ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.comความรู้ทั่วไปCryptocurrencyเทรดสั้น ปั้นพอร์ตเล็ก VS เทรดยาว ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ แบบไหนดี
หน้า: [1]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เทรดสั้น ปั้นพอร์ตเล็ก VS เทรดยาว ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ แบบไหนดี  (อ่าน 137 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Tradewithauntie
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1



ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 06 สิงหาคม 2025, 16:55:11 »

*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชักชวนเพื่อลงทุนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เทรดสั้น คืออะไร?

การเทรดระยะสั้น (Short Term Trading) คือ การทำกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น ๆ  ซึ่งเทรดเดอร์มักจะเลือกเปิดปิดออเดอร์ โดยใช้ Time Frame ตั้งแต่ระดับนาที, ชั่วโมง, 1-2 วัน ไปจนถึง 1 สัปดาห์ สำหรับจุดเด่นของการเทรดระยะสั้นนั้นจะเน้นการหาจังหวะเพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา โดยอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่แม่นยำ ประกอบกับการตัดสินใจที่รวดเร็วนั่นเอง

ประเภทของการเทรดสั้น มีอะไรบ้าง?

Day Trading คือ กลยุทธ์การเทรดที่เลือกเปิดปิดออเดอร์ภายในวันเดียว โดยไม่นิยมถือออเดอร์ข้ามคืน เพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมที่จะถูกเรียกเก็บเพิ่มเติม และที่สำคัญ ก็คือ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดในช่วงเวลากลางคืน

Scalping Trading คือ กลยุทธ์การเทรดที่เลือกเปิดปิดออเดอร์อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที เนื่องจากกลยุทธ์ Scalping จะอาศัยการทำกำไรทีละเล็กละน้อยจากการเปิดออเดอร์แบบถี่ ๆ ค่ะ ทำให้ไม่นิยมเทรดบน Time Frame ขนาดใหญ่ แต่จะเลือกเทรด Time Frame สั้น ๆ ก็คือ 5-15 นาที เพราะจะเห็นการเคลื่อนไหวของราคาที่เปลี่ยนไป ดังนั้น เทรดเดอร์ Scalping จะต้องมือไวและใจนิ่ง เพราะจำเป็นต้องเฝ้าหน้าจออยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการทำกำไรนั่นเองค่ะ

Swing Trading คือ กลยุทธ์การเทรดที่เลือกถือออเดอร์หลายวันหรือหลายสัปดาห์ ซึ่ง Swing Trade จะเน้นการทำกำไรจากแนวโน้มของราคาในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ไปจนถึงระยะกลาง โดยอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่อหาจังหวะในการเปิดปิดออเดอร์ตามแนวโน้มของราคา
ดังนั้น Swing Trade จะมีความยืดหยุ่นในการเปิดปิดออเดอร์มากกว่ากลยุทธ์ Day Trade และคาดหวังผลกำไรที่มากกว่าการเก็บทีละเล็กละน้อยเหมือนกับกลยุทธ์ Scalping ทำให้เทรดเดอร์ไม่จำเป็นต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลาค่ะ
อย่างไรก็ดี กลยุทธ์ Swing Trade จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นการถือออเดอร์ข้ามคืนค่ะ ส่งผลให้เทรดเดอร์จำเป็นต้องคำนวณ Risk:Reward เพื่อประเมินความคุ้มค่าในการเปิดปิดออเดอร์ในแต่ละครั้งให้ดี ทั้งนี้ ก็จะขึ้นอยู่กับสินทรัพย์และโบรกเกอร์ที่คุณเลือกใช้บริการด้วยนะคะ

ข้อดี
- สามารถเทรดได้ในหลายตำแหน่งและหลายสินทรัพย์ไปพร้อม ๆ กัน
- เพิ่มโอกาสในการทำกำไรทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง

ข้อเสีย
- มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าคอมมิชชัน หรือค่าสเปรด เนื่องจากการเทรดระยะสั้นนิยมเปิดปิดออเดอร์บ่อยครั้งต่อวัน
- ต้องอาศัยประสบการณ์ในการเทรดพอสมควร
- มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากราคามีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา
- เกิดความเครียดและความกดดันได้ง่าย

เทรดยาว คืออะไร?

การเทรดระยะยาว (Long Term Trading) คือ การทำกำไรจากการถือออเดอร์เป็นระยะเวลานาน โดยเลือกใช้ Time Frame รายสัปดาห์ไปจนถึงรายเดือน โดยจุดเด่นของการเทรดระยะยาว ก็คือ เทรดเดอร์จะวางแผนกลยุทธ์อย่างรัดกุมด้วยการวิเคราะห์แนวโน้มของราคาที่เกิดขึ้น พร้อม ๆ กับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารเศรษฐกิจ, อัตราดอกเบี้ย หรืออัตราการว่างงาน เป็นต้น เพื่อประเมินทิศทางราคาและแนวโน้มของตลาดในภาพรวม

ประเภทของการเทรดยาว มีอะไรบ้าง?


Position Trading คือ กลยุทธ์การเทรดที่ถือออเดอร์เป็นระยะเวลานาน โดยการเลือกใช้ Time Frame ตั้งแต่รายสัปดาห์, รายเดือน ไปจนถึงรายปี ซึ่งเทรดเดอร์ที่นิยมใช้ Position Trading มักจะวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อหาแนวโน้มของราคาขนาดใหญ่ รวมถึงมองภาพรวมของตลาดในระยะยาว ซึ่งต้องอาศัยความอดทนและความมีวินัยสูงมาก เพราะต้องวางแผนกลยุทธ์อย่างละเอียดและรอบคอบ หากแนวโน้มของราคาขัดแย้งกับกลยุทธ์ที่คุณตั้งไว้ อาจส่งผลต่อการขาดทุนครั้งใหญ่ได้เช่นเดียวกัน

Trend Following (การเทรดตาม Trend) คือ การเทรดตามความเคลื่อนไหวของราคา โดยเทรดเดอร์จะเข้าซื้อเมื่อราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และขายเมื่อราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง ซึ่งเทรดเดอร์จะถือออเดอร์ไว้เรื่อย ๆ จนกว่าแนวโน้มจะมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้หลายคนเรียกการเทรดรูปแบบนี้ว่า “การเทรดตามกระแสน้ำ” ซึ่งต้องอาศัยความอดทนในการถือออเดอร์และมีวินัยในการจัดการความเสี่ยง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวนั่นเอง

ข้อดี
- เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นในระยะยาว
- ลดความเครียด เพราะไม่จำเป็นต้องนั่งเฝ้ากราฟอยู่ตลอดเวลา
- ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น
- ประหยัดค่าธรรมเนียมการเทรดและค่าสเปรด เพราะถือออเดอร์นานกว่าการเทรดระยะสั้น

ข้อเสีย
- ต้องมีความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับเศรษฐกิจเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
- เมื่อถือออเดอร์ข้ามคืนอาจถูกคิดค่า Swap เพิ่มเติม

สรุปเทรดสั้น VS เทรดยาว แบบไหนดี?
ทั้งหมดนี้ ก็คือ เทรดระยะสั้นและเทรดระยะยาวค่ะ ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้ง 2 รูปแบบนี้ มีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกัน สำหรับเทรดเดอร์คนไหนที่ชื่นชอบการเทรดแบบสายซิ่งก็จะนิยมการเทรดระยะสั้น ส่วนเทรดเดอร์คนไหนที่ชื่นชอบการเทรดแบบมั่นคง ค่อยเป็นค่อยไปก็จะชอบการเทรดระยะยาว ซึ่งคุณน้าไม่สามารถการันตีได้ว่าการเทรดแบบไหนดีกว่ากัน เพราะการเทรดระยะสั้นและเทรดระยะยาวตอบโจทย์สไตล์การเทรดที่แตกต่างกัน ดังนั้น อย่าลืมเปรียบเทียบข้อมูลของการเทรดทั้ง 2 ประเภท ก่อนตัดสินใจเริ่มต้นเทรด เพื่อเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับคุณให้ได้มากที่สุด ด้วยความปรารถนาดีจากทีมงานคุณน้าพาเทรดค่ะ


เทคนิคเทรดและปั้นพอร์ตเล็กตามสไตล์คุณน้า:https://www.tradewithauntie.com/short-trade-long-trade/
สำหรับใครที่สนใจอ่านรีวิวโบรกเกอร์ : https://www.tradewithauntie.com/review-broker/
บทความในเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจ : https://www.tradewithauntie.com/tag/investing-knowledge/
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์