ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.com< กดยุบ (ห้องยกเลิกการใช้งาน)สาระคำถามทั่วไป (ย้ายไป cafe)ยิ่งกว่าความลับ ที่เกิดมาแล้วต้องรู้ .."สิ่งที่กำหนดชีวิตเรา" (กรรมนิยาม 5)
หน้า: [1]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ยิ่งกว่าความลับ ที่เกิดมาแล้วต้องรู้ .."สิ่งที่กำหนดชีวิตเรา" (กรรมนิยาม 5)  (อ่าน 2390 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
pizad_sura
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 108
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,623



ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2009, 01:58:09 »

อิงพุทธศาสนา อ่านดูแล้วก็มีเหตุผลมากๆ

กรรมนิยาม 5 คืออะไร (น่าจะหมายถึง ธรรมนิยาม 5 หรือเปล่า ซึ่งรวมถึงกรรมนิยามด้วย)

พระองค์ ทรงทราบว่าเกิดขึ้นจากกฎธรรมชาติที่เรียกว่า ธรรมนิยาม เรื่องธรรมนิยามนี้พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้คร่าว ๆ ไม่ได้ลงรายละเอียด ซึ่งในภายหลังอรรถกถาจารย์ผู้มีความแตกฉานในธรรมะได้ขยายความเพิ่มเติม ให้ละเอียดยิ่งขึ้น ในอรรถกถาแห่งทีฆนิกาย อรรถกถาจารย์ได้จำแนกนิยามออกได้ 5 ประการ คือ

1. อุตุนิยาม (Physical Laws) คือ กฎธรรมชาติที่ครอบคลุม ความเป็นไปของปรากฏการณ์ในธรรมชาติเกี่ยว กับวัตถุที่ไม่มีชีวิตทุกชนิด เช่น ปรากฏการณ์ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า แม้กระทั่งการเกิดและการดับสลายของโลกก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติข้อนี้ ในตำราพุทธศาสนาที่เขียนโดยขาวฝรั่ง มักใช้คำว่า คนอินเดียในสมัยพุทธกาลสงสัยกันว่า อะไรคือสิ่งกำหนดให้มีความสม่ำเสมอคงที่ในธรรมชาติ ส่วนที่เกี่ยวกับวัตถุ เช่นความสม่ำเสมอของฤดูกาล ซึ่งทางพระพุทธศาสนาตอบปัญหานี้ว่า สิ่งที่กำหนด คือ อุตุนิยาม

2. พีชนิยาม (Biological Laws) คือ กฎธรรมชาติที่ครอบคลุมความเป็นไปของสิ่งมีชีวิตทั้ง พืชและสัตว์ กฎธรรมชาตินี้ เมื่อเรานำเมล็ดข้าวเปลือกไปเพาะ ต้นไม้ที่งอกออกมาจะต้องเป็นต้นข้าวเสมอ หรือ ช้างเมื่อคลอดลูกออกมาแล้วก็ย่อมเป็นลูกลิงเสมอ ความเป็นระเบียบนี้พุทธศาสนาเชื่อว่าเป็นผลมาจากการควบคุมของพีชนิยาม

3. จิตนิยาม* (Psychic Laws) คือ กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับกลไกการทำงานของจิต พระพุทธศาสนาเชื่อว่า คนเราประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 2 ส่วน คือ ร่างกายและจิตใจ จิตมีกฎเกณฑ์ในการทำงาน เปลี่ยนแปลงและแสดงพฤติกรรม เป็นฉบับเฉพาะตัว

4. กรรมนิยาม* (Kamic Laws) คือ กฎการให้ผลของกรรม กรรมคือ การกระทำที่ประกอบด้วยความตั้งใจ แบ่งออกเป็น 2 อย่าง คือ กรรมดีและกรรมชั่ว กรรมดีย่อมตอบสนองในทางดี กรรมชั่วย่อมตอบสนองในทางชั่ว นี่คือ กฎแห่งกรรมนั่นเอง

5. ธรรมนิยาม (General Laws) คือ กฎธรรมชาติเกี่ยวกับความเป็นเหตุเป็นผลของสิ่งทั้งหลาย เป็นกฎสากลที่ครอบคลุม ความเป็นไปทั้งฝ่ายจิตและฝ่ายวัตถุ กฎข้อนี้มีขอบเขตครอบคลุมกว้างขวางที่สุด กฎ 4 ข้อข้างต้นสรุปรวมลงในข้อสุดท้ายนี้

พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนิยามหรือกฎธรรมชาติทั้ง 5 เหล่านี้ แต่ไม่ทรงสอนทั้งหมด พระองค์ทรงสอนธรรมนิยามเน้นในส่วนที่เกี่ยวกับจิตตนิยามและและกรรมนิยาม พระองค์ทรงสอนเรื่องอุตุนิยามและพีชนิยามเพียงเล็กน้อย ในลักษณะกลับกัน นักวิทยาศาสตร์ศึกษาธรรมนิยามเน้นในส่วนที่เกี่ยวกับอุตุนิยามและพีชนิยาม ไม่สนใจกรรมนิยามและสนใจในจิตนิยามเล็กน้อย นี่คือจุดเน้นที่ต่างกันระหว่างพระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์

ประเด็น สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ธรรมนิยามเป็นกฎธรรมชาติสากลที่ครอบคลุม 4 กฎย่อยดังที่กล่าวมาแล้ว แม้พระพุทธศาสนาจะศึกษาเน้นเรื่องกรรมนิยามและจิตนิยามก็จริง ถึงกระนั้นพระพุทธศาสนาก็ไม่ปฏิเสธเรื่องอุตุนิยามและพีชนิยามที่เป็นจุด เน้นของวิทยาศาสตร์ เพราะเหตุนี้เองพระพุทธศาสนาจึงไม่ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์

จากการค้น พบธรรมะดังกล่าวนี้เอง ทำให้เราทราบว่า ความรู้เรื่องจักรวาลวิทยาเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของธรรมะที่พระสัมมาสัมพุทธ เจ้าทรงค้นพบเท่านั้น ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่พระองค์ทรงค้นพบแล้วมิได้นำมาตรัสให้ฟัง และเรื่องที่นำมาตรัสเล่านั้นก็เพียงเพื่อให้พ้นทุกข์ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ใน ชีวิต

^
^
ลอกมา
----
ก็จะเห็นว่า ชีวิตเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกรรม(เพียงอย่างเดียว) แต่ยังขึ้นกับจิตนิยาม( คือ ความคิด ความรู้สึกของเรา สิ่งต่าง ๆ เริ่มต้นจาก ความคิด > ความรู้สึก > อารมณ์ > เจตนารมณ์ > นิสัย ..เริ่มมั่ว) จำได้ในหนังเรื่อง Me MySelf ตอนที่หมอคุยกับนักจิตวิทยาว่า


   

    เราจะแน่ใจได้ไงว่าเราเป็นสิ่งที่เราเป็น หรือเป็นในสิ่งที่เราอยากจะเป็น หรือเป็นในสิ่งที่คนอื่นอยากให้เราเป็น
    แต่ในปรัชญาในการใช้ชีวิตเขาบอกว่า คุณค่าของมนุษย์ อยู่ที่เสรีภาพในการเลือก
    นั่นก็หมายความว่า เราคิดยังไง ณ ขณะนั้น เราก็จะเป็นสิ่งนั้นไม่ใช่หรือ?

   
— หมอมาเรีย และหมอเกรียงไกร พูดกับแทน

นะ และก็เคยอ่านเจอในหนังสืออีกนั่นแหล่ะ บอกว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ฝืนกรรมได้ เพราะกรรมจะสนองเราทางความรู้สึก ถ้าเราไม่รู้สึก กรรมเก่าจะทำอะไรเราไม่ได้ คือการรู้ทันความรู้สึกตัวเอง พูดง่าย ๆ คือมีสตินั่น เอง การรู้ทันความรู้สึกคือ การดึงตัวเองออกจากอารมณ์ หรือความรู้สึกนั้น ๆ ให้ได้ อาจจะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าลองทำ ก็จะพอมีทางเป็นไปได้ ลองดึงตัวเองออกจากความรู้สึกดี ๆ คือ เมื่อรู้สึกดี ให้เลิกรู้สึกดี และมองว่า มันเป็นเช่นนี้เอง เมื่อเราทำได้ เราก็จะทำอย่างนี้กับความรู้สึกไม่ดีได้ (ตอนเกิดเรื่องไม่ดีให้คิดว่า เจ้ากรรมนายเวรกำลังหาทางเอาคืนเราอยู่ ถ้าเรารู้ทัน เราก็จะเลิกรู้สึกไม่ดี และวางเฉยต่อเรื่องที่เกิดขึ้น) คือการประยุกต์ใช้ กรรมนิยาม กับ จิตนิยาม ถ้าเล่นเกมส์ก็เหมือนกับว่าจะโกงนิด ๆ (เหอๆ) ส่วนอุตุนิยาม และพีชนิยาม (ข้อ 1,2) ก็เป็นสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ทั้งมีชีวิต และไม่มีชีวิต ที่เราพบเจอมาตั้งแต่เกิด ประสบการณ์ที่เจอตอนเด็ก การเลี้ยงของพ่อแม่ การคบเพื่อน

...และสุดท้าย กฏทั้ง 4 ข้อ จะเป็นเหตุ เป็นผล ซึ่งกันและกัน ดังกฎข้อที่ 5 ธรรมนิยาม...



สำหรับผู้ที่เคยถามตัวเองว่า สิ่งที่เกิดกับเราเวลานี้ ตอนนี้ มันเกิดจาก "เวรกรรม" หรือ

ก็ตอบได้แล้วว่า "ใช่" แต่ !! ไม่ทั้งหมด มันมีปัจจัยอื่นด้วย

แต่ก็บอกไปแล้วนะ มนุษย์ฝืนกรรม(และปัจจัยอื่นๆ)ได้ โดยการคิดบวกเข้าไว้ ^^"

ง่วงนอน ตี 1:49 นาที วันที่ 18 พย. 52 วันนี้จะมีฝนดาวตกด้วย

จาก บล็อกผมเอง http://i-pizad-sura.blogspot.com/2009/11/5.html
บันทึกการเข้า
caopera
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 37
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 206



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2009, 10:41:36 »

สาธุด้วยครับ เราชาวพุทธจริงๆแล้วนอกจากการศึกษาหลักธรรมให้ถ่องแท้แล้ว ควรที่จะรู้จักนำไปปฏิบัติ อย่างน้อยๆถ้ายังไม่หวังจะพ้นทุกข์ก็ยังได้ความสุขใจที่เกิดขึ้นกับตัวของเราเองครับ  wanwan008
บันทึกการเข้า
Himalayan
Verified Seller
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 254
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,977



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2009, 11:45:08 »

อนุโมทนา + ให้ทั้ง 2 ท่านเลย หุหุ อย่างนี่เรียก "พุทโธโลยี" เปล่าครับ ที่ว่าธรรมมะเราไม่มีการล้าสมัยเลย ดูจิใช้มากว่า 2500 ปี คนต่างหากที่ล้าสมัยเสื่อมลงทุกวัน อย่างที่บอกไปธรรมมะเป็นเรื่องที่รอการพิสูจน์ ขอบคุณพูดหลวงปู่ท่านหนึ่ง ธรรมมะไม่ใช่ของแบกับดิน เจอคนสมควรบอกก็บอก ไม่สมควรบอกก็ไม่บอก หุหุ

อ่านมาถึงสรุป

สำหรับผู้ที่เคยถามตัวเองว่า สิ่งที่เกิดกับเราเวลานี้ ตอนนี้ มันเกิดจาก "เวรกรรม" หรือ

ก็ตอบได้แล้วว่า "ใช่" แต่ !! ไม่ทั้งหมด มันมีปัจจัยอื่นด้วย

แต่ก็บอกไปแล้วนะ มนุษย์ฝืนกรรม(และปัจจัยอื่นๆ)ได้ โดยการคิดบวกเข้าไว้ ^^"

ง่วงนอน ตี 1:49 นาที วันที่ 18 พย. 52 วันนี้จะมีฝนดาวตกด้วย

จาก บล็อกผมเอง http://i-pizad-sura.blogspot.com/2009/11/5.html


ฝืนกรรม? อืม เรียกว่าชะลอได้ดีกว่า เพราะยังไงหากยังอยู่ในสังสารวัตร ก็หนีไม่พ้นต้องเจอ ขออนุญาตยกตัวอย่าง

"พระโมคคัลลานะ ชาติก่อนๆ ท่านเคยทุบตีบิดามารดา มาชาติหลังๆท่านโดนทุบตีตายมาหลายชาติ มาชาติสุดท้ายท่านโดนโจรทุบตีอีก แต่โจรนั้นไม่ช่ายพ่อแม่ของท่านเมื่อชาติก่อนๆ

ในชาติสุดท้ายนี้แม้ท่านจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีฤทธิ์ สามารถจะดำดินล่องหนหายตัวได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ไม่สามารถจะหนีผลกรรมได้ ท่านจึงยอมให้พวกโจรจับทุบจนร่างแหลกเหลว แล้วสู่พระนิพพาน"

เมื่อไหร่ก็ตามผลให่งกรรมดีหมด หรือคิดบวกที่ว่ากัน หุหุ ก็จะต้องรับผลของกรรมชั่วที่ทำไว้อยู่ดี ห้าๆๆ

 Embarrassed Embarrassed
บันทึกการเข้า

เล่นเกมส์เห่อะ เกม มันๆ อัพเดทเรื่อยๆ เกมปลูกผัก เกมทําอาหาร และ  เกมแต่งตัว มากมาย
lukpling
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 6
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 143



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2009, 12:00:02 »

อนุโมทนา + ให้ทั้ง 2 ท่านเลย หุหุ อย่างนี่เรียก "พุทโธโลยี" เปล่าครับ ที่ว่าธรรมมะเราไม่มีการล้าสมัยเลย ดูจิใช้มากว่า 2500 ปี คนต่างหากที่ล้าสมัยเสื่อมลงทุกวัน อย่างที่บอกไปธรรมมะเป็นเรื่องที่รอการพิสูจน์ ขอบคุณพูดหลวงปู่ท่านหนึ่ง ธรรมมะไม่ใช่ของแบกับดิน เจอคนสมควรบอกก็บอก ไม่สมควรบอกก็ไม่บอก หุหุ

อ่านมาถึงสรุป

สำหรับผู้ที่เคยถามตัวเองว่า สิ่งที่เกิดกับเราเวลานี้ ตอนนี้ มันเกิดจาก "เวรกรรม" หรือ

ก็ตอบได้แล้วว่า "ใช่" แต่ !! ไม่ทั้งหมด มันมีปัจจัยอื่นด้วย

แต่ก็บอกไปแล้วนะ มนุษย์ฝืนกรรม(และปัจจัยอื่นๆ)ได้ โดยการคิดบวกเข้าไว้ ^^"

ง่วงนอน ตี 1:49 นาที วันที่ 18 พย. 52 วันนี้จะมีฝนดาวตกด้วย

จาก บล็อกผมเอง http://i-pizad-sura.blogspot.com/2009/11/5.html


ฝืนกรรม? อืม เรียกว่าชะลอได้ดีกว่า เพราะยังไงหากยังอยู่ในสังสารวัตร ก็หนีไม่พ้นต้องเจอ ขออนุญาตยกตัวอย่าง

"พระโมคคัลลานะ ชาติก่อนๆ ท่านเคยทุบตีบิดามารดา มาชาติหลังๆท่านโดนทุบตีตายมาหลายชาติ มาชาติสุดท้ายท่านโดนโจรทุบตีอีก แต่โจรนั้นไม่ช่ายพ่อแม่ของท่านเมื่อชาติก่อนๆ

ในชาติสุดท้ายนี้แม้ท่านจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีฤทธิ์ สามารถจะดำดินล่องหนหายตัวได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ไม่สามารถจะหนีผลกรรมได้ ท่านจึงยอมให้พวกโจรจับทุบจนร่างแหลกเหลว แล้วสู่พระนิพพาน"

เมื่อไหร่ก็ตามผลให่งกรรมดีหมด หรือคิดบวกที่ว่ากัน หุหุ ก็จะต้องรับผลของกรรมชั่วที่ทำไว้อยู่ดี ห้าๆๆ

 Embarrassed Embarrassed



 wanwan016 wanwan016
บันทึกการเข้า
Sinya
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 30
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 431



ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2009, 12:03:45 »

สาธุ    wanwan017
บันทึกการเข้า


If YoU dOn'T LoVE Me.
There's NothInG I caN Do.
I doN'T LivE To PLeAsE YoU.
tangkui
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 266
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,289



ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2009, 12:04:41 »

บอร์ดนี้ดีจริงๆเลยครับ มีตั้งแต่เรื่องโลกีย์ ยัน ธรรมมะ  Smiley
บันทึกการเข้า

caopera
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 37
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 206



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2009, 13:23:29 »

อ้างถึง
ฝืนกรรม? อืม เรียกว่าชะลอได้ดีกว่า เพราะยังไงหากยังอยู่ในสังสารวัตร ก็หนีไม่พ้นต้องเจอ ขออนุญาตยกตัวอย่าง

"พระโมคคัลลานะ ชาติก่อนๆ ท่านเคยทุบตีบิดามารดา มาชาติหลังๆท่านโดนทุบตีตายมาหลายชาติ มาชาติสุดท้ายท่านโดนโจรทุบตีอีก แต่โจรนั้นไม่ช่ายพ่อแม่ของท่านเมื่อชาติก่อนๆ

ในชาติสุดท้ายนี้แม้ท่านจะได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีฤทธิ์ สามารถจะดำดินล่องหนหายตัวได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ไม่สามารถจะหนีผลกรรมได้ ท่านจึงยอมให้พวกโจรจับทุบจนร่างแหลกเหลว แล้วสู่พระนิพพาน"

เมื่อไหร่ก็ตามผลให่งกรรมดีหมด หรือคิดบวกที่ว่ากัน หุหุ ก็จะต้องรับผลของกรรมชั่วที่ทำไว้อยู่ดี ห้าๆๆ

 Embarrassed Embarrassed


ถูกต้องนะครับ  wanwan017 กรรมแปลว่า "การกระทำ" (wikipedia) แปลง่ายๆแบบวัยรุ่นไทย คือทุกๆการกระทำจะตามมาซึ่งผลลัพธ์เสมอ จะเรื่องดีหรือไม่ดี โดยธรรมชาติแล้วไม่มีใครฝืนกรรมได้นะครับ แม้แต่กับท่านพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ท่านก็ยังต้องใช้กรรมไม่ดี ณ อดีตชาติ และกรรมดีที่ท่านเคยบำเพ็ญเช่นกัน เอาเป็นว่าผมสรุปสั้นๆนะครับว่า การคิดบวกมีแนวโน้มที่จะทำให้เรามองเห็นแต่สิ่งดีๆ มองโลกแบบปัญญาชน ไม่แฝงซึ่งอคติ เมื่อวิธีการคิดผ่าน การกระทำหลายๆอย่างในชีวิตเรามีโอกาสจะทำเรื่องดีๆมากกว่าเรื่องไม่ดี สุดท้ายแล้วผลจากการที่เราทำเรื่องดีๆ ก็จะมีเรื่อง ดีๆ เข้ามาหาเรา ตรงนี้เองที่เราเรียกว่า "กรรมดี" ครับ
บันทึกการเข้า
quilloth
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 11
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 344



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 18 พฤศจิกายน 2009, 13:44:15 »

อ้างถึง
การคิดบวกมีแนวโน้มที่จะทำให้เรามองเห็นแต่สิ่งดีๆ มองโลกแบบปัญญาชน ไม่แฝงซึ่งอคติ เมื่อวิธีการคิดผ่าน การกระทำหลายๆอย่างในชีวิตเรามีโอกาสจะทำเรื่องดีๆมากกว่าเรื่องไม่ดี สุดท้ายแล้วผลจากการที่เราทำเรื่องดีๆ ก็จะมีเรื่อง ดีๆ เข้ามาหาเรา ตรงนี้เองที่เราเรียกว่า "กรรมดี" ครับ

ชอบคำพูดนี้จังครับ ดีมากๆเลย  wanwan002
บันทึกการเข้า

pizad_sura
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 108
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,623



ดูรายละเอียด
« ตอบ #8 เมื่อ: 19 พฤศจิกายน 2009, 01:56:08 »

สุดยอดจริง ๆ ครับ แต่ล่ะท่าน มีมุมมองดี ๆ ทั้งนั้น
บันทึกการเข้า
TAXZe
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 446
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,005



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 19 พฤศจิกายน 2009, 02:08:33 »

คิดบวก -> ทำดี -> ได้ผลดี

อยู่ เฉยๆ  = ไม่มีกรรม -> นั่งสมาธิ คิดย้อนกลับ -> บรรลุ = ไม่เวียนว่ายตายเกิด

ปัญหามันอยู่ที่ว่า อยู่เฉยๆ ไม่ได้นี่ล่ะ

 Cry


บันทึกการเข้า

pHasIs
Verified Seller
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 100
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,354



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 19 พฤศจิกายน 2009, 04:56:33 »

ต้องระวังอย่างเอาธรรมะไปฆ่าคน อย่าเอาธรรมะไปทำร้ายคนอื่น
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์