ผมเป็นวิศวกรครับ
ควบคุมการผลิตของบริษัทฯแห่งหนึ่งในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดฯ (ทำงานมา 9 ปีแล้ว)
จริงๆเดือนนี้จะได้รับการปรับเลื่อนขั้น และเงินเดือนเพิ่มขึ้นจาก 56,000 เป็น 68,000 บาท
แต่ผมทำงานหนักกว่าหัวหน้า(ที่เป็นผู้จัดการ 3 เท่า) และทำงานหลายๆอย่างแทนหัวหน้าทั้งหมด(หัวหน้านั่งกระดิกติงอย่างเดียว)
เวลาส่วนตัวผมมีแค่ 4-5 ชม.(เวลานอน) ในแต่ละวัน ทำให้ผมวางแผนที่จะหนีออกจากวงจรนี้ มาหลายเดือนแล้ว
ตอนนี้ยังไม่กล้าไปคุยกับหัวหน้า กลัวว่าจะเกิดการเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว ในหลายๆรูปแบบ
แต่สุดท้ายแล้วยังไงผมก้จะออกอยู่ดีครับ
ขอบคุณทุกท่านที่ให้คำแนะนำ......
ทำไม ไม่ต่อรองกับหัวหน้าว่า ต้องหาคนผ่องถ่ายงานล่ะครับ หรือมีลูกมืออะไรก็ว่าไป เพราะคุณบอกเองว่า ต้องโดนเกลี้ยกล่อม แสดงว่าคุณก็น่าจะพอต่อรองได้บ้าง ทำไมไม่ลองต่อรองก่อน อยู่ดีๆจะโยนผ้าขาวซะล่ะ
คือจะบอกว่า การตัดสินใจชั่ววูบอาจเปลี่ยนชีวิตคุณและครอบครัวได้เลยนะ อันนี้ผมเห็นหลายเคสแล้ว และเคสใกล้ตัวก็มี จากที่เคยใช้จ่ายสบายมือ ลูกเมียสบาย แต่ตัดสินใจออกจากงาน ชีวิตเปลี่ยน ต้องใช้จ่ายประหยัดกันสุดๆ ลูกก็ต้องออกไปทำงานพิเศษ ทำให้เกรดการเรียนตก ทุลักทุเลมาก
ส่วนกรณีตัวอย่างที่ดูดี มันก็มีเพราะตัวอย่งที่ดีมักจะกล้าเปิดเผยกว่า แต่คนที่ตัดสินใจผิดก็อาจจะอายไม่กล้าพูดมากกว่า ซึ่งผมว่ามีเยอะกว่านะครับ
อย่างตอนนี้ คนที่เล่นหุ้นได้กำไร ออกมาพูดคุยกันเยอะขึ้น แต่อย่าลืมนะครับว่าหุ้นขาขึ้น เล่นยังไงก็กำไร แต่ถ้าหุ้นลงคนที่เสียตังค์จะเงียบนะครับ
กรณีนี้ก็คล้ายๆกันคนทีตัดสินใจถูกก็จะพูด ส่วนคนที่ตัดสินใจผิดเค้าจะเงียบ
ก็ไม่รู้นะ....ผมก็ผ่านอะไรหนักๆมาบ้างเหมือนกัน ก็เลยอยากให้ฉุกคิด แต่เงื่อนไขต่างๆของคุณมันก็มีผลต่อการตัดสินใจด้วย ลองคิดให้ดีๆ วางแผนให้ดีๆนะครับ ไม่รู่ว่าตอนนี้คุณอารมณ์ชั่ววูบหรือไม่
แต่เป็นผมผมจะต่อรองกับหัวหน้าก่อน ดูๆแล้วหัวหน้าก็อาจจะยอมคุณบ้างนะ หรือไม่ก็ขอย้ายงานไปหน่วยอื่นได้หรือเปล่าถ้าหน่วยนี้มันหนักขนาดนี้
ต่อรองไม่ได้ครับ ตามหลักการจ้างงานครับ ตอนนี้ผมเป็นนายจ้าง มีลูกน้อง เวลาจ้างขึ้นมาหนึ่งคน ผมจะมีเป้าหมายกับคนที่จ้างทันที ว่า ต้องการให้เขาทำเงินให้ผมได้เท่าไหร่ ผมเป็นนายจ้าง ผมสนใจ
ความเป็นอยู่ลูกน้องตามสมควรนะครับ แต่หน้าที่ผมคือ บริหาร บริษัทให้มีกำไร กว่าที่ลงทุน ถ้าจ้าง 1 คน เสียเงิน 56000 บาท ผมต้องคาดหวังว่า เขาต้องทำให้ได้ 150000 บ เป็นอย่างน้อย ยังไงคุณต้องเหนื่อยแน่นอน เพื่อจะทำให้ได้ตามนั้น นี่คือ เหตุผลว่า ทำไม เป็นลูกน้อง หรือ เป็นพนักงานประจำ ยังไงก็ต้องเหนือย ยิ่งเงินเดือนเยอะ ก็ต้องมีความกดดันสูง เรื่องพวกนี้มันเป็นกฎของมันครับ บริษัทไหนที่แคร์ลูกน้องมากเกินไป บริษัทนั้นจะเจ๊งครับ เช่น ลูกน้องมีหนี้เยอะแยะ อันเกิดจากการกู้ไปซื้อโทรศัพท์ แล้วมาบ่นนู้น บ่นนี่ ทำงานไม่ได้เต็มที่ อันนั้นเป็นมุมของลูกน้อง แล้วไปแคร์ ช่วยนู้นช่วยนี่ ขณะที่ตัวบริษัทเอง มีหนี้จากการกู้มาลงทุนมากกว่า กับไม่สนใจ อย่างนี้ผิดกฏการลงทุน
ผมเห็นองค์กร ที่สามารถต่อรองอะไรได้ หรือ เช้าชาม เย็นชาม ไม่กระตือรือร้น ลูกน้องเป็นนายของบริษัท มีแค่พวกเดียว คือ พวกข้าราชการนั่นแหละครับ เพราะใช้เงินภาษีของประชาชน เลยไม่คิดว่าเป็นการลงทุน
สำหรับเจ้าของกระทู้ ผมคิดว่าด้วยตำแหน่งเงินเดือนเท่านี้ มันเป็นทางสองแพร่งแล้วครับ ที่ต้องเลือกเดิน ถ้ายังทำงานประจำต่อไป ไม่มีทางที่จะสบายครับ มันเป็นกฎ
มันถึงเวลาที่คุณจะต้องเลื่อนตัวแหน่งตัวคุณเอง ด้วยการเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัวแล้วครับ เป็นเจ้านายคนอื่นอีกที ไม่มีใครมอบตำแหน่งนี้ให้คุณได้ นอกจากตัวคุณเอง
เห็นด้วยครับ
ตัวผมก็อยู่มาบตาพุด เงินเดือนก็ประมาณ จขกท. แต่โชคดีกว่าที่มีเวลาเยอะ ไม่หนักเหมือน จขกท.
แต่ก็มีเพื่อนที่ทำงานหนักขนาด จขกท. หลายคน เข้าใจเลยครับ คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า เพื่อนผมแต่ละคนบ่นจะออกกันทั้งนั้นแหล่ะครับ บางคนมีปัญหาครอบครัวกันเลยเชียว เพราะไม่มีเวลาให้
แรกๆ ทำงานเพราะเงินที่ "ดูเหมือนดี" ทำงานไม่เหนื่อยหรอกครับ พอผ่านไปซักระยะ เวลาให้ครอบครัวไม่มี เวลาให้ตัวเองก็ไม่มี ความอ่อนล้าก็จะคืบคลานเข้ามา ความเหนื่อยใจก็จะเข้ามาเยือน ขาดความสุขจากครอบครัว เมื่อนั้นก็จะมองว่า เงินเดือนครึ่งเดียวก็เอา แต่ขอ "เวลา" ใช้ชีวิตบ้าง
ทำงานเงินเดือนดีๆ รับรองได้ว่า เขาไม่ให้มานั่งเล่นปั่นแปะแน่ๆ

การทำงานที่ต้องรับผิดชอบ เมื่อเจอคนเยอะ ก็เรื่องแยะ ยิ่งต้องประสานงานกับคนที่ "ปัดภาระ" ยิ่งสนุกสนานครับ ระบบบริษัทมีคนหลายประเภท ไม่ใช่ไปทำงานแล้วกลับบ้านนอน จบ! แต่บริษัทมันเหมือนบ้านเราเลยครับ เพราะเวลาที่ตื่นอยู่ ส่วนมากจะอยู่ที่บริษัท (โดยเฉพาะ จขกท. น่าจะอยู่เกิน 80%) โดยเฉพาะเรื่องงาน ที่รับผิดชอบ ต้องดูแลเหมือนลูก ยิ่งมีหลายงาน หลายระบบในความรับผิดชอบ ยิ่งสับขาหลอกกันมันส์ไปเลย เงินเดือนเยอะ ก็รับผิดชอบเยอะ ทำผิดก็ต้องรับผิดชอบ เพราะงานบริษัทมักจะมีหน้าที่ชัดเจน ใครได้งานที่ "out of control" นี่ซวย เพราะมักกลายเป็น "แพะ" อยู่บ่อยๆ ถ้าโบ้ยให้ลูกน้อง หรือคนอื่น ก็จะกลายเป็นคนไม่ได้ ทั้งกับตัวเองและผู้อื่น (แต่ก็มีคนทำแบบนี้เยอะ)
บางบริษัทมีระบบคุณภาพหลายอย่างก็คล้ายๆ อยู่ในคุก ทำทั้งเป็นผู้คุมกฏ และผู้ปฏิบัติตามกฏ และโดนตรวจอย่างเข้มข้นว่า "ทำตามกฏ" หรือเปล่า ยังไม่พอ แต่ละเดือน แต่ละวัน จะต้องสร้างเป้า ทำเป้า รักษาเป้า ควบคุมเป้า ฯลฯ ตามแต่จะมีนโยบายกันออกมา (ตามความคิดอันบรรเจิดของบรรดาเจ้าของบริษัท)
ดูจากลักษณะงาน จขกท. คงไม่มีเวลามาทำ IM คู่กับงานประจำแน่ๆ ถ้ามีเงินพออยู่ได้ซัก 1 ปี ก็น่าจะลาออกไปหางานที่อื่น ที่มีเวลาเหลือพอทำ IM ควบคู่ไปด้วย (ไม่ต้องเงินเดือนสูงหรอกครับ) พอได้ที่ค่อยลาออกมาทำเต็มตัวก็ได้ ถึงทำไม่ได้ อย่างน้อยก็ได้ชีวิตของตัวเองกลับมาเป็นปกติเหมือนคนทั่วไป
แต่ก็แนะนำที่มาบตาพุดนี่แหล่ะครับ เพราะ "หยุดเสาร์-อาทิตย์" เลิก 5 โมงเย็น โดยมากที่อื่นจะทำวันเสาร์กัน หรือไม่ก็เลิกเย็นมาก ไม่เหมาะที่จะทำงานอื่นควบคู่ไปด้วย
แต่ถ้าเครียดนักก็ "สายล่าง" 5555555555555