[เทคนิค SEO 2] ฉบับคนธรรมดาไม่ใช่เทพ

มาถึงตอนสองกันแล้ว จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ห่างกัน 1 ปี ไปแล้ว และจากวันนั้นที่ผมกำลังจะได้เป็นพ่อคนแต่วันนี้ผมก็ได้แยกทางกับภรรยา ซึ่งก็โดนต่อว่ากันไปต่าง ๆ นาๆ กลายเป็นคนไม่ดีในสายตาโลก แต่หลังจากที่ห่างหายไปหนึ่งปีก็ยังไม่ได้มีอะไรดีเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง หวังจะมีเงินแสนแต่ก็เป็นพวกประเภทไม่ชอบง้อคน เลยทิ้งทุกอย่างดื้อ ๆ ไปเริ่มต้นทำงานบริษัทอีกครั้้ง แต่สุดท้ายผมก็ออกอีกครั้งด้วยความหยิ่งยโสในความคิดของตัวเองพอสมควร สุดท้ายก็ออกจากงานและต้องตกงานอีกสองเดือนพร้อมด้วยไม่ได้เงินเดือนในเดือนสุดท้าย ซึ่งต้องทำให้ผมกลายเป็นหนี้ในที่สุด ด้วยความโชคร้ายที่มักไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับเพราะด้วยความที่ความรู้แค่ระดับ ปวส. มักจะโดนถามว่าเรียนคอมมากี่ตัว มีครั้งหนึ่งเคยขอความช่วยเหลือจากพี่ในบอร์ดเพราะว่าผมไม่มีเงินไปสมัครงานก็มีคนใจดีช่วยมา 111 บาท แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้โอนคืนเลย จนทุกวันนี้ได้มาทำงานกับพี่ใจดีคนหนึ่งในไทยเสียวนี่แหละ

หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวมา 1 ปี เทคนิคในการทำ seo ก็เริ่มเปลี่ยนไปจากการที่ google ได้ออกออการิทึ่มมาใหม่ ทำให้ linkwheel ที่เคยสร้างชื่อให้หลาย ๆ คนนั้นถูกลบเลือนและหายไปในที่สุด กลายเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ผมก็ยังจะนำเทคนิคนั้นมาใช้อยู่แต่ด้วยรูปแบบที่เปลี่ยนไป โดยวันนี้จะเลิกพูดถึงเรื่อง ทฤษฏี SEO กันแล้วเพราะชื่อว่าหลายคนรู้อยู่แล้วว่าต้องปรับ onpage กันอย่างไร ผมเชื่อว่าตรงนี้ทุกคนมีเท่ากันที่เหลือก็เขียนปรับแต่งบ่อย ๆ แล้วจะชำนาญ

เรื่องที่ทุกคนจะให้ความสนใจเป็นพิเศษคือเรื่อง offpage ซึ่งต้องยอมรับว่าทุกวันนี้การทำ SEO ต้องมีปัจจัยหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นั่นก็คือทุน เพราะการแข่งขันด้านนี้แพ้ชนะกันที่ backlink เท่านั้น ใครมีมากกว่าก็ชนะ แต่ไม่ใช่มากด้วยปริมาณอย่างเดียวต้องบวกลบคูณหารด้วยคุณภาพด้วย ดังนั้นใน เทคนิค seo คนธรรมดาไม่ใช่เทพ 2 นี้ จะไม่ใช่การสร้างเน็ตเวิร์คฟรีแบบเมื่อครั้งที่แล้ว อาจจะต้องมีการสร้างเน็ตเวิร์คกันเล็กน้อย

1. Linkwheel ผมยังคงเชื่ออยู่ว่า มันยังคงใช้ได้อยู่ แต่รูปแบบเปลี่ยนไป คือ เราไม่สามารถลิ้งกันในบทความต่อบทความเหมือนเมื่อก่อน แต่เปลี่ยนเป็นบทความต่อเว็บแทน ยกตัวอย่างเช่น aaa.com->sanook.com->directory.sanook.com->tophit.sanook.com->aaa.com เป็นต้น ส่วนจะทำอย่างไรต่อนั้นต่อยอดกันเอาเอง

2. HUB จริง ๆ ผมก็ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไรแต่เคยเห็นคนเขียนไว้ ผมก็อ่านภาษาอังกฤษไม่ออก ก็เลยไม่รู้จะไปเรียกว่าอะไรดี ตัวนี้ผมเรียกว่าตัวซับแรง ในหลาย ๆ ครั้งที่เราาซับมิทบทความหรือหา backlink เรามักจะจัดหนักกันเกินไปบางครั้งอาจะทำให้ เว็บเราหลุดลอยไปได้ หากไม่มีตัวซับแรงตรงนี้ก็อาจปลิวหายไปเลยก็ได้ ซึ่งจากประสบการณ์มันบอกว่าอย่างนั้น และมันจะเป็นตัวเสริมเว็บไซต์เราให้แข็งแกร็งกว่าการจัดหา backlink โดยปกติ

แล้ว Hub มีเท่าไหร่ถึงจะดี

สำหรับผมแล้วจะมีเท่าที่เราสามารถเขียนได้เพราะ Hub สำหรับผมก็ยังเป็นเว็บคุณภาพอยู่ดังนั้นบทความก็จะเป็นบทความที่เขียนเอง เพราะมันจะช่วยเรื่องอินเด็กและความแรง ที่สำคัญต้องไม่โดนแบนง่าย เขียนบทความที่ไม่มีแบ็กลิ้งออกบ้างในบางครั้ง

ใช้ CMS อะไรทำ Hub

Hub ที่ดีสำหรับผมต้องเป็นเว็บไซต์คุณภาพตัวหนึ่ง ดังนั้นมันควรที่จะมีหลายหน้าตา ไม่ว่าจะเป็น wordpress , joomla ,smf , drupal ซึ่งก่อนหน้านี้ผมเคยเรียกมันว่า Dream network

3.Network อันนี้เราต้องมีมากหน่อย ความจริงใช้พวก เว็บ social bookmark ก็ได้ แต่เท่าที่สังเกตุในเวลานี้เริ่มหายากและไม่ค่อยมีการอัพเดทซักเท่าไหร่ ซึ่งเน็ตเวิร์คตรงนี้หากใครที่ใช้ไม่เต็มที่ก็หาคนช่วยใช้เหอะ เพราะเว็บที่ขาดอัพเดตมันก็เรียกบอทไม่ค่อยได้เหมือนกัน ซึ่ง Network ตรงนี้ควรสร้างด้วย wordpress เพราะเรียกบอทได้ด้วยตัวมันเองไม่ต้องหาแบ็กลิ้งแต่อย่างใด

แล้วควรมี network มากขนาดไหน

บอกได้แค่ว่าต้องมากพอสมควรอย่างน้อยก็ควรจะ 100 ไอพี โดยใน 100 ไอพี แบ่งย่อยเป็น 10 ชุด แล้วยิงไปหา Hub ชุดละ 1 วัน

แล้วทำไมไม่ทำทีเดียวเลยละเสียเวลา

จากการทดสอบเบื้องต้นครั้งหนึ่ง เลยทำให้ทราบว่า การอัดทีเดียวนั้นมีความเป็นไปได้ 3:1 ที่เว็บไซต์คุณจะหายไปไร้ซึ่งอันดับ การอัด backlink อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้อันดับคุณกลับมาซึ่งดีกว่าการยิงทีเดียว

4.เครื่องมือ การดูแลเน็ตเวิร์ค ปริมาณมาก ๆ ทำได้ยากและค่อนข้างจะเสียเวลา ควรมีเครื่องมือที่จะช่วยทำให้งานของคุณง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโพส การจัดการบทความ เพื่อความรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น bmg , macrowordpress,iwp เป็นต้น

เรื่องทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ ซึ่งการทำ SEO ครั้งนี้อาจจะต้องมีการสร้างเน็ตเวิร์คกันซักเล็กน้อย เพราะถ้าทุกอย่างเราเท่ากันเน็ตเวิร์คจะเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะทันที สำหรับใครสนใจจะสร้างเน็ตเวิร์คใช้ ลองลงชื่อกันดูถ้ามีมากพอผมจะมาเสนอเรื่อง เน็ตเวิร์คอีกที

ทุกวันนี้ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาเขียนอะไรต้องมีประวัติชีวิตในช่วงนั้น ๆ ด้วย แต่มันก็กลายเป็นเอกลักษณ์ของผมไปแหละ