ผมว่าเราถ้าเราพิจารณาให้ดีแล้ว eBayถือว่าเป็นตลาดที่ให้โอกาสในการโปรโมต, ประชาสัมพันธ์, โฆษณา, เรียกtraffic และขายสินค้า ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ ผมอยากให้พิจารณาว่า การที่เราไม่successกับeBay แล้ว แสดงว่ามันไม่ดีจริง อย่างนั้นรึครับ ในมุมมองของผม แสดงว่าเราได้เรียนรู้ที่จะประสบความสำเร็จอีกระดับนึงแล้ว เพราะสิ่งที่ทำให้เราไม่success นั้นบางครังปัจจัยอาจจะเกิดมาจากตัวเราเองก็ได้ครับ เช่น เขียนโฆษณษาที่น่าสนใจรึไม่, การวางรูปแบบlayout เป็นอย่างไร, รูปภาพที่ถ่ายชัดเจน มองเห็นหลายๆมุมมองหรือไม อย่าลืมว่าbuyer เค้าไม่ได้สัมผัสกับตัวสินค้าโดยตรง เค้าก็ต้อง การเห็นสินค้าในหลายๆมุมมอง, ถ้าสินค้าเรามีลูกค้าเก่าๆเคยเขียน testimonial มาให้ก็ใส่ลงไปได้เลยครับ จะเป็น referral ให้คนที่จะซื้อสินค้ามั่นใจยิ่งขึ้น, สินค้าเรามี return policy หรือ satisfaction guarantee หรือไม่, ที่สำคัญต้องไม่โกหกลูกค้าครับ ถ้าทำได้ก็บอกว่าได้ ไม่ได้ก็ต้องบอกตรงๆแล้วเสนอทางเลือกอื่นให้ลูกค้า เค้าจะมองเราเป็นpartnerครับ
:
กรณีที่สินค้าเราเหมือนกับผู้ขายรายอื่น ลองเพิ่ม value-added เล็กๆน้อยเข้าไปก็เป็นทางเลือกที่ดีนะครับ เช่น หาpackaging สวยๆ ราคาไม่แพง (ถ้าทำเองได้ยิ่งดี) แล้วอย่าลืมใส่รูปถ่ายตอนสินค้าเราอยู่ในบรรจุภัณฑ์สวยๆ เข้าไปด้วย ก็ช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย และฉีกหนีคู่แข่งได้นะครับ ที่สำคัญเรายังมีโอกาสในการupราคาสินค้าให้สูงขึ้นด้วย หรือถ้าไม่ขึ้นราคา แต่สินค้าเราดูดีกว่า็(packaging สวยกว่า) เราก็มีโอกาสจะขายได้มากกว่าครับ หรืออาจจะแถมของแถมเล็กๆน้อยที่บ้านเมืองเค้าไม่มีก็ได้ครับ ช่วยจูงใจให้ซื้อสินค้าเราได้
เวลาในการแปะสินค้าก็เหมือนกัน เราต้องดูด้วยนะครับว่า สินค้าที่เราแปะขายนั้นมัน expire เมื่อไหร่ ถ้าexpireตอนวันธรรมดา โดยเฉพาะวันศุกร์ (ที่ฝรั่งชอบออกไปpartyนอกบ้าน) exposure ของสินค้าเราก็น้องลง โอกาสจะขายก็น้อยลง แนะนำเป็นช่วงบ่ายๆวันเสาร์ หรือวันอาทิตย์ครับ น่าจะมีโอกาสมากขึ้น
อีกวิธีที่ผมว่าน่าสนใจก็คือ ทำรายละเอียดในหน้า about me ครับ แสดงตัวว่าเราเป็นใคร ทำธุรกิจอะไร ทำมานานเท่าใดแล้ว ที่ตั้งหรือสถานที่อยู่ที่ใด เชี่ยวชาญอะไรเป็นพิเศษ จะcontactเราได้อย่างไร ก็ช่วยให้เรามีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นครับ
อ้อแล้วอีกอย่าง ถ้าจำไม่ผิด eBayได้เพิ่มหน้า My Worldขึ้นมาด้วยครับ จะเป็นmoduleคล้ายกับBlogนี่แหละ เขียนแนะนำตัวเอง hobbyที่ชอบ หนังที่ชอบดู เพลงที่ชอบฟัง ธุรกิจที่เราทำอยู่ สินค้าที่ขาย
***เวลาเขียนข้อมูลเหล่านี้ลงใน My World มันจะเป็น tag (ตัวหนา ขีดเส้นใต้) เวลาeBayer รายอื่นsearchหาคนที่มีfavorite hobbyหรือสิ่งที่สนใจเหมือนกัน ก็จะlinkติดรายละเอียดของเราไปด้วยครับ***
สุดท้ายนี้ ในความคิดของผม ถ้าผมจะขายสินค้าสักตัวนึง ผมจะไม่ถามตัวเองว่า "สินค้าตัวนี้จะขายได้หรือไม่" แต่จะถามว่า "ผมจะขายสินค้าตัวนี้อย่างไร" มันต่างกันนะครับ ถ้าคำตอบของคำถามแรกคือ ไม่ ทุกอย่างก็จบครับ ไม่มีการคิดตอ่ยอด
แต่ถ้าเป็นคำถามที่สอง มันเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้คิดต่อยอด หาหนทางในการขายต่อไป บางทีเราอาจจะได้เป็น power seller ในเร็ววันก็ได้นะครับ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ค่อยเรียนรู้ครับ ทุกคนเริ่มจากศูนย์กันหมดอยู่แล้ว นักรบที่เก่งที่สุดคือนักรบที่มีแผลเป็นเยอะที่สุดนะครับ เอาใจช่วยทุกๆคนครับ
***การที่ำeBayขึ้นค่าFee นั้น ทุกคนโดนเหมือนกันหมดครับ แต่ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะมีวิธีการ ไหวพริบการเอาตัวรอดได้อย่างไร
ถ้าเรามองแต่ภาพใหญ่(อยากขายสินค้าให้ได้) โดยไม่สนใจรายละเอียดหรือองค์ประกอบเล็กๆน้อยๆ (จะขายอย่างไร)ดังที่ผมเขียนมาข้างต้น แล้วภาพใหญ่มันจะสมบูรณืได้อย่างไรครับ jigsawมันก็ไม่ลงตัวนะครับ***
ถ้าผมเขียนอะไรที่ผิดพลาดไป ก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ ท่านใดมีข้อเสนอแนะอื่นๆ ยินดีรับฟังครับ
ส่วนมากถ้าไปอบรมเค้าก็จะพูดแบบนี้แหละครับ มันเป็น basic ที่เค้าแนะนำกัน สิ่งที่คุณแนะนำมาถูกต้องครับ ใช้กับตลาดทั่วไปได้ แต่ตลาดนี้มีความจำเพาะ ไม่สามารถใช้ pattern ทั่วไปได้
ebay ลด fee ลงมา แต่ hidden costs ยังสูงเหมือนเดิมครับ ไม่ได้ต่างกันมาก แต่มันเป็นการส่งสัญญาณว่าขาลงแล้วนะ เลยลดราคาเรียกลูกค้า แต่ไม่ค่อย effect เท่าไรหรอกครับ
สำหรับคนไทยแล้ว ebay เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะกระแสว่า เฮ้ย ขายได้โปรโมตได้ คือเค้าไม่ได้พูดให้จบว่ามันขายอะขายได้จริงครับ แต่ถ้าคำนึงถึง hidden costs ถ้าคุณคิด cover ทั้งหมดแล้วมันไม่คุ้มครับ เพราะคุณต้องคิดถึงเวลาที่คุณเสียไป คุณเอาเวลาเหล่านี้ไปทำอย่างอื่นได้ครับ นับเป็นค่าเสียโอกาสด้วย คือ คุณขายของได้จริง แต่คุณขาดทุนเพราะ Fee ที่เสีย ณ จุดต่างๆเยอะมาก ล่าสุดเพื่อนผมที่เป็นฝรั่งเพิ่งถอนตัวออกมาอีกรายเมื่อ 3 วันที่แล้ว
แต่ถ้าลองขายจริงๆ แล้วจะไม่ง่ายครับ ที่มาฟันธงให้เพราะไม่อยากให้คนหลงตามกระแสเกินไป เห็นมีคนเขียนหนังสือออกมา แล้วก็เขียนตามกันเป็น Fashion ในตลาด ลองขายกันแล้วก็เจ็บตัวกันไปเป็นแถวเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ตลาดนี้แข่งกันด้วยราคาครับ Value-add ไม่มีผลเท่าไรเท่าที่สังเกตนะครับ เห็นคนทำแล้วก็เจ็บตัวกันไปตามๆกันเยอะครับมีรอดอยู่ไม่กี่ราย โอกาสไปสู้กับรายเก่ายากครับ เพราะเค้าทำมานานมี volume ต้นทุนเค้าต่ำกว่าอยู่แล้ว
ถ้าติดตามตลาดนี้จริงๆ thai user success น้อยมาก ส่วนมากเป็นฝรั่งเมียไทยขายพลอย และเค้ามีฐานลูกค้าอยู่แล้ว
ไม่อยากให้ตามกระแส เพราะต้องดูด้วยว่าตอนนี้เป็นขาลงแล้ว ไม่ใช่ขาขึ้นเหมือนแต่ก่อน ถ้าคุณอยู่ไทยอีเบย์ ด้วยจะเห็นว่าความคึกคักลดลงไปมากหนีมาอยู่ thaiseoboard หมด
ผมเองก็มี powerseller account ครับเมื่อก่อน เป็นสิ่งที่ทำไม่ยาก เห็นเค้าก็มีกันหมดนะ แต่ต้องถอน เพราะมันไม่คุ้มเมื่อเทียบกับ ADSENSE (Power seller หนีมาทำ Adsense กันหมดแล้ว) พวกนี้แต่ละคนไม่ธรรมดาครับ ทำ description กันเนียนมาก และขายขั้นเทพกันทั้งนั้น ต่างเห็นพ้องกันว่าไม่คุ้ม มันเป็นตลาดที่คนในอยากออก คนนอกอยากเข้าครับ
ADSENSE นี่ลงยังไงก็ไม่เห็นทางเจ็บตัวเลยครับ ส่วน ebay ลงหนะได้มันได้ครับ แต่ ADSENSE หรือ AFFILIATE คุ้มกว่าเยอะ เงินที่ได้ก็เรียกว่าเกือบจะเป็นกำไรล้วนๆ ครับ ถ้าฝึกฝนหน่อย จะเข้าใจครับ ผมไม่ค่อยเห็นคนอยากเลิกทำเท่าไรเลยครับ adsense เนี่ย
ถ้ามีทางเลือกที่ไม่เสี่ยง ก็ควรเลือกที่ไม่เสี่ยงดีกว่าไม่ใช่หรือครับ เพราะทางเลือกที่เสี่ยงก็ไม่การันตีว่าจะได้ผลมากกว่า ใน case นี้มันไม่ใช่ high risk, high return. มันมีแต่ low risk (high risk google banned), medium return กับ high risk, low return (ebay) ครับ
ก็แค่อยากเตือนไม่อยากให้ตามไปเจ็บตัวกันเปล่าๆ ฟันธงครับ ทำ adsense คุ้มกว่า เอาเวลานั่งปั่นเวบดีๆดีกว่า