**** เอามาให้อ่านครับ เครดิต คุณPat Hemasuk*****
มีคนถามผมหลายคนเรื่อง Single Gateway ว่าทำไมผมไม่เขียนอะไรเลย ผมตอบไปว่าตามปกติผมจะไม่เขียนเรื่องเพ้อเจ้อตามกระแส ดังนั้นผมเลยไม่เขียนเรื่องนี้เพราะผมถือว่าเรื่อง Single Gateway เป็นเรื่องเพ้อเจ้อของสังคมอีกเรื่องหนึ่ง
ก่อนที่จะอ่านต่อไปข้างล่างนี้ผมอยากให้เลื่อนไปดูภาพของระบบเกตเวย์ของประเทศไทยที่ผมลงภาพประกอบเอาไว้ก่อนนะครับแล้วจะนึกภาพออกได้อรรถรสในสิ่งที่ผมเขียนได้สนุกขึ้น
เป็นอย่างไรบ้างครับ เห็นภาพแล้วลมจับแทบเอายาดมยัดจมูกเลยไหมครับว่าระบบของประเทศไทยเรานั้นใหญ่โตมโหระทึกขนาดไหน Transit และ Peering ยุบยับไปหมด
ผมไม่ใช่คนในวงการ IT หรอกครับ แต่พื้นฐานของผมเข้าใจเรื่องนี้มากพอสมควร เพราะผมมีส่วนร่วมในวงการนี้มาตั้งแต่ประเทศไทยมีเกตเวย์อยู่เพียงสองเส้นทาง และผมเองก็เป็นหนึ่งในไม่ถึงห้าร้อยคนที่มีแอคเคาท์ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตในยุคแรกของประเทศไทย จนถึงในช่วงเปลี่ยนผ่าน Backbone มาเป็นระบบออฟติก ผมก็พอที่จะมีส่วนร่วมในการออกแบบระบบมาบ้างที่เวลานี้ก็ยังถือว่าเป็นระบบออฟติกที่ใหญ่ระดับต้นๆ ของประเทศไทยที่ยังใช้งานต่อเนื่องอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าผมเป็นคนในวงการ IT แต่ประการใด
ที่ผมบอกว่าเรื่อง Single Gateway เป็นเรื่องเพ้อเจ้อนั้นก็เพราะว่าประเทศไทยจะต้องเปลี่ยนแปลงพื้นฐานด้านโทรคมนาคมการเชื่อมต่อโครงข่ายพื้นฐานของประเทศใหม่ทั้งหมด ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ในทางปฎิบัติไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า เพราะว่าระบบพื้นฐานของเราไม่ได้วางระบบเป็นแบบนั้นมาตั้งแต่แรก รัฐบาลจำเป็นจะต้องสร้าง Gateway ขนาดยักษ์ขึ้นมารองรับ Transit และ Peering ของเดิมทั้งประเทศซึ่งต้องใช้ทั้งเวลาและงบประมาณมหาศาลเหมือนกับต้องสร้างบ้านใหม่โดยห้ามทุบบ้านหลังเดิมในที่ดินเดียวกัน ซึ่งผิดกับประเทศที่ควบคุมระบบตั้งแต่เกิดมาเป็น Single Gateway มาตั้งแต่แรกที่เขาวางเอาไว้แล้วแบบนั้น
ปัญหาต่อมาคือสัญญาทางธุรกิจของการเชื่อมต่อเดิมที่อยู่ในรูปของบริษัทเอกชนและวิสาหกิจที่มีกับเส้นทางต่างประเทศที่เราเชื่อมต่อแต่เดิมมาจะแก้เป็นอย่างไร สัญญานับร้อยฉบับทั้งในและนอกประเทศยุ่งตัยห่ะ รัฐบาลไทยรับได้ไหม ค่าใช้จ่ายที่สะท้อนกลับมาถึงประชาชนต้องเพิ่มอีกเท่าไร เพราะต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมานั้นต้องบวกเข้ากับค่าบริการอยู่แล้ว เอาเพียงในส่วนที่เป็นตัวระบบเองขนาด Bandwidth ต้องรองรับ 2 เท่าในอนาคตระดับชน 5T bps ก็ต้องลงทุนหลายพันล้านแล้ว ยังไม่รวมถึงอสังหาฯ เช่นตัวอาคาร เส้นทางของการลิงค์เคเบิลระบบออฟติกใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นระบบใต้ดินล้วนๆ ค่าจ้างบุคคลากร IT หลายร้อยคนทำงานเต็มเวลาไปอีกตลอดกาล ฯลฯ นั่นอาจจะต้องพูดถึงเงินเป็นหลายหมื่นล้านก็ได้ นี่ผมยังไม่ได้พูดถึง Recovery Sites ที่ต้องสำรองเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินเพื่อไม่ให้ระบบทั้งประเทศเป็นใบ้ไปด้วยนะครับ นั่นก็ราคาเกือบเอาสองคูณเข้าไปเลย
นี่คือสาเหตุที่ผมไม่เขียนเรื่องนี้ตั้งแต่แรก เพราะเพียงคิดมันเป็นไปไม่ได้แล้วครับ เปลืองเวลาชีวิตไปเปล่าๆ ที่จะไปบ้าคิดเรื่อง Single Gateway
เครดิตภาพ nectec