ซื้อทางเน็ตเตรียมเฮ ‘บาทฟินเทค’ บล็อคเชนที่ช่วยป้องกันการโกงเงินผ่านโลกออนไลน์
“โอนไปเกือบเดือนแล้ว ยังไม่ได้ของเลยค่ะคุณแม่ค้า”
“สีไม่ตรง ไซต์ก็ไม่ใช่อีก ขอคืนเงินได้หรือเปล่าครับ”
“แกะออกมาแตกหมดเลย หนูต้องทำไงคะ” ปัญหาคลาสสิคพวกนี้ เริ่มเกิดบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ตามการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดการซื้อขายออนไลน์ ซึ่งยอดการเติบโตของธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการค้าขายออนไลน์ หรือ อีคอมเมิร์ชในประเทศไทย ที่มีสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาทต่อปี และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาก็คือกว่า 30% หรือกว่า 3.8 แสนล้านบาท เสียให้กับการหลอกลวงจากมิจฉาชีพไซเบอร์ยุค 4.0 ที่หากินผ่านทางออนไลน์แล้วใช้มือถือเป็นเครื่องมือสำคัญ
ยอดการซื้อขายที่ถูกโกงส่วนใหญ่จะเป็นจำนวนเงินน้อยๆ หรือที่เรียกว่า Micropayment หรือยอดซื้อขายจำนวนน้อยไม่คุ้มค่ากับการฟ้องร้องหรือเอาผิดทางกฎหมาย จึงมีการคิดค้นระบบเงินดิจิทัลที่ปกป้องการซื้อขายออนไลน์ให้มีความปลอดภัยขึ้นมาเรียกว่า “บาทฟินเทค” โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain ที่กำลังได้รับความนิยมมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบทั้งหมด ที่จะแก้ปัญหาการหลอกลวงการซื้อขายของออนไลน์ ลดค่าบริการเพิ่มความปลอดภัย มีต้นทุนต่ำ ปลอดภัยสูง และมีประสิทธิภาพอย่างมาก
ศักดา เกตุแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บาทฟินเทค ได้เปิดเผยว่า “ระบบของบริษัท จะทำให้ผู้ซื้อผู้ขายได้ใช้จ่ายผ่าน “ไทยบาทดิจิทัล” เมื่อผู้ซื้อโอนเงินไปที่ผู้ขายผ่านระบบกระเป๋าเงินดิจิทัล ระบบเงินจะถูกลด-เพิ่มจากบัญชี โดยบัญชีผู้ซื้อจะถูกตัด และขึ้นสถานะรอการยืนยันที่บัญชีผู้ขาย เช่นเดียวกับระบบเช็ครอการเคลียริ่ง เมื่อผู้ซื้อได้รับสินค้าตรงตามที่ตกลงกับผู้ขาย เงินไทยบาทดิจิทัลจะเข้าบัญชีผู้ขายโดยสมบูรณ์ แต่ถ้าเกิดข้อผิดพลาดทำให้การซื้อขายไม่สมบูรณ์ ระบบก็จะทำการคืนเงินให้กับผู้ซื้อโดยอัตโนมัติ”
ทั้งนี้ระบบจะดีกว่าการจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิต Visa MasterCard หรือ PayPal แม้บัตรเครดิตผู้ซื้อจะนิยมเพราะได้สะสมแต้ม และสิทธิพิเศษอื่นๆ แต่ขณะเดียวกันกับมีการหักเงินฝั่งผู้ขาย 2-6% ในทุกธุรกรรม ซึ่งบริษัทเจ้าของบัตรเครดิตได้ส่วนแบ่ง 4% และให้คืนผู้ใช้บัตร 1% ซึ่งการซื้อของออนไลน์แบบบุคคลทั่วไปจะไม่ได้รับความนิยม เนื่องจากสินค้าออนไลน์เป็นตลาดที่แข่งขันสูง กำไรต่ำ ส่วนใหญ่รับด้วยเงินสดหรือโอนเงิน ซึ่งมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงมากของผู้ซื้อ แต่ขณะเดียวกันไทยบาทดิจิทัลคิดค่าธรรมเนียมแค่ 0.1% และเข้ามาจัดการความปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับทั้งผู้ซื้อและผู้ขายทั้งระบบ
ในปี 2561 คาดว่า จะมีการใช้ระบบไทยบาทดิจิทัลประมาณ 5% ของมูลค่าอีคอมเมิร์ชในประเทศไทย หรือประมาณ 70,000 ล้านบาท และหากใช้ไทยบาทดิจิทัลจะทำให้ยอดการสูญเสียจากการหลอกลวงในอีคอมเมิร์ชลดลงถึง 100% เลยทีเดียว ส่วนในระยะยาวคาดว่าปริมาณการใช้ระบบไทยบาทดิจิทัลจะครอบคลุม 50% ของตลาดทั้งหมดภายใน 5 ปี
เป้าหมายกลุ่มแรกๆ ที่จะเลือกใช้ระบบไทยบาทดิจิทัลคือ กลุ่มผู้ค้าอีคอมเมิร์ชจากบริษัทใหญ่ที่ต้องการสร้างความเชื่อมั่นทางด้านการซื้อขายให้กับลูกค้า โดยเฉพาะสินค้าที่มีวงเงินหลายพันบาทต่อชิ้น และไม่ต้องการพึ่งพาเว็บซื้อขายที่มีระบบเครดิตการชำระเงินที่ไม่เหมาะสม หลังจากนั้นจะเป็นกลุ่มลูกค้า Micropayment หรือการค้ารายย่อยที่ต้องการเงินหมุนเวียนสูงจะตามมา
ส่วนแผนการระดมทุนของบริษัทนั้น จะมีการระดมทุนด้วยการใช้ ICO ด้วยการออกเหรียญจำนวน 300 ล้านเหรียญ ในมูลค่าเริ่มต้นที่ 3 บาทต่อ 1 เหรียญ จะมีการเปิดซื้อขายเหรียญในรอบพรีเซล 30 มีนาคมนี้ และขายผ่านตลาดเสรีตั้งแต่ 30 เมษายนเป็นต้นไป โดยจะใช้ผู้ตรวจสอบ หรือ Auditor ที่ดูแลการเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นผู้จัดการซื้อขายครั้งนี้ ซึ่งจะทำให้มาตรฐานการ ICO ของบริษัทเทียบเท่ากับการระดมทุนในตลาดปกติ คาดว่าภายใน 3 เดือนจะสามารถระดมทุนได้ตามที่บริษัทตั้งเป้าหมาย ซึ่งเงินลงทุน ICO ครั้งนี้จะนำมาเป็นเงินหมุนเวียนผ่านระบบไทยบาทดิจิทัล
“เป้าหมายหลักของธุรกิจนี้คือ การเชื่อมโยงธุรกิจเข้ากับระบบการเงินสมัยใหม่ให้มีความปลอดภัย และเชื่อถือได้ โดยตัวบริษัทเองแม้จะระดมทุนด้วยเงินคริปโต แต่สุดท้ายแล้วบริษัท บาทฟินเทค ก็จะเข้าสู่ระบบการเงินปกติด้วยการเข้าตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย” นายศักดา กล่าวสรุป
โดย บาทฟินเทค ได้พันธมิตรทางธุรกิจที่เชื่อถือได้อย่าง แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท หรือ แอดไวซ์ ผู้จำหน่ายสินค้าไอทีผ่าน “Advice Online” และได้สร้างหมวดสินค้าไอทีในการขายผ่านอีคอมเมิร์ชมากที่สุดในไทย ซึ่ง บาทฟินเทค จะมีส่วนช่วยเรื่องระบบการชำระเงินสำหรับการสั่งซื้อสินค้า ถือเป็นครั้งแรกที่จะนำเงินคริปโตเคอเรนซี่มาใช้ในการซื้อขายสินค้าจริงในไทย เป็นการอำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยในการซื้อสินค้าและรองรับการใช้สกุลเงินดิจิทัลไปพร้อมกัน
เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือแม้แต่ผู้ที่สั่งซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์เป็นประจำ เพราะนอกจากจะช่วยสร้างความมั่นใจในการทำธุรกรรมแต่ละครั้งแล้ว ยังเพิ่มโอกาสในการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่อย่าง Blockchain อีกด้วย
