ฟรีบทความท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เขียนด้วยคน เพื่อให้คนอ่าน
ตามหัวข้อเลยครับ สำหรับท่านเจ้าของเว็บไซต์ที่ต้องการบทความท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ผมขอเสนอบทความให้ท่านพิจารณาเพื่อนำไปอัพเดตข้อมูลลงเว็บครับ บทความทั้งหมดนี้ผมเขียนแบบ "โนลิมิต" คือให้มีขั้นต่ำหรือขั้นสูงสุดของจำนวนคำครับแล้วแต่ผมจะเขียนไม่เน้นคีย์เวิร์คแต่เน้นให้ประโยชน์กับคนอ่าน แล้วข้อมูลทั้งหมดผมเอามาจากไหนไปเที่ยวมาจริงแล้วเขียนหรือ คำตอบคือเปล่าครับผมอาศัยจำขี้ปากเขามาเล่าต่อครับ อ่านตามหนังสือมั่ง ฟังเขาเล่ามั่ง เห็นเองมั่ง เวลาเข้านอนก็ใช้สมองรีไร๊ท์บทความครับเสริมแต่งคำพูดเข้าไปให้เหมือนการเล่าให้ฟัง อาจจะไม่ใช่ Unit Contents แต่ก็ไม่ได้ก็อปใครมา ส่วนภาพประกอบก็จากอินเตอร์เน็ตครับบทความละ 2-3 ภาพ บทความพวกนี้ผมพิมพ์เก็บไว้ใน Word ครับ ยังไม่เคยนำไปลงเว็บไหนทั้งสิ้น ที่ผมไม่ทำเองก็เพราะคีย์ไทยรายได้ต่ำ แถมแข่งขันสูง ที่สำคัญผมทำเป็น อิงลิช แล้วครับ
สำหรับท่านที่ต้องการบทความมีข้อแม้ดังนี้ครับ
1.ต้องส่ง url เว็บหรือบล็อกของคุณมาให้ผมพิจารณาก่อนว่าถูกชะตาหรือเปล่า
2.ผมจะเขียนให้สัปดาห์ละ 3 บทความ / เว็บ หรือบล็อก / ต่อคน
3.ไม่เขียนตามคำสั่งใครแต่เขียนตามใจผมเอง เอาก็เอา ไม่เอาก็ไม่ว่ากัน
4.จำกัดจำนวนเว็บครับ ของฟรีรับมากไม่ได้เพราะผมต้องทำมาหากินอย่างอื่นมัวแต่ฟรีเดี๋ยวจะอดตายพาลูกเมียเป็นม่ายกำพร้าพ่อ
5.แจ้งชื่อได้ที่นี่ หรือ pm มาก็ได้ครับ
6.ถ้าผมถูกใจเว็บไหนเป็นพิเศษอาจเขียนให้มากกว่านี้ก็ได้
7.กำหนดส่งบทความแรกวันจันทร์ที่ 5 หรือวันอังคารที่ 6 มีนาคม 55
ทั้งหมดตอนนี้ผมเขียนให้ฟรีครับไม่ต้องเสียค่าจ้างประหยัดค่าใช้จ่ายได้บทความฟรีๆ แต่อนาคตไม่แน่หากได้รับความนิยมมีคนใช้บริการมากๆ ผมอาจฉวยโอกาสเก็บค่าบริการก็ได้ครับ
ตัวอย่างบทความเขียนสดๆ แบบจำขี้ปากเขาแล้วเอามาเล่าใหม่
ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในวันนี้ผมจะพาไปยังจังหวัดสมุทรสงคราม เมืองท่องเที่ยวที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครเท่าไรนัก ที่นี่คุณจะได้สัมผัสธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนสถานที่สำคัญที่น่าสนใจหลายแห่ง เช่นหลวงพ่อบ้านแหลมแห่งวัดเพชรสมุทรวรวิหารพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัด อุทยานพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย วัดอัมพวันเจติยาราม อันเป็นสถานที่ประสูติของรัชกาลที่ ๒ และวัดจุฬามณี นิวาสถานเดิมของพระชนกชนนีในรัชกาลที่ ๒ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสถานที่ควรค่าแก่การมาเยี่ยมชมเป็นอย่างยิ่ง
แต่สำหรับในทริปนี้ผมจะขอนำท่านไปเยี่ยมชมกุฏีทองแห่งวัดภุมรินทร์ครับ ที่นี่น่าสนใจใจอย่างไรผมจะเล่าให้ฟัง ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจกันก่อนนะครับ คำว่ากุฎีก็คือที่อยู่ที่อาศัยของพระภิกษุสงฆ์ครับ หลายคนอาจสงสัยแล้วกุฎีทองแห่งวัดภุมรินทร์มีความเป็นมาอย่างไร แล้วมันทำด้วยทองจริงๆ หรือเปล่า มาครับตามมาเลยเดี๋ยวผมจะเฉลยให้ฟังกัน เล่ากันว่าในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาที่แขวงบางช้างเมืองสมุทรสงครามมีเศรษฐีมอญตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง สามีชื่อทอง ภรรยาชื่อสั้น ตั้งบ้านเรือนอยู่หลังวัดจุฬามณี ว่ากันว่าเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยมากที่สุดในลุ่มน้ำแม่กลองเลยก็ว่าได้ เศรษฐีทั้งสองสามีภรรยามีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อนาค ร่ำลือกันว่ามีความงดงามทั้งรูปร่างหน้าตา และกิริยามารยาทสมดังกุลสตรีจนความทราบถึงเหล่าข้าหลวงในกรุงศรีอยุธยา นางจึงถูกจดชื่อเพื่อเรียกตัวไปเป็นสนมของพระเจ้าเอกทัศน์
ข้างฝ่ายเศรษฐีทองและภรรยาเมื่อได้ทราบเรื่องนี้เข้าก็ไม่อยากให้บุตรสาวของตนไปเป็นนางสนมจึงชวนพระสมุทรสงครามผู้เป็นญาติไปขอคำแนะนำจากหลวงพินิจอักษร (ทองดี) ซึ่งมีตำแหน่งเป็นเสมียนตรากรมมหาดไทยในกรุงศรีอยุธยา ซึ่งทางหลวงพินิจอักษรก็ให้ความเห็นว่าหนทางก็ยังมีอยู่คือให้เศรษฐียกบุตรสาวให้แต่งงานกับหลวงยกกระบัตร (ทองด้วน) บุตรชายคนโตของตนเองเสีย เศรษฐีทั้งสองก็เห็นด้วยเพราะรู้จักมักคุ้นกับครอบครัวนี้ดี หลวงพินิจอักษรจึงมีฎีกาขึ้นกราบทูลสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ถึงเรื่องนี้ ในฐานะที่หลวงยกกระบัตรเคยเป็นข้าราชการในราชสำนักจึงได้รับพระราชทานอนุญาตให้ดำเนินการตามความประสงค์
เมื่อกลับมาถึงเมืองสมุทรสงครามเศรษฐีทั้งสองจึงพาบุตรสาวไปกราบนมัสการหลวงพ่อทิมเจ้าอาวาสวัดบางลี่บนเพื่อดูฤกษ์วันวิวาห์มงคล ซึ่งหลวงพ่อทิมได้ทำนายว่า “บุตรสาวของเศรษฐีคนนี้มีบุญวาสนามาก จะได้เป็นนางพญามหากษัตริย์ ยกวงศ์ตระกูลให้เป็นสุข จะได้เป็นที่พึ่งพาแก่คนทั้งหลาย เพราะบุญกุศลแต่อดีตชาติตามมาให้ผลในชาตินี้” ท่านเศรษฐีจึงให้สัญญาว่าหากเป็นความจริงตามคำทำนายของหลวงพ่อแล้วแล้วจะกลับมาสร้างกุฎีทองถวาย
พอหลังจากพิธีอาวาหมงคลแล้ว หลวงยกกระบัตรได้เลื่อนตำแหน่งเรื่อยมาเป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ พระยายมราช พระยาจักรี เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นบรมกษัตริย์ครองกรุงรัตนโกสินทร์ คุณนาคผู้เป็นภรรยาจึงได้เป็นพระบรมราชินีตามคำทำนาย เศรษฐีสองสามีภรรยาซึ่งบัดนี้ได้เป็นพระชนกชนนีขององค์ราชินีจึงได้สร้างกุฎีทองถวายวัดบางลี่บนจำนวน ๓ หลัง เมี่อปี พ.ศ. ๒๓๒๕ อันเป็นปีที่รัชกาลที่ ๑ เสด็จขึ้นครองราชย์ วัดบางลี่บนจึงได้นามว่า “วัดบางลี่กุฎีทอง”
เนื่องจากวัดบางลี่บนอยู่ติดแม่น้ำเวลาผ่านไปบริเวณวัดจึงถูกน้ำกัดเซาะดินพังลงแม่น้ำคงเหลือกุฎีทองเพียงหลังเดียว จึงถูกรื้อและย้ายมาปลูกไว้ ณ วัดภุมรินทร์ ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลองปากคลองประเวศเพชรภูมิ หรือปากคลองบางลี่ ตำบลอัมพวา ฝั่งตรงข้ามวัดอัมพวันเจติยาราม วัดนี้จึงได้นามใหม่ว่า วัดภุมรินทร์กุฎีทอง มาตั้งแต่บัดนั้น แล้วกุฎีทองเป็นทองจริงๆ หรือเปล่า ผมขอเฉลยเลยครับ แท้จริงแล้วกุฎีทองเป็นอาคารทรงไทยใต้ถุนสูง สร้างด้วยไมสักทองครับ ส่วนประกอบต่างๆ ไม่ว่าจะ เสา พื้น ฝา หน้าต่าง ประตู เป็นไม้สักทองเขียนลายลงรักปิดทองสีดอกจันทร์ทั้งหลัง มุงหลังคาด้วยกระเบื้องมอญ มีหน้าบัน ช่อฟ้า ใบระกา ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ภายในแบ่งเป็น ๕ ห้อง เมี่อเวลาผ่านเลยไปศิลปะลวดลายต่างๆ ก็ลบเลือนไป โครงสร้างที่เป็นไม้ก็ผุกร่อนเพราะขาดคนดูแล ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ เจ้าอาวาสในสมัยนั้นได้สร้างกุฎีทองขึ้นมาใหม่โดยใช้วัสดุเดิมที่ยังคงเหลืออยู่ และเพิ่มเติมของใหม่ในส่วนที่ชำรุดให้คงลักษณะเดิมไว้ให้มากที่สุด ครับก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่น่าเยี่ยมชมของจังหวัดสมุทรสงคราม นอกจากกุฎีทองแล้วภายในวัดภุมรินทร์ก็ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่เก็บโบราณวัตถุเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญก็คือเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี เช่น ตราประจำตำแหน่งทำด้วยงาช้าง ตู้เก็บพระราชสาส์นทำด้วยไม้สัก นอกจากนั้นยังมีพระพุทธรูปเก่าแก่สมัยต่างๆ เครื่องลายคราม เครื่องทองเหลือง ตลอดจนของโบราณทีหาชมได้ยากจำนวนมาก
สำหรับผู้เดินทางไปจังหวัดสมุทรสงคราม ผมขอแนะนำให้หาโอกาสไปแวะชมกุฎีทองแห่งวัดภุมรินทร์ นอกจากจะได้เห็นความงดงามของศิลปะแล้ว ยังได้รับความรู้ด้านประวัติศาสตร์อีกด้วย นับว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรแก่การมาเยือนเป็นอย่างยิ่งของจังหวัดสมุทรสงครามครับ
เดี๋ยวสองทุ่มจะกลับเข้ามาเช็คเรตติ้งครับ...