เมื่อพระราชบัญญัติคำนำหน้านามหญิง พ.ศ.2551 เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้ (4 มิ.ย.) เป็นต้นไป เพื่อให้ผู้หญิงมีทางเลือกในการใช้คำนำหน้านามและชื่อสกุลได้ตามความสมัครใจ มีใจความว่า
1.กรณีหญิงที่จดทะเบียนสมรสใหม่ ให้แจ้งต่อนายทะเบียนขณะที่จดทะเบียนสมรสว่าประสงค์จะใช้คำนำหน้านามว่า นาง หรือ นางสาว นายทะเบียนจะบันทึกไว้ในทะเบียนสมรส แล้วนำหลักฐานทะเบียนสมรสไปแก้ไขในทะเบียนที่สำนักทะเบียนที่หญิงมีชื่ออยู่ แล้วทำบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ให้
2.กรณีหญิงที่จดทะเบียนสมรสแล้ว หรือหย่าแล้ว และได้ใช้คำนำหน้านามว่า นาง แล้ว ต้องการจะเปลี่ยนเป็นนางสาวให้ยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนครอบครัว ณ สำนักทะเบียนที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน หรือต่อนายทะเบียนที่จดทะเบียนสมรส นายทะเบียนจะบันทึกในทะเบียนสมรส ครั้งที่ 2 และจะออกหนังสือรับรองให้ เพื่อนำไปแก้ไขในทะเบียนบ้าน และเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ให้ ทั้งนี้ การแก้ไขดังกล่าวไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม แต่จะเสียค่าธรรมเนียมเฉพาะเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ประมาณ 50 บาท
ดิฉันเองก็สมรสแล้ว และเปลี่ยนทั้งคำนำหน้าจากนางสาวมาเป็นนาง และเปลี่ยนนามสกุลเดิมมาเป็นนามสกุลของสามี และตั้งแต่ใช้มาก็ยังไม่เคยรู้สึกว่ามีปัญหาแต่ประการใด
ดิฉันพยายามนึกถึงทั้งข้อดี-ข้อเสีย และติดตามเรื่องนี้มาพอสมควร เพราะเข้าใจเจตนาดีว่าแต่ละฝ่ายคิดเห็นเรื่องนี้อย่างไร
จริงอยู่ เรื่องนี้ไม่น่าเป็นปัญหา เพราะเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล ที่พอใจอย่างไรก็เลือกแบบนั้น ก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหา ในเมื่อคุณไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ก็เลือกตามที่ตัวเองต้องการก็สิ้นเรื่อง ไม่เห็นต้องเป็นปัญหาใดๆ
แต่สิ่งที่ดิฉันอยากชวนมองอีกมุมหนึ่ง ก็คือ เรื่องการใช้ชีวิตคู่ในยุคปัจจุบันต่างหากที่นับวันก็ค่อนข้างเปราะบาง มีสภาพปัญหาอยู่มากมาย จำนวนสถิติการหย่าร้าง สภาพความแตกร้าวแตกแยกในครอบครัวก็มากโขอยู่ และเป็นประเด็นปัญหาที่ทำให้เกิดสภาพปัญหาทางสังคมตามมา
ดิฉันอาจถูกมองว่าเป็นพวกคุณป้าหัวโบราณ หรือค่อนไปทางอนุรักษนิยมสำหรับคนรุ่นใหม่ก็ว่ากันไป เพราะดิฉันยังเชื่ออยู่เต็มหัวใจว่า การใช้ชีวิตคู่มีองค์ประกอบสำคัญมากมายอยู่รายรอบตัว
และหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญ ก็คือ การให้เกียรติหัวใจซึ่งกันและกัน
มิใช่เป็นการให้เกียรติ หรือเรียกร้องว่าทำไมแต่งงานแล้วต้องเปลี่ยนคำนำหน้าหรือใช้นามสกุลของใครหรือไม่ แต่เป็นการยินยอมพร้อมใจที่จะขอร่วมคู่ชีวิตเป็นหนึ่งเดียว โดยไม่ได้ยึดติดเรื่องของสัญลักษณ์..!!
ที่ผ่านมา การเปลี่ยนคำนำหน้า หรือเปลี่ยนนามสกุล มาใช้ของสามี เป็นการบอกเล่าประกาศให้เพื่อนพ้องญาติพี่น้องรับรู้ว่าคู่ของเราตัดสินใจใช้ชีวิตเป็นคู่สามีภรรยา และพร้อมจะเป็นหนึ่งเดียวของกันและกัน
และหากวันหนึ่งวันใดที่เกิดเหตุไม่สามารถประคองชีวิตสมรสให้ตลอดรอดฝั่ง หรือมีเหตุต้องแยกทางกัน ฝ่ายหญิงก็กลับไปใช้นามสกุลเดิม เพื่อแจ้งให้เพื่อนพ้องญาติพี่น้องรับรู้ว่าตนเองได้แยกทางกับสามีแล้ว
แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์เท่านั้น
สิ่งที่เป็นกังวล ก็คือ ปัญหาทางด้านจิตใจ
การตัดสินใจแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคน คนหนึ่ง ทั้งหญิงและชาย แต่ดูเหมือนฝ่ายหญิงจะเป็นผู้ที่ต้องปรับเปลี่ยนมากกว่าผู้ชาย ปรับเปลี่ยนในที่นี้คือในแง่สัญลักษณ์ แต่ถ้าหมายถึงการปรับเปลี่ยนในชีวิตคู่เป็นเรื่องที่ต้องปรับเปลี่ยนทั้งคู่ เพื่อให้ชีวิตคู่สามารถเดินไปได้อย่างสวยงาม
ประเด็นสำคัญหนึ่งที่น่าจะถูกหยิบยกมาพูดถึงด้วย ก็คือ ในเชิงสัญลักษณ์ที่ผู้หญิงต้องปรับเปลี่ยนทั้งคำนำหน้า และนามสกุล มีข้อดีหรือไม่ อย่างไร?
ข้อดีที่ว่า ก็คือ เมื่อเราใช้นามสกุลเดียวกัน ก็เป็นกุศโลบายหนึ่งให้รู้สึกให้เกียรติและแคร์ความรู้สึกของกันและกัน การจะทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะไม่ควรก็จะมีความยับยั้งชั่งใจมากขึ้น หรือการจะตัดสินใจแยกทางกัน ก็จะคิดหนัก ไตร่ตรองอย่างรอบด้าน ก่อนที่จะตัดสินใจทางใดทางหนึ่ง รวมถึงการหล่อหลอมความเป็นครอบครัว เมื่อมีลูก ก็ใช้นามสกุลเดียวกันทุกคน ลูกก็คงไม่ต้องมีคำถามในภายหลัง
จริงอยู่ว่าถ้าครอบครัวที่นามสกุลเดียวกัน แต่ครอบครัวมีแต่ความร้าวฉาน คำนำหน้า หรือนามสกุลก็ไม่ได้ช่วยอะไร
ในทางตรงกันข้าม สังคมที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสน และสภาพปัญหาทางสังคมมากมายในขณะนี้ การแก้ปัญหาในเชิงสัญลักษณ์จะไม่เป็นการช่วยเพิ่มปัญหาสังคมอีกหรือ ...!!
ดิฉันเคยลองถามคนข้างตัวเล่นๆ ว่ารู้สึกอย่างไร เมื่อมีคนมาร่วมใช้นามสกุลด้วย เขาตอบแบบเรียบง่ายว่าภูมิใจที่มีคนมาใช้นามสกุลเดียวกับเขา เพราะนั่นคือการให้เกียรติกัน
เมื่อผู้หญิงตัดสินใจแต่งงาน แต่ไม่ต้องการเปลี่ยนคำนำหน้า หรือเปลี่ยนนามสกุล ผู้ชายก็อาจพานคิดไปว่าเรื่องนี้ยังไม่ไว้ใจกัน ก็อาจกลายเป็นช่องว่างระหว่างกันได้ในภายหลัง
ที่ผ่านมา ฝ่ายหญิงที่แต่งงานแล้ว ใช้คำว่านาง เวลามีผู้ชายอยากเข้ามาทำความรู้จัก หรือจีบ แต่เมื่อมีคำว่านางค้ำคออยู่ ก็ทำให้ทั้งฝ่ายชาย และฝ่ายหญิงยับยั้งชั่งใจได้ในระดับหนึ่ง จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับศีลธรรมของแต่ละคน
แต่ขนาดเป็นอย่างนี้ก็ยังพบเห็นปัญหาเรื่องมีชู้มีกิ๊กกันเต็มบ้านเต็มเมือง
แล้วหากจากนี้ไป หญิงที่แต่งงานแล้ว แต่เลือกใช้นางสาว ชายคนใหม่ก็อาจคิดไปเองว่าหญิงคนนี้ยังไม่มีคู่ครอง แล้วเกิดเป็นกรณีที่ไม่เหมาะสม ก็เท่ากับเป็นการสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมา
เรื่องนี้เป็นเรื่องนานาจิตตัง สุดแท้แต่ว่าใครจะมองมุมไหน และคิดเห็นอย่างไร มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ประเด็นสำคัญคือ เรื่องสิทธิเป็นเรื่องที่ทุกสังคมควรมี แต่มีสิทธิแล้วก็ต้องดูบริบทของสังคมไทยด้วยว่าเหมาะสมหรือไม่
การจะยกระดับสิทธิสตรีไปสู่สากล โดยที่บริบทสังคมไทยโดยรวมยังไม่พร้อม ก็อาจทำให้สถาบันครอบครัวเปราะบางยิ่งขึ้นก็เป็นได้...!!!