์การก่อสร้างสำเร็จลงโดยไม่มีใครเห็นแก่ความเหนื่อยยาก เมื่อถึงวันยกเสา ชาวบ้านทั้งใกล้และไกล ได้ขึ้นไปช่วยอย่างพร้อมเพรียงและในที่สุด การยกเสาขึ้นตั้งโดยการควบคุมของพระอาจารย์ฝั้น ก็สำเร็จไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ ที่ว่าน่าอัศจรรย์ก็เพราะว่า พื้นที่ที่จะปลูกสร้างศาลาโรงธรรมนั้นไม่เสมอกัน สูง ๆ ต่ำ ๆ และระเกะระกะไปด้วยก้อนหิน เสาทุกต้นที่ขึ้นตั้งบนก้อนหิน จึงสั่นบ้างยาวบ้าง เมื่อพระอาจารย์ฝั้นสั่งให้ตัดและบากเสาให้เป็นใกสำหรับรับคานเรียบร้อยแล้วทุกต้น จึงให้ยกขึ้นตั้งหมดทุกเสา ปรากฏว่า เสาทุกเสาตั้งได้ที่ทุกต้น โดยไม่ต้องแก้ไขหรือขยับเขยื้อนเลย มิหนำซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ตั้งเสาขึ้นบนหิน เสาทุกต้นก็แน่นปั๋ง รางกับฝังลึกในดินเป็นเมตร ๆ ชาวบ้านที่ขึ้นไปช่วยต่างกลัวกันว่า เสาจะล้มทับ แต่พระอาจารย์ฝั้นปลอบว่า ไม่เป็นไร ตั้งใจทำไปเถอะ และไม่ยอมให้ชาวบ้านตีค้ำยันเพื่อกันล้ม ท่านบอกชาวบ้านว่า ถ้าไม่เชื่อผลักดูก็ได้ว่ามันจะล้มไหม ชาวบ้านบางคนได้เข้าไปผลักดูเขย่าดู เมื่อเห็นว่าตั้งอยู่บนหินได้อย่างแน่นหนาทุกต้นก็ได้แต่ประหลาดใจ แต่ละคนไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่มองหน้ากันไปมา เมื่อตั้งเสาเสร็จก็ตกเย็น พวกญาติโยมบางคนก็ลงจากเขากลับบ้าน แต่ส่วนใหญ่พักค้างกันอยู่บนเขา เพื่อช่วยงานต่อไปในวันรุ่งขึ้น คืนนั้น พระอาจารย์ฝั้นได้ลงไปทำวัตรสวดมนต์แล้วเทศนาสั่งสอน และแนะนำให้พวกชาวบ้านภานาพุทโธกันเข้าไว้ อย่าหลับนอนให้มากนัก เมื่อแนะนำเสร็จก็ให้ไปพักผ่อนกันได้ พอตกดึกเงียบสงัด บรรดาญาติโยใ ๓ – ๔ คนที่พักอยู่ในถ้ำ ต่างได้ยินเสียงผู้คนนับร้อย ๆ คุยกันก้องถ้ำไปหมด แต่ยังไม่ได้ศัพท์ว่าพูดเรื่องอะไร แรก ๆ ก็คิดว่าชาวบ้านบางคนลุกขึ้นมาคุยกัน แต่เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เห็นทุกคนนอนหลับ จึงรู้สึกเอะใจและนึกกลัวขึ้นมาทันที จะนอนก็นอนไม่หลับ ได้แต่จับกลุ่มสดับเหตุการณ์จนกระทั่งตี ๕ เศษ จึงได้ลุกไปถามพระภิกษุรูปหนึ่งดูว่าเป็นเสียงอะไรกันแน่ แต่พระภิกษุรูปนั้นไม่ยอมตอบ เพียงแต่แนะนำให้ไปถามพระอาจารย์ฝั้นเอาเอง แล้วท่านก็ชวนชาวบ้าน ๓ – ๔ คนนั้นไปเดินจงกรมด้วยกันบนหลังถ้ำ เช้าวันนั้น พระอาจารย์ฝั้นขึ้นไปบนศาลา ก็ทักทายกับพวกญาติโยมทันทีว่า เป็นยังไงบ้าง เมื่อคืนนั่งกลัวจนนอนไม่หลับทีเดียวหรือ ได้ยินพวกเทพเขามาอนุโมทนาสาธุการกันหรือเหล่า เขามาอนุโมทนากันตั้งมากมาย พวกโยม ๓ – ๔ คน ที่ผ่านเหตุการณ์มาเมื่อคืน ได้แต่มองหน้ากันอย่างประหลาดใจ ทำไมพระอาจารย์ฝั้นจึงทราบได้ว่า เมื่อคืนกลัวกันมากจนหลับไม่ลงก็ไม่ทราบ ในที่สุด ศาลาโรงธรรมหลังถาวร ภายใต้การอำนวยการสร้างของพระอาจารย์ฝั้นก็สำเร็จลง ในการนี้ได้มีการสร้างกุฏิที่พักอาศัยของพระอาจารย์ฝั้นขึ้นใหม่ด้วย พร้อมทั้งทำสระน้ำใหญ่บนหลังถ้ำเพื่อเป็นที่เก็บน้ำฝนมาจนกระทั่งปัจจุบัน นับว่าได้อำนวยประโยชน์แก่บรรดาศิษยานุศิษย์ และบรรดาญาติโยมทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง มีเรื่องน่าบันทึกไว้ในที่นี้อีกเรื่องหนึ่ง กล่าวคือ ก่อนจะลงมือสร้างศาลาโรงธรรมดังกล่าว ได้เกิดปัญหาแก่บรรดาญาติโยมทั้งหลายขึ้นมาว่า องค์พระประธานซึ่งเจ้าภาพจัดส่งไว้ที่บ้านคำข่านั้น ทำอย่างไรจึงจะอัญเชิญขึ้นไปให้ถึงถ้ำขามได้ เพราะระยะนั้น ถนนสำหรับขึ้นลงยังไม่มี ทางคนเดินแม้จะมีอยู่ แต่จะขึ้นลงแต่ละทีก็แสนลำบากมากอยู่แล้ว แต่พระอาจารย์ฝั้นได้บอกบรรดาญาติโยมทั้งหลายว่าไม่ยาก ให้พากันหามขึ้นไปเลย โดยมีคนถางทางนำหน้าขึ้นไปก่อน ฝ่ายที่หามพระประธานก็ให้หามตามไปเรื่อย ๆ หากจะตัดทางให้เสร็จก่อนแล้วหามพระประธานขึ้นไป ก็จะเสียเวลาไปอย่างน้อยถึง ๕ วัน จึงจะตัดทางได้สำเร็จ อีกประการหนึ่ง พระอาจารย์ฝั้นจะต้องจากถ้ำขามไปในงานประชุมประจำปีของคณะศิษย์พระอาจารย์มั่น ที่วัดป่าสุทธาวาส ไม่มีเวลาพอจะรอได้ ชาวบ้านก็สนองเจตนาของท่าน ด้วยการแบ่งกำลังออกเป็นสองชุด ชุดแรกให้ถางทางขึ้นไปก่อน ชุดหลังหามพระประธานตามขึ้นไป เมื่อลงมือกันเข้าจริง ๆ ชุดที่ถางทางขึ้นไปก่อน ทำงานไม่ทัน เพราะเป็นป่ารก เต็มไปด้วยขวากหนาม ชุดที่หามพระปรานขึ้นไปไม่อาจหยุดรอได้ เพราะพระประธานหนักมาก จะวางลงหรือยกขึ้นแต่ละครั้งลำบากเป็นที่สุด เนื่องจากสภาพพื้นที่สูงชันและเต็มไปด้วยก้อนหินระเกะระกะ จึงจำเป็นต้องแซงชุดที่ถางทางขึ้นไปก่อน เมื่อแซงไปแล้ว ก็บุกต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง เพราะทางชันขึ้นตลอดเวลา ชุดที่ถางทางล่วงหน้า จึงพากันวางมีด ช่วยกันผลัดเปลี่ยน ทำหน้าที่หามร่วมขบวนไปด้วย ตนในที่สุดก็อัญเชิญพระประธานขึ้นไปถึงถ้ำขามได้สำเร็จภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง น่าสังเกตว่า ในขณะที่ชาวบ้านช่วยกันหามพระประธานขึ้นไปนั้น ผู้คนชุลมุนวุ่นวายถึงขนาดล้มลุกคลุกคลานอยู่ตลอดเวลา หลายต่อหลายคนล้มลงไปในดงขวากหนาม น่าจะได้รับบาดเจ็บหรือมีบากแผลกันบ้าง แต่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ทุกคนปลอดภัยไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลยสักคน และในปีนั้นเอง มีข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งว่า ได้มีคณะศิษย์ทางกรุงเทพฯ พากันขึ้นถ้ำขามไปนมัสการพระอาจารย์ฝั้นเป็นจำนวนมาก แม้การขึ้นถ้ำขาม จะเป็นไปด้วยความยากลำบาก ยังอุตส่าห์ขึ้นไปจนถึง ที่จ้างเกวียนนั่งไปจนถึงเขาแล้วเดินขึ้นก็มี ที่ขึ้นไปแล้วต้องพักเหนื่อยค้างคืนก็มีมาก ทางรถยนต์ที่สร้างขึ้นไปจนถึงถ้ำขามในทุกวันนี้นั้น ก็เกิดจากนายช่างวิศวกรท่านหนึ่ง อุปสมบทแล้วขึ้นไปจำพรรษาอยู่บนถ้ำขามในปีพ.ศ. ๒๕๐๗ เมื่อจวนจะออกพรรษา ได้เกิดศรัทธาจะทำทางรถยนต์ขึ้นลงถ้ำขามให้ได้ จึงออกสำรวจทางหลังถ้ำ แล้วทำทางลงมาจนสำเร็จ ยังผลให้รถยนต์วิ่งขึ้นลงได้จนปัจจุบัน ในพรรษาปีพ.ศ. ๒๔๙๘ พระอาจารย์ฝั้นคงจำพรรษาอยู่บนถ้ำขามพร้อมด้วยพระภิกษุ ๔ รูปกับสามเณรอีก ๓ รูป เท่ากับพรรษาก่อน ในฤดูแล้งปีนั้น มีการทำสระน้ำเป็นงานหลัก สระน้ำบนถ้ำขามนั้นปรากฏว่าต้องทำถึงสองครั้ง เมื่อทำเสร็จครั้งแรกเก็บน้ำเต็มสระแล้วเกิดชำรุด ผนังแตกร้าว น้ำไหลซึมออกไปหมด จึงต้องจัดทำกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยขยับเนื้อที่เข้าไปอีก ครั้งนี้ทำผนังเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก จึงแน่นหนาถาวรมาจนกระทั่งปัจจุบัน และในปีต่อมาพระอาจารย์ฝั้นได้ทำสระน้ำอีกแห่งบนพื้นที่สูงขึ้นไป จึงมีทั้งหมดรวมสองสระ ตลอดเวลาที่ผ่านไป พระอาจารย์ฝั้น ฯ ยังคงนำสานุศิษย์บำเพ็ญความเพียรอย่างคงเส้นคงวา สำหรับอาหารการบิณฑบาตยังคงขัดสนอยู่เช่นเคย แต่บรรดาพระภิกษุสามเณรที่อาศัยอยู่กับพระอาจารย์ฝั้นฯ ก็มิได้ย่อท้อต่อความลำบาก ชาวบ้านก็เอาใจใส่เป็นอย่างดี โดยเดินทางไปใส่บาตรที่เชิงเขา ส่วนพระและเณรก็เดินลงจากเขา รับบิณฑบาตแล้วก็เดินกลับขึ้นไป หว่าจะได้ลงมือฉันก็ตกเข้าไปเกือบ ๙ นาฬิกาครึ่ง ขณะเดียวกันนั้น ก็ได้มีการจัดสร้างกุฏิ สำหรับพระและเณรอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยแรงศรัทธาของบรรดาสานุศิษย์ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านไปมีพระและเณรขึ้นไปอาศัยและจำพรรษามากขึ้นเป็นลำดับ มีข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งว่า ขณะที่พระอาจารย์ในฯ ขึ้นไปพักบนถ้ำขามใหม่ ๆ นั้น บริเวณเชิงเขาเต็มไปด้วยป่ารก เป็นดงช้างดงเสือ และสัตว์ป่านานาชนิด แต่ปัจจุบันได้เป็นป่ากล้วย และไร่สวนไปมากมาย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพระอาจารย์ฝั้น ฯ ได้เป็นผู้แนะนำให้ชาวบ้านบุกเบิก เพื่อประโยชน์ในการครองชีพ และในทางเศรษฐกิจของชาวบ้านแถบนั้นเอง เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งขณะที่พระอาจารย์ฝั้น ฯ ได้แนะนำสั่งสอนให้ญาติโยมมีความขยันหมั่นเพียรในการทำมาหากิน ท่านได้แนะนำให้ปลูกกล้วยปลูกอ้อยให้มากขึ้นด้วย จะได้มีอยู่มีกินไม่อดอยากยากแค้น โยมคนหนึ่งได้ค้านขึ้นว่า หมู่บ้านแถบนี้พื้นที่ไม่อุดมสมบูรณ์ ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นเสียแรงเปล่า ๆ ต่อให้เทวดาหน้าไหนมาปลูกก็ไม่ได้ผล พระอาจารย์ฝั้น ฯ จึงถามว่าได้ลองปลูกดูแล้วหรือยัง โยมผู้นั้นตอบว่า ยัง พระอาจารย์ฝั้น ฯ จึงสั่งสอนว่า เพราะพวกเราพากันขี้เกียจเช่นนี้แหละถึงได้พากันอดอยาก ขาดแคลนกันมาเรื่อย มัวแต่พูดมัวแต่คิดว่าทำไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยลงมือทำเลย แล้วจะรู้ผลได้อย่างไรว่าปลูกขึ้นหรือไม่ขึ้น หากปลูกไม่ขึ้นจริง ๆ แล้วบรรดาต้นไม้ต่าง ๆ เหล่านี้มันจะอยู่ได้อย่างไร ถึงภูเขานี้เองก็เถอะ ถ้าปลูกลงไปมันก็ขึ้นได้เหมือนกัน แล้วพระอาจารย์ฝั้นก็สั่งให้ญาติโยมหาหน่อกล้วยขึ้นไปปลูกดูบนภูเขา เพื่อลองดูว่ามันจะขึ้นได้หรือไม่ พร้อมกันนั้น ก็พาญาติโยมรวมทั้งโยมที่ค้านท่านไปปรับพื้นที่ตรงที่เป็นป่ากล้วยทุกวันนี้ด้วยกันทุกคน ต่อ ๆ มา พวกโยมก็แบกหน่อกล้วยขึ้นไปปลูกวันละต้นสองต้น ในที่สุดกล้วยที่ปลูกก็เจริญงอกงามจนเป็นป่ากล้วยอยู่ในปัจจุบัน และไร่สวนในบริเวณถ้ำขาม ก็เกิดขึ้นอย่างมากมายตามกันมา นับว่าพระอาจารย์ฝั้น ฯ ได้เป็นผู้บุกเบิกนำความเจริญไปสู่หมู่บ้านนั้นอย่างแท้จริง ในพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๙ พระอาจารย์ฝั้น ฯ ลงไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ เพราะบรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายได้อ้อนวอนขออาราธนาท่านลงไปจำพรรษาอยู่ที่นั่น ออกพรรษาแล้วท่านก็กลับขึ้นไปบนถ้ำขามและนำสานุศิษย์ในการบูรณะ กับก่อสร้างถาวรวัตถุเพิ่มขึ้นตามลำดับ ในพรรษา พ.ศ. ๒๕๐๐ มีพระและเณรจำพรรษาอยู่กับท่านรวม ๗ รูป เหมือนปีก่อน ปีต่อมาก็ยังคงจำนวนเดิม แต่ในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ มีพระและเณรจำพรรษาเพิ่มขึ้นเป็น ๙ รูป ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ เพิ่มเป็น ๑๕ รูป จนเกินกำลังของผู้ที่จะให้ความอุปัฏฐาก ยังความลำบากแก่พระและเณรในกลางพรรษาเป็นอันมาก ในพรรษาต่อมาท่านจึงตัดจำนวนลง คือในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ มีพระและเณรจำพรรษาลดลงเหลือ ๙ รูป และปีพ.ศ. ๒๕๐๕ ลดลงอีกเหลือ ๖ รูป เมื่อออกพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๐๕ แล้ว พระอาจารย์ฝั้น ฯ ได้ลงไปพักที่วัดป่าอุดมสมพร ในฤดูแล้งของปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ท่านได้นำญาติโยมพัฒนาเส้นทางจากโรงเรียนบ้านม่วงไข่ไปบ้านหนองโดกโดยช่วยดูแลเป็นกำลังใจแก่ชาวบ้านอย่างใกล้ชิด เป็นเวลาถึง ๕ – ๖ วัน การตรากตรำคร่ำเคร่งงานในขณะสังขารกำลังร่วงโรยเช่นนี้ เป็นเหตุให้ท่านป่วยหนักถึงขนาดต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลจังหวัดสกลนคร หลังจากนั้นประมาณ ๒ สัปดาห์ เมื่ออาการทุเลาลงแล้ว จึงกลับไปพักฟื้นที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ และได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ อีกพรรษาหนึ่ง เพราะขณะนั้นท่านมีอายุมากแล้ว และมีโรคภัยเบียดเบียนด้วย คณะแพทย์และสานุศิษย์เห็นว่าการเดินขึ้นลงที่ถ้ำขามต้องออกกำลังมาก อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของท่านได้ จึงวิงวอนให้ท่านพักจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ไปพลางก่อน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ท่านจะจำพรรษาอยู่ที่วัดนั้นเพื่อเป็นการพักฟื้น แต่บรรดาญาติโยมทั้งใกล้และไกลก็ยังพากันไปนมัสการอยู่ไม่ขาด ท่านเองก็เมตตาต้อนรับ และเทศนาอบรมสั่งสอนโดยมิเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย นับเป็นอันตรายต่อสุขภาพของท่านเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ท่านยังมีภารกิจในการอบรมพระภิกษุสามเณร โดยเฉพาะนวกภิกษุผู้บวชใหม่ไปพร้อมกันด้วย ทั้งยังได้นำการพัฒนาวัด โดยขุดลอกขยายสระหนองแวงให้กว้างและลึกจนเป็นรูปสระใหญ่ สร้างโบสถ์น้ำขึ้นในแบบได้ประโยชน์ใช้สอยและถูกต้องตามพระวินัยบัญญัติ โดยหลีกเลี่ยงความวิจิตรพิสดารในการตกแต่งอย่างสิ้นเชิง สำหรับกุฏิที่พักก็ได้สร้างขึ้นใหม่เท่าที่มีความจำเป็นเท่านั้น ในปี ๒๕๐๗ พระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี ผู้ซึ่งจากไปเทศนาอบรมสั่งสอนประชาชนทางภาคใต้ติดต่อกันมาถึง ๑๕ ปี ได้เดินทางกลับมาทางภาคอีสาน และได้แวะเข้าไปเยี่ยมเยียนพระอาจารย์ฝั้น ที่พรรณานิคมด้วย วันหนึ่งท่านได้เดินขึ้นไปบนถ้ำขาม พอเห็นสภาพบนถ้ำขามเข้าแล้วท่านก็ชอบใจ จึงได้พักวิเวกและจำพรรษาอยู่บนนั้น ปรากฏว่าในระหว่างพรรษาท่านสามารถบำเพ็ญความเพียรอย่างเต็มที่ เพราะพระภิกษุสามเณรที่ร่วมพรรษาด้วย ล้วนเป็นสานุศิษย์ของพระอาจารย์ฝั้น แต่ละรูปได้รับการอบรมจากพระอาจารย์ฝั้นอย่างดีมาแล้วทั้งนั้น จึงไม่เป็นภาระที่ท่านจะต้องหนักใจหรือสืบต่อการอบรมแต่ประการใด ความเหมาะสมในการวิเวกบำเพ็ญความเพียรบนถ้ำขามนั้น พระอาจารย์ขาว อนาลโย ก็พอใจเช่นเดียวกัน กล่าวคือในการพาคณะศิษย์ของท่านขึ้นไปพัก เพื่อเยี่ยมเยียนพระอาจารย์เทสก์ ในวันหนึ่ง ท่านถึงกับเอ่ยปากขอแลกสถานที่กับพระอาจารย์เทสก์ โดยขอให้พระอาจารย์เทสก์ไปอยู่ดูแลวัดถ้ำกลองเพลแทนท่าน ส่วนท่านเองจะขออยู่บนวัดถ้ำขามเอง แต่ไม่สำเร็จ ในปีต่อ ๆ มา พระอาจารย์ฝั้นยังคงไป ๆ มา ๆ ระหว่างวัดป่าอุดมสมพร วัดป่าภูธรพิทักษ์ และวัดป่าถ้ำขาม แต่ไม่ว่าท่านจะไปพำนักอยู่ที่ใด บรรดาผู้คนจะพากันไปกราบไหว้นมัสการท่านอย่างเนืองแน่น ทุกคนได้รับการต้อนรับจากท่านอย่างเสมอหน้า ไม่เด็กไม่มีผู้ใหญ่ ไม่มีคนมีคนจน ไม่มีเจ้านายหรือบ่าวไพร่ ทุกคนได้รับความเมตตาปรานีเสมอกันหมด ตลอดเวลาที่ผ่านไป ท่านไม่เคยกระตือรือร้นในอันที่จะต้อนรับใครผู้ใดเป็นพิเศษ ทั้งไม่เคยย่อท้อในการเอาธุระแนะนำสั่งสอนอบรมเทศนาแก่ผู้คนทุกหมู่ทุกเหล่า ท่านเป็นนักสร้างคน คือสร้างคนให้เป็นคนที่สมบูรณ์ ท่านได้แก้ไขผู้ประพฤติเป็นพาลเกเรเบียดเบียนข่มเหงรังแก สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นโดยการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ ตลอดจนผู้ติดอบายมุขต่าง ๆ ให้บังเกิดความสำนึกตนและละเว้นจากการประพฤติมิชอบเป็นผลสำเร็จมามากต่อมาก เมตตาบารมีธรรมของท่าน กว้างใหญ่ใหญ่ไพศาลขึ้นทุกที แต่ละปีที่ล่วงไป ผู้คนที่หลั่งไหลไปนมัสการท่านเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่มีวันจบสิ้น จนกระทั่งในระยะหลัง ๆ บรรดาสานุศิษย์และนายแพทย์ได้กราบวิงวอนท่านครั้งแล้วครั้งเล่า ให้บรรเทาการรับแขกลงเสียบ้าง ท่านจะได้มีเวลาพักผ่อนมากยิ่งขึ้น เพราะนับวันที่ผ่านไปสังขารของท่านได้ทรุดโทรมลงไปมาก ทั้งยังล้มป่วยลงบ่อย ๆ อีกด้วย แต่ท่านไม่ยอมกระทำตาม ซึ่งทุกคนก็ตระหนักดีในเหตุผลว่าเป็นการขัดต่อเมตตาธรรมที่ท่านยึดถือปฏิบัติมาตลอด ความตรากตรำในการแผ่บารมีธรรมของท่านนี้เอง เป็นมูลเหตุสำคัญให้ท่านเกิดอาพาธอย่างฉับพลัน เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๑๙ จึงได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสกลนคร แต่อาการของท่านไม่ดีขึ้น จึงได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ในกรุงเทพมหานครอีกระยะหนึ่ง โดยอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รักษาตัวอยู่ได้ระยะหนึ่ง พระอาจารย์ฝั้นก็ขอกลับวัด กลับมาคราวนี้ คณะศิษย์ได้ร่วมกันสร้างกุฏิหลังใหม่ให้ท่านพักอาศัย โดยยกพื้นขึ้นมาบนสระหนองแวง ข้างโบสถ์น้ำและทำรั้วกั้นเพื่อมิให้ผู้คนเข้าไปรบกวนท่านด้วย แต่การของท่านก็ยังไม่ดีขึ้น มีแต่ทรงกับทรุดอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๒๐ ได้เกิดอาการโรคแทรกซ้อนขึ้นอย่างรุนแรง และกะทันหัน ท่านจึงต้องทิ้งขันธ์ธาตุของท่านไปด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา ๑๙.๕๐ นา. ของวันเดียวกัน ข่าวมรณภาพแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว สานุศิษย์และญาติโยมทั้งหลายต่างหลั่งไหลไปคารวะศพของท่าน แต่ละคนพบกันด้วยสีหน้าอันหม่นหมอง หลายต่อหลายคนบรรยายความรู้สึกในขณะนั้นด้วยน้ำตา เพราะไม่ทราบจะบรรยายถึงความเศร้าเสียใจให้สมบูรณ์ดีไปกว่านั้นได้อย่างไร ณ บัดนี้ พระภิกษุผู้เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้ารูปหนึ่ง ..... พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รู้แจ้งเห็นจริงในพระสัทธรรม ได้กระทำที่สุดแห่งทุกข์ ละสังขารขันธ์พ้นโลกดับสูญไปแล้ว จะเหลืออยู่ก็แต่ร่องรอยแห่งเมตตาบารมีธรรมอันสูงส่งของท่าน ซึ่งจะจารึกอยู่ในความทรงจำของบรรดาสานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปอย่างไม่มีวันลืมเลือน ที่มา : ประตูสู่ธรรม หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 19 มีนาคม 2011, 16:27:34 หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 07 เมษายน 2011, 17:51:37 8.หลวงปู่แหวน สุจิณโณ (http://www.bloggang.com/data/j/jit-apinya/picture/1255179567.jpg) ประวัติหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เดิมชื่อ ญาณ หรือ ยาน รามศิริ เกิดวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2430 วันจันทร์ ขึ้น 3 ค่ำ ปีกุน ณ บ้านนาโป่ง บ้างก็ว่า บ้านหนองบอน ตำบลหนองใน (ปัจจุบัน เป็น ตำบลนาโป่ง) อำเภอเมือง จังหวัดเลย ท่านเกิดในตระกูลช่างตีเหล็ก เป็นบุตรคนที่ 2 (คนสุดท้อง) ของ นายใส หรือ สาย กับ นางแก้ว รามศิริ มีพี่สาวร่วมท้องเดียวกัน 1 คน เมื่อหลวงปู่อายุประมาณ 5 ขวบ พอจำความได้บ้างว่า ก่อนที่มารดาจะเสียชีวิต ได้เรียกไปสั่งเสียว่า "ลูกเอ๋ย แม่ยินดีต่อลูก สมบัติใด ๆ ในโลกนี้ จะเป็นกี่ล้านกี่โกฏก็ตาม แม่ก็ไม่ยินดี และแม่จะยินดีมาก ถ้าลูกจะบวชให้แม่จนตายในผ้าเหลือง ไม่ต้องสึก ออกมามีเมีย นะลูกนะ" หลัง จากนั้นมารดาได้ถึงแก่กรรมลง ท่านจึงอยู่ในความดูแลของตากับยายขุนแก้ว อนึ่ง ยายของหลวงปู่ได้ฝันว่า เห็นหลานชายไปนั่งไปนอนอยู่ในดงขมิ้นจนเนื้อตัวเหลืองอร่ามน่าชม จึงได้มาร้องขอให้บวชเช่นเดียวกัน ท่านจึงรับปาก แล้วบวชพร้อมกับหลานยายอีกคน หนึ่ง ซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และมีศักดิ์เป็นน้า ยายได้นำหลานทั้ง 2 คน ไปถวายตัวต่อ พระอุปัชฌาย์ที่ วัดโพธิ์ชัย (มหานิกาย) ในหมู่บ้านนาโป่ง เพื่อฝึกหัดขานนาค ทำการบรรพชาเป็น สามเณรต่อไป ด้วยคำพูดของแม่ในครั้งนั้น เป็นเหมือนพรสวรรค์คอยเตือนสติอยู่ตลอดเวลา มันเป็นคำสั่ง ที่ก้องอยู่ในความทรงจำมิรู้เลือน จนในที่สุดท่านก็ได้บวชตามความประสงค์ของมารดาและใช้ชีวิต อยู่ในผ้าเหลืองจนตลอดอายุขัย ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา หลวงปู่ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อปี พ.ศ. 2439 มีอายุได้ 9 ปี ที่วัดโพธิ์ชัย บ้าน นาโป่ง ตำบลนาโป่ง อำเภอเมือง จังหวัดเลย มีพระอาจารย์คำมา เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระ อาจารย์อ้วน เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ชัย เป็นพระพี่เลี้ยง เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว จึงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น แหวน อยู่จำพรรษาที่วัดโพธิ์ชัยนั่น เอง พอเข้าพรรษาได้ประมาณ 2 เดือน สามเณรผู้มีศักดิ์เป็นน้าที่บวชพร้อมกันเกิดอาพาธหนัก ถึงแก่มรณภาพไป ทำให้ท่านสะเทือนใจมาก เนื่องจากวัดโพธิ์ชัยไม่มีการศึกษาเล่าเรียนเพราะขาดครูสอน ท่านจึงอยู่ตามสบายคือ สวดมนต์ไหว้พระบ้างเล่นบ้างตามประสาเด็ก ต่อมาได้ถูกส่งไปเรียนมูลกัจจายน์ ที่ วัดสร้างก่อ อำเภอหัวสะพาน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งในสมัยนั้น จังหวัดอุบลราชธานีมีสำนักเรียน ที่มีชื่อเสียง มีครูอาจารย์สอนกันเป็นหลักเป็นฐานหลายแห่งเช่น สำนักเรียนบ้านไผ่ใหญ่ บ้านเค็งใหญ่ บ้านหนองหลัก บ้านสร้างก่อ ทั่วอีสาน 15 จังหวัด (ในสมัยนั้น) ใครต้องการศึกษาหาความรู้ ต้องมุ่งหน้า ไปเรียนมูลกัจจายน์ ตามสำนักดังกล่าว ผู้เรียนจบหลักสูตร ได้ชื่อว่าเป็นปราชญ์ เพราะเป็นหลักสูตรที่เรียนยากมีผู้เรียนจบกันน้อยมาก ภายหลังสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตรใหม่ ดังเป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้การเรียนมูลกัจจายน์ถูกลืมเลือน ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนที่สำนักนี้หลายปี จนอายุครบบวชพระ จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ฝ่ายมหานิกายที่ วัดสร้างก่อนอก อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี พระอาจารย์แว่น เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อประมาณ พ.ศ. 2451 ในระยะที่เรียนหนังสืออยู่นั้น ท่านเกิดความว้าวุ่นใจเพราะ ท่านอาจารย์อ้อน อาจารย์เอี่ยม ครูผู้สอนหนังสือเกิดอาพาธ ด้วยโรค นอนไม่หลับ ท่านจึงแนะนำให้ลาสิกขาบท เผื่อโรคอาจจะหายได้ หายแล้วหากยังอาลัยในสมณเพศ เมื่อได้โอกาสก็ให้กลับมาบวชใหม่อีก ท่านอาจารย์ทำตาม ปรากฏ ว่าโรคหายดี แต่ต่อมาพระผู้เป็นอาจารย์สอนหนังสือ คือ อาจารย์ชม อาจาาย์ชาลี และท่านอื่น ๆ ลาสิกขา ไปมีครอบครัวกันหมดสำนักเรียนจึงต้องหยุดชงักลง ในที่สุด ท่านจึงเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า บรรดาครูอาจารย์เหล่านั้น สึกออกไปล้วนเพราะ อำนาจของกามทั้งสิ้น จึงระลึกนึกถึง คำเตือนของแม่และยาย และเกิดความคิดขึ้นมาว่าการออกปฏิบัติ เป็นทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้บวชอยู่ได้ตลอดชีวิต เหมือนกับครูบา อาจารย์ทั้งหลายที่ได้ออกไป ปฏิบัติอยู่กันตามป่าเขา ไม่อาลัยอาวรณ์อยู่กับหมู่คณะ จึงได้ตัดสินใจไปหาอาจารย์ ที่เมืองสกลนคร ท่านได้ตั้งสัจจาธิษฐาน ขออุทิศชีวิตพรหมจรรย์แด่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หลัง จากตั้งจิตอธิษฐานแล้ว ท่านมีความรู้สึก ปลอดโปร่ง เบากายเบาใจ อยู่มา 2-3 วัน โยมอุปัฏฐาก ได้มาบอกว่า พระอาจารย์จวง วัดธาตุเทิง อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ได้ไปกราบ ญาคูมั่น พึ่งกลับมา ท่านจึงได้ไปนมัสการพระอาจารย์จวง เพื่อขอทราบที่อยู่ของ หลวงปู่มั่น ด้วยรู้สึกศรัทธา ในกิตติศัพท์ ความเก่งกล้าสามารถของหลวงปู่มั่นยิ่งนัก จากนั้น ท่านก็ได้ออกธุดงค์มุ่งสู่สำนักของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต โดยผ่านม่วงสามสิบ คำเขื่อนแก้ว ยโสธร เลิงนกทา มุกดาหาร คำชะอี นาแก สกลนคร พรรณานิคม สว่างแดนดิน หนองหาน อุดรธานี บ้านผือ ซึ่งนับเป็นการเดินทางไกล และยาวนานเป็นครั้งแรก จนได้เข้าพบ หลวงปู่มั่น ที่ดงมะไฟ บ้านค้อ คำแรกที่หลวงปู่มั่นสั่งสอนก็คือ "ต่อไปนี้ให้ภาวนา ความรู้ที่เรียนมา ให้เอาใส่ตู้ไว้ก่อน" ซึ่งทำให้ท่านรู้สึกยินดีมาก เพราะได้บรรลุ สิ่งที่ตั้งใจ หลังจากอยู่กับหลวงปู่มั่นได้ 4 วัน พี่เขยและน้าเขย ก็มาตามให้กลับไปเยี่ยมโยมพ่อ ที่ ไม่ได้พบกันมานาน 10 ปี จึงเข้าไปกราบลา หลวงปู่มั่น และได้รับคำเตือนว่า "ไปแล้วให้ รีบกลับมา อย่าอยู่นาน ประเดี๋ยวจะเสียท่าเขา ถูกเขามัดไว้แล้วจะดิ้นไม่หลุด" ท่านได้กลับไปเยี่ยมบ้านในปี พ.ศ.2461 เป็นที่นับถือศรัทธาของประชาชน ในแถบบ้านเกิดมาก หลั่งไหลกันมากราบอย่างไม่ขาดสาย จนทำให้พักผ่อนไม่พอ และล้มป่วยลงต้องพักรักษาตัว อยู่หนึ่งเดือนเต็ม ด้วยจิตที่ระลึกถึงคำสั่งของพระอาจารย์ว่า "อย่าอยู่นานให้รีบกลับ มาภาวนา" กับคำสั่งเสียของแม่ว่า "แม่ยินดีมากถ้าลูกจะบวชให้แม่ แล้วก็ให้ตายกับผ้าเหลือง" ทำให้ท่านตัดสินใจ รีบเดินทางกลับ ไปอยู่รับการอบรมภาวนาต่อ แล้วจึงได้แยกไปหาที่วิเวก บำเพ็ญสมาธิภาวนา ตามความเหมาะสมกับจิตของตน เมื่อถึงวันอุโบสถ จึงได้ถือโอกาสเข้า นมัสการถามปัญหาข้อข้องใจ ในการปฏิบัติจากหลวงปู่มั่น จนเป็นที่เข้าใจแล้ว จึงกลับสู่ที่ปฏิบัติ ของตนดังเดิม โดยยึดมั่นในคำเตือนของหลวงปู่มั่นว่า "ให้ตั้งใจภาวนา อย่าได้ประมาท ให้มี สติอยู่ทุกเมื่อ จงอย่าเห็นแก่การพักผ่อนหลับนอนให้มาก" ในระยะแรกออกปฏิบัตินั้น ท่านไม่ได้ร่วมทำสังฆกรรม ฟังการสวดปาติโมกข์ เพราะ ยังไม่ได้ญัตติเป็นธรรมยุต พระมหานิกาย ที่ได้รับการอบรม จากท่านหลวงปู่มั่นครั้งนั้น มีหลายรูป เมื่ออยู่ไปนาน ๆ ได้เห็นความไม่สะดวก ในการประกอบสังฆกรรมดังกล่าว จึงไปกราบขออนุญาตให้ญัตติเป็นธรรมยุต ซึ่งบางรูปก็ได้รับอนุญาต บางรูปก็ไม่ได้รับอนุญาต โดยหลวงปู่มั่น ให้เหตุผลว่า "ถ้าพากันมา ญัตติเป็นพระธรรมยุตเสียหมดแล้ว ฝ่ายมหานิกายจะไม่มีใครมาแนะ นำในการปฏิบัติ มรรคผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิกาย แต่ขึ้นอยู่กับการ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามธรรมวินัย ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำสั่งสอนไว้แล้ว ละในสิ่งที่ควรเว้น เจริญในสิ่งที่ควรเจริญ นั่น แหละ คือ ทางดำเนินไปสู่มรรคผลนิพพาน" ประมาณ พ .ศ.2464 ท่านได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อพำนักและศึกษาธรรม กับ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) แห่งวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ ซึ่งหลวงปู่มั่นยกย่องอยู่เสมอ ว่าเชี่ยวชาญทั้งทางการเทศน์ และการปฏิบัติธรรม หลังจากที่ท่านได้รับฟังธรรม และเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย พม่า และเชียงตุง จากท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ แล้ว ก็ได้จาริกไปพม่า อินเดีย โดยผ่านทาง แม่ฮ่อง สอน จังหวัดตาก ข้ามแม่น้ำเมย ขึ้นฝั่งพม่าต่อไปยังขลุกขลิก มะละแหม่ง ข้ามฟากไปถึง เมาะตะมะ ขึ้นไปพักที่ดอยศรีกุตระ กลับมามะละแหม่ง แล้วโดยสารเรือไปเมืองกัลกัตตา ประเทศ อินเดีย แล้วต่อรถไฟไปเมืองพาราณสี เที่ยวนมัสการปูชนียสถานต่าง ๆ แล้วจึงกลับโดยเส้นทางเดิม ถึงฝั่งไทยที่อำเภอแม่สอด เดินเที่ยวอำเภอสามเงา ปีต่อมา เดือนตุลาคม ท่านได้จาริกธุดงค์ไปเชียงตุง และ เชียงรุ้ง ในเขตพม่า โดยออก เดินทางไปด่านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ผ่านหมู่บ้านชาวเขา พักตามป่าเขา จาริกผ่าน เชียงตุง แล้วต่อไปทางเหนือ อันเป็นถิ่นชาวเขา เช่น จีนฮ่อ ซึ่งอยู่ตามเมืองแสนทวี ฝีฝ่า หนองแส บางเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง พอฝนตกชุกจวนเข้าพรรษา ก็กลับเข้าเขตไทย นับได้ว่า ท่านได้ธุดงค์จาริกไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่งในและนอกประเทศ ส่วนใหญ่จะพำนักอยู่ในเขต จังหวัดอุบลฯ อุดรฯ และตั้งใจจะไปให้ถึงสิบสองปันนา สิบสองจุไท แต่ทหารฝรั่งเศสห้ามเอาไว้ จึงไปถึง วัดใต้หลวงพระบาง แล้วก็กลับพร้อมกับหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ทางภาคเหนือ ท่านได้มุ่งเดินทางไป ค่ำไหนนอนนั่น จากอำเภอท่าลี่ จังหวัดเลยออกไป อำเภอด่านซ้าย ผ่านอำเภอน้ำปาด อำเภอนครไทย อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ตัดไปอำเภอ นาน้อย แพร่ หมู่บ้านชาวเย้า อำเภอสูงเม่น อำเภอเด่นชัย ลำปาง แล้วต่อไปยังเชียงใหม่ เที่ยวดูภูมิประเทศโดยรอบเขาดอยสุเทพ ท่านได้รับความเมตตาจาก ท่านเจ้าคุณพระอุปาลีคุณูปมาจารย์ ด้วยดีตลอดมา ประมาณ ปี พ.ศ.2470 ท่านเจ้าคุณเห็นว่า หลวงปู่แหวน เป็นผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ มีวิริยะอุตสาหะปรารภ ความเพียรสม่ำเสมอไม่ท้อถอย มีข้อวัตรปฏิบัติดี มีอัธยาศัยไมตรีไม่ขึ้นลง คุ้นเคยกันมานาน เห็น สมควรจะได้ญัตติเสีย หลวงปู่แหวนจึงตัดสินในเป็นพระธรรมยุต ที่พัทธสีมา วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) เป็นพระอุปัชฌาย์ มี พระนพีสิ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ต่อมา หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ซึ่งเคยเป็นสหธรรมิกร่วมธุดงค์กัน ก็ ได้ญัตติเป็นธรรมยุตเหมือนกัน ในระหว่างที่จาริกแสวงหาวิเวกอยู่ทางภาคเหนือนั้น ท่านได้พบกับหลวงปู่ขาว อนาลโย และได้แยกย้ายกันจำพรรษา ตามป่าเขา ท่านเคยได้แยกเดินทางทุ่งบวกข้าว จนถึงป่าเมี่ยงขุนปั๋ง พอออกพรรษา หลวงปู่มั่น พระอาจารย์พร สุมโน ได้มาสมทบที่ป่าเมี่ยงขุนปั๋ง ขณะนั้น พระอาจารย์เทสก์ เทสรํสี พระอาจารย์อ่อน ญาณสิร ิมาร่วมสมทบอีก เมื่อทุกท่านได้รับโอวาทจาก หลวงปู่มั่นแล้ว ต่างก็แยกย้าย กันไป หลวงปู่แหวนพร้อมหลวงปู่ขาว พระอาจารย์พร ไปที่ดอน มะโน หรือ ดอยน้ำมัว ส่วนหลวงปู่มั่น อยู่ที่กุฏิชั่วคราวที่ชาวบ้านสร้างถวาย ที่ป่าเมี่ยบขุนปั๋งนั่นเอง ภายหลังหลวงปู่มั่น เดินทางกลับอีสานแล้ว หลวงปู่แหวนยังคงจาริกแสวงวิเวกบำเพ็ญ ธรรมอยู่ป่าเมี่ยงแม่สาย หลวงปู่เล่าว่า อากาศทางภาคเหนือถูกแก่ธาตุขันธ์ดี ฉันอาหารได้มาก ไม่มีอาการอึดอัด ง่วงซึม เวลาภาวนาจิตก็รวมลงสู่ฐานสมาธิได้เร็ว นับว่าเป็นสัปปายะ ประมาณปี พ.ศ. 2474 ขณะที่หลวงปู่แหวนปฏิบัติธรรมอยู่ที่เชียงใหม่ ได้ทราบข่าวว่า ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ ประสบอุบัติเหตุ ขณะขึ้นธรรมาสน์เพื่อแสดงธรรมถึงขาหัก จึงเดินทางจาก เชียงใหม่มากรุงเทพฯ และแวะกราบเรียนให้หลวงปู่มั่นทราบที่อุตรดิตถ์ แล้วเดินทางโดยรถไฟ ถึงโกรกพระ นครสวรรค์ ลงเดินเลียบแม่น้ำเจ้าพระยามาถึงวัดคุ้งสำเภา พักค้างคืนหนึ่ง แล้วลง เรือล่องมา ถึงกรุงเทพฯ เฝ้าพยาบาลท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ นานหนึ่งเดือน จึงกราบลาไปจำพรรษา ที่เชียงใหม่ ปี พ.ศ.2498 ท่านจำพรรษาที่ วัดบ้านปง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เกิดอาพาธ แผลที่ขาอักเสบ ทรมานมาก ท่านจำพรรษา อยู่รูปเดียว ชาวบ้านไม่เอาใจใส่ ได้ท่านพระอาจารย์ หนู สุจิตฺโต วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ พาหมอมาจี้ มาทำการผ่าตัด โดยไม่ต้องฉีดยาชา ใช้มีดผ่าตัดเพียงเล่มเดียว ท่านมีความอดทนให้กระทำจนสำเร็จและหายได้ในที่สุด อีกหลายปีต่อมา พระอาจารย์หนูเห็นว่า หลวงปู่แก่มากแล้ว ไม่มีผู้อุปัฏฐาก จึงได้ชักชวน ญาติโยมไปนิมนต์ให้ ท่านมาจำพรรษาที่ วัดดอยแม่ปั๋ง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2505 ในฐานะพระผู้เฒ่า ทำหน้าที่ปฏิบัติธรรมอย่างเดียว ไม่ต้องเกี่ยงข้องกับภาระหน้าที่อื่นใด และท่านก็ได้ตั้งสัจจะว่า จะไม่รับนิมนต์ ไม่ขึ้นรถ ไม่ลงเรือ แม้ที่สุดจะเกิดอาพาธหนักเพียงใด ก็จะไม่ยอมเข้านอนโรงพยาบาล ถึงธาตุขันธ์ จะทรงอยู่ต่อไปไม่ได้ ก็จะให้สิ้นไปในป่าอันเป็นที่อยู่ แล้วท่านก็ได้ปฏิบัติตามที่ตั้งใจไว้ได้ นับตั้งแต่ท่านขึ้นไปภาคเหนือแล้ว ท่านก็ไม่เคยไปจำพรรษาที่ภาคอื่นอีกเลย ท่านเคยอยู่บน ดอยสูงกับชาวเขาเกือบทุกเผ่า อยู่ในป่าเขาภาคเหนือตอนบน เช่น เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ส่วนภาคเหนือตอนล่าง เช่น แพร่ น่าน ตาก กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก ท่าน เคยจาริกไปครั้งคราว จึงนับได้ว่า วัดดอยแม่ปั๋ง เป็นสถานที่ซึ่ง หลวงปู่อยู่จำพรรษามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 จวบจนมรณภาพ หลวงปู่แหวน มีโรคประจำตัวคือ เป็นแผลเรื้อรังที่ก้นกบยาวประมาณ 1 ซม. มีอาการคัน ถ้าอักเสบก็จะเจ็บปวดมาก และอีกโรคหนึ่ง คือ เป็นต้อกระจกนัยน์ตาด้านซ้าย เป็นต้อหินนัยน์ตาด้าน ขวา หมอได้เข้าไปรักษาเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2518 ซึ่งรักษาแล้ว สุขภาพก็ยังแข็งแรงตามวัย แต่ ต่อมาปี 2519 ร่างกายเริ่มซูบผอม อ่อนเพลีย ฉันอาหารได้น้อย ขาทั้ง 2 เป็นตะคริวบ่อย ต่อมา 2520 สุขภาพทรุด ค่อนข้างซูบเหนื่อยอ่อน เวียนศีรษะถึงกับเซล้มลง และประสบอุบัติเหตุขณะครอง ผ้าจีวรในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2522 ซึ่งเป็นวันที่ทางวัดจัดงานผูกพัทธสีมา ส่งผลให้เจ็บบั้นเอวและ กระดูดสันหลัง ลุกไม่ได้ ต้องนอนอยู่กับที่ รักษาอยู่เดือนหนึ่ง ก็หายเป็นปกติ แต่เนื่องจากหลวงปู่อายุ มากแล้ว จึงมีอาการอาพาธมาโดยตลอด คณะแพทย์ก็คอยให้การรักษาด้วยดีเช่นกัน จนกระทั่งใน วัน อังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2528 เวลา 21.53 น. การหายใจครั้งสุดท้ายก็มาถึง หลวงปู่ท่านได้ละร่าง อันเป็นขันธวิบากไปด้วยอาการสงบ สิริรวมอายุได้ 98 ปี ธรรมโอวาท หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ได้แสดงธรรมโอวาทหลายเรื่อง เช่นเรื่อง ของเก่าปกปิดความจริง ที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า การพิจารณาต้องน้อมเข้ามาสู่ภายใน พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง เมื่อรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว มัน ก็วางเอง คูบาญาปู่มั่น ท่านว่า "เหตุก็ของเก่านี้แหละ แต่ไม่รู้ว่าของเก่า" ของเก่านี่แหละมันบังของ จริงอยู่นี่ มันจึงไม่รู้ ถ้ารู้ว่าเป็นของเก่า มันก็ไม่ต้องไปคุย มีแต่ของเก่าทั้งนั้นตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ของเก่า เวลามาปฏิบัติภาวนา ก็พิจารณาอันนี้แหละ ให้มันรู้แจ้งเห็นจริง ให้มันรู้แจ้งออกมาจาก ภายใน มันจึงไปนิพพานได้ นิพพานมันหมักอยู่ในของสกปรกนี่ มันจึงไม่เห็น พลิกของสกปรกออก ดูให้เห็นแจ้ง นักปราชญ์ท่านไม่ละความเพียร เอาอยู่อย่างนั้นแหละ เอาจนรู้จริงรู้แจ้ง ทีนี้มันไม่มาเล่น กับก้อนสกปรกนี้อีก พิจารณาไป พิจารณาเอาให้นิพพานใสอยู่ในภายในนี่ ให้มันอ้อ นี่เอง ถ้ามันไม่ อ้อหนา เอาให้มันถึงอ้อ จึงใช้ได้ ครั้นถึงอ้อแล้วสติก็ดี ถ้ามันยังไม่ถึงแล้ว เต็มที่สังขารตัวนี้ พิจารณาให้มันรู้แจ้งเห็นจริงใน ของสกปรกเหล่านี้แหละ ครั้นรู้แจ้งเข้า รู้แจ้งเข้า มันก็เป็นผู้รู้พระนิพพานเท่านั้น จำหลักให้แม่น ๆ มันไม่ไปที่ไหนหละ พระนิพพาน ครั้นเห็นนิพพานได้แล้ว มันจึงเบื่อโลก เวลาทำก็เอาอยู่นี่แหละ ใครจะว่าไปที่ไหน ก็ตามเขา ละอันนี่แหละทำความเบื่อหน่ายกับอันนี้แหละ ทั้งก้อนนี่แหละ นักปฏิบัติต้องพิจารณาอยู่นี่แหละ ชี้เข้าไปที่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ให้พิจารณา กาย พิจารณาใจ ให้เห็นให้เกิดความเบื่อหน่าย การต่อสู้กามกิเลส เป็นสงครามอันยิ่งใหญ่ กามกิเลสนี้ร้ายนัก มันมาทุกทิศทุกทาง หาก พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง ก็ถอนได้ กามกิเลสนี้แหละ เป็นบ่อเกิดแห่งการฆ่ากันตาย ชิงดีชิงเด่น กิเลสตัวเดียว ทำให้มีการต่อสู้ แย่งชิงกัน ทั้งความรักความชัง จะเกิดขึ้นในจิตใจก็เพราะกาม นักปฏิบัติต้องเอาให้หนักกว่าธรรมดา ทำใจของตนให้แน่วแน่ มันจะไปสงสัยที่ไหน ก็ของเก่า ปรุงแต่งขึ้นเป็นความพอใจไม่พอใจ มันเกิดมันดับอยู่นี่ ไม่รู้เท่าทันมัน ถ้ารู้เท่า ทันมัน ก็ดับไป ถ้า จี้มันอยู่อย่างนี้ มันก็ค่อยลดกำลังไป ตัดอดีต อนาคตลงให้หมด จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน ทำในปัจจุบัน แจ้งอยู่ในปัจจุบัน ปัจฉิมบท หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เป็นพระมหาเถระ ซึ่งได้ดำเนินชีวิตของท่านอยู่ในเพศของบรรพชิต มาตั้งแต่อายุเยาว์วัย เป็นพระนักศึกษา และนักปฏิบัติธรรมมาโดยตลอด เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยศีลลา จารวัตร ทั้งที่เมื่อยังเป็นพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย และ เป็นฝ่ายธรรมยุตแล้ว ดังที่ หลวงปู่มั่น เคยแสดงเหตุผลว่า "มรรคผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิกาย" หลวงปู่แหวน เป็นผู้เปี่ยมด้วยเมตตาบารมีธรรม เป็นปูชนียบุคคล ชาวพุทธให้ความ เคารพสักการะอย่างมาก เมตตาบารมีธรรมของท่าน ยังผลให้กุลบุตรกุลธิดาใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรม สืบสร้าง ความมั่นคงให้แก่พระศาสนา ทำให้เกิดมีการก่อสร้าง สิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ เช่น โรงพยาบาล วัด อาคาร ท่านได้อำนวย คุณประโยชน์ต่าง ๆ แก่สังคมสืบมาจนถึงปัจจุบัน ชีวิตร่างกายของท่านได้ดับสลายไป แต่คุณงามความดีของท่าน ยังตรึงแน่นอยู่ใน จิตสำนึกของพุทธศาสนิกชน อย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย เพราะท่านเป็นพระผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบในฐานะ พุทธชิโนรส เป็นเนื้อนาบุญ ของผู้ต้องการบุญในโลกนี้ ที่มา : ประตูสู่ธรรม หัวข้อ: Re: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน เริ่มหัวข้อโดย: todsapononline ที่ 07 พฤษภาคม 2011, 13:53:13 9.หลวงปู่ขาว อนาลโย (http://www.dhammathai.org/store/talk/data/imagefiles/94.jpg) ประวัติหลวงปู่ขาว อนาลโย ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัด หนองบัวลำภู นามเดิมชื่อ ขาว โคระถา เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม 2431 ที่บ้านชะเนง ตำบลหนองแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ โยมบิดาชื่อ พั่ว โยมมารดาชื่อ รอด โคระถา มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 7 คน ท่านเป็นคนที่ 4 อาชีพหลักของครอบครัว คือ ทำนาและค้าขาย เมื่อท่านอายุได้ 20 ปี บิดามารดาได้จัดให้มีครอบครัว ภรรยาของท่านชื่อ นางมี และได้มีบุตรด้วยกัน 3 คน ซึ่งต่อมาได้แยกทางกัน ท่านเป็นผู้มีนิสัยเด็ดเดี่ยวเอาจริงเอาจังมาก ประกอบกบความมีศรัทธาต่อหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา ซึ่งสอนให้คนทำจริง ในสิ่งที่ควรทำ เมื่อท่านได้บวชในพระพุทธศาสนา ท่านจึงรู้สึกซาบซึ้งในหลักธรรมมากยิ่งขึ้นโดยลำดับ ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา ชีวิตสมณะของท่าน เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2462 เมื่อท่านอายุได้ 31 ปี โดยอุปสมบทที่วัดโพธิ์ศรี บ้านบ่อชะเนง ตำบลหนองแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ โดยมีท่านพระครูพุฒิศักดิ์เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระอาจารย์บุญจันทร์ เป็นพระกรราวาจาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านได้จำพรรษาที่วัดโพธิ์ศรี เป็นเวลา 6 พรรษา เนื่องจากท่านได้บังเกิดศรัทธาในปฏิปทาของพระอาจารย์มั่น หลวงปู่จึงได้ญัตติเป็นพระธรรมยุติ เมื่อปี พ.ศ.2468 อายุได้ 37 ปี ณ พัทธสีมา วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี โดยมีพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วได้จำพรรษาอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี เป็นเวลา 8 ปี จากนั้นได้เดินธุดงค์ตาม ท่านพระอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ไปปฏิบัติธรรมในสถานที่ต่างๆ ท่านออกเดินทางทุกปี และได้สมบุกสมบันไปแทบทุกภาคของประเทศ นอกจากนี้ ท่านยังได้เคยเดินธุดงค์ร่วมกับ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นเวลารวมกันหลายปีอีกด้วย ท่านได้สร้างบารมีอยู่ในป่าเขาเป็นเวลายาวนาน มีประสบการณ์มากมายเกี่ยวกับสัตว์ป่าทั้งหลาย เช่น สิง ค่าง ช้าง เสือ เวลาท่านนึกถึงอะไร สิ่งนั้นมักจะมา ตามความรำพึงนึกคิดเสมอ เช่น นึกถึงช้าง ว่าหายหน้าไปไหนนานไม่ผ่านมาทางนี้เลย พอตกกลางคืนดึกๆ ช้างก็จะมาหาจริงๆ และ เดินตรงมายัง กุฏิที่ท่านพักอยู่ พอให้ท่านทราบว่าเขามาหาแล้ว ช้างก็จะกลับเข้าป่าไป เวลาที่ท่านนึกถึงเสือ ก็เช่นกัน นึกถึงตอนกลางวัน ตกกลางคืนเสือก็มาเพ่นพ่าน ภายในวัดบริเวณที่ท่านพักอยู่ คุณหมออวย เกตุสิงห์ เขียนไว้ในประวัติอาพาธ ซึ่งเป็นภาคผนวกของหนังสืออนาลโยวาท ว่า เวลาท่านไม่สบายอยู่ในป่าเขา มักจะไม่ใช้หยูกยาอะไรเลย จะใช้แต่ธรรมโอสถ ซึ่งได้ผลทั้งทางร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆ กัน ท่านเคยระงับไข้ด้วยวิธีภาวนามาหลายครั้ง จนเป็นที่มั่นใจต่อการพิจารณาเวลาไม่สบาย ท่านพระอาจารย์หลวงตามหาบัว เล่าถึง หลวงปู่ขาว ในหนังสือ "ปฏิปทาของพระธุดงค์กรรมฐานสายพระอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต" ว่าหลวงปู่ขาว ได้บรรลุธรรมชั้นสุดยอดในราวพรรษาที่ 16-17 ในสถานที่ซึ่งมีนามว่าโรงขอด แห่งอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้เขียนเล่าไว้ว่า "เย็นวันหนึ่ง เมื่อปัดกวาดเสร็จ หลวงปู่ขาว ออกจากที่พักไปสรงน้ำ ได้เห็นข้าวในไร่ชาวเขา กำลังสุกเหลืองอร่าม ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาในขณะนั้นว่า ข้าวมันงอกขึ้นมา เพราะมีอะไรเป็นเชื้อพาให้เกิด ใจที่พาให้เกิดตายอยู่ไม่หยุด ก็น่าจะมีอะไรเป็นเชื้ออยู่ภายในเช่นเดียวกันกับเมล็ดข้าว เชื้อนั้น ถ้าไม่ถูกทำลายเสียที่ใจ ให้สิ้นไป จะต้องพาให้เกิดตายอยู่ไม่หยุด ก็แล้วอะไรเป็นเชื้อของใจเล่า ถ้าไม่ใช่กิเลสอวิชชา ตัณหาอุปาทาน ท่านคิดทบทวนไปมา โดยถืออวิชชา เป็นเป้าหมาย แห่งการวิพากษ์วิจารณ์ พิจารณาย้อนหน้าถอยหลัง อนุโลมปฏิโลมด้วยความสนใจอยากรู้ตัวจริงแห่งอวิชชา นับแต่หัวค่ำจนดึก ไม่ลดละการพิจารณาระหว่างอวิชชา กับ ใจ จวนสว่างจึงตัดสินใจกันลงได้ด้วยปัญญา อวิชชาขาดกระเด็นออกจากใจไม่มีอะไรเหลือ การพิจารณาข้าว ก็มายุติกันที่ข้าวสุก หมดการงอกอีกต่อไป การพิจารณาจิต ก็มาหยุดกันที่ อวิชชาดับ กลายเป็นจิตสุกขึ้นมา เช่นเดียวกับ ข้าวสุก จิตหมดการก่อกำเนิดเกิดในภพต่างๆอย่างประจักษ์ใจ สิ่งที่เหลือให้ชมอย่างสมใจ คือ ความบริสุทธิ์แห่งจิตล้วน ๆ ในกระท่อมกลางเขามีชาวป่าเป็นอุปัฏฐากดูแล ขณะที่จิตผ่านดงหนาป่ากิเลสวัฏฏ์ไปได้ แล้วเกิดความอัศจรรย์อยู่คนเดียวตอนสว่างพระอาทิตย์ก็เริ่มสว่างบนฟ้า ใจก็เริ่มสว่างจากอวิชชา ขึ้นสู่ธรรมอัศจรรย์ ถึงวิมุตติหลุดพ้นในเวลาเดียวกันกับพระอาทิตย์อุทัย ช่างเป็นฤกษ์งามยามวิเศษเสียจริง ท่านได้ธุดงค์จาริกไปตามถิ่นต่าง ๆ จนในที่สุดก็มาพำนักจำพรรษาอยู่ที่ วัดถ้ำกลองเพลอำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อ พ.ศ.2501 จวบจนมรณภาพ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2526 คุณหมออวย เกตุสิงห์ ได้เล่าเกี่ยวกับปัจฉิมกาลของท่านไว้ในหนังสือ อนาลโยวาท ว่าท่านทุพพลภาพอยู่ถึง 9 ปี แต่สุขภาพจิตยังดี มีนิสัยรื่นเริง ติดตลก ในระยะสามปีสุดท้าย นัยน์ตาของท่านมืดสนิทเพราะต้อแก้วตา หรือ ต้อกระจก หูก็ตึงมาก เพราะหินปูนจับกระดูก แต่ท่านก็มิได้เดือดร้อนใจ และสามารถบอกกำหนด อายุขัยของตนเองได้ว่า จะมรณภาพอายุ 96 ปี ซึ่งก็เป็นจริงดังที่ท่านได้กล่าวไว้ ในวันพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ขาว เมื่อวันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2527 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธาน พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นั้น ปรากฏว่า วัดถ้ำกลองเพล ซึ่งมีอาณาบริเวณหลายพันไร่ กลับคับแคบไปถนัดใจ ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลกันมาถวายสักการะสรีระร่างของท่านนับเป็นจำนวนแสนคน นับเป็นประวัติการณ์สูงสุดของประเทศทีเดียว ธรรมโอวาท ต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาของท่าน ที่ได้เทศน์โปรดพระเณรและญาติโยม ณ บ้านย่อชะเนง (บ้านเกิดของท่าน) "คนเกิดมาไม่เหมือนกัน เพราะมีความประพฤติที่ต่างกัน ผู้ที่เขาประพฤติดี รักษาศีล มีการให้ทาน มีการสดับรับฟังพระธรรม เขาจึงมีปัญญาดี มีการศึกษาเล่าเรียนดี การจำแนกสัตว์ให้ดีให้ชั่วต่าง ๆ กัน มันเป็นเพราะกรรม ถ้ามันยังทำกรรมอยู่ ก็ต้องได้รับผลกรรมทั้งกรรมดีกรรมชั่ว มันต้องได้รับผลตอบแทน เหตุนี้ เราจึงควรทำกุศล รักษาศีลให้บริสุทธิ์สมบูรณ์ แล้วทำสมาธิจะมีความสงบสงัด จิตรวมลงได้ง่าย เพราะมันเย็น มันราบรื่นดีไม่มีลุ่มไม่มีดอน จงพากันทำไปใน อิริยาบถทั้งสี่ นั่ง นอน ยืน เดิน อะไรก็ได้ แล้วแต่ความถนัด แล้วแต่จริต อันใดมันสะดวกสบายใจ หายใจดี ไม่ขัดข้องฝืดเคือง อันนั้นควรเอาเป็นอารมณ์ของใจ พุทโธ พุทโธ หมายความว่า ให้ใจยึดเอาพุทโธเป็นอารมณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้จิตออกไปสู่อารมณ์ภายนอก เพราะอารมณ์ภายนอกมันชอบไปจดจ่ออยู่กับ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความถูกต้องทางกาย หากทุกสิ่งทุกอย่างมันไปจดจ่ออยู่ที่นั่น จิตมันจะไม่รวมลง นี่แหละ เรียกว่า มาร คือ ไม่มีสติ อย่าให้จิตไปจดจ่ออย่างนั้น ให้มาอยู่กับผู้รู้ ให้น้อมเอา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอารมณ์ จะอยู่ในอิริยาบถใด ก็ให้มีความเพียร ผู้ที่ภาวนาจิตสงบลงชั่วช้างพับหู งูแลบสิ้น ชั่วไก่ดินน้ำ นี่ อานิสงส์อักโข ให้ตั้งใจทำไป การที่จิตรวมลงไปบางครั้ง มี 3 ขั้นสมาธิ คือ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ หากรวมลง ขณิกสมาธิ เราบริกรรมไป พุทโธ หรืออะไรก็ตาม จิตสงบไปสบายไปสักหน่อยมันก็ถอนขึ้นมา ก็คิดไปอารมณ์เก่าของมันนี่ ส่วนหากรวมลงไปเป็น อุปจารสมาธิ ก็นานหน่อยกว่าจะถอนขึ้นไปสู่อารมณ์อีกให้ภาวนาไปอย่าหยุดอย่าหย่อน ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องไปนึกคาดหวังอะไร อย่าให้มีความอยาก เพราะมันเป็นตัณหา ตัวขวางกั้นไม่ให้จิตรวม ไม่ต้องไปกำกับว่า อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ การอยากให้จิตรวมลง เหล่านี้แหละเป็นนิวรณ์ตัวร้าย ให้ปฏิบัติความเพียรไม่หยุดหย่อน เอาเนื้อและเลือด ตลอดจนชีวิตถวายบูชาพระพุทธเจ้าพระธรรม และ พระสงฆ์ เราจะเอาชีวิตจิตใจ ถวายบูชาพระรัตนตรัย ตลอดจนวันตาย นี่ก็เป็นมัชฌิมาปฏิปทา แล้วจิตจะรวมลงอย่างไร เมื่อไร ก็จะเป็นไปเองเมื่อใจเป็นกลาง ปล่อยวาง สงบถูกส่วน" ปัจฉิมบท ท่านพระอาจารย์หลวงตามหาบัว ได้พรรณนาถึงเมตตาธรรม และ ตปธรรม ของ หลวงปู่ขาว ไว้ในหนังสือ ปฏิปทาของพระธุดงค์กรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต มีข้อความตอนหนึ่งว่า "ท่านอาจารย์องค์นี้มี ความเด็ดเดี่ยวมาก การนั่งภาวนาตลอดสว่างท่านทำได้สบายมาก ถ้าไม่เป็นผู้มีใจกล้าหาญ กัดเหล็กกัดเพชรจริง ๆ จะทำไม่ได้ จึงขอชมเชย อนุโมทนากับท่านอย่างถึงใจ เพราะเป็นที่แน่ใจในองค์ท่านร้อยเปอร์เซนต์ว่า เป็นผู้สิ้นภพสิ้นชาติอย่างประจักษ์ใจทั้งที่ยังครองขันธ์อยู่" ในบทความภาคผนวกตอนหนึ่งของหนังสือ อนาลโยวาท ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งหนึ่งว่า"วันหนึ่ง มีชายแปลกหน้าวัยฉกรรจ์ผู้หนึ่ง ปรากฏกายขึ้นที่วัด ขอเข้านมัสการท่านอาจารย์ พอได้พบก็ตรงเข้าไปกราบถึงที่เท้า แล้วเอ่ยปากขอบพระคุณที่ท่านช่วยเขาให้พ้นจากโทษมหันต์ พร้อมเล่าว่า เขาเป็นทหาร ไปรบที่ประเทศลาว เป็นเวลานาน พอกลับมาบ้าน ก็ได้รู้ว่าภรรยานอกใจ จึงโกรธแค้น เตรียมปืนจะไปยิงทิ้งทั้งคู่ แต่ยังไม่ทันได้กระทำเช่นนั้น เพราะกินเหล้าเมา แล้วหลับฝันไปว่า มีพระแก่องค์หนึ่งมาขอบิณฑบาตความอาฆาตโกรธแค้น และเทศน์ให้ฟังถึงบาปกรรมของการฆ่า จนเขายอมยกโทษ ให้อภัย ละความพยาบาท ได้ถามในฝัน ได้ความว่า พระภิกษุองค์นั้น ชื่อ ขาว มาแต่เมืองอุดรฯ พอตื่นขึ้นจึงออกเดินทางมาเสาะหาท่าน จนได้พบที่วัด เช่นนี้" หลวงปู่ขาว ท่านกล่าวอนุโมทนา แล้วอบรมต่อไปให้เข้าใจหลักธรรม ตลอดจนผลของการงดเว้นจากการฆ่า ทำให้ชายผู้นั้นซาบซึ้งในรสพระธรรม จนตัดสินใจที่จะอุปสมบทต่อไป เรื่องนี้ เป็นหลักฐานว่า ความเมตตาของท่านเปี่ยมล้น และครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างขวางเพียงใด อนุสรณ์สถานที่ถือว่าสำคัญที่สุดของ หลวงปู่ขาว ก็คือ วัดถ้ำกลองเพล อันเป็นสถานที่ท่านพำนักจำพรรษามาตั้งแต่ พ.ศ.2501 จนกระทั่งมรณภาพ เมื่อ พ.ศ.2526 ท่านดูแลบริเวณวัดซึ่งมีเนื้อที่กว่าพันไร่ ให้เป็นป่าร่มรื่นบนลากสันเขา มีโขดหินขนาดใหญ่มากมาย เป็นเพิงผาธรรมชาติที่งดงาม ด้านหลังเป็นอ่างเก็บน้ำ ชื่อ อ่างอาราม ซึ่งเป็นโครงการชลประทานพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ จุดเด่นของ วัดถ้ำกลองเพล คือ พิพิธภัณฑ์อัฐบริขาร หลวงปู่ขาว อนาลโย ซึ่งสร้างเสร็จตั้งแต่ พ.ศ.2531 เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะสวยงาม ควรแก่การศึกษา และเคารพบูชาเป็นอย่างยิ่ง"ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ" ที่มา : ประตูสู่ธรรม |