เยี่ยมเหมือนเดิม ที่ผมชอบ+พอรู้เรื่อง รวม ได้แบบนี้เผื่อคนไม่มีเวลาอ่าน จะได้ประโยชน์
"รูปภาพเจ้าปัญหา กับการให้มันอยู่ตรงกลางห้อง"
<img id="logo" src="logo.jpg">
#logo {
position: absolute;
left: 50%;
top: 50%;
margin-left: -xxx;
margin-top: -yyy;
}
ค่า xxx เอามาจากความกว้างของรูปไปหารสอง
ค่า yyy เอามาจากความสูงของรูปไปหารสอง
เช่น ถ้ารูปกว้าง 300 สูง 150 ก็จะใส่เป็น
"เทคนิคหากินเทพๆ กับการสวมเขา PHP"
เผื่อหลายคนที่อาจยังไม่รู้ ซึ่งคิดว่าเยอะเหมือนกัน
กับเทคนิคหนึ่งที่อาศัยความร่วมมือจาก .htaccess
ทำให้เราสามารถสวมเขา ให้โ้ค้ด php ของเราได้
เคยมีบ้างไหมที่อยากแก้หรือเพิ่มโค้ด php ทั้งหมด
แต่ดันขี้เกียจ หรือไม่อยากตามแก้เมื่อยามที่ไฟล์ใหม่เพิ่มมา
*** อย่าละเลยเรื่องนี้ เพราะเป็นเทคนิคหากินของใครอีกหลายคน ไม่มีใครโง่พอมาเล่าให้ฟังครับ (คงมีแต่ผมมั้ง )
ขั้นแรกให้สร้างไฟล์ PHP ที่จะเป็นเขามาสักไฟล์
สมมุติว่าชื่อ head.php ละกัน
พอเราสร้าง ให้ลองใส่โค้ดนี้ลงไป
โค๊ด:
echo "I am Head of PHP.";
แล้วเซฟ
ต่อมาให้แก้ .htaccess เพิ่มโค้ดนี้ลงไป
โค๊ด:
php_value auto_prepend_file head.php
แล้วเซฟ
เท่านี้ เราก็จะสามารถสวมเขาให้ไฟล์ php ทุกไฟล์ได้แล้ว
ลองเปิด php หน้าไหนก็ได้่ ข้อความ I am Head of PHP. จะไปติดอยู่ข้างบนเสมอ
ข้อดีของมันจริงๆ คืออะไร มันแล้วแต่คนประยุกต์ (กึ๋น)
ยกตัวอย่าง... ถ้าผมทำฟรีโฮส แล้วอยากติดแบนเนอร์บนทุุกหน้าล่ะ อิๆ
------------------
"ภาคต่อกับการต่อหางให้ PHP"
ต่อจากภาคที่แล้ว
ขั้นแรกให้สร้างไฟล์ PHP ที่จะเป็นเขามาสักไฟล์
สมมุติว่าชื่อ foot.php ละกัน
พอเราสร้าง ให้ลองใส่โค้ดนี้ลงไป
โค๊ด:
echo "I am Foot of PHP."; แล้วเซฟ
ต่อมาให้แก้ .htaccess เพิ่มโค้ดนี้ลงไป
โค๊ด:
php_value auto_append_file foot.php แล้วเซฟ
เท่านี้ เราก็จะสามารถต่อหางให้ไฟล์ php ทุกไฟล์ได้แล้ว
ลองเปิด php หน้าไหนก็ได้่ ข้อความ I am Foot of PHP. จะไปติดอยู่ข้างล่างเสมอ
ข้อดีของมันจริงๆ คืออะไร มันแล้วแต่คนประยุกต์ (กึ๋น)
ยกตัวอย่าง... มันคงจะง่าย ถ้าผมอยากยัดโค้ดตรวจ status
โดยไม่ต้องแก้โค้ดเดิมให้ยุ่งยาก
"cron job"
http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,30624.0.html 
วันนี้มาต่อกับ "การสวมหัวโขนให้ HTML"
** โพสนี้ไม่เกี่ียวข้องกับศิลปะ และนาฎศิลป์แขนงใดๆ ทั้งสิ้น โปรดอย่าสับสน
ลักษณะจะเหมือนกับการสวมเขาต่อหางให้ PHP เพียงแต่เป็นการทำกับ HTML
และโค้ดจะต่างกันไป
ขั้นแรกให้สร้างไฟล์ PHP ที่จะเป็นหัวโขนมาสักไฟล์ สมมุติว่าชื่อ mask_html.php ละกัน
พอเราสร้าง ให้ลองใส่โค้ดนี้ลงไป
โค๊ด:
<?php
echo "It's a head!<br>";
//แสดงผล html (สำคัญ ห้ามลบ)
echo file_get_contents($_SERVER['PATH_TRANSLATED']);
echo "<br>It's a foot!";
?>
แล้วเซฟ
ต่อมาให้แก้ .htaccess เพิ่มโค้ดนี้ลงไป
โค๊ด:
Action init_html_php /path-from-web-root/mask_html.php
AddHandler init_html_php .html .htm
โดยตรง path-from-web-root ก็คือต้องกำหนด path ให้ถูก โดยนับจากกรณีมีซัพโฟลดอร์หรือไม่
ยกตัวอย่าง localhost/
ก็จะเป็น Action init_html_php /mask_html.php
ยกตัวอย่าง localhost/web/html/
ก็จะเป็น Action init_html_php /web/html/mask_html.php
เมื่อกำหนดพาทเสร็จ ก็เซฟ
เท่านี้ เราก็จะสามารถสวมหัวโขนให้ไฟล์ html ทุกไฟล์ได้แล้ว ทดลองด้วยการเปิด HTML สักไฟล์ที่อยู่ในโฟลเดอร์นั้นได้เลยครับ
เทคนิคสำหรับ PHP นั้น ลักษณะคือการ attach โค้ดนั้นๆ เข้ากับการทำงานของโค้ดเดิม
แต่ HTML จะเป็นการเพิ่มการกระทำให้ PHP เข้าไปทำงานแทน HTML ที่โดนเรียก
จึงต้องมีการใช้ file_get_contents ในการทำงานด้วย
วันนี้เอา SEO ทิปเล็ก ๆ มาฝาก ง่าย ๆ แต่ได้ผล
ปกติเมื่อเราจะทำลิ้งที่เปิด popup มักจะใช้ function javascript
โดยการเปิด popup ที่ใช้กัน ก็มักจะเป็น function ที่แถมมากะ dreamweaver คือ
ประมาณนี้
โค๊ด:
<a href="#" onClick="MM_openBrWindow('
http://www.xxx.com/popup.php...#039;,'width=20,height=20 
');">เปิดโปปุ๊บ</a>
แต่มันเป็นปัญหาคือ SE ไม่ยอมเข้าไปเก็บ หน้า popup.php ซึ่งส่วนมากมักจะเป็น dynamic page
เราสามารถแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการ เขียนอย่างนี้ครับ
โค๊ด:
<a href="
http://www.xxx.com/popup.php 
" onClick="MM_openBrWindow('
http://www.xxx.com/popup.php...#039;,'width=20,height=20 
'); return false;">เปิดโปปุ๊บ</a>
1.ใส่ลิ้งเข้าไปใน href เท่านี้บอทก็จะสามารถตามเก็บลิ้ง จาก href ได้แล้ว
2. return false; ใส่เพื่อไม่ให้มันเปลี่ยนหน้าตามไปด้วยจากการใช้ href เพราะมัน return false; และสามารถเปิด popupได้ปกติ
เท่านี้ คุณก็ได้ index จากGoogleเพิ่มมากขึ้น ครับ
หลายวันมานี้ เหมือนผมผ่านอะไรมาเยอะเลย เหมือนอยู่ที่แปลกๆ มาไกล
วันนี้พอโพสสั้นๆ นะครับ แบบว่าเหนื่อยมาก~~
________________________________________
"เขียน .htaccess สำหรับ Modrewrite อย่างไรให้ใช้งานได้ทุกโฮส"
เรื่องคราวนี้ ผมเขียนให้สำหรับคนเขียน .htaccess เป็นแล้วนะครับ
หลักการมีไม่กี่ข้อครับ ถ้าทำตามนี้ได้ จะใช้งานได้เกือบทุกโฮสเลย
(แน่ๆ อย่าง Netfirms ที่ว่ามีปัญหาบ่อย ก็ใช้งานได้ปกติ)
1. ระบุ RewriteBase ด้วยพาทแบบซัพโฟลเดอร์โดยนับจากโดเมน และปิดหัวท้ายด้วย "
ยกตัวอย่าง .htaccess บนพาทเว็บ
โค๊ด:
www.example.com/myscript/ 
จะต้องเขียน RewriteBase เป็น
โค๊ด:
RewriteBase "/myscript/"
2. ระบุพาทของ url หลังกฎของ rewrite ด้วยพาทแนวเดียวกันกับข้อ 1
จากตัวอย่างข้อหนึ่ง สมมุติผมจะเขียน rewrite แปลง [keyword].html เป็น page.php?kw=[keyword]
โดยทั้งหมดอยู่ใน
โค๊ด:
www.example.com/myscript/ 
จะเขียนได้เป็น
โค๊ด:
RewriteRule ^([^\.]+)\.html$ "/myscript/page.php?kw=$1" [L]
ถ้าทำตาม 2 ข้อนี้ ก็จะทำให้สคริปทำงานได้อย่างเต็มที่แล้วครับ
เบื้องหลังทำไมต้องเป็นแบบนี้
1. ทำไมต้องระบุพาทเต็ม
เหตุมาจาก modrewrite ทำงานด้วยความสามารถของ apache แล้วการกำหนดค่าโดเมน จะอิงกับโฟลเดอร์รากที่ใช้แสดงรากของโดเมนนั้นๆ (นึกภาพไม่ออก ก็ไปลองแงะไฟล์ตั้งค่าของ apache ดู) ทำให้เวลาการกำหนดพาท จึงต้องอิงจากรากโดเมนเป็นหลัก
2. ทำไมต้องมี " ปิดหัวท้าย เหตุเพราะเพื่อรองรับในกรณีโฟลเดอร์หรือไฟล์มี ช่องว่าง
เป็นสาเหตุตกม้าตายของใครต่อหายคนมานักต่อนักแล้ว เพื่อกันไม่ให้ระบบเข้าใจผิดว่าหลังช่องว่างคือ flag จึงต้องใส่ " ปิดหัวท้าย
มัน disable JavaScript อยู่ จะเอาไปใส่ใน wordPress เพราะตามร้าน net มันชอบตั้ง disable แล้วคนอ่านไม่รู้