ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า ค่าธรรมเนียมหลังการขายที่จะถูกหักนั้นเป็นเท่าไร
ถ้าขี้เกียจคิดเพราะตัวเลขมันเยอะ ก็ตีไปเลยค่ะว่า ค่าธรรมเนียมอีเบย์ 10% ค่าธรมเนียมเพพาล 5%
แล้วก็มาดูของที่ขายว่าหนักเท่าไร ค่าส่งเท่าไร จะบรรจุยังไง ถ้าใส่กล่องกระดาษก็บวกน้ำหนักกล่องไปด้วย คำนวณค่าส่งได้ที่หน้าเวบไปรษณีย์ไทย
ค่าสินค้า+ค่าส่ง+ค่าธรรมเนียม นี่คือต้นทุนของที่จะขาย
ทีนี้ จะเอากำไรเท่าไร
คุณต้องคิดเผื่อด้วยว่า การขายของลักษณะนี้มันเป็นเงินหมุน มันยังเบิกออกมาทันทีไม่ได้ ต้องรอให้ได้จำนวนที่คุ้มพอที่จะเบิกได้ (อย่างต่ำก็ 5000 บาท เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเบิก)
ไหนจะเรื่องของค่าเงินที่ไม่ค่อยคงที่ และเวลาเบิกผ่านธนาคารค่าเงินก็จะน้อยลงอีกประมาณหนึ่งบาท
แล้วก็ต้องคิดเผื่อด้วยว่า กรณีสินค้าเสียหาย สูญหาย แล้วลูกค้าขอคืนเงิน กำไรที่เราทำได้ มันจะช่วยรองรับความเสียหายพวกนี้ด้วยมั้ย
โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการยอมขาดทุนเพียงเพื่อหวังฟีดแบ็คนะคะ คุณอาจจะเริ่มที่สินค้ามูลค่าต่ำมากๆ(เช่น สแตมป์ เหรียญ) เพื่อเอาฟีดแบ็คได้
แต่สินค้าที่คุณตั้งใจจะเอาไว้ทำมาหากินจริงๆนั้น ควรจะถนอมมันไว้ให้ดีที่สุด อย่าไปทำให้ราคาตลาดปั่นป่วน อย่าตัดราคา (เพราะมันก็เหมือนคุณกำลังตัดคอตัวเองไปด้วย)
ขอระบายอีกอย่าง
ความซื่อสัตย์ก็เป็นสิ่งสำคัญ ของแท้ไม่แท้ ธรรมชาติหรือไม่ธรรมชาติ แม่ค้าด้วยกันดูออก
แต่เล่นไปประกาศหราว่าของแท้ บริสุทธิ์ 100% แบบไร้ความรับผิดชอบ หวังแต่ยอดขาย กำไรก็ไม่กี่สิบบาท
ถ้าเกิดลูกค้าเอาไปใช้แล้วเกิดอันตรายขึ้นมาจะทำยังไง
หรือคิดกันแค่ว่าช่างหัวฝรั่งแม่งมัน
