เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2556 ถึง 3 ตุลาคม 2556 (สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง) ผมได้รับเชิญให้ไปเข้าร่วมสัมมนา Top Contributor Summit 2013 ที่จัดโดยบริษัท Google ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในประเทศไทย มี Top Contributor รวมทั้งสิ้น 3 คนที่ได้รับคำเชิญ ระหว่างการจัดงานสัมมนา 4 วันนี้ ผมได้รับประสบการณ์ดีๆ ได้พบปะผู้เข้าร่วมสัมมนาที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Google ใน Product ต่างๆของ Google ไม่ว่าจะเป็น Google Adwords, Google Webmaster, Google Analytics, Gmail, Google Maps, Google Adsense และ Youtube รวมทั้งหมดจากทั่วโลกเกือบ 400 ท่าน จุดประสงค์ของงานที่จัดงานสัมมนาในครั้งนี้ Google ต้องการเชิญ Top Contributor ในผลิตภัณฑ์แต่ละ Product ในทุกๆ forum จากทั่วโลก เพื่อมาพบปะ และเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งันและกัน มี Sessions มากมายหลายเรื่องที่ให้ความรู้แก่ Top Contributor เหล่านี้ เพื่อให้เข้าใจในรายละเอียดของ Product Google ต่างๆเพิ่มมากขึ้น อีกข้อนึงที่สำคัญมากคือ Google ได้รับ Feedback ที่เป็นประโยชน์อย่างมาก จาก Top Contributor จากทั่วโลก ทำให้ Googlers หรือทีมวิศวกรระดับสูงของ Google ในทุก products ได้ไอเดียในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ไปไม่น้อยเลยทีเดียว
ถึงตรงนี้ หลายๆท่านอาจจะสงสัยว่า Top Contributor คืออะไร? Top Contributor คือผู้เชี่ยวชาญที่คอยให้ความรู้ ให้ความช่วยเหลือคนที่เข้ามาสอบถามปัญหา ใน forum product ต่างๆของ Google ซึ่งตัวผมเอง เป็น Top Contributor ในเรื่องของ Google Adwords ซึ่งตอนนี้ในประเทศไทยมีทั้ง 3 คนถ้วนครับ
ผมอยากจะแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆที่คลุกคลีกกับ Product ของ Google ไม่ว่าจะเป็นตัวไหน อาจจะชอบ หรือถึงขั้นหลงรักเลย วันนี้ผมอยากจะถ่ายทอดประสบการณ์ดีๆที่ Google มอบให้ผม ผ่านการจัดงาน และบรรยากาศต่างๆในงานที่ผมคิดว่าเป็นความตั้งใจของ Google ที่อยากให้ผมมีความรู้สึกประทับใจแบบนี้ครับ
โดยการเล่าเรื่องจะแบ่งเป็นทั้งหมด 4 วัน วันละตอนนะครับ ท่านที่สนใจ...
- บรรยากาศการเดินทางเพื่อสัมมนา สนุกๆทั้งหมดในครั้งนี้
- พบ Matt Cutts ตัวจริงเสียงจริง พ่อ Panda, Penguin และล่าสุด Humming Bird (โดนยิงคำถามจากเหล่า TC ในงานแบบไม่ยั้ง)
- อยากชม Chromebook, คอมพิวเตอร์พกพาที่ใช้ OS Chrome ของ Google ล้วนๆ!
- Google Glass นวัตกรรมที่อาจจะเปลี่ยนโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง << ผมได้มีโอกาสลองเล่นด้วยครับ!!
- Adwords Day!! งานเจ๋งๆที่ Google จัดเพื่อ Google Adwords Top Contributor โดยเฉพาะ พร้อม Update เรื่องต่างๆแบบอินไซด์!
- อยากไปเยี่ยมชม Office Google สำนักงานใหญ่ที่ MountainView ประเทศสหรัฐอเมริกากับผม
รอติดตามนะครับ...!!
ดูแล้ววันละตอนอาจจะไม่ได้ครับ เล่าแล้วติดลมมาก เอาเป็นว่าจะทยอย update เรื่อยๆแล้วกันนะครับ ^^------------------------------------------
---
วันที่ 1:---
ตอนที่ 1 : ประเทศไทย สู่ Silicon Valley (San Jose, California USA)
หนึ่งในสถานที่จัด event หลักๆ จะอยู่ในเมือง San Jose (อ่านว่า ซาน โจ เซ่) ในรัฐแคลิฟลอเนีย เป็นหลัก หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ แต่เมืองนี้เป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจาก San Francisco เมืองที่นักท่องเที่ยวนิยมกันมากนัก ที่สำคัญ และน่าสนใจสุดๆคือ เมืองนี้เป็นที่ตั้งของ Silicon Valley ย่านที่บริษัทชื่อก้องโลกด้านคอมพิวเตอร์มากมายตั้งอยู่ที่นี่ ตัวอย่างเช่น Google, Apple, Facebook, eBay, Intel, Yahoo!, Sun Microsystems, Cisco, Adobe, AMD เป็นต้น เป็นแหล่งรวมเหล่าบริษัทคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนโลกของเราครั้งแล้วครั้งเล่ารวมกันอยู่ที่นี่อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งเป็นมหาลัยที่เด่นด้านเทคโนโลยีและธุรกิจอีกด้วย
แผนที่ Silicon Valleyแค่สถานที่จัดงานผมก็รู้สึกว่า Google เลือกจัดงานในสถานที่ที่ไม่ธรรมดาจริงๆครับ นอกจากประวัติศาสตร์อันยาวนานด้านเทคโนโลยี ที่ทำให้เหล่า Google Geeks และพวกหลงไหลเทคโนโลยีทั้งหลายตื่นเต้น และรู้สึกกระตือรือร้นตลอดเวลาที่อยู่ที่นั่นแล้ว Google ยังจัดที่พักใน Location ที่ Perfect เดินทางสะดวก โดยตัวโรงแรมที่ Google จัดให้เหล่า Top Contributor พัก แบ่งเป็น 2 โรงแรม โรงแรมแรกคือ Hilton San Jose ซึ่งให้ Top Contributor ที่เลือกภาษาหลักไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ส่วน San Jose Marriott สำหรับคนที่เลือกภาษาหลักเป็นภาษาอังกฤษ
การจัดสัมมนาในช่วง 2 วันแรก จัดที่ McEnery Convention Center ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าเดินทางสะดวกมากๆครับ เนื่องจากประตูโรงแรม Marriott อยู่ติดกับลานหน้า Convention Center นี้เลยทีเดียว ส่วน Hilton ก็อยู่ถัดไปอีก 1 ช่วงตึกเท่านั้นเอง ซึ่งก็ถือว่าใกล้มากทีเดียว และยังอยู่ใกล้พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยี The Tech Museum of Innovation ซึ่งเป็นสถานที่ Google จัดงาน Party ต้อนรับเหล่า Top Contributor จากทั่วโลกอีกด้วยครับ
แผนที่ San Jose บริเวณที่จัดงาน ลองดูว่าอยู่ใกล้กันขนาดไหน!?วันแรกที่กำลังจะออกจากสุวรรณภูมิ แฟนผมมาส่งครับ เนื่องจากตอนนี้ผมเปิดบริษัทของตัวเองคือเป็น Google Adwords Agency ชื่อ Ads Now มีทีมงานจำนวนหนึ่ง แต่หลักๆก็คือผมและแฟนของผมนี่แหล่ะครับที่ช่วยงานกันตลอด และก็ทำงานที่บริษัทด้วยกันทั้งวัน จึงทำให้ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา พอคราวนี้ผมต้องไปต่างประเทศนานถึง 5 วันกว่าๆ (รวมวันเวลาที่นั่งเครื่องบินด้วย) ก็ทำให้ใจหายเหมือนกันครับ ก่อนบ๊ายบายกันเลยมีอาการน้ำตาซึมเล็กน้อยครับ แห่ะๆๆๆๆ เอารูปมาฝากด้วยครับ ^^
อย่างที่บอกว่าผมเปิดบริษัทของตัวเอง ดังนั้นระหว่างที่ผมไม่อยู่ต้องบอกว่า แฟนรับหน้าที่ทำงานแทนผมหนักมากทีเดียว นอนตี 2-3 ทุกคืน เพราะลูกค้ามีอยู่เยอะพอสมควร รวมถึงมีทีมงานกำลังสำคัญลางานทั้งสัปดาห์ด้วยครับ ถ้าไม่มีแฟนคอยดูแลงานให้ ผมก็คงไม่ได้มาเก็บความรู้ เก็บบรรยากาศอย่างเต็มที่แบบนี้แน่นอนครับ ^^

กลับเข้าเรื่องต่อครับวันแรกออกจากประเทศไทย จากสุวรรณภูมิเดินทางด้วยสายการบิน Eva Air ครับ เป็นสายการบินประจำประเทศไต้หวันครับ ตอนแรกผมไม่รู้จักสายการบินนี้เท่าไหร่ แต่ถามคนรอบข้างก็ได้ยินว่าเป็นสายการบินที่ค่อนข้างใช้ได้ทีเดียว นั่งค่อนข้างสบาย ที่สำคัญ แอร์โฮสสเตจ ถือว่าโอเคทีเดียวครับ โดยเฉพาะตรงโซน First Class 555+ เสียดายผมไม่ได้ถ่ายรูปมา แต่เอ่อ… ระหว่างเขียนอยู่ผมลองไปหารูป แอร์โฮสสเต็จ ใน Google images ดู ผมว่าคนในรูปนี้อยู่ในเครื่องเดียวกับผมด้วยครับ เอ่อ… หรือว่าคนจีน ไต้หวันเค้าหน้าตาคล้ายกันไปหมด ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ 55+
แอร์โฮสสเตจ Eva Airจากสุวรรณภูมิเดินทางไปต่อเครื่องที่ไต้หวันครับ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่าๆ รอเครื่องอีก 3 ชั่วโมง แล้วก็เดินทางจากไทเป ประเทศไต้หวัน ตรงไปที่สนามบิน San Francisco ทันที ใช้เวลาอีกประมาณ 12 ชั่วโมง
ตอนอยู่บนเครื่องผมพยายามจะหาหนังสนุกๆดู ลองเลือกอยู่นานว่าจะดูอะไรดี ผมไปจบที่หมวด Comedy บังเอิญไปสะดุดตาหนังเรื่องหนึ่งชื่อ The Internship ผมเห็นชื่อแล้วแปลกดี เลยลองกด More info เพื่ออ่านคำอธิบายเพิ่มเติมดู อ่านไวๆแล้วเห็นเค้าพูดอะไรเกี่ยวกับ Google ด้วย ประมาณว่าไปทำงานที่ Google Company อะไรซักอย่างหนึ่ง ผมจึงตัดสินใจดูหนังเรื่องนี้
เนื่องจากผมไม่ใช่คนที่เก่งภาษาอังกฤษมากนะครับ แค่พองูๆปลาๆ และหนังก็มีแต่ Subtitle ภาษาจีนซะด้วย เพราะฉะนั้นผมจะเล่าเนื้อเรื่องย่อหนัง Comedy เรื่อง The Internship เรื่องนี้ เท่าที่พอจะจับใจความได้นะครับ อิอิ
ในเรื่องตัวเอกคือผู้ชาย 2 คนอายุน่าจะประมาณ 30 ซึ่งรู้สึกว่าบริษัทเดิมที่สองคนนี้ทำงานอยู่กำลังจะปิดบริษัทเนื่องจาก บริเวณในย่านนั้นบริษัทเทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้นเยอะแล้ว ผู้ชายสองคนนี้จึงต้องมองหางานประจำใหม่ทำ และ 1 ใน 2 คนนี้ก็เกิดไอเดียว่า จะไปสมัครงานที่บริษัท Google บริษัทไอทียักษ์ใหญ่แห่งวงการ ไม่ใช่ด้วยวิธีธรรมทั่วไป (เพราะคิดว่าตัวเองคงจะความสามารถไม่ถึง) แต่ด้วยการเข้าไปในหลักสูตร “นักศึกษาฝึกงาน” ซึ่งจะมีนักศึกษาจำนวนหนึ่งที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าทำงานในบริษัท Google
ในเรื่องเผยให้เห็นถึงบรรยากาศในออฟฟิศของ Google และสไตล์การสัมภาษณ์ และการรับเข้าทำงานได้ดี และสร้างความสนุกสนานได้พอสมควรทีเดียวครับ
แต่สุดท้ายผมก็ดูไม่จบครับ เพราะเครื่องลงจอดก่อน แถมลงตอน Climax ซะด้วย!!! เที่ยวเครื่องบินกลับ ผมจะดูต่อก็ดันเอาหนังออกไปซะแล้ว T_T ในไทยผมก็ไม่คิดว่าจะมีฉาย เพราะไม่เคยเห็นเลยครับ เดี๋ยวคงต้องดิ้นรนหาดูเอาที่อื่น
แต่ถึงจะดูไม่จบ แต่ก็ถือว่ายิ่งกระตุ้นเร้าให้ผมตื่นเต้น และอินกับการไปเยือน Google ครั้งนี้มากยิ่งขึ้นอีกครับ!!เอาล่ะครับ ผมคิดว่าเล่าด้วยคำบรรยายจากผมคงไม่เห็นภาพเท่าไปดูตัวอย่างของหนัง ที่ผมหามาแปะให้ด้านล่างนี้ได้เลยครับ!
ต่อไปจะเป็นบรรยากาศวินาทีแห่งความตื่นเต้นที่ผมได้ไปเยือน San Francisco แล้ว พร้อมกับจะมีทีมงาน Google มาต้อนรับถึงสนามบินด้วยนะครับ รอติดตามชมนะครับ เดี๋ยวจะมา update ตอนค่ำๆวันพรุ่งนี้ครับ ^^---
ตอนที่ 2 : ถึง San Francisco แล้ว!!
เอาล่ะครับ ตอนนี้ผมลงจากเครื่องบินแล้ว เจอป้าย San Francisco ปุ๊บ ก็ถ่ายรูปปั๊บตามสูตรครับ ถ่ายจนฝรั่งที่เป็นเจ้าหน้าที่ทำตาขวางใส่ แล้วถามว่า “ทำอะไรกันฟะนั่น!”
ถ่ายรูปกับป้าย San Franciscoในงานนี้อย่างที่บอกมีคนไทยผู้ร่วมเดินทางในฐานะ Top Contributor ไปอีก 2 ท่านนะครับ รวมผมเป็น 3 เรียกว่าละลายพฤติกรรมกันตั้งแต่วันแรกๆเลยครับ สนิทกันเร็วมากครับในทริปนี้ รูปนี้พี่ๆ อีกสองท่านก็เป็นคนถ่ายให้ครับ ^^

ตอนที่ไปถึงเป็นเวลาประมาณ 5 โมงเย็นของที่นั่นครับ ถ่ายรูปสวยๆในสนามบินซัก 1 ภาพ (ว่าแต่ทำไม 5 โมงเย็น แดดมันแรงจังเนี่ย!)
แสงสวยๆวันแรก Top Contributor (TC Summit 2013)มาถึงก็มีทีมงานของ Google มาต้อนรับ ประมาณ 2-3 ท่านครับ ซึ่งดูสูงอายุมากที่เดียว ผมเข้าใจว่าน่าจะมาช่วยงาน Google เป็นการเฉพาะกิจครับ พอเจอกันทางทีมงานก็ทักทาย ต้อนรับพวกเราอย่างดีทีเดียวตามสไตล์คนอเมริกัน ที่ส่วนตัวผมว่าเป็นประเทศที่คนอัธยาศัยดีที่สุดในโลก (ใครที่เคยไปคงจะเห็นด้วยกับผม)
ตามตารางงานแล้ว ผมมีนัดจะต้องไปถึง The Tech Museum of Innovation ตอน 1 ทุ่ม ซึ่งเป็นสถานที่ต้อนรับงานวันแรก ผมรู้สึกว่าช่างเลือกสถานที่จัดงานต้อนรับได้สมกับเป็น Google จริงๆครับ เพราะ The Tech Museum of Innovation เป็นพิพิธภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงมาก เรียกว่าระหว่างกินเลี้ยง ดื่มเครื่องดื่มไป คนในงานก็สามารถเดินชื่นชมความรู้ด้านเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ ในนั้นได้อย่างเต็มอิ่มอีกด้วย
งานตอน 1 ทุ่ม ที่ว่านั้นเป็น idea ที่น่ารักดีครับ คืองาน Gift Exchange คืองานสำหรับแลกของขวัญระหว่าง TC จากประเทศต่างๆในโลกนั่นเองครับ ซึ่งผมเตรียมของดีจากประเทศไทยไปเลย สิ่งนั้นคือ “หงส์ทอง” นั่นเองครับ 555+ (ถ้าไม่ถูกใจใครต้องขออภัยนะครับ) แต่สุดท้ายแล้วผมก็พลาดการแลกของขวัญไป เพราะไปที่งานไม่ทันครับ เนื่องจากเหล่าทีมงาน Google ที่มาต้อนรับนั้น จำเป็นต้องรอ TC จากประเทศอื่นๆอีก 2-3 คน จากสเปน เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ซึ่ง Flight late ค่อนข้างมากครับทำให้ TC ไทยอดแลกของขวัญเลยยย T_T
ทีมงานต้อนรับ Top Contributor (TC Summit 2013)ตัดกลับมาฉากนั่งรอของ TC ประเทศไทยทั้ง 3 คน ตอนแรกๆพวกเราก็ยังตื่นเต้นกับบรรยากาศใหม่ๆที่เพิ่งมา แต่หลังจากนั่งรออยู่นาน…… จนรู้สึกว่ามันเริ่มนานเกินไปละนะ!!! ตอนนั้นน่าจะประมาณ 6 โมงครึ่ง ตอนเย็น ผมจึงปรี่เข้าไปถามทางคุณป้าเสื้อแดงที่อยู่ในรูปด้านบนว่า เรามีนัดตอน 1 ทุ่มที่ The Tech Museum of Innovation นะ คุณป้าตอบอย่างอึกอักประมาณว่า รถบัสคันนี้เป็นคันสุดท้ายแล้ว เราทิ้งคนที่ยังไม่มาไว้ที่นี่ไม่ได้ ผมก็กลับมานั่งรอด้วยความไม่เห็นด้วยซักเท่าไหร่ คิดในใจว่า เค้าน่าจะเรียก Taxi ให้เราล่วงหน้าไปก่อนนะ ไม่แก้ปัญหาเลย เหมือนปล่อยตามยัตถากรรม ทันก็ทัน ไม่ทันก็ไม่ทัน อยากแลกของขวัญนะเนี่ย อยากให้ชาวต่างชาติได้ชิมหงส์ทองนะเนี่ยย!! ผมจึงกลับไปปรึกษากับพี่อีกสองท่านที่ไปด้วยกัน หวังให้เป็นดาบสองเข้าไปคุย จนแล้วจนรอด TC คนอื่นๆที่ flight delay ก็มาถึงจนได้ (ซึ่งตอนนั้นเราก็รู้ว่าไปงานไม่ทันแล้วล่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าไปไม่ทันแล้วจะเป็นยังไงนะครับ)
หลังจากนั้น TC ทั้งหมดที่อยู่ตรงนั้นก็เดินมารวมตัวกัน พร้อมจะไปขึ้นรถบัส เนื่องจากผมเคยมา USA เป็นครั้งที่ 3 แล้ว (แต่มาแค่สั้นๆนะครับ) จึงพอจะเข้าใจธรรมเนียมฝรั่งว่า เข้าไปคุยไปจับมือกัน ทำตัวมั่นใจๆ (แม้ว่าจะไม่เก่งภาษาอังกฤษก็ตาม) จะรู้สึกสบายใจกว่า ผมจึงเข้าไปจับมือทักทายกับ TC อีกสองประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นชื่อรอส เป็นชาว Dutch หรือมาจากเนเธอร์แลนด์นั่นเอง
รอสเป็น TC ที่ผมว่าน่าสนใจมาก เพราะเป็น TC ในเรื่อง Google Maps, Google Places ซึ่งผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนอยู่เหมือนกันในการ manage listing ของ product 2 ตัวนี้ เนื่องจากมีอยู่ช่วงนึง Google นำ Google Places กับ Business Plus page ของ Google+ มาผสมโรงกัน ทำให้ผมซึ่งดู listing ของ Brand โรงแรมที่หนึ่งอยู่กับหัวหน้าค่อนข้างจะสับสนกันมากเลยทีเดียว พร้อมกับเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ในเมื่อเค้าเป็น TC Google Maps แปลว่าเค้าต้องมีอาชีพเกี่ยวกับเรื่องนี้ในประเทศของเค้าใช่มั๊ย แล้วเค้าทำมาหากินกับ product นี้ยังไง? เป็น Agency หรือเปล่า? ซึ่งตอนหลังผมได้มีโอกาสคุยกับรอสระหว่างที่รอทานอาหารเช้าอีกครั้ง จึงได้รู้ว่ารอสเป็น Engineer ที่มีฝีมือ และได้สร้าง service ที่เชื่อมต่อกับ Google Maps API ที่น่าสนใจมากๆ โดนใจผมอย่างแรง ผมว่า service ตัวนี้จะพลิกโฉมวงการ E-commerce ทั่วโลกได้เลยทีเดียวนะครับ เยี่ยมยอดมาก!! และที่สำคัญ Google กำลังจะเรียกตัวรอสไปประชุมเพื่อร่วมกันพัฒนา service ตัวนี้ต่อไปด้วย อีก 1-2 ปี อาจจะได้เห็น product นี้กันก็ได้ ตอนนี้ไม่ยังไม่เฉลยนะครับ ว่าคือ Service อะไร ลองเดากันดูครับ เดี๋ยวจะเฉลยในวันที่ 3 ครับ ^^
หลังจากทำความรู้จักกับ TC 2 ท่านเสร็จ ทั้งหมดก็เดินไปขึ้นรถบัสที่ Google เตรียมไว้ บนรถค่อนข้างจะมืดๆอยู่เหมือนกัน พอนั่งได้เข้าที่ได้ไม่ทันไร ก็มีผู้หญิงท่านนึงเดินขึ้นมาบนรถบัส ผมเห็นหน้าเธอทีแรกคิดในใจว่า งานนี้มี TC ประเทศจีนมาด้วยเหรอเนี่ย เจ๋งดีนะ! แต่พอเห็นหน้าชัดเท่านั้นแหล่ะ ผมก็จำได้ทันทีว่าเธอคือ คุณแป้ง (Googler คนไทยที่ประจำอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์) ที่ผมจำหน้าคุณแป้งได้เพราะ ผมเคยไปเยี่ยม Google Office ที่สิงคโปร์กับแฟนมาครั้งนึง และบังเอิญเจอคุณแป้งครับ นอกจากนั้นคุณแป้งยังทำหน้าที่ดูแล Forum Google Adwords ในประเทศไทย ณ เวลานี้ และเป็นคนประสานงานเรื่องการสัมมนาในครั้งนี้ ให้ทาง TC ประเทศไทยทั้ง 3 ท่าน ได้รับความสะดวกอย่างมากๆด้วยครับ
ระหว่างนั่งรถไปผมกับ TC อีกท่านหนึ่ง (อีกท่านหนึ่งง่วงหลับไปครับ) ก็มีโอกาสคุยกับคุณแป้ง ทำความรู้จักกันเพิ่มมากขึ้นครับ ยังถามกันอยู่ว่ามีที่ไหนให้ไปเที่ยวบ้าง 555+

ระหว่างนั่งรถไปผมพยายามจะไม่คิดว่า 4 วันนี้จะเจออะไรบ้าง พยายามจะไม่คาดหวังมากนักครับ แต่ก็เชื่อลึกๆว่าจะต้องเป็นทริปที่เจ๋ง และประทับใจมากๆแน่นอน

จุดหมายที่รถบัสกำลังมุ่งหน้าไปนั้นก็คือ โซนในแผนที่ตอนที่ 1 ครับ ซึ่งจะตรงไปที่โรงแรมทั้งสองแห่งคือ Hilton และ Marriott นั่นเอง ตามที่ได้อธิบายไว้ว่า Hilton นั้นสำหรับคนที่เลือกภาษา Non-English ส่วน Marriott นั้น สำหรับคนที่เลือกภาษา English ซึ่งปรากฎว่าผมโดนแยกไปอยู่ที่ Marriott คนเดียว!? ตอนแรกก็งงว่าทำไมโดนแยกไปคนเดียว แต่พอนึกดูถึงจำได้ว่า ตอนแรกที่สมัครรับคำเชิญจากในอีเมลล์ เค้ามีให้เราเลือกภาษา ซึ่งทีมงานที่ดูแล Forum Google Adwords ท่านเก่า (ไม่ใช่คุณแป้ง) แนะนำให้ผมเลือกภาษาอังกฤษครับ สรุปผมก็เลยเลือก English อยู่คนเดียว! ส่วนอีกทั้ง 3 ท่านไปอยู่ Hilton ครับ รู้สึกวื๊บๆเหมือนกันนะ ทีแรก 555+

โรงแรม San Jose Marriott (รูปจาก http://www.marriott.com/hotels...travel/sjcsj-san-jose-marriott
)หลังจากรถบัสส่งคนไทยทั้ง 3 ท่านลงที่โรงแรม Hilton แล้ว ก็มาส่งผมที่ Marriott บ้าง ซึ่งรอสก็พักที่โรงแรมนี้ด้วย (ดีที่ยังมีเพื่อนมาด้วยบ้าง)
ดูรูปด้านบนนะครับ โรงแรมก็ดูดีสมเป็นโรงแรมหรู 5 ดาวครับ ที่สำคัญทำเลก็สุดยอดอย่างที่บอกตอนแรกครับ ด้านขวานั่นก็คือ Convention Center ที่ใช้จัดงานสัมมนาของ Google ครั้งนี้นั่นเอง

ลงจากรถปั๊บ ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ ผมก็ลากกระเป๋าตรงเข้าไป Check-in ที่หน้า Front ของโรงแรมทันที การ Check in ก็รวดเร็วมาก เพียงแค่ยื่น Passport ให้ Front ก็ จัดการให้เราเสร็จหมดทุกอย่าง Check-in เสร็จผมเดินถอยออกมา 4 ก้าว แล้วก็หันหลังควับกลับไปถามเรื่องสำคัญตามนิสัยคนทำ E-Commerce ว่า “Is there free WiFi available?” Front ก็บอกว่า “Yes sir, you have to…..” เอ่อ... ผมฟังไม่ทันเลยครับพี่!!

ท่านพี่พูดเร็วมาก ฟังได้ใจความว่าอะไร passwordๆ your name and room number ซักอย่าง ในใจคิดว่า ถามอีกรอบพี่เค้าก็คงพูดเร็วเท่าเดิมแหล่ะ ฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี หาคนอื่นถามดีกว่า เดินถอยออกมาอีก 4 ก้าว ได้ยินรอสถามคนที่ห้อยป้าย Google ดูแล้วน่าจะเป็น TC เหมือนกัน ประมาณว่า งาน party เลิกหรือยัง? TC ท่านนั้นบอกประมาณว่า ตามตารางงานจัดถึง 3 ทุ่ม ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง …You should be hurry.. อะไรประมาณนี้นะครับ ผมได้ยินดังนั้นก็จ้ำอ้าวไปที่ลิพท์ ขึ้นไปที่ห้อง ออกจากลิพท์เจอหน้า house keeper ที่ทำความสะอาด ผมก็ถามเรื่องเดิ่มว่ามี WiFi มั๊ย? เข้ายังไง?? สรุปฟังแล้วก็ยังงงๆครับ 555+

ผลัดจาก house keeper มา ผมก็เดินหาห้องพักตามหมายเลขห้องที่ได้มา ห้องผมอยู่ห้องมุมสุดเลยครับ เปิดห้องเข้าไปแปลนห้องมันแปลกๆยังไงไม่รู้แหะ ทางเข้าเป็นทางยาวตรงๆ ตรงสุดทางมีโต๊ะทำงาน เลี้ยวซ้ายจากโต๊ะทำงาน ก็จะเป็นทางเดินแคบๆ ด้านซ้ายเป็นห้องน้ำ พ้นทางเดินไปก็เป็นพื้นที่บริเวณห้องนอน 2 เตียง กว้างขวางใช้ได้เลยทีเดียว พร้อม starter package จาก Google สำหรับ TC ที่มาในงาน หน้าตาเป็นดังรูปด้านล่างครับ
Google TC Summit 2013 Starter packageใน Package ประกอบด้วย ป้ายชื่อ, information, แผนที่ และตารางงานต่างๆภายในงาน และอื่นๆจิปาทะครับ
หลังจากทำความเข้าใจกับรายละเอียดต่างๆใน Package นี้อยู่ซักครู่ ผมก็รีบบึ่งไปที่สถานที่จัดงาน Party ต้อนรับ นั่นก็คือที่
The Tech Museum of Innovation นั่นเองครับ!Let’s go to the party! (จะไปทันกินข้าวมั๊ยเนี่ย—) 
----
ตอนที่ 3 : Google Night Party ใน Geeks Musuem
ณ ตอนนี้เป็นเวลา 2 ทุ่มครึ่ง พอออกจากโรงแรมปุ๊บ ผมก็ตรงไปตามแผนที่ มุ่งหน้าไปยังพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีที่จัดงานครับ ชื่อว่า The Tech Museum of Innovation หน้าตาก็เป็นแบบนี้ครับ

Tech Museum of Innovation ขอบคุณรูปจาก www.virtualtourist.com 
ตัวพิพิธภัณฑ์อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก (ตามแผนที่ในตอนที่ 1) ระหว่างเดินใกล้จะถึง ก็มีคนมาจับไหล่ผมจากด้านหลัง ผมหันหลังไปอย่างรวดเร็ว ปรากฎว่าเป็น รอส นั่นเองครับ คุยติดตลกกันว่า หิวมากเลย จะไปทันมั๊ยเนี่ย!
เดินเข้าไปถึงในงานจะมีโต๊ะต้อนรับ พร้อมทีมงาน Google หลายท่านที่ยืนต้อนรับอยู่บริเวณชั้น 1 ผมกวาดสายตาสำรวจดูรอบๆ เจอซุ๊มนึง น่าสนใจมากๆครับ มีคนถ่ายรูปกันอยู่เยอะแยะเลย ซุ๊มนั้นเป็นกำแพงขนาดใหญ่ เป็นรูปแผนที่โลกแบบแนวราบครับ ซึ่งสังเกตุว่ามีจุดสว่างๆเล็กๆตามประเทศต่างๆอยู่ พอเห็นอากัปกริยาคนแถวนั้นผมก็เข้าใจได้ว่า ซุ๊มนี้คือซุ๊มสำหรับ Check-in นั่นเองครับ! ผมกับ รอส ก็ตื่นเต้นกันอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ ผมจัดการ Check-in ให้ประเทศไทย พร้อมให้รอสช่วยถ่ายรูปให้ด้วยครับ

Thailand Checked In! Google TC Summit 2013ผมว่าเป็นกิมมิคเล็กๆน่ารักๆที่สร้างความประทับใจแรกได้ดีมากเลยครับ
หลังจาก Check-in เสร็จ ผมก็ถามเจ้าหน้าที่ว่าไป Party ที่ไหน (ทานข้าวที่ไหน??) เจ้าหน้าที่ Google บอกว่า ถ้าเน้นทานให้ลงไปที่ชั้นล่าง ถ้าเน้นดื่มให้ขึ้นชั้นบน! ผมก็ไม่รอช้าเดินไปตามทางที่เจ้าหน้าที่ชี้ทันที ลงไปถึงด้านหลังก็พบ Party จริงๆครับ Party เป็นลักษณะ Cocktail คือเดินตักอาหาร แล้วก็ยืนทานยืนคุยกัน เป็น Party ที่ดีครับ เอื้อให้คนเดินคุยกัน และสร้าง Connection หลังจากเดินเข้าไปในงาน ผมพยายามจะหาเมนูที่ผมทานได้ แต่ดูแล้วไม่ค่อยมีอันที่เวิร์คๆเลยครับ รู้สึกเป็นอาหารฝรั่งที่ดูไม่น่าทานเอาซะเลย ลงท้ายผมก็เลือกตักสเต๊กเนื้อ กับข้าวผัดอะไรซักอย่าง (ซึ่งหน้าตาไม่เหมือนข้าวไทย ข้าวญี่ปุ่น อะไรทั้งสิ้นเลยครับ) ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ แต่ก็พอทานอิ่มได้ครับ

งาน Party Google TC Summit 1013หลังจากท้องอิ่มแล้ว ผมก็เริ่มมองสำรวจรอบๆมากขึ้นว่า คนรอบข้างเค้าเป็นยังไงบ้าง เค้าทำอะไรกันบ้าง ก็พบว่ารอบข้างส่วนใหญ่ก็เป็นฝรั่งครับ ดูแล้วไม่น่าจะมีคนจีน แต่เห็นคนเอเชียชาติอื่นจำนวนหนึ่ง ตอนนั้นยังไม่แน่ใจว่าเป็นชาติอะไร แต่ตอนหลังทราบแล้วว่า มีคนเวียดนาม อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ครับ ส่วนใหญ่ก็ยืนคุยกันอย่างออกรสชาติ ตอนนั้นผมยังไม่ค่อยกล้าไปร่วมวงไหนซักเท่าไหร่ ส่วน รอส คนเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งที่ผมรู้จักคนเดียวตอนนี้ ก็กลืนไปคนประเทศเค้าซะแล้วครับ คุยภาษา Dutch กัน ผมเลยขอตัว เดินหนีออกมาอย่างสุภาพ แล้วก็มองหาคนไทยทั้ง 3 ท่าน ที่แยกจากกันไปตอนลงรถบัส สรุปว่ายังมาไม่ถึงกันเลยครับ ผมก็เดินสำรวจบริเวณ Party ดูซักพักจนทั้ง 3 ท่านเดินลงบันไดมา โอ้ว! ด้วยความดีใจ ผมเลยรีบเดินไปหา และแนะนำว่ามีอะไรทานบ้าง เมนูอะไรอยู่ตรงไหน
ตอนนั้นผมนึกถึงคำพูดของทีมงานต้อนรับของ Google ได้ว่า ถ้าเน้นดื่มให้ขึ้นไปชั้นบน ผมเลยบอก TC อีกท่าน (ชื่อว่าคุณบอลนะครับ พี่เค้าอนุญาติให้เอ่ยชื่อแล้วครับ 55+) ว่าผมจะขึ้นไปหาอะไรดื่มชั้นบนนะ พี่บอลทั้งที่ยังไม่ได้ทานข้าวเลย ก็สวนกลับทันทีว่า “ผมไปด้วย!” และหันหลังควับตามผมมาอย่างแข็งขัน
มาถึงชั้นบนปุ๊บ ผมก็รู้ทันทีว่า ผมคงฟังทีมงาน Google ที่เค้าบอกอะไรผิดซักอย่างแล้วล่ะ มันดูเงียบมาก แล้วก็ไม่มีเครื่องดื่มอะไรทั้งสิ้นเลยครับ (จริงๆเครื่องดื่มอยู่ชั้นที่มีอาหารนั่นแหล่ะครับ 55+) แต่สิ่งที่มีแทนเครื่องดื่มนั้นคือ พวกของเล่นเทคโนโลยีต่างๆ ที่ให้เราสามารถไปเล่นได้อย่างอิสระครับ

ตัวแรกที่ผมเข้าไปเล่นเลย ชื่อว่า
Reface ครับ
Concept ของตัวนี้คือ จะมีหน้าจอขนาดใหญ่ ที่มีหน้าคนที่เคยมาถ่ายรูปด้วยกล่องตัวนี้ ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า Face-Tracking ครับ ประโยชน์ของเทคโนโลยี Face-Tracking นี้ ก็มีมากมายเลยครับ ยกตัวอย่างเช่น กล้องถ่ายรูปมือถือที่สามารถ focus หน้าคนให้เราได้ หรือทำได้แม้กระทั่งให้ถ่ายรูปเมื่อคนในภาพ Smileeee หรือยิ้มครับ

) นอกจากนี้เทคโนโลยีนี้ยังถูกประยุกต์ใช้กับอะไรอีกหลายๆอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ในสื่อโฆษณา เนื่องจากผมจบ ป.ตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าธนบุรี มีเพื่อนสนิทผมคนหนึ่ง ทำ Project จบตอน ป.ตรี เพื่อนคนนี้ประยุกต์เทคโนโลยี Face-Tracking กับ 3D Model รถยนต์ โดยในจอคอมพิวเตอร์จะมี Model 3D รถยนต์ปรากฎอยู่ และบนจอจะมีกล้อง Webcam อยู่ เมื่อมีคนเดินผ่าน และหันหน้ามามองที่รถยนต์ กล้อง Webcam ก็จะทำหน้าที่จับใบหน้าของคนที่เดินผ่านว่า กำลังหันมามองโฆษณา และอยู่มุมไหนของจอ 3D Model รถยนต์นี้ก็จะหมุนตามสายตาของคนที่เดินผ่านคนนั้นครับ (ถ้ามีน้องๆคนไหนสนใจอยากศึกษาเรื่องนี้ หลักการเหล่านี้จะอยู่ในวิชา Image Processing ของภาควิศวกรรมศาสตร์คอมพิวเตอร์นะครับ)
กลับมาที่ Reface นี้ต่อครับ นอกจากเทคโนโลยี Face-Tracking แล้ว Reface ตัวนี้ ยังแยกออกอีกด้วยว่า ตรงไหนคือหน้าผาก, ตา, จมูก หรือ ปาก ซึ่งระบบจะให้เราถ่ายรูป และจะทำการสลับ ตา จมูก ปาก นี้ ผสมกับคนอื่นๆที่มาถ่ายรูปก่อนหน้าครับ นับเป็นการถ่ายรูปเป็นที่ระลึกที่ Geek จริงๆครับ

Refaceระหว่างผมเล่นอยู่นี้ พี่บอล TC อีกท่านเดินมาด้านหลังและบอกผมว่า จะลงไปด้านล่างก่อน ผมก็คิดในใจว่า อ้าวเห้ย ผมอยู่คนเดียวเลยสิ่งี้!

แต่ผมก็เข้าใจแกครับ เดี๋ยวลงไปอีกทีไม่มีข้าวทานแล้วล่ะยุ่งเลย แต่ผมยังมีอารมณ์เพลิดเพลินกับบริเวณนี้อยู่เลยลองเดินดูไปเรื่อยๆคนเดียวครับ
ตัวต่อไปที่ผมเข้าไปเล่น ดูเผินๆเหมือนจะไร้สาระครับ แค่เป็นการเรียงตัวอักษรด้วยแสงไฟสีกลมๆนั่นเท่านั้นเอง แต่เบื้องหลังวิธีเล่นง่ายๆนี้เค้ากำลังพูดถึงเรื่องของ Resolution ครับ –คืออะไร?
Resolution ในภาษาคอมพิวเตอร์คือ ความละเอียดของการแสดงผลบนหน้าจอคอมพิวเตอร์นั่นเองครับ ซึ่งหน้าจอสีสวยๆที่เราเห็นทุกวันนี้ล้วนเกิดขึ้นมาจาก จุดเล็กสีๆหลายๆจุดมารวมกันครับ ยกตัวอย่างเช่น เส้นตรง ก็ต้องมีจุด อย่างน้อย 2 จุดต่อกันถึงจะเป็นเส้นตรง ถ้าอยากได้เส้นตรงที่ยาวกว่านั้น ก็จะต้องจุดต่อกันไปเรื่อยๆครับ ซึ่งแต่ละจุดเหล่านี้เราเรียกว่า Pixel นั่นเองครับ ซึ่งหลักการ Resolution อันนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์งานศิลปะด้วยคอมพิวเตอร์มากมายต่อเนื่องกันออกมาครับ
ถึงตรงนี้ผมมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ Steve Jobs เรื่องหนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจดีมาฝากครับ
ครั้งหนึ่งในสมัยที่ระบบ User Interface ยังเพิ่งอยู่ในช่วงคิดค้น และเริ่มต้น (พูดง่ายๆว่าตอนนั้น Windows ยังไม่เกิด, โปรแกรม Paint ยังไม่มี) ตอนที่พนักงานวิศวกรของ Apple คนหนึ่งคิดวิธีให้คอมพิวเตอร์สามารถวาดรูปเลขาคณิต เส้นตรง วงกลม สี่เหลี่ยม และสามเหลี่ยมได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหม่มากในตอนนั้น พนักงานวิศวกรของ Apple คนนี้ ก็รีบวิ่งเข้ามาหา Steve Jobs เพื่อ Present แนวคิดนี้ พนักงานคนอื่นๆที่อยู่ตรงนั้นทุกคนล้วนดีใจ ตื่นเต้นกับการค้นพบครั้งใหม่นี้ แต่ Steve Jobs ไม่ออกอาการดีใจ แต่กลับทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และถามวิศวกรคนนั้นไปว่า “คุณสามารถให้คอมพิวเตอร์วาดรูปสี่เหลี่ยมขอบมนได้มั๊ย?” วิศวกรคนนั้นทำหน้างง และบอกว่า “เค้าคิดว่าสี่เหลี่ยมขอบมน ไม่น่าจะมีความจำเป็น ไม่มีใครเค้าใช้กันหรอก” หลังจากนั้น Steve Jobs ก็ชี้ให้วิศวกรคนนั้นดูที่ ขอบทีวี ฐานโคมไฟ ขอบปกหนังสือ เก้าอี้ โต๊ะทำงาน ถังขยะ หลังจากชี้ของทุกอย่างที่เป็นสี่เหลี่ยมขอบมนในห้องหมดแล้ว Steve Jobs ก็ดึงแขน พาวิศวกรคนนั้นออกไปนอกตัวอาคาร และชี้ไปที่ขอบประตูรถยนต์ ฝากระโปรงรถยนต์ ขอบประตูตึก ขอบหน้าต่าง โคมไฟบนถนน วิศวกรคนนั้นจึงพบว่า มีของหลายสิ่งมากๆ ที่คนเราออกแบบมาเป็นสี่เหลี่ยมขอบมน และสุดท้ายก็กลับไปคิดให้คอมพิวเตอร์วาดรูปสี่เหลี่ยมขอบมนมาได้ในที่สุด เรื่องนี้นับว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างของความเป็นคนที่ละเอียดอ่อนในทุกรายละเอียด และมีรสนิยมด้านศิลปะสูง งานของ Apple ทุกงานที่ออกวางขายระหว่างที่เค้ายังมีชีวิตอยู่ จึงเต็มไปด้วยความปราณีตอย่างที่ทุกคนที่เคยใช้สินค้าของ Apple คงจะทราบดีอยู่แล้ว (อีกครั้งครับ น้องๆคนไหนอยากเรียนเรื่องนี้ จะอยู่ในวิชา Computer Graphic ภาควิศวกรรมศาสตร์คอมพิวเตอร์ครับ ใครอยากเรียนต้องเก่งคณิตศาสตร์พอสมควรนะครับ)

กลับมาที่ Resolution ครับ อย่ากระนั้นเลย ผมขออนุญาติโปรโมทชื่อบริษัทตัวเอง (Ads Now) และถ่ายรูปด้วยซักเล็กน้อยนะครับ รูปถัดมาเขียนว่า Adwords ครับ (เป็นเครื่องมือโฆษณาของ Google ที่ทำให้โฆษณาของลูกค้าอยู่บนหน้าของ Google ในค้นค้นหาที่ต้องการได้นั่นเอง ซึ่งทาง Ads Now เป็น Agency อยู่ครับ ^^)
Ads Now ในฐาน Resolution!
Adwords ในฐาน Resolution!ตัวต่อไปที่ผมเล่น มีชื่อว่า
You are Everywhere ครับ ตัวนี้ไม่ใช่ผลงานของใครที่ไหนครับ เป็นของ Google นั่นเองครับ! ^^ ตัวนี้จะทำให้ทุกคนกลายเป็นนักสำรวจ และนักเดินทางได้อย่างง่ายๆเลยครับ โดยเราสามารถบินข้ามประเทศ ไปยังเมืองต่างๆ หรือบินออกนอกโลก ไปดวงจันทร์เลยยังได้ครับ 55+ ตัวนี้ถ้าในเวอร์ชั่นคอมพิวเตอร์ก็คือ Google Earth นั่นเองครับ พอดีตรงนี้ไม่ได้ถ่ายรูปมา แต่จะมีรูปนี้อีกทีตอนผมไปเยี่ยม Google Office ที่ Mountain View นะครับ ^^
ณ ตอนนี้ผมเดินมาอีกมุมนึงของชั้น 2 (ชั้นเดิมนี่แหล่ะครับ) เป็นมุมสว่างหน่อย เจ้าตู้นึง มีแขนหุ่นยนต์อยู่ข้างใน และ มีกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ มีตัวอักษรวางอยู่ ผมยืนดูอยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่เข้าใจว่ามันต้องทำยังไง
แขนหุ่นยนต์อ้าว Post นึงมันให้ยาวได้แค่นี้นะครับ เพราะฉะนั้นเชิญเพื่อนๆไปอ่านต่อที่หน้า 4 กระทู้นี้นะครับ 