ที่ดูดควัน ตัวช่วยจัดการกลิ่นและควันในครัวให้สะอาดอย่างมืออาชีพทุกครั้งที่เราปรุงอาหาร โดยเฉพาะเมนูที่ต้องผัด ทอด หรือย่าง มักจะเกิดกลิ่นและควันที่ลอยฟุ้งไปทั่วทั้งบ้าน การติดตั้ง
ที่ดูดควัน จึงเป็นทางออกที่หลายครอบครัวเลือกใช้ 
เพื่อช่วยจัดการปัญหานี้ให้หมดไป
ประเภท และวิธีเลือกให้เหมาะกับครัวของคุณแบบมีท่อระบายอากาศ (Ducted Hood)
เป็นระบบที่ดูดควันและกลิ่นออกไปนอกตัวอาคารโดยตรงผ่านท่อระบาย เหมาะกับบ้านหรือครัวที่สามารถเจาะผนังหรือเพดานได้ และใช้งานครัวหนัก เช่น ผัดอาหารไทยหรือทอดของบ่อย ๆ เพราะระบบนี้สามารถจัดการควันและกลิ่นได้ดีเยี่ยม
แบบหมุนเวียนภายใน (Ductless / Recirculating)
เหมาะสำหรับคอนโดหรือที่พักที่ไม่สามารถดัดแปลงโครงสร้างอาคารได้ อากาศจะถูกดูดเข้าไปผ่านแผ่นกรองไขมันและแผ่นกรองกลิ่น (Activated Carbon Filter) แล้วปล่อยอากาศกลับคืนสู่ห้องหลังกรอง แม้จะไม่แรงเท่าแบบมีท่อ แต่ก็ช่วยลดกลิ่นและความชื้นได้ในระดับที่ดี
แบบฝังใต้ตู้ (Built-in Hood)
นิยมใช้ในครัวที่เน้นดีไซน์เรียบหรูทันสมัย เพราะซ่อนตัวเครื่องไว้ใต้ตู้แขวน ช่วยประหยัดพื้นที่และให้ความสวยงาม เหมาะกับการใช้งานทั่วไปหรือครัวขนาดเล็ก
คุณสมบัติสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนเลือกซื้ออัตราการดูดอากาศ (Airflow Rate)
วัดเป็นลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง (m³/h) โดยทั่วไป สำหรับครัวไทยควรเลือกที่มีแรงดูดไม่ต่ำกว่า 600 m³/h ขึ้นไป เพื่อให้สามารถดูดควันและกลิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความเงียบขณะทำงาน
เสียงรบกวนจากการดูดควันอาจเป็นปัญหาในบ้านที่มีพื้นที่เปิดโล่ง ควรเลือกเครื่องที่มีระดับเสียงไม่เกิน 60–65 เดซิเบล เพื่อความสบายระหว่างใช้งาน
แผ่นกรองและการบำรุงรักษา
ควรเลือกแบบที่สามารถถอดแผ่นกรองออกมาล้างทำความสะอาดได้ง่าย และสามารถหาซื้ออะไหล่หรือแผ่นกรองใหม่ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะแผ่นกรองคาร์บอนในระบบหมุนเวียนที่ต้องเปลี่ยนเป็นระยะ
สรุปเป็นอุปกรณ์สำคัญของครัวในบ้านยุคใหม่ที่เน้นความสะอาดและสุขอนามัย การเลือกที่ดูดควันที่เหมาะสมกับพื้นที่และลักษณะการปรุงอาหารจะช่วยให้การทำครัวสะดวกขึ้น และรักษาสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้สดชื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเลือกแบบมีท่อหรือแบบหมุนเวียน สิ่งสำคัญคือการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานไปได้อีกยาวนาน
