ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

หน้า: [1] 2 3 4   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: รวมประวัติพระสุปฏิปันโน  (อ่าน 13114 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
todsapononline
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 17
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 194



ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2011, 18:31:38 »

สมัยนี้มีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับพระภิกษุบ่อยๆจนบางคนอาจจะคิดว่าศาสนาพุทธเริ่มเสื่อมแล้ว
และทำให้หมดศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่ผมอยากจะบอกเพื่อนๆไว้นะครับว่า ศาสนาไม่ได้เสื่อม
ที่เสื่อมคือคนเราต่างหากที่บวชเป็นพระแล้วไม่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ดังนั้นผมจึงอยากจะรวบรวมประวัติของครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาให้เพื่อนๆได้อ่านกันนะครับ
จะได้เข้าใจว่าพระภิกษุที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นยังไงจะได้เกิดศรัทธาขึ้นมาอีกครั้ง
และคนที่มีความศรัทธาอยู่แล้วจะได้ศรัทธายิ่งยิ่งขึ้นไป


สารบัญ

1.หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล วัดเลียบ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
2.หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต  วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
3.หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
4.หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา
5.หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
6.หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
7.หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร
8.หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
9.หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 พฤษภาคม 2011, 14:04:21 โดย todsapononline » บันทึกการเข้า

todsapononline
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 17
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 194



ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2011, 18:32:51 »

1.หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล





อัฐิธาตุหลวงปุ่เสาร์ กันตสีโล

ประวัติหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล

 ท่านเกิดที่บ้านข่าโคม ตำบลหนองขอน อำเภอเมือง (ปัจจุบันอำเภอเขื่องใน) จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๔๐๒ ท่านเป็นพระคณาจารย์ใหญ่ของพระกรรมฐานทั้งหมด ท่านอุปสมบทที่วัดใต้ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาได้เป็นเจ้าอาวาสวัดใต้ และได้ญัตติเป็นพระธรรมยุตที่วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม) มีพระครูทา โชติปาโล เป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจารย์ ภายหลังมาอยู่วัดเลียบ และเปิดสำนักปฏิบัติธรรมขึ้น ณ วัดเลียบ ลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงของท่านคือพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต
ท่านได้มรณภาพในอิริยาบถขณะกราบครั้งที่ ๓ ในอุโบสถวัดอำมาตยาราม อำเภอวรรณไวทยากรณ์ นครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๔ ตรงกับ วันจันทร์ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะโรง เชิญศพมา ณ วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ทำพิธีเผาในเดือนเมษายน ๒๔๘๖ สิริอายุ ๘๒ ปี ๓ เดือน ๑ วัน นิสัยท่านอาจารย์เสาร์ นิสัยชอบก่อสร้าง ชอบปลูกพริกหมากไม้ ลักษณะจิตเยือกเย็น มีพรหมวิหารทำจิตดุจแผ่นดิน มีเมตตาเป็นสาธารณะ เป็นคนพูดน้อย ยกจิตขึ้นสู่องค์เมตตาสุกใสรุ่งเรือง เป็นคนเอื้อเฟื้อในพระวินัย ทำความเพียรเป็นกลางไม่ยิ่งหย่อน พิจารณาถึงขั้นภูมิละเอียดมาก ท่านบอกให้เราภาวนาเปลี่ยนอารมณ์แก้อาพาธได้ อยู่ข้างนอกวุ่นวาย เข้าไปหาท่านจิตสงบดี เป็นอัศจรรย์ปาฏิหาริย์หลายอย่าง จิตของท่านชอบสันโดษ ไม่มักใหญ่ใฝ่สูง หมากไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ท่านแดดัง (พระครูทา โชติปาโล) เป็นอุปัชฌายะ เดินจงกรมภาวนาเสมอไม่ละกาล น้ำใจดี ไม่เคยโกรธขึ้นให้พระเณรอุบาสกอุบาสิกา มักจะวางสังฆทานอุทิศในสงฆ์สันนิบาต แก้วิปัสสนูฯแก่สานุศิษย์ได้ อำนาจวางจริตเฉยๆ เรื่อยๆ ชอบดูตำราเรื่องพระพุทธเจ้า รูปร่างใหญ่ สันทัด เป็นมหานิกาย ๑๐ พรรษา จึงมาญัตติเป็นธรรมยุตฯ รักเด็ก เป็นคนภูมิใหญ่กว้างขวาง ยินดีทั้งปริยัติปฏิบัติ ลักษณะเป็นคนโบราณพร้อมทั้งกาย วาจา ใจ เป็นโบราณทั้งสิ้น ไม่เห่อตามลาภยศสรรเสริญ อาหารชอบเห็ด ผลไม้ต่างๆ ชอบน้ำผึ้ง

นั่งสมาธิตัวลอยขึ้น… ลืมตาขึ้นดูตกลงมาก้นกระแทกกับพื้นอย่างแรง

ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า นิสัยของท่านพระอาจารย์เสาร์เป็นไปอย่างเรียบๆ และเยือกเย็นน่าเลื่อมใสมาก ที่มีแปลกอยู่บ้างก็เวลาท่านเข้าที่นั่งสมาธิตัวของท่านชอบลอยขึ้นเสมอ บางครั้งตัวท่านลอยขึ้นไปจนผิดสังเกต เวลาท่านนั่งสมาธิอยู่ ท่านเองเกิดความแปลกใจในขณะนั้นว่า "ตัวเราถ้าจะลอยขึ้นจากพื้นแน่ๆ" เลยลืมตาขึ้นดูตัวเอง ขณะนั้นจิตท่านถอนออกจากสมาธิพอดี เพราะพะวักพะวงกับเรื่องตัวลอย ท่านเลยตกลงมาก้นกระแทกกับพื้นอย่างแรง ต้องเจ็บเอวอยู่หลายวัน ความจริงตัวท่านลอยขึ้นจากพื้นจริงๆ สูงประมาณ ๑ เมตร ขณะที่ท่านลืมตาดูตัวเองนั้น จิตท่านถอนออกจากสมาธิ จึงไม่มีสติพอยับยั้งไว้บ้าง จึงทำให้ท่านตกลงสู่พื้นอย่างแรง เช่นเดียวกับสิ่งต่างๆ ตกลงจากที่สูง ในคราวต่อไปเวลาท่านนั่งสมาธิ พอรู้สึกว่าตัวท่านลอยขึ้นจากพื้น ท่านพยายามทำสติให้อยู่ในองค์ของสมาธิแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นดูตัวเอง ก็ประจักษ์ว่าตัวท่านลอยขึ้นจริงๆ แต่ไม่ได้ตกลงสู่พื้นเหมือนคราวแรก เพราะท่านมิได้ปราศจากสติ และคอยประคองใจให้อยู่ในองค์สมาธิ ท่านจึงรู้เรื่องของท่านได้ดี ท่านเป็นคนละเอียดถี่ถ้วนอยู่มาก แม้จะเห็นด้วยตาแล้วท่านยังไม่แน่ใจ ต้องเอาวัตถุชิ้นเล็กๆ ขึ้นไปเหน็บไว้บนหญ้าหลังกุฏิ แล้วกลับมาทำสมาธิอีก พอจิตสงบ และตัวเริ่มลอยขึ้นไปอีก ท่านพยายามประคองจิตให้มั่นอยู่ในสมาธิ เพื่อตัวจะได้ลอยขึ้นไปจนถึงวัตถุเครื่องหมายที่ท่านนำขึ้นไปเหน็บไว้ แล้วค่อยๆ เอื้อมมือจับด้วยความมีสติ แล้วนำวัตถุนั้นลงมาโดยทางสมาธิภาวนา คือพอหยิบได้วัตถุนั้นแล้วก็ค่อยๆ ถอนจิตออกจากสมาธิ เพื่อกายจะได้ค่อยๆ ลงมาถึงพื้นอย่างปลอดภัย แต่ไม่ถึงกับให้จิตถอนจากสมาธิจริงๆ เมื่อได้ทดลองจนเป็นที่แน่ใจแล้ว ท่านจึงเชื่อตัวเองว่า ตัวท่านลอยขึ้นได้จริงในเวลาเข้าสมาธิในบางครั้ง แต่มิได้ลอยขึ้นเสมอไป นี้เป็นจริตนิสัยแห่งจิตของท่านพระอาจารย์เสาร์ รู้สึกผิดกับนิสัยของท่านพระอาจารย์มั่นอยู่มากในปฏิปทาทางใจ

จิตของท่านพระอาจารย์เสาร์เป็นไปอย่างเรียบๆ สงบเย็นโดยสม่ำเสมอ นับแต่ขั้นเริ่มแรกจนถึงสุดท้ายปลายแดนแห่งปฏิปทาของท่าน ไม่ค่อยล่อแหลมต่ออันตราย และไม่ค่อยมีอุบายต่างๆ และความรู้แปลกๆ เหมือนจิตท่านพระอาจารย์มั่น

หลวงปู่เสาร์เคยปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

เวลาเร่งความเพียรใจรู้สึกประหวัดๆ ถึงความปรารถนาเดิม
ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า ท่านพระอาจารย์เสาร์เดิมท่านปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เวลาออกบำเพ็ญพอเร่งความเพียรเข้ามากๆ ใจรู้สึกประหวัดๆ ถึงความปรารถนาเดิม เพื่อความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแสดงออกเป็นเชิงอาลัยเสียดาย ยังไม่อยากไปนิพพาน ท่านเห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อความเพียรเพื่อความรู้แจ้งซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ท่านเลยอธิษฐานของดจากความปรารถนานั้น และขอประมวลมาเพื่อความรู้แจ้งซึ่งพระนิพพานในชาตินี้ ไม่ขอเกิดมารับความทุกข์ทรมานในภพชาติต่างๆ อีกต่อไป พอท่านปล่อยวางความปรารถนาเดิมแล้ว การบำเพ็ญเพียรรู้สึกสะดวกและเห็นผลไปโดยลำดับ ไม่มีอารมณ์เครื่องเกาะเกี่ยวเหมือนแต่ก่อน สุดท้ายท่านก็บรรลุถึงแดนแห่งความเกษมดังใจหมาย แต่การแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ท่านไม่ค่อยมีความรู้แตกฉานกว้างขวางนัก ทั้งนี้อาจจะเป็นไปตามภูมินิสัยเดิมของท่านที่มุ่งเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งตรัสรู้เองชอบ แต่ไม่สนใจสั่งสอนใครก็ได้ อีกประการหนึ่ง ที่ท่านกลับความปรารถนาได้สำเร็จตามใจนั้น คงอยู่ในขั้นพอแก้ไขได้ ซึ่งยังไม่สมบูรณ์เต็มภูมิแท้

หลวงปู่เสาร์เป็นคนพูดน้อย

เราเกิดเป็นมนุษย์ มีความสูงศักดิ์มาก แต่อย่านำเรื่องของสัตว์มาประพฤติ
เวลาท่านพระอาจารย์มั่นออกเที่ยวธุดงคกรรมฐานทางภาคอีสาน ตามจังหวัดต่างๆ ในระยะต้นวัย ท่านมักจะไปกับท่านพระอาจารย์เสาร์เสมอ แม้ความรู้ทางภายในจะมีแตกต่างกันบ้างตามนิสัย แต่ก็ชอบไปด้วยกัน สำหรับท่านพระอาจารย์เสาร์ ท่านเป็นคนไม่ชอบพูด ไม่ชอบเทศน์ ไม่ชอบมีความรู้แปลกๆ ต่างๆ กวนใจเหมือนท่านอาจารย์มั่น เวลาจำเป็นต้องเทศน์ท่านก็เทศน์เพียงประโยคหนึ่งหรือสองเท่านั้น แล้วก็ลงธรรมาสน์ไปเสีย ประโยคธรรมที่ท่านเทศน์ซึ่งพอจับใจความได้ว่า "ให้พากันละบาปและบำเพ็ญบุญ อย่าให้เสียชีวิตลมหายใจไปเปล่าที่ได้มีวาสนามาเกิดเป็นมนุษย์" และ "เราเกิดเป็นมนุษย์มีความสูงศักดิ์มาก แต่อย่านำเรื่องของสัตว์มาประพฤติ มนุษย์ของเราจะต่ำลงกว่าสัตว์ และจะเลวกว่าสัตว์อีกมาก เวลาตกนรกจะตกหลุมที่ร้อนกว่าสัตว์มากมาย อย่าพากันทำ" แล้วก็ลงธรรมาสน์ไปกุฏิโดยไม่สนใจกับใครต่อไปอีก ปกตินิสัยของท่านเป็นคนไม่ชอบพูด พูดน้อยที่สุด ทั้งวันไม่พูดอะไรกับใครเกิน ๒-๓ ประโยค เวลานั่งก็ทนทานนั่งอยู่ได้เป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง เดินก็ทำนองเดียวกัน แต่ลักษณะท่าทางของท่านมีความสง่าผ่าเผยน่าเคารพเลื่อมใสมาก มองเห็นท่านแล้วเย็นตาเย็นใจไปหลายวัน ประชาชน และพระเณรเคารพเลื่อมใสท่านมาก ท่านมีลูกศิษย์มากมายเหมือนท่านอาจารย์มั่น .

หลวงปู่เสาร์สอนทำอะไรให้เป็นเวลา

ให้ทำวัตร นอน ๔ ทุ่ม ตื่นตี ๓
ท่านอาจารย์หลวงปู่เสาร์นี้ท่านเป็นสาวกแบบชนิดที่ว่าเป็นพระประเสริฐ ท่านสอนธรรมนี้ท่านไม่พูดมาก ท่านชี้บอกว่าให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ แต่การปฏิบัติของท่านนี้ ท่านเอาการปฏิบัติแทนการสอนด้วยปาก ผู้ที่ไปอยู่ในสำนักท่าน ก่อนอื่นท่านจะสอนให้ทำวัตร นอน ๔ ทุ่ม ตื่นตี ๓ นี้ข้อแรกต้องทำให้ได้ก่อน บ้างทีก็ลองเรียนถามท่าน หลวงปู่ทำไมสอนอย่างนี้ การนอนเป็นเวลา ตื่นเป็นเวลา ฉันเป็นเวลา อาบน้ำเข้าห้องน้ำเป็นเวลา มันเป็นอุบายสร้างพลังจิต แล้วทำให้เรามีความจริงใจ ทีนี้นักปฏิบัติทั้งหลายไม่ได้ทำอย่างนี้ แม้แต่นักสะกดจิต เขาก็ยังยึดหลักอันนี้ มันมีอยู่คำหนึ่งที่หลวงพ่อ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) ไม่เคยลืมหลักปฏิบัติที่เวลาไปปฏิบัติท่าน ท่านจะพูดขึ้นลอยๆ ว่า "เวลานี้จิตข้ามันไม่สงบ มันมีแต่ความคิด" ก็ถามว่า "จิตมันฟุ้งซ่านหรือไงอาจารย์" "ถ้าให้มันหยุดนิ่งมันก็ไม่ก้าวหน้า" กว่าจะเข้าใจความหมายของท่านก็ใช้เวลาหลายปี ท่านหมายความว่า เวลาปฏิบัติถ้าจิตมันหยุดนิ่งก็ปล่อยให้มันหยุดนิ่งไป อย่าไปรบกวนมัน ถ้าเวลามันจะคิดก็ให้มันคิดไป เราเอาสติตัวเดียวเป็นตัวตั้งตัวตี .

ปฏิปทาของหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล

ท่านสนใจเรื่องการปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน โดยถ่ายเดียว
หลวงปู่เสาร์ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่มั่น ออกเดินธุดงคกรรมฐาน ปักกลดอยู่ในป่า ในดง ในถ้ำ ในเขา องค์แรกของอีสานคือหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล นัยว่าท่านออกบวชในพระศาสนา ท่านสนใจเรื่องการปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน โดยถ่ายเดียว ซึ่งสหธรรมิกคู่หูของท่านก็คือ พระปัญญาพิศาลเถร (หนู) เป็นคนเกิดในเมืองอุบลฯ ท่านออกเดินธุดงค์ร่วมกัน หลวงปู่เสาร์ตามปกติท่านเป็นพระที่เทศน์ไม่เป็น แต่ปฏิบัติให้ลูกศิษย์ดูเป็นตัวอย่าง

เดินจงกรมแข่งหลวงปู่เสาร์

สมัยที่หลวงพ่อ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) เป็นเณรอยู่ใกล้ๆ ท่าน ถ้าวันไหนเราคิดว่าจะเดินจงกรมแข่งกับท่านอาจารย์ใหญ่ วันนั้นท่านจะเดินจงกรมไม่หยุด จนกว่าเราหยุดนั่นแหละท่านจึงจะหยุด ท่านจะไม่ยอมให้เราชนะท่าน เวลาท่านสอน สอนสมาธิ ถ้ามีใครถามว่า ส่วนใหญ่คนอีสานก็ถามแบบภาษาอีสาน "อยากปฏิบัติสมาธิเฮ็ดจั๋งได๋ญ่าท่าน" "พุทโธสิ" "ภาวนาพุทโธแล้วมันจะได้อีหยังขึ้นมา" "อย่าถาม" "พุทโธแปลว่าจั๋งได๋" "ถามไปหาสิแตกอีหยัง ยั้งว่าให้ภาวนา พุทโธ ข้าเจ้าให้พูดแค่นี้" แล้วก็ไม่มีคำอธิบาย ถ้าหากว่าใครเชื่อตามคำแนะนำของท่าน ไปตั้งใจภาวนาพุทโธ จริงๆ ไม่เฉพาะแต่เวลาเราจะมานั่งอย่างเดียว ยืน เดิน นั่น นอน รับประทาน ดื่ม ทำ ใจนึกพุทโธไว้ให้ตลอดเวลา ไม่ต้องเลือกว่าเวลานี้จะภาวนาพุทโธ เวลานี้เราจะไม่ภาวนาพุทโธ ท่านสอนให้ภาวนาทุกลมหายใจ

ทำไมหลวงปู่เสาร์สอนภาวนาพุทโธ

เพราะพุทโธเป็นกริยาของใจ
หลวงพ่อ (พุธ ฐานิโย) เลยเคยแอบถามท่านว่าทำไมจึงต้องภาวนา พุทโธ ท่านก็อธิบายให้ฟังว่าที่ให้ภาวนาพุทโธนั้น เพราะพุทโธ เป็นกิริยาของใจ ถ้าเราเขียนเป็นตัวหนังสือเราจะเขียน พ – พาน – สระ – อุ – ท – ทหาร สะกด โอ ตัว ธ – ธง อ่านว่า พุทโธ อันนี้เป็นเพียงแต่คำพูด เป็นชื่อของคุณธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อจิตภาวนาพุทโธแล้วมันสงบวูบลงไปนิ่งสว่างรู้ตื่นเบิกบาน พอหลังจากคำว่า พุทโธ มันก็หายไปแล้ว ทำไมมันจึงหายไป เพราะจิตมันถึงพุทโธแล้ว จิตกลายเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ เกิดขึ้นในจิตของท่านผู้ภาวนา พอหลังจากนั้นจิตของเราจะหยุดนึกคำว่าพุทโธ แล้วก็ไปนิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน สว่างไสว กายเบา จิตเบา กายสงบ จิตสงบ ยังแถมมีปีติ มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก อันนี้มันเป็นพุทธะ พุทโธ โดยธรรมชาติเกิดขึ้นที่จิตแล้ว พุทโธ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นกิริยาของจิตมันใกล้กับความจริง แล้วทำไมเราจึงมาพร่ำบ่น พุทโธๆ ๆ ในขณะที่จิตเราไม่เป็นเช่นนั้น ที่เราต้องมาบ่นว่า พุทโธนั่นก็เพราะว่า เราต้องการจะพบพุทโธ ในขณะที่พุทโธยังไม่เกิดขึ้นกับจิตนี้ เราก็ต้องท่อง พุทโธๆ ๆ ๆ เหมือนกับว่าเราต้องการจะพบเพื่อนคนใดคนหนึ่ง เมื่อเรามองไม่เห็นเขาหรือเขายังไม่มาหาเรา เราก็เรียกชื่อเขา ทีนี้เมื่อเขามาพบเราแล้ว เราได้พูดจาสนทนากันแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปเรียกชื่อเขาอีก ถ้าขืนเรียกซ้ำๆ เขาจะหาว่าเราร่ำไร ประเดี๋ยวเขาด่าเอา

ทีนี้ในทำนองเดียวกันในเมื่อเรียก พุทโธๆ ๆ เข้ามาในจิตของเรา เมื่อจิตของเราได้เกิดเป็นพุทโธเอง คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตของเราก็หยุดเรียกเอง ทีนี้ถ้าหากว่าเรามีความรู้สึกอันหนึ่งแทรกขึ้นมา เอ้า ควรจะนึกถึงพุทโธอีก พอเรานึกขึ้นมาอย่างนี้สมาธิของเราจะถอนทันที แล้วกิริยาที่จิตมันรู้ ตื่น เบิกบานจะหายไป เพราะสมาธิถอน

ทีนี้ตามแนวทางของครูบาอาจารย์ที่ท่านแนะนำพร่ำสอน ท่านจึงให้คำแนะนำว่า เมื่อเราภาวนาพุทโธไปจิตสงบวูบลงนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านก็ให้ประคองจิตให้อยู่ในสภาพปกติอย่างนั้น ถ้าเราสามารถประคองจิตให้อยู่ในสภาพอย่างนั้นได้ตลอดไป จิตของเราจะค่อยสงบ ละเอียดๆ ๆ ลงไป ในช่วงเหตุการณ์ต่างๆ มันจะเกิดขึ้น ถ้าจิตส่งกระแสออกนอกเกิดมโนภาพ ถ้าวิ่งเข้ามาข้างในจะเห็นอวัยวะภายในร่างกายทั่วหมด ตับ ไต ไส้ พุง เห็นหมด แล้วเราจะรู้สึกว่ากายของเรานี่เหมือนกับแก้วโปร่ง ดวงจิตที่สงบ สว่างเหมือนกับดวงไฟที่เราจุดไว้ในพลบครอบ แล้วสามารถเปล่งรัศมีสว่างออกมารอบๆ จนกว่าจิตจะสงบละเอียดลงไป จนกระทั่งว่ากายหายไปแล้วจึงจะเหลือแต่จิตสว่างไสวอยู่ดวงเดียวร่างกายตัวตนหายหมด ถ้าหากจิตดวงนี้มีสมรรถภาพพอที่จะเกิดความรู้ความเห็นอะไรได้ จิตจะย้อนกายลงมาเบื้องล่าง เห็นร่างกายตัวเองนอนตายเหยียดยาวอยู่ขึ้นอืดเน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไป TOP.

หลักปฏิบัติที่ครูบาอาจารย์ให้ไว้

อาศัยอยู่ตามถ้ำบ้าง ตามโคนต้นไม้บ้าง
พระบูรพาจารย์ของเรา เราถือว่าพระอาจารย์เสาร์ กตนฺสีโล เป็นพระอาจารย์องค์แรก และเป็นผู้นำหมู่คณะลูกศิษย์ลูกหา ออกเดินธุดงคกรรมฐาน ชอบพักพิงอยู่ตามป่าตามที่วิเวก อาศัยอยู่ตามถ้ำบ้างตามโคนต้นไม้บ้าง และท่านอาจารย์มั่นก็เป็นอีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์เสาร์ หลวงพ่อสิงห์ ขนฺตยาคโม ก็เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์เสาร์ และท่านอาจารย์มั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอาจารย์สิงห์เปรียบเสมือนหนึ่งว่าเป็นเสนาธิการใหญ่ของกองทัพธรรม ได้นำหมู่คณะออกเดินธุดงค์ไปตามราวป่าตามเขา อยู่อัพโภกาส อยู่ตามโคนต้นไม้ อาศัยอยู่ตามถ้ำ พักพิงอาศัยอยู่ในราวป่าห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๕๐๐ เมตร การธุดงค์ของพระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์สิงห์จะไม่นิยมที่จะไปปักกลดอยู่ตามละแวกบ้าน ตามสนามหญ้า หรือตามบริเวณโรงเรียน หรือใกล้ๆ กับถนนหนทางในที่ซึ่งเป็นที่ชุมนุมชน ท่านจะออกแสงหาวิเวกในราวป่าห่างไกลกันจริงๆ

บางทีไปอยู่ในป่าเขาที่ไกล ตื่นเช้าเดินจากที่พักลงมาสู่หมู่บ้านเพื่อบิณฑบาต เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้ว กลับไปถึงที่พักเป็นเวลา ๑๑.๐๐ น. หรือ ๕ โมงก็มี อันนี้คือหลักการปฏิบัติของพระธุดงคกรรมฐานในสายพระอาจารย์มั่น พระอาจารย์เสาร์ ซึ่งบางทีอาจจะผิดแผกจากพระธุดงค์ในสมัยปัจจุบัน ซึ่งไปปักกลดอยู่ตามสนามหญ้า หรือตามสถานีรถไฟ ตามบริเวณโรงเรียนหรือศาลเจ้าต่างๆ พระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์สิงห์ ไม่นิยมทำเช่นนั้น ไปธุดงค์ก็ต้องไปป่ากันจริงๆ ที่ใดซึ่งมีอันตรายท่านก็ยิ่งไปเพื่อเป็นการทดสอบความสามารถของตัวเอง และเป็นการฝึกฝนลูกศิษย์ลูกหาให้มีความกล้าหาญเผชิญต่อภัยของชีวิต ตะล่อมจิตให้ยึดมั่นในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่วแน่

เมื่อไปในสถานที่ที่คิดว่ามีอันตราย ไปอยู่ในที่ห่างไกลพี่น้อง เพื่อนฝูงหสธรรมิกก็ไปอยู่บริเวณที่ห่างๆ กัน ในเมื่อจิตใจเกิดความหวาดกลัวภัยขึ้นมา จิตใจก็วิ่งเข้าสู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยึดเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะอย่างเหนียวแน่น เพราะในขณะนั้นไม่มีใครอีกแล้วที่จะเป็นเพื่อนตาย ดังนั้น ท่านจึงมีอุบายให้ไปฝึกฝนอบรมตัวเอง ฝึกฝนอบรมบรรดาลูกศิษย์ลูกหา ผู้ติดตาม ในสถานที่วิเวกห่างไกลเต็มไปด้วยภัยอันตราย เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหามีความกล้าหาญชาญชัย ในการที่จะเสียสละเพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อบูชาพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง การฝึกฝนอบรมหรือการอบรมสั่งสอนของครูบาอาจารย์ดังกล่าวนั้น ท่านยึดหลักที่จะพึงให้ลูกศิษย์ปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวันดังนี้

ท่านจะสอนให้พวกเราประกอบความเพียรดังกล่าวตั้งแต่หัวค่ำ จนกระทั่วเวลา ๔ ทุ่ม พอถึง ๔ ทุ่มแล้วก็จำวัดพักผ่อนตามอัธยาศัย พอถึงตี ๓ ท่านก็เตือนให้ลุกขึ้นมาบำเพ็ญเพียร เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาหรือทำวัตรสวดมนต์ก็ตามแต่ที่จะถนัด แต่หลักที่ท่านยึดเป็นหลักที่แน่นอนที่สุดก็คือว่าในเบื้องต้นท่านจะสอนให้ลูกศิษย์หัดนอน ๔ ทุ่ม ตื่นตี ๓ ในขณะที่ยังไม่ได้นอนหรือตื่นขึ้นมาแล้วก็ทำกิจวัตร มีการสวดมนต์ไหว้พระ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ท่านก็จะสอนให้ทำอย่างนี้ อันนี้เป็นหลักสำคัญที่ท่านจะรีบเร่งอบรมสั่งสอน และฝึกลูกศิษย์ให้ทำให้ได้ ถ้าหากยังทำไม่ได้ท่านก็ยังไม่อบรมสั่งสอนธรรมะส่วนละเอียดขึ้นไป เพราะอันนี้เป็นการฝึกหัดดัดนิสัยให้มีระเบียบ นอนก็มีระเบียบ ตื่นก็มีระเบียบ การฉันก็ต้องมีระเบียบ คือฉันหนเดียวเป็นวัตร ฉันในบาตรเป็นวัตร บิณฑบาตฉันเป็นวัตร อันนี้เป็นข้อวัตรที่ท่านถือเคร่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อฉันในบาตร ฉันหนเดียว อันนี้ท่านยึดเป็นหัวใจหลักของการปฏิบัติกรรมฐานเลยทีเดียว TOP.

หลักสมถวิปัสสนาของหลวงปู่เสาร์

พิจารณากายแยกออกเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
หลักการสอนท่านก็สอนในหลักของสมถวิปัสสนา ดังที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้วนั้น แต่ท่านจะเน้นหนักในการสอนให้เจริญพุทธคุณเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเจริญพุทธคุณจนคล่องตัวจนชำนิชำนาญแล้ว ก็สอนให้พิจารณากายคตาสติ เมื่อสอนให้พิจารณากายคตาสติ พิจารณาอสุภกรรมฐาน จนคล่องตัวจนชำนิชำนาญแล้ว ก็สอนให้พิจารณาธาตุกรรมฐาน ให้พิจารณากายแยกออกเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วก็พยายามพิจารณาว่าในร่างกายของเรานี้ไม่มีอะไร มีแต่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมกันอยู่เท่านั้น หาสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่มี ในเมื่อฝึกฝนอบรมให้พิจารณาจนคล่องตัว จิตก็จะมองเห็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน คือเห็นว่าร่างกายนี้ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตน เป็นอนัตตาทั้งนั้น จะว่ามีตัวมีตนในเมื่อแย่ออกไปแล้ว มันก็มีแต่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ สัตว์ บุคคลตัวตนเราเขาไม่มี แต่อาศัยความประชุมพร้อมของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มีปฏิสนธิ จิตปฏิสนธิวิญญาณมายึดครองอยู่ในร่างอันนี้ เราจึงสมมติบัญญัติว่า สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา

อันนี้เป็นแนวการสอนของพระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์มั่น และพระอาจารย์สิงห์ การพิจารณาเพียงแค่ว่าพิจารณากายคตาสติก็ดี พิจารณาธาตุกรรมฐานก็ดี ตามหลักวิชาการท่านว่าเป็นอารมณ์ของสมถกรรมฐาน แต่ท่านก็ย้ำให้พิจารณาอยู่ในกายคตาสติกรรมฐานกับธาตุกรรมฐานนี้เป็นส่วนใหญ่ ที่ท่านย้ำๆ ให้พิจารณาอย่างนั้น ก็เพราะว่าทำให้ภูมิจิตภูมิใจของนักปฏิบัติก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาได้เร็วโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณากายคตาสติ แยกผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น ออกเป็นส่วนๆ เราจะมองเห็นว่าในกายของเรานี้ก็ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวตน มันเป็นแต่เพียง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกเท่านั้น ถ้าว่ากายนี้เป็นตัวเป็นตน ทำไมจึงจะเรียกว่าผม ทำไมจึงจะเรียกว่าขน ทำไมจึงจะเรียกว่าเล็บ ว่าฟัน ว่าเนื้อ ว่าเอ็น ว่ากระดูก ในเมื่อแยกออกไปเรียกอย่างนั้นแล้ว มันก็ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา นอกจากนั้นก็จะมองเห็นอสุภกรรมฐาน เห็นว่าร่างกายนี้เต็มไปด้วยของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครกน่าเบื่อหน่าย ไม่น่ายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นอัตตาตัวตน แล้วพิจารณาบ่อยๆ พิจารณาเนืองๆ จนกระทั่งจิตเกิดความสงบ สงบแล้วจิตจะปฏิวัติตัวไปสู่การพิจารณาโดยอัตโนมัติ ผู้ภาวนาก็เริ่มจะรู้แจ้งเห็นจริงในความเป็นจริงของร่างกายอันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ พิจารณากายแยกออกเป็นส่วนๆ ส่วนนี้เป็นดิน ส่วนนี้เป็นน้ำ ส่วนนี้เป็นลม ส่วนนี้เป็นไฟ เราก็จะมองเห็นว่าร่างกายนี้สักแต่ว่าเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาไม่มี ก็ทำให้จิตของเรามองเห็นอนัตตาได้เร็วขึ้น เพราะฉะนั้นการเจริญกายคตาสติก็ดี การเจริญธาตุกรรมฐานก็ดี จึงเป็นแนวทางให้จิตดำเนินก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาได้

และอีกอันหนึ่งอานาปานสติ ท่านก็ยึดเป็นหลักการสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรรมฐานอานาปานสติ การกำหนดพิจารณาลมหายใจนั้น จะไปแทรกอยู่ทุกกรรมฐาน จะบริกรรมภาวนาก็ดี จะพิจารณาก็ดี ในเมื่อจิตสงบลงไป ปล่อยวางอารมณ์ที่พิจารณาแล้ว ส่วนใหญ่จิตจะไปรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ในเมื่อจิตตามรู้ลมหายใจเข้าออก กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่เป็นปกติ จิตเอาลมหายใจเป็นสิ่งรู้ สติเอาลมหายใจเป็นสิ่งระลึก ลมหายใจเข้าออกเป็นไปตามปกติของร่างกาย เมื่อสติไปจับอยู่ที่ลมหายใจ ลมหายใจก็เป็นฐานที่ตั้งของสติ ลมหายใจเป็นสิ่งเกี่ยวเนื่องด้วยกาย สติไปกำหนดรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก จดจ่ออยู่ที่ตรงนั้น วิตกถึงลมหายใจ มีสติรู้พร้อมอยู่ในขณะนั้น จิตก็มีวิตกวิจารอยู่กับลมหายใจ เมื่อจิตสงบลงไป ลมหายใจก็ค่อยละเอียดๆ ลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดลมหายใจก็หายขาดไป เมื่อลมหายใจหายขาดไปจากความรู้สึก ร่างกายที่ปรากฏว่ามีอยู่ก็พลอยหายไปด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าลมหายใจยังไม่หายขาดไปกายก็ยังปรากฏอยู่ เมื่อจิตตามลมหายใจเข้าไปข้างใน จิตจะไปสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางของกาย แล้วก็แผ่รัศมีออกมารู้ทั่วทั้งกาย จิตสามารถที่จะมองเห็นอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายได้หมดทั้งตัว เพราะลมย่อมวิ่งเข้าไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ลมวิ่งไปถึงไหนจิตก็รู้ไปถึงนั่น ตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่เท้าจรดหัว ตั้งแต่แขนซ้ายแขนขวา ขาขวาขาซ้าย เมื่อจิตตามลมหายใจเข้าไปแล้ว จิตจะรู้ทั่วกายหมด ในขณะใดกายยังปรากฏอยู่ จิตสงบอยู่ สงบนิ่ง รู้สว่างอยู่ในกาย วิตก วิจาร คือจิตรู้อยู่ภายในกาย สติก็รู้พร้อมอยู่ในกาย ในอันดับนั้นปีติและความสุขย่อมบังเกิดขึ้น เมื่อปีติและความสุขบังเกิดขึ้น จิตก็เป็นหนึ่ง นิวรณ์ ๕ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ก็หายไป จิตกลายเป็นสมถะ มีพลังพอที่จะปราบนิวรณ์ ๕ ให้สงบระงับไป ผู้ภาวนาก็จะมองเห็นผลประโยชน์ในการเจริญสมถกรรมฐาน


นำเราไปยังอุโบสถเลย เพราะเราจะไปตายที่นั่น

…เมื่อออกพรรษาทุกปี หลวงปู่เสาร์จะพาออกธุดงค์ลงไปทางใต้นครจำปาศักดิ์ หลี่ผี ปากเซ ฝั่งประเทศลาว แล้วก็ย้อนกลับมาจำพรรษาที่วัดดอนธาตุอีกทุกปี เมื่อถึงปี พ.ศ.๒๔๘๓ มีอยู่วันหนึ่งตอนบ่าย หลวงปู่เสาร์นั่งสมาธิอยู่ใต้โคนต้นยางใหญ่ พอดีขณะนั้นมีเหยี่ยวตัวหนึ่งได้บินโฉบไปโฉบมา โฉบเอารังผึ้งซึ่งอยู่บนต้นไม้ที่หลวงปู่เสาร์นั่งอยู่ รวงผึ้งนั้นได้ขาดตกลงมาใกล้ๆ กับที่หลวงปู่เสาร์นั่งอยู่ ผึ้งได้รุมกัดต่อยหลวงปู่หลายตัว จนท่านถึงกับต้องเข้าไปในมุ้งกลด พวกมันจึงพากันบินหนีไป

ตั้งแต่นั้นมา หลวงปู่เสาร์ก็อาพาธมาโดยตลอด พอออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ได้ไปวิเวกทางด้านปากเซ หลี่ผี จำปาศักดิ์ แต่ไปคราวนี้หลวงปู่เสาร์ป่วยหนัก ท่านจึงสั่งให้หลวงปู่บัวพา และคณะศิษย์นำท่านกลับมาที่วัดอำมาตย์ นครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว โดยมาทางเรือ ตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ ท่านนอนบนแคร่ในเรือประทุน หลวงปู่เสาร์หลับตานิ่งมาตลอด เพราะตอนนั้นท่านกำลังอาพาธหนัก อันเกิดจากผึ้งที่ได้ต่อยท่านตอนที่อยู่จำพรรษาที่วัดดอนธาตุ เมื่อถึงนครจำปาศักดิ์แล้ว ท่านลืมตาขึ้นพูดว่า "ถึงแล้วใช่ไหม ให้นำเราไปยังอุโบสถเลย เพราะเราจะไปตายที่นั่น"

หลวงปู่บัวพาจึงได้นำหลวงปู่เสาร์เข้าไปในอุโบสถ แล้วหลวงปู่เสาร์สั่งให้เอาผ้าสังฆาฏิมาใส่ แล้วเตรียมตัวเข้านั่งสมาธิ ท่านกราบพระ ๓ ครั้ง พอกราบครั้งที่ ๓ ท่านนิ่งงันโดยไม่ขยับเขยื้อน นานเท่านานจนผิดสังเกต หลวงปู่บัวพา และหลวงปู่เจี๊ยะ จนฺโท ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เอามือมาแตะที่จมูกท่าน ปรากฏว่าท่านหมดลมหายใจแล้ว ไม่ทราบว่าหลวงปู่เสาร์ท่านมรณภาพไปเวลาใด แต่พอสันนิษฐานได้ว่า ท่านมรณภาพในอิริยาบถนั่งกราบ ท่านจึงพูดขึ้นกับหมู่คณะ (ซึ่งตอนนั้นมีพระเถระผู้ใหญ่ และพระเณรมานั่งดูอาการป่วยของหลวงปู่เสาร์) ว่า "หลวงปู่ได้มรณภาพแล้ว"

ข่าวการมรณภาพ ก็แพร่กระจายไปเรื่อยๆ จนทางบ้านเมือง ญาติโยม พระเณร ชาวนครจำปาศักดิ์ขอทำบุญอยู่ ๓ วัน เพื่อบูชาคุณขององค์หลวงปู่ พอวันที่ ๔ บรรดาพระเถระ ญาติโยมชาวอุบลฯ จึงได้มาอัญเชิญศพขององค์หลวงปู่ไปวัดบูรพาราม จังหวัดอุบลฯ ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่เสาร์เคยอยู่มาก่อน ปีที่หลวงปู่เสาร์มรณภาพคือปี พ.ศ.๒๔๘๔ (วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๔ อายุ ๘๒ ปี ๓ เดือน ๑ วัน)

ออกพรรษาแล้ว ปี พ.ศ.๒๔๘๖ จึงได้จัดพิธีถวายเพลิงศพของหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ในงานนี้หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้มาเป็นประธาน แต่ผู้ดำเนินงานคือพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ในวันถวายเพลิงศพนอกจากศพของหลวงปู่เสาร์แล้ว ยังมีพระเถระผู้ใหญ่อีก ๓ รูป ที่มีการฌาปนกิจในวันเดียวกันคือ ๑. ท่านเจ้าคุณพระศาสนดิลก (เสน ชิตโสโน) ๒. พระมหารัฐ รฏฐปาโล ๓. พระครูวิโรจน์รัตโนบล (บุญรอด นนฺตโร) รวมเป็น ๔ กับองค์หลวงปู่เสาร์ วันเช่นนี้นี่จึงเป็นวันที่มีการสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ของชาวจังหวัดอุบลราชธานี


ที่มา : ขวัญอโยธยา



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 กุมภาพันธ์ 2011, 15:54:18 โดย todsapononline » บันทึกการเข้า

RichSoon
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 64
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 900



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2011, 19:11:43 »

อนุโมทนาบุญครับ
มีมาเรื่อยๆใช่ไหมครับ

 wanwan017
บันทึกการเข้า

todsapononline
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 17
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 194



ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2011, 19:31:42 »

อนุโมทนาบุญครับ
มีมาเรื่อยๆใช่ไหมครับ

 wanwan017

มีมาเรื่อยๆครับ ติดตามอ่านได้เลย
บันทึกการเข้า

kongming
Newbie
*

พลังน้ำใจ: 8
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 97



ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2011, 20:31:05 »

สาธุ อนุโมทนาบุญ ด้วยครับ
 wanwan017
บันทึกการเข้า
todsapononline
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 17
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 194



ดูรายละเอียด
« ตอบ #5 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2011, 14:44:13 »

สาธุ อนุโมทนาบุญ ด้วยครับ
 wanwan017

สาธุ  wanwan017
บันทึกการเข้า

todsapononline
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 17
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 194



ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2011, 14:58:44 »

2.หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต



อัฐิธาตุหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
    
        ท่านกำเนิดในสกุลแก่นแก้ว บิดาชื่อคำด้วง มารดาชื่อ จันทร์ เพียแก่นท้าว เป็นปู่ นับถือพุทธศาสนา เกิดวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ปีมะแม ตรงกับวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๑๓ ณ บ้านคำบง ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๗ คน ท่านเป็นบุตรคนหัวปี ท่านเป็นคนร่างเล็ก ผิวดำแดง แข็งแรงว่องไว สติปัญญาดี มาแต่กำเนิด ฉลาด เป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ได้เรียนอักษรสมัยในสำนักของอา คือ เรียนอักษรไทยน้อย อักษรไทย อักษรธรรม และอักษรขอม อ่านออกเขียนได้ นับว่าท่านเรียนได้รวดเร็ว เพราะมีความทรงจำดี และขยันหมั่นเพียร ชอบการเล่าเรียน ชีวิตสมณะ

การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
    
       เมื่อหลวงปู่มั่นอายุได้ ๑๕ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรในสำนักบ้านคำบง ใครเป็นบรรพชาจารย์ไม่ปรากฏ ครั้นบวชแล้วได้ศึกษา หาความรู้ ทางพระศาสนามีสวดมนต์ และพระสูตรต่าง ๆ ในสำนักบรรพชาจารย์ จดจำได้รวดเร็ว อาจารย์เมตตาปราณีมาก เพราะเอาใจใส่ในการเรียนดี ประพฤติปฏิบัติเรียบร้อย เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ เมื่อท่านอายุได้ ๑๗ บิดาขอร้องให้ลาสิกขาเพื่อช่วย การงานทางบ้าน ท่านได้ลาสิกขาออกไปช่วยงานบิดามารดา เต็มความสามารถ ท่านเล่าว่า เมื่อลาสิกขาไปแล้ว ยังคิดที่จะบวชอีกอยู่เสมอไม่เคยลืมเลย คงเป็นเพราะอุปนิสัย ในทางบวช มาแต่ก่อนหนหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง เพราะติดใจในคำสั่งของยายว่า เจ้าต้องบวชให้ยาย เพราะยายก็ได้เลี้ยงเจ้ายาก คำสั่งของยายนี้ คอยสะกิดใจอยู่เสมอ

         ครั้นอายุหลวงปู่มั่นได้ ๒๒ ปี ท่านเล่าว่า มีความอยากบวชเป็นกำลัง จึงอำลาบิดามารดาบวช ท่านทั้งสองก็อนุมัติตามประสงค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านได้ศึกษาในสำนัก ท่านอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี ได้รับอุปสมบทกรรม เป็นภิกษุภาวะในพระพุทธศาสนา ณ วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม) อำเภอเมือง ฯ จังหวัดอุบลราชธานี พระอริยกวี (อ่อน) เป็นพระอุปัชฌายะ มี พระครูสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจารย์ และ พระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๓๖ พระอุปัชฌายะ ขนานนาม มคธ ให้ว่า ภูริทตโต เสร็จ อุปสมบทกรรมแล้ว ได้กลับมาสำนักศึกษาวิปัสสนาธุระ กับพระอาจารย์เสาร์ กันตสีลเถระ ณ วัดเลียบ ต่อไป
    

         เมื่อแรกอุปสมบท หลวงปู่มั่น พำนักอยู่วัดเลียบ เมืองอุบล เป็นปกติ ออกไปอาศัยอยู่วัดบูรพาราม เมืองอุบลบ้างเป็นครั้งคราว ในระหว่างนั้น ได้ศึกษาข้อปฏิบัติเบื้องต้น อันเป็นส่วนแห่งพระวินัยคือ อาจาระ ความประพฤติมารยาท อาจริยวัตร และอุปัชฌายวัตร ปฏิบัติได้เรียบร้อยดี จนเป็นที่ไว้วางใจของพระอุปัชฌายาจารย์ และได้ศึกษาข้อปฏิบัติอบรมจิตใจ คือ เดินจงกลม นั่งสมาธิ สมาทาน ธุดงควัตร ต่าง ๆ
    

         ในสมัยต่อมา ได้แสวงหาวิเวก บำเพ็ญสมณธรรมในที่ต่าง ๆ ตามราวป่า ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง หุบเขา ซอกห้วย ธารเขา เงื้อมเขาท้องถ้ำ เรือนว่าง ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงบ้าง ฝั่งขวาแม่น้ำโขงบ้าง แล้วลงไปศึกษากับนักปราชญ์ในกรุงเทพฯ จำพรรษาอยู่ที่ วัดปทุมวนาราม หมั่นไปสดับธรรมเทศนา กับเจ้าพระคุณพระอุบาลี (สิริจันทเถระ จันทร์) ๓ พรรษา แล้วออกแสวงหาวิเวกในถิ่นภาคกลาง คือ ถ้ำสาริกา เขาใหญ่ นครนายก ถ้ำไผ่ขวาง เขาพระงาม แล ถ้ำสิงโต ลพบุรี จนได้รับความรู้แจ่มแจ้ง ในพระธรรมวินัย สิ้นความสงสัย ในสัตถุศาสนา จึงกลับมาภาคอิสาน ทำการอบรมสั่งสอน สมถวิปัสสนา แก่สหธรรมิก และอุบาสก อุบาสิกา ต่อไป มีผู้เลื่อมใสพอใจปฏิบัติมากขึ้น โดยลำดับ มีศิษยานุศิษย์แพร่หลาย กระจายทั่วภาคอิสาน
    

         ในกาลต่อมา ได้ลงไปพักจำพรรษาที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพ ฯ อีก ๑ พรรษา แล้วไปเชียงใหม่กับ เจ้าพระคุณอุบาลีฯ (สิริจันทรเถระ จันทร์) จำพรรษา วัดเจดีย์หลวง ๑ พรรษาแล้วออกไปพักตามที่วิเวก ต่าง ๆ ในเขตภาคเหนือหลายแห่ง เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในที่นั้น ๆ นานถึง ๑๑ ปี จึงได้กลับมา จังหวัดอุบลราชธานี พักจำพรรษาอยู่ที่ วัดโนนนิเวศน์ เพื่ออนุเคราะห์สาธุชนในที่นั้น ๒ พรรษา แล้วมาอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร จำพรรษาที่ วัดป่าบ้านนามน ตำบลตองขอบ อำเภอเมืองสกลนคร (ปัจจุบัน คือ อำเภอ โคกศรีสุพรรณ) ๓ พรรษาจำพรรษาที่ วัดหนองผือ ตำบลนาใจ อำเภอเมืองพรรณานิคม ๕ พรรษา เพื่อสงเคราะห์สาธุชนในถิ่นนั้น มีผู้สนใจในธรรมปฏิบัติ ได้ติดตามศึกษาอบรมจิตใจมากมาย มีศิษยานิศิษย์มากหลาย ยังเกียรติคุณของท่าน ให้ฟุ้งเฟื่องเลื่องลือไป

ธุดงควัตร ที่ท่านถือปฏิบัติ เป็นอาจิณ ๔ ประการ
    
         ๑. ปังสุกุลิกังคธุดงค์ ถือนุ่งห่มผ้าบังสกุล จนกระทั่งวัยชรา จึงได้ใช้ คหบดีจีวรบ้าง เพื่ออนุเคราห์แก่ผู้ศรัทธานำมาถวาย
         ๒. บิณฑบาติกังคธุดงค์ คือภิกขาจารยวัตร เที่ยวบิณฑบาตมาฉันเป็นนิตย์ แม้อาพาธ ไปในละแวกบ้านไม่ได้ ก็บิณฑบาตในเขตวัด บนโรงฉัน จนกระทั้งอาพาธ ลุกไม่ได้ในปัจฉิมสมัยจึงงดบิณฑบาต
         ๓. เอกปัตติกังคธุดงค์ คือฉันในบาต ใช้ภาชนะใบเดียว เป็นนิตย์ จนกระทั่งถึงสมัยอาพาธในปัจฉิมสมัย จึงงด
        ๔. เอกาสนิกังคธุดงค์ ถือฉันหนเดียวเป็นนิตย์ ตลอดเวลาแม้อาพาธหนัก ในปัจฉิมสมัย ก็มิได้เลิกละ ส่วนธุดงควัตรนอกนี้ ได้ถือปฏิบัติเป็นครั้งคราว ที่นับว่าปฏิบัติได้มาก ก็คือ อรัญญิกกังคธุดงค์ คืออยู่เสนา สนะป่า ห่างบ้านประมาณ ๒๕ เส้น หลีกเร้นอยู่ในที่สงัด ตามสมณวิสัย

         เมื่อถึงวัยชรา จึงอยู่ในเสนาสนะป่าห่างจากบ้านพอสมควร ซึ่งพอเหมาะกับกำลัง ที่จะภิกขาจาร บิณฑบาต เป็นที่ ๆ ปราศจากเสียงอื้ออึง ประชาชนเคารพยำเกรง ไม่รบกวน นัยว่า ในสมัยที่ท่านยังแข็งแรง ได้ออกจาริกโดดเดี่ยวแสวงวิเวกไปในป่าดงพงลึก จนสุดวิสสัยที่ศิษยานุศิษย์จะติดตามไปถึงได้ก็มี เช่นคราวที่ไปอยู่ภาคเหนือ เป็นต้น ท่านไปวิเวกบนเขาสูง อันเป็นที่อยู่ของพวก มูเซอร์ยังชาวมูเซอร์ที่พูดไม่รู้เรื่องกัน ให้บังเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้

ธรรมโอวาท คำที่เป็นคติ อันท่านอาจารย์กล่าวอยู่บ่อย ๆ ที่เป็นหลักวินิจฉัยความดีที่ทำด้วย กาย วาจา ใจ แก่ศิษยานุศิษย์ ดังนี้
    

         ๑. ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นนับว่าเป็นเลิศ
         ๒. ได้สมบัติทั้งปวง ไม่ประเสริฐเท่าได้ตน เพราะตัวตนเป็นที่เกิดแห่งสมบัติทั้งปวง
 

         เมื่อท่านอธิบาย ตจปัญจกกรรมฐาน จบลง มักจะกล่าวเตือนเป็นคำกลอนว่าแก้ให้ตกเน้อ แก้บ่ตก คาพกเจ้าไว้ แก้บ่ได้ แขวนคอต่องแต่ง แก้บ่พ้น คาก้นย่างยาย คาย่างยาย เวียนตายเวียนเกิด เวียนเอากำเนิดในภพทั้งสาม ภพทั้งสามเป็นเฮือน เจ้าอยู่ ดังนี้

         เมื่อคราวท่านเทศนาสั่งสอนพระภิกษุ ผู้เป็นสานุศิษย์ ถือลัทธิฉันเจให้เข้าใจในทางถูก และเลิกลัทธินั้น ครั้นจบลงแล้วได้กล่าวเป็นคติขึ้นว่า เหลือแต่เว้าบ่เห็น บ่อนเบาหนัก เดินบ่ไปตามทาง สิถึกดงเสือฮ้ายดังนี้แล การบำเพ็ญสมาธิ เอาแต่เพียงเป็นบาทของวิปัสนา คือ การพิจารณาก็พอแล้ว ส่วนการจะอยู่ในวิหารธรรมนั้น ก็ให้กำหนดรู้ ถ้าใครกลัวตาย เพราะบทบาททางความเพียร ผู้นั้น จะกลับมาตายอีก หลายภพหลายชาติ ไม่อาจนับได้ ส่วนผู้ใดไม่กลัวตาย ผู้นั้นจะตัดภพชาติให้น้อยลง ถึงกับไม่มีภพชาติเหลืออยู่ และผู้นั้นแล จะเป็นผู้ไม่กลับหลังมาหาทุกข์อีก ธรรมะเรียนมาจากธรรมชาติ เห็นความเกิดแปรปรวนของสังขาร ประกอบด้วยไตรลักษณ์ ปัจฉิมโอวาทของ พระพุทธเจ้าโดยแท้ ๆ ถ้าเข้าใจในโอวาทปาฏิโมกข์ ท่านพระอาจารย์มั่นแสดงโดยยึดหลักธรรมชาติของศิลธรรม ทางด้านการปฏิบัติ เพื่อเตือนนักปฏิบัติทั้งหลายท่าน แสดงเอาแต่ใจความว่า....

การไม่ทำบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศล คือ ความฉลาดให้ถึงพร้อมหนึ่ง

         การชำระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง.... นี้แล คือ คำสอนทั้งหลายของพระพุทธเจ้า การไม่ทำบาป... ถ้าทางการไม่ทำ แต่ทางวาจายังทำอยู่ ถ้าทางวาจาไม่ทำ แต่ทางใจก็ทำ สั่งสมบาปตลอดวัน จนถึงเวลาหลับ พอตื่นจากหลับ ก็เริ่มสั่งสมบาปต่อไปจนถึงขณะหลับอีก เป็นทำนองนี้ โดยมิได้สนใจว่า ตัวทำบาป หรือสั่งสมบาปเลย แม้กระนั้น ยังหวังใจอยู่ว่า ตนมีศิลธรรม และคอยแต่เอาความบริสุทธิ์ จากความมีศิลธรรม ที่ยังเหลือแต่ชื่อเท่านั้น ฉะนั้น จึงไม่เจอความบริสุทธิ์ กลับเจอแต่ความเศร้าหมอง ความวุ่นวายในใจตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะ ตนแสวงหาสิ่งนั้น ก็ต้องเจอสิ่งนั้น ถ้าไม่เจอสิ่งนั้น จะให้เจออะไรเล่า เพราะเป็นของที่มีอยู่ ในโลกสมมุติอย่างสมบูรณ์

ปัจฉิมบท
    
        ในวัยชรา นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นต้นมา ท่านหลวงปู่มั่นมาอยู่ที่จังหวัดสกลนคร เปลี่ยนอิริยาบทไปตามสถานที่วิเวก ผาสุกวิหารหลายแห่งคือ ณ เสนาสนะป่า บ้านนามน ตำบลตองโขบ อำเภอเมือง ฯ (ปัจจุบัย เป็นอำเภอ โคกศรีสุพรรณ) บ้าง ที่ใกล้ ๆ แถวนั้นบ้าง ครั้น พ.ศ. ๒๔๘๗ จึงย้ายไปอยู่เสนาสนะป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร จนถึงปีสุดท้ายของชีวิต
    

         ตลอดเวลา ๘ ปี ในวัยชรานี้ ท่านได้เอาธุระ อบรมสั่งสอน ศิษยานุศิษย์ทางสมถ วิปัสสนาเป็นอันมาก ได้มีการเทศนาอบรมจิตใจศิษยานุศิษย์เป็นประจำวัน ศิษย์ผู้ใกล้ชิด ได้บันทึกธรรมเทศนาของท่านไว้ และได้รวบรวมพิมพ์ขึ้นเผยแพร่ แล้วให้ชื่อว่า มุตโตทัย
    

        ครั้นมาถึงปี พ.ศ.๒๔๙๒ ซึ่งเป็นปีที่ท่านมีอายุย่างขึ้น ๘๐ ปี ท่านเริ่มอาพาธเป็นไข้ ศิษย์ผู้อยู่ใกล้ชิด ได้เอาธุระรักษาพยาบาล ไปตามกำลังความสามารถ อาพาธก็สงบไปบ้างเป็นครั้งคราว แต่แล้วก็กำเริบขึ้นอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนจวนออกพรรษา อาพาธก็กำเริบมากขึ้น ข่าวนี้ได้กระจายไปโดยรวดเร็ว พอออกพรรษาศิษยานุศิษย์ผู้อยู่ไกล ต่างก็ทยอยกันเข้ามาปรนนิบัติพยาบาล ได้เชิญหมอแผนปัจจุบันมาตรวจ และรักษา แล้วนำมาที่เสนาสนะป่าบ้านภู่ อำเภอพรรณานิคม เพื่อสะดวกแก่ผู้รักษา และ ศิษยานุศิษย์ ก็มาเยี่ยมพยาบาลอาการอาพาธ มีแต่ทรงกับทรุด โดยลำดับ
    

         ครั้นเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ได้นำท่านมาถึงวัดป่าสุทธาวาส ท่านก็ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา ๐๒.๒๓ น. ของวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ศกเดียวกัน ท่ามกลางศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย มีเจ้าพระคุณ พระธรรมเจดีย์เป็นต้น สิริชนมายุของท่านอาจารย์ได้ ๗๙ ปี ๙ เดือน ๒๑ วัน รวม ๕๖ พรรษา

การบำเพ็ญประโยชน์ ของท่านหลวงปู่มั่น ประมวลในหลัก ๒ ประการดังนี้
    
        ๑. ประโยชน์ชาติ ท่านหลวงปู่ ได้เอาธุระเทศนาอบรมสั่งสอนศิลธรรมอันดีงาม แก่ประชาชนพลเมือง ของทุกชาติ ในทุก ๆ ถิ่น ที่ท่านได้สัญจรไป คือ ภาคกลางบางส่วน ภาคเหนือเกือบทั่วทุกจังหวัด ภาคอิสานเกือบทั่วทุกจังหวัด ไม่กล่าวสอนให้เป็นปฏิปักษ์ ต่อการปกครองของประเทศ ทำให้พลเมืองของชาติ ผู้ได้รับคำสั่งสอน เป็นคนมีศิลธรรมดี มีสัมมาอาชีพง่ายแก่การปกครอง ของ ผู้ปกครองชือว่า ได้บำเพ็ญประโยชน์แก่ชาติ ตามควรแก่สมณวิสัย
         ๒. ประโยชน์ศาสนา ท่านหลวงปู่ ได้บรรพชา และอุปสมบทเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้ ด้วยความเชื่อ และความเลื่อมใสจริง ๆ ครั้นบวชแล้ว ก็ได้ เอาธุระทางพระพุทธศาสนาด้วยความอุตสาหะพากเพียรจริง ๆ ไม่ทอดธุระในการบำเพ็ญ สมณธรรม
    

         หลวงปู่มั่น ท่านปฏิบัติธุดงควัตรเคร่งครัดถึง ๔ ประการดังกล่าวแล้ว ในเบื้องต้น ได้ดำรงรักษาสมณกิจไว้มิให้เสื่อมสูญได้นำหมู่คณะ ฟื้นฟูปฏิบัติพระธรรมวินัย ได้ถูกต้องตามพุทธบัญญัติ และพระพุทธโอวาท หมั่นอนุศาสน์สั่งสอนศิษยานุศิษย์ ให้ฉลาดอาจหาญในการฝึกฝนอบรมจิตใจตามหลักการสมถวิปัสสนา อันเป็นสมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสสอนไว้ เป็นผู้มีนำใจเด็ดเดี่ยวอดทนไม่หวั่นไหวต่อ โลกธรรม แม้จะถูกกระทบกระทั่งด้วยโลกธรรมอย่างไร ก็มิได้แปรเปลี่ยนไปตาม ความมั่นอยู่ในธรรมวินัย ตามที่พระบรมศาสดาประกาศแล้วตลอดมาทำตัวให้เป็น ทิฏฐานุคติ แก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างดี ท่านได้จาริกไปตามสถานที่วิเวกต่าง ๆ คือ บางส่วนของภาคกลาง เกือบทั่วทุกจังหวัด ในภาคเหนือ เกือบทุกจังหวัด ของภาคอิสานและแถมบางส่วนของต่างประเทศอีกด้วย นอกจากเพื่อวิเวกในส่วนตนแล้ว ท่านมุ่งไปเพื่อสงเคราะห์ผู้มีอุปนิสัยในถิ่นนั้น ๆ ด้วย ผู้ได้รับสงเคราะห์ ด้วยธรรมจากท่านแล้ว ย่อมกล่าวไว้ด้วยความภูมิใจว่า ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา

         ส่วนหน้าที่ในวงการคณะสงฆ์ ท่านหลวงปู่ ได้รับพระกรุณาจากพระสังฆราชเจ้าในฐานะเจ้าคณะใหญ่ คณะธรรมยุตติกา ให้เป็นพระอุปัชฌายะ ในคณะธรรมยุตติกา ตั้งแต่อยู่จังหวัดเชียงใหม่ และได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูวินัยธรฐานานุกรม ของ เจ้าพระคุณพระอุบาลี ฯ (สิริจันทรเถระจันทร์) ท่านก็ได้ทำหน้าที่นั้นโดยเรียบร้อย ตลอดเวลาที่ยังอยู่เชียงใหม่ ครั้นจากเชียงใหม่มาแล้ว ท่านก็งดหน้าที่นั้น โดยอ้างว่าแก่ชราแล้ว ขออยู่ตามสบาย

งานศาสนาในด้านวิปัสสนาธุระ นับว่า ท่านได้ทำเต็มสติกำลัง ยังศิษยานุศิษย์ ทั้งบรรพชิต และคฤหัสถ์ ให้อาจหาญรื่นเริงในสัมมาปฏิบัติ ตลอดมา นับแต่พรรษาที่ ๒๓ จนถึงพรรษาที่๕๙ อันเป็นปีสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน อาจกล่าวได้ ด้วยความภาคภูมิใจว่า ท่านเป็นพระเถระ ที่มีเกียรติคุณ เด่นที่สุดในด้านวิปัสสนาธุระรูปหนึ่ง ในยุคปัจจุบัน

ที่มา : อิทธิปาฏิหาริย์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 กุมภาพันธ์ 2011, 15:53:50 โดย todsapononline » บันทึกการเข้า

doonet
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 54
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 403



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2011, 15:03:25 »

 wanwan017 wanwan017
บันทึกการเข้า

SC001
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 8
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 147



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2011, 15:05:22 »

อนุโมทนาบุญด้วยครับ
มีมาเรื่อยๆนะครับ จะได้ติมตามอ่านครับ
บันทึกการเข้า

mawmeow
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 17
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 207



ดูรายละเอียด
« ตอบ #9 เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2011, 16:00:42 »

อนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ

 wanwan017
บันทึกการเข้า
todsapononline
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 17
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 194



ดูรายละเอียด
« ตอบ #10 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2011, 11:29:21 »

wanwan017 wanwan017

 wanwan017 wanwan017

อนุโมทนาบุญด้วยครับ
มีมาเรื่อยๆนะครับ จะได้ติมตามอ่านครับ

สาธุ มีมาเรื่อยๆครับ

อนุโมทนา สาธุ ด้วยครับ

 wanwan017

สาธุ  wanwan017
บันทึกการเข้า

todsapononline
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 17
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 194



ดูรายละเอียด
« ตอบ #11 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2011, 12:30:07 »

3.หลวงปู่ชา สุภัทโท


ประวัติหลวงปู่ชา สุภัทโท (ตอนที่1)

ชาติภูมิ
พระโพธิญาณเถร นามเดิม ชา ช่วงโชติ เกิดเมื่อวันศุกร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๑ ณ บ้านจิกก่อ หมู่ที่ ๙ ต. ธาตุ อ. วารินชำราบ จ. อุบลราชธานี บิดาชื่อ นายมา มารดาชื่อ นางพิม ช่วงโชติมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ๑๐ คน

ปฐมศึกษา
สมัยนั้นการศึกษายังไม่เจริญทั่วถึงหลวงพ่อจึงได้เข้าศึกษา ที่ ร.ร. บ้านก่อ ต. ธาตุ อ. วารินชำราบ จ. อุบลราชธานี เรียนจบ ชั้น ป. ๑ จึงได้ออกจากโรงเรียน เนื่องจากหลวงพ่อมีความสนใจ ทางศาสนา ตั้งใจจะบวชเป็นสามเณร จึงได้ขออนุญาตจากบิดามารดา เมื่อท่านเห็นดีด้วยท่านจึงนำไปฝากไว้ที่วัด

ชีวิตในร่มกาสาวพัสตร์
ในขณะนั้นหลวงพ่อมีอายุ ๑๓ ปี เมื่อโยมบิดาได้นำไปฝากกับท่านเจ้าอาวาส และได้รับการฝึกหัดอบรมให้รู้ระเบียบการ บรรพชาดีแล้ว จึงอนุญาตให้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๗๔ โดยมีพระครูวิจิตรธรรมภาษี(พวง) อดีตเจ้าอาวาสวัดมณีวนาราม เป็นพระอุปัชฌาย์

เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ก็ได้ท่องทำวัตรสวดมนต์ เรียนหนังสือพื้นเมือง(ตัวธรรม) และได้ศึกษานักธรรมชั้นตรี อยู่ปฏิบัติครูบาอาจารย์เป็นเวลา ๓ พรรษา เนื่องจากมีความจำเป็นบางอย่างจึงได้ลาสิกขาออกไปทำงานช่วยบิดามารดาตามความสามารถของตน ตั้งอยู่ในโอวาทของบิดามารดามีความเคารพบูชาในพระคุณของท่าน พยายามประพฤติตนเป็นลูกที่ดีของท่านเสมอมา

ครั้นอยู่ต่อมาอีกหลายปี ไม่ว่าจะทำงานอะไรอยู่ที่ไหนความสนใจในการอุปสมบทเพื่อศึกษาธรรม ดูเหมือนคอยเตือนให้มีความสำนึกอยู่เสมอ คิดอยากจะบวชเป็นพระ ได้ปรึกษากับบิดามารดา เมื่อตกลงกันดีแล้ว บิดาจึงนำไปฝากที่วัดบ้านก่อใน(ปัจจุบันเป็นที่ธรณีสงฆ์เพราะร้างมานาน แล้ว)และได้อุปสมบทที่พัทธสีมาวัดก่อในต.ธาตุอ.วารินชำราบจ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๒ เวลา ๑๓.๕๕ น. โดยมี

ท่านพระครูอินทรสารคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์

ท่านพระครูวิรุฬสุตการ เป็นพระกรรมวาจาจารย์

พระอธิการสวน เป็นพระอนุสาวนาจารย์

เมื่ออุปสมบทแล้ว พรรษาที่ ๑-๒ จำพรรษาอยู่ที่วัดก่อนอก ได้ศึกษาปริยัติธรรม และสอบนักธรรมชั้นตรีได้

ออกศึกษาต่างถิ่น
 เมื่อสอบนักธรรมตรีได้แล้วเนื่องจากครูบาอาจารย์หายาก ที่มีอยู่ก็ไม่ค่อยชำนาญในการสอน จึงตั้งใจจะไปแสวงหาความรู้ต่างถิ่น เพราะยังจำภาษิตโบราณสอนไว้ว่า ออกจากบ้าน ฮู้ห่มทางเที่ยว เรียนวิชา ห่อนสิมีความฮู้

ปี พ.ศ. ๒๔๘๒ จึงได้ย้ายจากวัดก่อนอกไปศึกษาปริยัติธรรมที่วัดสวนสวรรค์ อ. พิบูลมังสาหาร จ. อุบลราชธานี และอยู่ที่นี่ ๑ พรรษา และได้พิจารณาเห็นว่า เรามาอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาก็ดี พอสมควรแต่ยังไม่เป็นที่พอใจนัก ได้ทราบข่าวว่า ทางสำนัก ต่างอำเภอมีการสอนดีอยู่หลายแห่งซึ่งมีมากทั้งคุณภาพและ ปริมาณ จึงชวนเพื่อนลาท่านเจ้าอาวาสแจ้งความประสงค์ให้ท่าน ทราบ

ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ เดินทางจาก อ. พิบูลมังสาหาร มุ่งสู่สำนักเรียนวัดหนองหลัก ต. เหล่าบก อ.ม่วงสามสิบ จ. อุบลราชธานี ได้พักอาศัยอยู่กับท่านพระครูอรรคธรรมวิจารณ์ ได้ถามจากเพื่อนบรรพชิตก็ทราบว่า ท่านสอนดีมีครูสอนหลายรูปมีพระภิกษุ สามเณรมากรูปด้วยกันสระยะที่ไปอยู่เป็นฤดูแล้ง อาหารการฉัน รู้สึกจะอด เพื่อนที่ไปด้วยกันไม่ชอบจึงพูดรบเร้า อยากจะพาไปอยู่สำนักอื่น หลวงพ่อพูดว่า ทั้งๆที่เราก็ชอบอัธยาศัยของครูอาจารย์ที่วัดหนองหลักแต่ไม่อยากจะขัดใจเพื่อน จึงตกลงกันว่า ถ้าไปอยู่แล้วเกิดไม่พอใจหรือไม่ถูกใจแล้วจะกลับมาอยู่ที่หนองหลักอีก จึงได้เดินทางไปอยู่กับท่านมหาแจ้ง วัดเค็งใหญ่ ต. เค็งใหญ่ อ. อำนาจเจริญ จ. อุบลราชธานี ได้อยู่จำพรรษาศึกษานักธรรมชั้นโทและบาลีไวยากรณ์ แต่ตามความรู้สึกเท่าที่สังเกตเห็นว่าท่านมิได้ทำการสอนเต็มที่ ดูเหมือนจะถอยหลังไปด้วยซ้ำ ตั้งใจไว้ว่าเมื่อสอบนักธรรมเสร็จ ได้เวลาสมควรก็จะลาท่านมหาแจ้งกลับไปอยู่ที่วัดหนองหลักเมื่อสอบแล้ว และผลการสอบตอนปลายปีปรากฏว่าสอบนักธรรมชั้นโทได้

ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ จึงย้ายจากวัดเค็งใหญ่ มาอยู่กับหลวงพ่อ พระครูอรรคธรรมวิจารณ์วัดหนองหลัก ต. เหล่าบก อ.ม่วงสามสิบ จ. อุบลราชธานี ตั้งใจศึกษาทั้งนักธรรมชั้นเอกและเรียนบาลีไวยากรณ์ซ้ำอีกทั้งพอใจในการสอนการเรียนในสำนักนี้มาก

งดสอบเพื่อผู้บังเกิดเกล้า
 ทั้งๆที่ปีนี้ (๒๔๘๖) เป็นปีที่หลวงพ่อเองเกิดความภูมิใจ สนใจในการศึกษา มุ่งหน้าบากบั่นขยันเรียนอย่างเต็มที่ และได้ตั้งความหวังไว้ว่า เมื่อผลการสอบตอนปลายปีออกมาจะพาให้ได้รับความดีใจ

หลังจากออกพรรษา ปวารณาและกาลกฐินผ่านไป...ก็ได้รับข่าวจากทางบ้านว่าโยมบิดาป่วยหนัก หลวงพ่อก็เกิดความ ลังเลใจ พะว้าพะวง ห่วงการศึกษาก็ห่วง ห่วงโยมบิดาก็ห่วง แต่ความห่วงผู้บังเกิดเกล้ามีน้ำหนักมากกว่าเพราะมาคิดได้ว่า โยมบิดาเป็นผู้มีพระคุณอย่างเหลือล้น เรามีชีวิตและเป็นอยู่ มาได้ก็เพราะท่าน สมควรที่เราจะแสดงความกตัญญูให้ปรากฏ เสียการศึกษายังมีเวลาเรียกกลับมาได้ แต่สิ้นบุญพ่อเราจะขอได้จากที่ไหน...ความกตัญญูมีพลังมารั้งจิตใจให้คิดกลับไปเยี่ยม โยมพ่อเพื่อพยาบาลรักษาท่าน...ทั้งๆที่วันสอบนักธรรมก็ใกล้ เข้ามาทุกที แต่ยอมเสียสละถ้าหากโยมพ่อยังไม่หายป่วย และ นึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสไว้ว่า ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี

ด้วยความสำนึกดังกล่าว จึงได้เดินทางกลับบ้าน เมื่อถึงแล้วก็ได้เข้าเยี่ยมดูอาการป่วย ทั้งๆที่ได้ช่วยกันพยาบาลรักษาจนสุดความสามารถ อาการของโยมพ่อก็มีแต่ทรงกับทรุด คิดๆดูก็เหมือนตอไม้ที่ตายแล้ว แม้ใครจะให้น้ำให้ปุ๋ยถูกต้องตามหลัก วิชาการเกษตรสักเพียงใด ก็ไม่สามารถทำให้มันแตกหน่อเจริญ งอกงามขึ้นมาได้

คำสั่งของพ่อ
ตามปกตินั้นนับตั้งแต่หลวงพ่อได้อุปสมบทมา เมื่อมีโอกาสเข้าไปเยี่ยมโยมบิดามารดา หลังจากได้พูดคุยเรื่องอื่นมาพอสมควรแล้ว โยมพ่อมักจะวกเข้าหาเรื่องความเป็นอยู่ในเพศสมณะ ท่านมักจะปรารภด้วยความเป็นห่วงแกมขอร้องว่า อย่าลาสิกขานะ อยู่เป็นพระไปอย่างนี้แหละดี สึกออกมามันยุ่งยาก ลำบาก หาความสบายไม่ได้ ท่านได้ยินแล้วก็นิ่งมิได้ตอบ แต่ครั้งนี้ ซึ่งโยมพ่อกำลังป่วย ท่านก็ได้พูดเช่นนั้นอีกพร้อมกับมองหน้าคล้ายจะรอฟังคำตอบอยู่ ท่านจึงบอกโยมพ่อไปว่า ไม่สึกไม่เสิกหรอกจะสึกไปทำไมกัน รู้สึกว่าเป็นคำตอบที่ทำให้โยมพ่อพอใจ หลวงพ่อมาอยู่เฝ้าดูแลอาการป่วยของโยมพ่อนับเป็นเวลา ๑๓ วัน โยมพ่อจึงได้ถึงแก่กรรม

ในระยะที่ได้เฝ้าดูอาการป่วยของโยมพ่ออยู่นั้น เมื่อโยมพ่อได้ทราบว่าอีก ๔-๕ วันจะถึงวันสอบนักธรรม ท่านจึงบอกว่าถึงเวลาสอบแล้วจะไปสอบก็ไปเสีย จะเสียการเรียน...แต่หลวงพ่อได้พิจารณาดูอาการป่วยของท่านแล้วตั้งใจว่าจะไม่ไป จะอยู่ให้ โยมพ่ออุ่นใจก่อนที่ท่านจะจากไป...อีกอย่างหนึ่งจะทำให้คนเขาตำหนิได้ว่า เป็นคนเห็นแก่ตัว ผู้บังเกิดเกล้ากำลังป่วยหนักยังทอดทิ้งไปได้ เลยจะกลายเป็นลูกอกตัญญูเท่านั้น

หลวงพ่อเล่าว่า ในระหว่างเฝ้าดูอาการป่วยของโยมพ่อ จนกระทั่งท่านถึงแก่กรรม ทำให้ได้พิจารณาถึงธาตุกรรมฐาน พิจารณาดูอาการที่เกิดดับของสังขารทั้งมวล และเกิดความสังเวชใจว่าอันชีวิตย่อมสิ้นลงแค่นี้หรือ? จะยากดีมีจนก็พากันดิ้นรนไปหาความตาย อันเป็นจุดหมายปลายทาง อันความแก่ ความเจ็บ ความตายนั้น เป็นสมบัติสากลที่ทุกคนจะต้องได้รับ จะยอมรับหรือไม่ก็ไม่เห็นใครหนีพ้นสักราย...

ปี พ.ศ.๒๔๘๗ เมื่อจัดการกับการฌาปนกิจโยมบิดาเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อก็เดินทางกลับสำนักวัดหนองหลัก เพื่อตั้งใจศึกษาเล่าเรียนต่อไป แต่บางวันบางโอกาส ทำให้ท่านนึกถึงภาพของโยมพ่อที่นอนป่วย ร่างซูบผอมอ่อนเพลีย นึกถึงคำสั่งของโยมพ่อ และนึกถึงภาพที่ท่านมรณะไปต่อหน้า ยิ่งทำให้เกิดความลดใจสังเวชใจ ความรู้สึกเหล่านี้มันปรากฏเป็นระยะๆ

ในระหว่างพรรษานี้ ขณะที่กำลังแปลหนังสือธรรมบทจบไปหลายเล่ม ได้ทราบพุทธประวัติสาวกประวัติจากหนังสือเล่มนั้นแล้วมาพิจารณาดู การที่เราเรียนอยู่นี้ครูก็พาแปลแต่สิ่งที่เรารู้ เราเห็นมาแล้ว เช่น เรื่องต้นไม้ ภูเขา ผู้หญิง ผู้ชาย และสัตว์ต่างๆ สัตว์มีปีกบ้าง ไม่มีปีกบ้าง สัตว์ มีเท้าบ้าง ซึ่งล้วนแต่เรา ได้พบเห็นมาแล้วเป็นส่วนมาก จิตใจก็รู้สึกเกิดความเบื่อหน่าย จึงคิดว่ามิใช่ทางพ้นทุกข์ พระพุทธองค์คงจะไม่มีพุทธประสงค์ให้บวชมาเพื่อเรียนอย่างเดียว และเราก็ได้เรียนมาบ้างแล้ว จึงอยากจะศึกษาทางปฏิบัติดูบ้าง เพื่อจะได้ทราบว่ามีความแตกต่างกันเพียงใด แต่ยังมองไม่เห็นครูบาอาจารย์ผู้พอจะเป็นที่พึ่งได้ จึงตัดสินใจจะกลับบ้าน

พ.ศ.๒๔๘๘ ในระหว่างฤดูแล้ง จึงได้ปรึกษากับ พระถวัลย์(สา) ญาณจารี เข้ากราบลาหลวงพ่อพระครูอรรคธรรมวิจารณ์ เดินทางกลับมาพักอยู่วัดก่อนอกตามเดิม และในพรรษานั้นก็ได้เป็นครูช่วยสอนนักธรรมให้ท่านอาจารย์ที่วัด จึงได้เห็นภิกษุสามเณรที่เรียนโดยไม่ค่อยเคารพในการเรียน ไม่เอาใจใส่ เรียนพอเป็นพิธี บางรูปนอนน้ำลายไหล จึงทำให้เกิดความสังเวชใจมากขึ้นตั้งใจว่าออกพรรษาแล้วเราจะต้องแสวงหาครูบาอาจารย์ ด้านวิปัสนาให้ได้ เมื่อส่งนักเรียนเข้าสอบและหลวงพ่อก็เข้าสอบนักธรรมเอกด้วย (ผลการสอบปรากฏว่าสอบนักธรรมเอกได้)

ออกปฏิบัติธรรม
หลังจากสอบนักธรรมเสร็จแล้วสระยะนั้นได้ทราบข่าวว่าท่านอาจารย์มั่น วัดปิหล่อ อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี เป็นผู้สอนทางวิปัสนาธุระ จึงได้มุ่งหน้าได้สู่วัดของท่านทันที และได้ฝากตัวเป็นศิษย์อยู่ปฏิบัติทดลองดูได้ ๑๐ วันมีความรู้สึกว่ายังไม่ใช่ทางตรงแท้ ยังไม่เป็นที่พอใจในวิธีนั้น จึงกราบลาท่านกลับมาพักอยู่วัดนอกอีก

พ.ศ.๒๔๘๙ (พรรษาที่๘) ในระหว่างต้นปี ได้ชวน พระถวัลย์ออกเดินธุดงค์มุ่งไปสู่จังหวัดสระบุรีเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง ได้พักอยู่ตามป่าตามเขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงเขตหมู่บ้านยางคู่ ต.ยางคู่จ.สระบุรีได้พักอยู่ที่นั่นนานพอสมควรพิจารณาเห็นว่าสถานที่ยังไม่เหมาะสมเท่าใดนัก ทั้งครูบาอาจารย์ก็ยังไม่ดี จึงเดินทางเข้าสู่เขตจังหวัดลพบุรีมุ่งสู่เขาวงกฏ อันเป็นสำนักของหลวงพ่อเภา แต่ก็น่าเสียดายที่หลวงพ่อเภาท่านมรณภาพเสียแล้ว เหลือแต่อาจารย์วรรณ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเภาอยู่ดูแล สั่งสอนแทนท่านเท่านั้น แต่ก็ยังดีที่ได้อาศัยศึกษาระเบียบข้อปฏิบัติที่หลวงพ่อเภาท่านวางไว้ และได้อ่านคติพจน์ที่หลวงพ่อเขียนไว้ตามปากถ้ำและตามที่อยู่อาศัยเพื่อเตือนใจ ทั้งได้มีโอกาส ศึกษาพระวินัยจนเป็นที่เข้าใจยิ่งขึ้น เป็นเหตุให้มีการสังวรระวัง ไม่กล้าฝ่าฝืนแม้แต่สิกขาบทเล็กๆน้อยๆ การศึกษาวินัยนั้นศึกษาจากหนังสือบ้าง และได้รับคำแนะนำจากพระอาจารย์ผู้ชำนาญทั้งปริยัติและปฏิบัติบ้าง ซึ่งท่านมาจากประเทศกัมพูชา ท่านว่าเข้ามาสอบทานพระไตรปิฎกไทย ท่านเล่าให้ฟังว่า ที่แปลไว้ในหนังสือนวโกวาทนั้น บางตอนยังผิดพลาด ท่านอาจารย์รูปนั้นเก่งทางวินัยมาก จำหนังสือบุพสิกขาได้แม่นยำเหมือนกับเราจำปฏิสังขาโยฯ ท่านบอกว่าเมื่อเสร็จภารกิจในประเทศไทยแล้วท่านจะเดินทางไปประเทศพม่า เพื่อศึกษาต่อไป ท่านเป็นพระธุดงค์ชอบอยู่ตามป่า น่าสรรเสริญน้ำใจท่านอยู่อย่างหนึ่งคือ

วันหนึ่งหลวงพ่อ ได้ศึกษาวินัยกับท่านอาจารย์รูปนั้นหลายข้อมีอยู่ข้อหนึ่งซึ่งท่านบอกคลาดเคลื่อนไป ตามปกติหลวงพ่อ เมื่อได้ศึกษาวินัยและทำกิจวัตรแล้ว ครั้นถึงกลางคืนท่านจะขึ้นไปพักเดินจงกรม นั่งสมาธิอยู่บนหลังเขา วันนั้นประมาณ ๔ ทุ่มกว่าๆ ขณะที่กำลังเดินจงกรมอยู่ได้ยินเสียงกิ่งไม้ใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ ใกล้เข้ามาทุกทีท่านเข้าใจว่าคงจะเป็นงูหรือสัตว์ อย่างอื่นออกหากิน แต่พอเสียงนั้นดังใกล้ๆเข้ามา ท่านจึงมองเห็นอาจารย์เขมรรูปนั้น หลวงพ่อจึงถามว่า ท่านอาจารย์มีธุระอะไรจึงได้มาดึกๆดื่นๆ ท่านจึงตอบว่า ผมบอกวินัยท่านผิดข้อหนึ่ง หลวงพ่อ จึงเรียนว่า ไม่ควรลำบากถึงเพียงนี้เลย ไฟส่องทางก็ไม่มี เอาไว้พรุ่งนี้จึงบอกผมใหม่ก็ได้ ท่านตอบว่า ไม่ได้ๆ เมื่อผมบอกผิด ถ้าผมตายในคืนนี้ท่านจำไปสอนคนอื่นผิดๆอีกก็จะเป็นบาปเป็นกรรมเปล่าๆ เมื่อท่านบอกเรียบร้อยแล้วก็กลับลงไป ดูเถิดน้ำใจของท่านอาจารย์รูปนั้นช่างประเสริฐและมองเห็นประโยชน์จริงๆ แม้จะมีความผิดพลาดเล็กน้อยในการบอกสอนก็มิได้ประมาท ไม่รอให้ข้ามวันข้ามคืน รีบแก้ไขทันทีทันใด จึงเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เราทั้งหลาย และน่าสรรเสริญน้ำใจของท่านโดยแท้

พูดถึงการปฏิบัติที่เขาวงกฏในขณะนั้นรู้สึกว่ายังไม่แยบคาย เท่าใดนัก หลวงพ่อจึงคิดจะหาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญยิ่งกว่านี้เพื่อปฏิบัติและค้นคว้าต่อไป ท่านจึงนึกถึงตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณรอยู่ที่วัดก่อนอกเคยได้เห็นพระกรรมฐานมีลูกปัดแขวนคอสำหรับ ใช้ภาวนากันลืมท่านอยากจะได้มาภาวนาทดลองดูบ้างนึกหาอะไรไม่ได้จึงมองไปเห็นลูกตะแบก(ลูกเปือยภูเขา) กลมๆ อยู่ บนต้นครั้นจะไปเด็ดเอามาเองก็กลัวจะเป็นอาบัติวันหนึ่งมีพวกลิงพากันมาหักกิ่งไม้และรูดลูกตะแบกเหล่านั้นมาคิดว่า เขาร้อยเป็นพวงคล้องคอ แต่เราไม่มีอะไรจะร้อยจึงถือเอาว่าเวลา ภาวนาจบบทหนึ่งจึงค่อยๆ ปล่อยลูกตะแบกลงกระป๋องทีละลูกจนครบร้อยแปดลูก ทำอยู่อย่างนั้นสามคืนจึงเกิดความรู้สึกว่า ทำอย่างนี้ไม่ใช่ทางเพราะไม่ต่างอะไรกับเจ๊กนับลูกหมากขาย ในตลาด จึงได้หยุดนับลูกตะแบกเสีย

เหตุการณ์แปลกๆ ในพรรษาที่ ๘ นี้ ขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาวงกฏ วันหนึ่งขณะที่ขึ้นไปอยู่บนหลังเขา หลังจากเดินจงกรมและนั่งสมาธิแล้ว ก็จะพักผ่อนตามปกติ ก่อนจำวัตรจะต้องสวดมนต์ไหว้พระ แต่วันนั้นเชื่อความบริสุทธิ์ของตนเอง จึงไม่ได้สวดอะไร ขณะที่กำลังเคลิ้มจะหลับ ปรากฏว่าเหมือน มีอะไรมารัดลำคอแน่นเข้าๆแทบหายใจไม่ออก ได้แต่นึกภาวนาพุทโธๆเรื่อยไป เป็นอยู่นานพอสมควรอาการรัดคอนั้นจึงค่อยๆ คลายออก พอลืมตาได้แต่ตัวยังกระดิกไม่ได้ จึงภาวนาต่อไป จนพอกระดิกตัวได้แต่ยังลุกไม่ได้ เอามือลูบตามลำตัวนึกว่ามิใช่ตัวของเรา ภาวนาจนลุกนั่งได้แล้ว พอนั่งได้จึงเกิดความรู้สึกว่า เรื่องการถือมงคลตื่นข่าวแบบสีลัพพตปรามา ไม่ใช่ ทางที่ถูกที่ควรการปฏิบัติธรรมต้องเริ่มต้นจากมีศีล บริสุทธิ์เป็นเหตุให้พิจารณาลงสู่ว่า...สัตว์ ทั้งหลายมีกรรม เป็นของๆ ตนแน่ชัดลงไปโดยมิต้องสงสัยนับตั้งแต่นั้นมา หลวงพ่อชามีความระวังสำรวมด้วยดี มิให้มีความบกพร่องเกิดขึ้น แม้กระทั่งสิ่งของที่ได้มาโดยไม่บริสุทธิ์ตามวินัย และปัจจัย(เงินทอง) ท่านก็ละหมด และปฏิญาณว่าจะไม่ยอมรับตั้งแต่วันนั้นมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ในระหว่างพรรษานั้นได้รับข่าวว่า ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เป็นผู้มีคุณธรรมสูง ทั้งชำนาญด้านวิปัสนาธุระมีประชาชนเคารพเลื่อมใมาก ท่านมีสำนักอยู่ที่วัดป่าหนองผือนาใน อ.พรรณานิคม จ.กลนครโดยมีโยมอินทร์มรรคทายก เขาวงกฏเล่าให้ฟังและแนะนำให้ไปหา เพราะโยมอินทร์เคยปฏิบัติรับใช้ท่านอาจารย์มั่นมาแล้ว

พ.ศ.๒๔๙๐ เป็นพรรษาที่ ๙ จำพรรษาอยู่ที่วัดเขาวงกฏ เมื่อออกพรรษาแล้วจึงมาพิจารณาดูว่า เราเอาลูกเขามาตกระกำลำบาก ข้ามภู ข้ามเขามา พ่อแม่เขาจะว่าเราได้ (หมายถึง พระมหาถวัลย์ ญาณจารี ตั้งแต่ครั้งยังเป็นพระสามัญ) และเห็นเขาสนใจท่องหนังสือ ควรจะส่งเขาเข้าเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ จึงได้ตกลงแยกทางกัน ให้พระถวัลย์เข้าไปเรียนปริยัติธรรมในกรุงเทพฯ ส่วนหลวงพ่อชาจะเดินทางไปหาท่านพระอาจารย์มั่น และมีพระมาด้วยกัน ๔ รูป เป็นพระชาวภาคกลาง ๒ รูป พากันเดินทางย้อนกลับมาที่จังหวัดอุบลฯ พักอยู่ที่วัดก่อนอกชั่วคราว จึงพากันเดินธุดงค์กรำแดดไปเรื่อยๆ จุดหมายปลายทางคือ สำนักท่านพระอาจารย์มั่น ออกเดินทางไปได้พอถึงคืนที่ ๑๐ จึงถึงพระธาตุพนม นมัสการพระธาตุพนมและพักอยู่ที่นั่นหนึ่งคืน แล้วออกเดินทางไปอำเภอนาแกไปแวะนมัสการท่านอาจารย์สอนที่ ภูค้อ เพื่อศึกษาข้อปฏิบัติ แต่เมื่อสังเกตพิจารณาดูแล้วยังไม่เป็นที่พอใจนักได้พักอยู่ที่ภูค้อสองคืนจึงเดินทางต่อไปแยกกันเดินทาง เป็น ๒ พวกตรงนั้น หลวงพ่อชามีความตั้งใจว่า ก่อนจะไปถึง ท่านพระอาจารย์มั่นควรจะแวะสนทนาธรรมและศึกษาข้อปฏิบัติจาก พระอาจารย์ต่างๆไปก่อนเพื่อจะได้เปรียบเทียบเทียบเคียงกันดู

ดังนั้นเมื่อได้ทราบว่ามีพระอาจารย์ด้านวิปัสนาอยู่ทางทิศใดจึงไปนมัสการอยู่เสมอ การกลับจากภูค้อนี้คณะที่ไปด้วยกันได้รับความลำบากเหน็ดเหนื่อยมาก จึงมีสามเณร ๑ รูป กับอุบาสก ๒ คน เห็นว่าตนเองคงจะไปไม่ไหวจึงลากลับบ้านก่อน ยังมีเหลือแต่หลวงพ่อกับพระอีก ๒ รูป เดินทางต่อไปโดยไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจเดิมแม้จะลำบากสักปานใดก็ต้องอดทนหลายวันต่อมา จึงเดินทางถึงสำนักของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต สำนัก หนองผือนาในอ.พรรณานิคมจ.กลนคร วันแรกพอ ย่างเข้าสู่สำนักสมองดูลานวัดสะอาดสะอ้าน เห็นกิริยามารยาทของเพื่อนบรรพชิต ก็เป็นที่น่าเลื่อมใสและเกิดความพอใจมากกว่า ที่ใดๆที่เคยผ่านมา พอถึงตอนเย็นจึงได้เข้าไปกราบนมัสการพร้อมศิษย์ของท่านและฟังธรรมร่วมกัน ท่านพระอาจารย์ได้ ซักถามเรื่องราวต่างๆ เช่น เกี่ยวกับอายุ พรรษา และสำนักที่เคยปฏิบัติมาแล้ว หลวงพ่อชาได้กราบเรียนว่ามาจากสำนักอาจารย์เภา วัดเขาวงกฏ จ. ลพบุรี พร้อมกับเอาจดหมายที่โยมอินทร์ฝากมาถวาย ท่านพระอาจารย์มั่นได้พูดว่า ดี...ท่านอาจารย์เภาก็เป็นพระแท้องค์หนึ่งในประเทศไทย ต่อจากนั้น ท่านก็เทศน์ให้ฟังโดยปรารภ ถึงเรื่องนิกายว่า ไม่ต้องสงสัยในนิกายทั้งสอง ซึ่งเป็นเรื่องที่หลวงพ่อสงสัยมาก่อนนั้นแล้ว ต่อไปท่านก็เทศน์ เรื่องสีลนิเทส สมาธินิเทส ปัญญานิเทส ให้ฟังจนเป็นที่พอใจและหายสงสัย และท่านได้อธิบายเรื่อง พละ ๕อิทธิบาท ๔ ให้ฟัง ซึ่งขณะนั้น ศิษย์ทุกคนฟังด้วยความสนใจมีอาการอันสงบเสงี่ยม ทั้งๆที่หลวงพ่อและเพื่อนเดินทางมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยตลอดวัน พอได้มาฟังเทศน์ท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว รู้สึกว่าความเมื่อยล้าได้หายไป จิตใจลงสู่สมาธิธรรมด้วยความสงบมีความรู้สึกว่าตัวลอยอยู่บนอานะ นั่งฟังอยู่จนกระทั่งเที่ยงจึงเลิกประชุม

ในคืนที่ ๒ ได้เข้านมัสการฟังเทศน์อีก ท่านพระอาจารย์มั่นได้แสดงปกิณกะธรรมต่างๆ จนจิตเราหายความสงสัยมีความรู้สึกซึ่งเป็นการยากที่จะบอกคนอื่นให้เข้าใจได้

ในวันที่ ๓ เนื่องจากความจำเป็นบางอย่าง จึงได้กราบลาท่านพระอาจารย์มั่นเดินทางลงมาทางอำเภอนาแก และได้แยกทาง กับพระบุญมี(พระมหาบุญมี) คงเหลือแต่พระเลื่อมพอได้เป็นเพื่อนเดินทาง ไม่ว่าหลวงพ่อจะเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิอยู่ ณ ที่ใดๆก็ตาม ปรากฏว่าท่านพระอาจารย์มั่นคอยติดตามตักเตือนอยู่ตลอดเวลา พอเดินทางมาถึงวัดโปร่งครองซึ่งเป็นสำนักของพระอาจารย์คำดี เห็นพระท่านไปอยู่ป่าช้าเกิดความสนใจมาก เพราะมาคิดว่าเมื่อเป็นนักปฏิบัติจะต้องแสวงหาความสงบ เช่น ป่าช้า ซึ่งเราไม่เคยอยู่มาก่อนเลย ถ้าไม่อยู่คงไม่รู้ว่ามีความ เหมาะสมเพียงใดเมื่อคนอื่นเขาอยู่ได้เราก็ต้องอยู่ได้จึงตัดสินใจ จะไปอยู่ป่าช้า และชวนเอาพ่อขาวแก้วไปเป็นเพื่อนด้วย

ปรากฏการณ์แปลกครั้งที่ ๒ ชีวิตครั้งแรกที่เข้าอยู่ป่าช้าดูเหมือนเป็นเหตุบังเอิญในวันนั้นมีเด็กตายในหมู่บ้านเขา จึงเอาฝังไว้โยมเลยเอาไม้ไผ่ที่หามเด็กมานั้นสับเป็นฟากยกร้าน เล็กๆ พอนั่งได้ใกล้ๆกับหลุมฝังศพ หลวงพ่อชาเล่าว่า ทั้งๆที่ตัวเองก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน แต่ไล่ให้พ่อขาวแก้วไปปักกลดห่างกันประมาณ ๑ เส้น เพราะถ้าอยู่ใกล้กันมันจะถือเอาเป็นที่พึ่ง คืนแรก ขณะที่เดินจงกรมเกิดความกลัว เกิดความคิดว่า หยุดเถอะพอแล้ว เข้าไปในกลดเถอะ ทั้งๆที่ยังไม่ดึกเท่าใด แต่ก็เกิดความคิด ขึ้นใหม่ว่า ไม่หยุด เดินต่อไป เรามาแสวงหาของจริง ไม่ได้ มาเล่น ...ความคิดชวนหยุดเข้ากลดเพราะกลัว กับความคิด หักห้ามว่าไม่หยุด เดินต่อไป ยังไม่ดึกมันเกิดแย้งกันอยู่เรื่อยๆ ต้องฝืนความรู้สึก อดทน อดกลั้นข่มใจไว้อย่างนั้น...และในคืนแรกนี้ขณะเดินจงกรมอยู่จิตเริ่มสงบพอเดินไปถึงหลุมฝังศพปรากฏว่า เรามองลงไปในหลุมเห็นองค์กำเนิดของเด็กผู้ชายชัดเจน ทั้งๆที่เราไม่ทราบว่าเขาเอาเด็กผู้ชายหรือผู้หญิงมาฝังไว้ พอถึงตอนเช้าจึงได้ถามโยมว่าเอาเด็กผู้ชายหรือผู้หญิงไปฝัง เขาตอบว่าเด็กผู้ชาย คืนแรกผ่านไป ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรมากนัก ความกลัวก็มีไม่มาก

วันที่ ๒ ก็มีคนตายอีก คราวนี้เป็นผู้ใหญ่ เขาพามาเผาห่างจากที่ปักกลดประมาณ ๑๐ วาส คืนนี้แหละเป็นคืนสำคัญ หลังจากเดินจงกรมได้เวลาพอสมควร จึงเข้านั่งสมาธิภายในกลด ได้ยินเสียงดังกุกกักทางกองฟอน เรานึกว่าหมามาแย่งกินซากศพสักครู่หนึ่งเสียงดังแรงขึ้นและ ใกล้เข้ามาท่านคิดว่าหรือจะเป็นควายของชาวบ้านเชือกผูกขาดมาหากินใบไม้ในป่า จิตใจเริ่มกลัวเพราะเสียงนั้นใกล้เข้ามาทุกที...หลวงพ่อได้ตั้งใจแน่วแน่ว่าไม่ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น แม้ตัวจะตายก็ไม่ยอมลืมตาขึ้นมาดู และจะไม่ยอมออกจากกลด ถ้าจะมีอะไรมาทำลายก็ขอให้ตายภายในกลดนี้ พอเสียงนั้นใกล้เข้ามาๆก็ปรากฏเป็นเสียงคนเดิน เดินเข้ามาข้างๆกลดแล้วเดินอ้อมไปทางพ่อขาวแก้ว กะประมาณพอไปถึงได้ยินเสียงดังอึกอักๆ แล้วเสียงคนเดินนั้นก็เดินตรงแน่วมาที่หลวงพ่อชาอีก ใกล้เข้ามาๆมาหยุดอยู่ข้างหน้าประมาณ ๑ เมตร

ตอนนี้แหละความกลัวทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกดูเหมือน จะมารวมกันอยู่ที่นั่นหมด ลืมนึกถึงบทสวดมนต์ที่จะป้องกัน ลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง กลัวมากถึงขนาดนั่งอยู่ข้างๆบาตรก็นึกเอาบาตรเป็นเพื่อน แต่ความกลัวไม่ลดลงเลย ปรากฏว่าเขายัง ยืนอยู่ข้างหน้าเรา ดีหน่อยที่เขาไม่เปิดกลดเข้ามา ในชีวิตตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีความกลัวมากและนานเท่าครั้งนี้ เมื่อความกลัว มันมีมากแล้วมันก็มีที่สุดของความกลัว เลยเกิดปัญหาถามตัวเอง ว่า กลัวอะไร? คำตอบก็มีขึ้นว่า กลัวตาย ความตายมัน อยู่ที่ไหน? อยู่ที่ตัวเราเอง เมื่อรู้ว่าอยู่ที่ตัวเรา จะหนีพ้นมัน ไปได้ไหม? ไม่พ้น เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใด คนเดียวหรือหลายคน ในที่มืดหรือที่แจ้ง ก็ตายได้ทั้งนั้น หนีไม่พ้นเลย จะกลัวหรือไม่กลัวก็ไม่มีทางพ้น เมื่อรู้อย่างนี้ความกลัวไม่รู้ว่าหายไปไหน เลยหยุดกลัว ดูเหมือนคล้ายกับเราออกจากที่มืดที่สุดมาพบแสงสว่างนั้นแหละ เมื่อความกลัวหายไปผู้ที่เข้ามายืนอยู่หน้ากลดก็หายไปด้วย เมื่อความกลัวกับสิ่งที่กลัวหายไปได้สักครู่หนึ่งเกิดลมและฝนตกลงมาอย่างหนัก ผ้าจีวรเปียกหมด แม้จะนั่งอยู่ภายในกลดก็เหมือนนั่งอยู่กลางแจ้ง เลยเกิดความสงสารตัวเองว่า ตัวเรานี้เหมือนลูกไม่มีพ่อแม่ไม่มีที่อยู่อาศัยเวลาฝนตก หนักเพื่อนมนุษย์เขานอนอยู่ในบ้านอย่างสบาย แต่เราซิมานั่งตากฝนอยู่อย่างนี้ ผ้าผ่อนเปียกหมด คนอื่นๆเขาคงไม่รู้หรอกว่า เรากำลังตกอยู่ในภาพเช่นนี้ ความว้าเหว่เกิดขึ้นนานพอสมควร เมื่อนึกได้ก็ห้ามไว้ด้วยปัญญา พิจารณาอาการอย่างนั้นก็สงบลง พอดีได้เวลารุ่งอรุณ จึงลุกจากที่นั่งสมาธิ ในระยะที่เกิดความกลัวนั้นรู้สึกปวดปัสสาวะ แต่พอกลัวถึงขีดสุดอาการปวดปัสสาวะก็หายไป และเมื่อลุกจากที่จึงรู้สึกปวดปัสสาวะ และเวลาไปปัสสาวะมีเลือดออกมาเป็นแท่งๆก่อนแล้วจึงมีน้ำ ปัสสาวะออกมาทำให้รู้สึกตกใจนิดหนึ่งคิดว่าข้างในคงแตกหรือขาด จึงมีเลือดออกอย่างนี้แต่ก็นึกได้ว่าจะทำอย่างไรได้ในเมื่อเรามิได้ทำ มันเป็นของมันเองถ้าถึงคราวตายก็ให้มันตายไปเสียนึกสอนตัวเอง ได้อย่างนี้ก็สบายใจ ความกลัวตายหายไปตั้งแต่นั้นมา พอได้เวลาบิณฑบาตพ่อขาวแก้วก็มาถามว่าหลวงพ่อ...หลวงพ่อ...เมื่อคืนนี้มีอะไรเห็นอะไรไปหาบ้าง ?มันเดินมาจากทางอาจารย์อยู่นั่นแหละมันแสดงอาการที่น่ากลัวใส่ผม ผมต้องชักมีดออกมาขู่มันมันจึงเดินกลับไป หลวงพ่อชาจึงตอบว่า จะมีอะไรเล่า...หยุดพูดดีกว่า พ่อขาวแก้วก็เลยหยุดถาม หลวงพ่อคิดว่าถ้าขืนพูดไป ถ้าพ่อขาวแก้ว เกิดกลัวขึ้นมาเดี๋ยวก็อยู่ไม่ได้เท่านั้น

เมื่ออยู่ป่าช้าใกล้วัดท่านอาจารย์คำดีได้ ๗ วัน ก็มีอาการเป็นไข้ เลยพักรักษาตัวอยู่กับอาจารย์คำดีประมาณ ๑๐ วัน จึง ย้ายลงมาทางบ้านต้อง พักอยู่ที่ป่าละเมาะบ้านต้องได้เวลานาน พอสมควร จึงได้เดินทางกลับไปหาท่านอาจารย์กินรีพักอยู่ ที่นั่นหลายวัน จึงได้กราบลาท่านอาจารย์กินรี ที่วัดป่าหนองฮี อ. ปลาปาก จ. นครพนม แล้วจึงเดินทางต่อไป...


อัฏฐบริขารหมดอายุ
ในพรรษาที่ ๙ นี้ ได้มาจำพรรษาอยู่กับท่านอาจารย์กินรีมาขอพึ่งบารมีปฏิบัติธรรมกับท่าน และได้รับความสงเคราะห์จากท่านอาจารย์เป็นอย่างดี ท่านอาจารย์เห็นไตรจีวรเก่าขาด จะใช้ ต่อไปไม่ได้ ท่านจึงได้กรุณาตัดผ้าฝ้ายพื้นเมืองให้จนครบไตรจีวร หลวงพ่อชาคิดว่า ผ้านี้จะมีเนื้อหยาบหรือละเอียดไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ใช้ได้ทนทานก็เป็นพอ ในพรรษานี้หลวงพ่อได้มีความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติอย่างมากไม่มีความย่อท้อแต่ประการใด

คืนวันหนึ่ง หลังจากหลวงพ่อทำความเพียรแล้วคิดจะ พักผ่อนบนกุฏิเล็กๆ พอเอนกายลง ศีรษะถึงหมอนด้วยการกำหนด ติ พอเคลิ้มไปเกิดนิมิตขึ้นว่า ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้มาอยู่ใกล้ๆ นำลูกแก้วลูกหนึ่งมายื่นให้แล้วพูดว่า ชา...เราจะให้ลูกแก้วลูกนี้แก่ท่านมันมีรัศมีสว่างไสวมาก หลวงพ่อยื่นมือขวาไปรับลูกแก้วลูกนั้น รวบกับมือท่านพระอาจารย์มั่นแล้วลุกขึ้นนั่ง พอรู้สึกตัวก็เห็นตัวเองยังกำมือและอยู่ในท่านั่งตามปกติมีอาการคิดค้นธรรมะเพื่อความรู้เกี่ยวกับ
การปฏิบัติมีติปลื้มใจตลอดพรรษา

รบกับกิเลส
ในพรรษาที่อยู่กับพระอาจารย์กินรีนั้น ขณะที่มีความเพียรปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ในวาระหนึ่งได้เกิดการต่อสู้กับราคะธรรมอย่างแรง ไม่ว่าจะเดินจงกรมนั่งสมาธิหรืออยู่ในอิริยาบถใด ก็ตาม ปรากฏว่ามีโยนีของผู้หญิงชนิดต่างๆ ลอยปรากฏเต็มไปหมด เกิดราคะขึ้นจนทำความเพียรเกือบไม่ได้ ต้องทนต่อสู้กับความ รู้สึกและนิมิตเหล่านั้นอย่างลำบากยากเย็นจริงๆมีความรุนแรงพอๆกับความกลัวที่เกิดขึ้นในคราวที่
ไปอยู่ป่าช้านั่นแหละ เดิน จงกรมไม่ได้เพราะองค์กำเนิดถูกผ้าเข้าก็จะเกิดการไหวตัว ต้องให้ทำที่เดินจงกรมในป่าทึบและเดินได้เฉพาะในที่มืดๆ เวลาเดินต้องถลกบงขึ้นพันเอวไว้จึงจะเดินจงกรมต่อไปได้ การต่อสู้กับกิเลสเป็นไปอย่างทรหดอดทน ได้ทำความเพียรต่อสู้กันอยู่นานเป็นเวลา ๑๐ วัน ความรู้สึกและนิมิตเหล่านั้นจึงจะสงบลงและหายไป

เมื่อถึงหน้าแล้ง (ปี ๒๔๙๐) หลวงพ่อจึงกราบลาท่านอาจารย์กินรี เพื่อแสวงหาวิเวกต่อไป ก่อนจากท่านอาจารย์กินรีได้ให้โอวาทว่า ท่านชา... อะไรๆก็พอสมควรแล้ว แต่ให้ท่านระวังการเทศน์นะ ต่อจากนั้นก็ได้เดินทางไปเรื่อยๆ แสวงหาที่วิเวกบำเพ็ญสมณธรรมต่อไป จนเดินธุดงค์ไปถึงบ้านโคกยาว จังหวัดนครพนม ไปพักอยู่ในวัดร้างแห่งหนึ่งห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๑๐ เส้น ในระยะนี้จิตสงบและเบาใจ อาการมุ่งจะเทศน์ก็เริ่มปรากฏขึ้นมา

เหตุการณ์แปลกครั้งที่ ๓ เมื่อได้ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดร้างแห่งนั้น วันหนึ่งเขามีงานในหมู่บ้านมีมหรสพ เปิดเครื่องขยายเสียงดังอื้ออึงมาก ขณะนั้นหลวงพ่อกำลังเดินจงกรมอยู่ เป็นเวลาประมาณ ๔ ทุ่มเดินได้นานพอสมควรจึงนั่งสมาธิบนกุฏิ ชั่วคราว ขณะที่นั่งอยู่นั้นจิตใจเข้าสู่ความสงบ จนมีความรู้สึกว่า เสียงเป็นเสียง จิตเป็นจิตไม่ปะปนกัน ไม่มีความกังวลอะไรทั้งสิ้น อาการเหล่านี้ปรากฏเป็นเวลานาน ถ้าจะอยู่ตลอดคืนก็ได้จนจิตเกิดความรู้สึกว่า เอาละพักผ่อนเสียที จึงมีการพักผ่อนตามภาพของสังขาร พอเอนกายลงศีรษะยังไม่ถึงหมอน ด้วยติเต็มเปี่ยม จิตมีการน้อมเข้าสู่มรณติเป็นครั้งแรก จนกระทั่งจิตดำเนินเข้าไปผ่านจุดอันหนึ่ง ได้ปรากฏว่าร่างกายระเบิดเป็นผุยผง อาการจิตนั้นทะลุเข้าสู่จุดแห่งความสงบใสสะอาดอีกต่อไป เมื่อเวลานาน พอสมควรแล้ว จึงมีอาการถอนออกมาเป็นปกติธรรมดาอีกพักหนึ่ง แล้วก็มีอาการดำเนินเข้าไปถึงจุดอย่างเก่า ร่างกายมีกำลังระเบิดรุนแรงละเอียดยิ่งกว่าครั้งแรกประมาณ ๓ เท่า แล้วก็ทะลุเข้าสู่จุดนานพอสมควร จึงมีอาการถอน
บันทึกการเข้า

todsapononline
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 17
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 194



ดูรายละเอียด
« ตอบ #12 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2011, 12:31:31 »

ประวัติหลวงปู่ชา สุภัทโท (ตอนที่2)

กำเนิดวัด
วันนั้นเวลาตะวันบ่าย คณะของหลวงพ่อได้เดินทางมาถึงชายดงป่าพงแห่งนี้ซึ่งเป็นวันจันทร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ ๘มีนาคม พ.ศ.๒๔๙๗ ซึ่งเป็นนิมิตเครื่องหมาย ครั้งสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงป่าที่น่ากลัวให้เป็นป่าที่น่าชม รื่นรมย์ไปด้วยรสแห่งสัทธรรม

เช้าวันที่ ๙มีนาคม ๒๔๙๗ จึงได้พากันเข้าสำรวจ สถานที่พักในดงป่านี้ โยมได้ถากจอมปลวกถางต้นไม้เล็กๆออกจัดที่พักให้ใกล้ต้นมะม่วงใหญ่หลายต้นซึ่งอยู่ข้างโบสถ์ด้านทิศใต้ปัจจุบันนี้ ต่อมามีญาติโยมชาวบ้านก่อและบ้านกลางผู้เลื่อมใส จึงช่วยกันปลูกกุฏิเล็กๆให้อาศัยกันต่อไป

บังเกิดนิมิต
เมื่อหลวงพ่อและคณะได้เข้ามาอยู่ในดงป่าพงได้ ๑๐ วัน วันนั้นเป็นวันเพ็ญ เดือน ๔ เวลานั้นประมาณทุ่มกว่าๆ ญาติโยมมาฟังธรรมไม่มากเท่าใดนัก เกิดบุรพนิมิตมีแสงสว่างพุ่งปราด ไปข้างหน้าเป็นทางยาว แล้วหดตัวมาดับวูบลงที่มุมวัดด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง ทำให้ญาติโยมที่เห็นด้วยตาเกิดอัศจรรย์ขนพองยองเกล้า ต่างก็พูดไม่ออก

เมื่อได้มาอยู่ที่ป่าพงแล้ว หลวงพ่อท่านถือหลักคำสอน ของพระพุทธองค์ที่ตรัสว่า ทำตนให้ตั้งอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อน แล้วจึงสอนคนอื่นทีหลัง จึงจักไม่เป็นบัณฑิตสกปรกดังนั้นไม่ว่ากิจวัตรใดๆเช่นกวาดวัดจัดที่ฉันล้างบาตร ตักน้ำ หามน้ำ ทำวัตร สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ วันพระ ถือเนสัชชิกไม่นอนตลอดคืน หลวงพ่อชาลงมือทำเป็นตัวอย่าง ของศิษย์ โดยถือหลักที่ว่า สอนคนด้วยการทำให้ดู ทำเหมือนพูด พูดเหมือนทำ ดังนั้นจึงมีศิษย์และญาติโยมเกิดความเคารพยำเกรง และเลื่อมใสในปฏิปทาที่หลวงพ่อดำเนินอยู่ เมื่อเทศน์ก็ชี้แจงถึงหลักความจริงที่จะนำไปทำตามให้เกิดประโยชน์ได้ หลวงพ่อและศิษย์รุ่นแรกที่เข้ามาอยู่ต้องต่อสู้กับไข้ป่า ขณะนั้นยังชุกชุมมากเพราะเป็นป่าทึบ ยามพระเณรป่วยจะหายารักษาก็ยาก ต้องต้ม บอระเพ็ดให้ฉันก็พอทุเลาลงบ้าง เนื่องจากโยมผู้อุปัฏฐากยัง ไม่ค่อยเข้าใจในการอุปถัมภ์ ทั้งหลวงพ่อก็ไม่ยอมออกปากขอจากใครๆ แม้จะพูดเลียบเคียงก็ไม่ทำ ปล่อยให้ผู้มาพบเห็นด้วยตา พิจารณาแล้วเกิดความเลื่อมใสเอาเอง พูดถึงอาหารการฉันก็รู้สึกจะฝืดเคือง

เมื่อหลวงพ่อได้มาอยู่ที่ป่าพงแล้ว เดือนแรกผ่านไป และในเดือนต่อมาคุณแม่พิม ช่วงโชติ โยมมารดาของหลวงพ่อ พร้อมด้วยโยมผู้หญิงอีก ๓ คน ได้มาบวชเป็นชี อยู่ประพฤติปฏิบัติธรรม พวกญาติโยมจึงปลูกกระท่อมให้อยู่อาศัย...โยม แม่พิมจึงเป็นชีคนแรกของวัดหนองป่าพง และมีแม่ชีอยู่ติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้เป็นจำนวนมาก

ปี พ.ศ.๒๕๐๐ ซึ่งชาวพุทธถือว่าเป็นปีที่สำคัญมีการทำบุญทั้งส่วนวัตถุทาน และธรรมทานมีการบวชตนเองและบวชลูกหลานเป็นภิกษุสามเณร และบวชเป็นชีและตาปะขาวเป็นจำนวนมากมีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเป็นพิเศษ ทางวัดหนองป่าพงหลวงพ่อก็อนุญาตให้มีการบวชเช่นกันมีบวชเป็น สามเณร ๒ รูป บวชเป็นตาปะขาว ๗๐ บวชเป็นชี ๑๗๘ คน รวมเป็น ๒๕๐ คน

ปี พ.ศ.๒๕๐๑ มีประชาชนสนใจการฟังเทศน์ฟังธรรม และการปฏิบัติธรรมมีจำนวนเพิ่มขึ้นมีญาติโยมชาวบ้านเก่าน้อย ต.ธาตุ ซึ่งเคยมาฟังธรรม ปฏิบัติธรรมที่หนองป่าพงมานิมนต์หลวงพ่อให้ไปพักอยู่ที่ป่าละเมาะใกล้กับป่าช้า และหลวงพ่อได้ไปพักอยู่สอบรมธรรมะแก่ผู้สนใจในถิ่นนั้นได้จำพรรษาอยู่ที่ป่าแห่งนั้น และนับว่าเป็นสาขาแรกของวัดหนองป่าพง และในปีต่อมาก็ได้จัดส่งลูกศิษย์ไปอยู่ประจำจนถึงทุกวันนี้

และในปีต่อๆมา ก็มีญาติโยมผู้เลื่อมใสสนใจในการปฏิบัติมานิมนต์หลวงพ่อไปรับอาหารบิณฑบาตและอบรมธรรมะเพิ่มจำนวนมากขึ้นๆ เช่น นิมนต์ไปทางบ้านกลางใหญ่ อ.เขื่องในบ้าง นิมนต์ไปเยี่ยมทางชาวไร่ภูดินแดง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษบ้าง นิมนต์ไปทางบ้านหนองเดิ่นหนองไฮบ้าง ซึ่งต่อมาก็ได้มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อไปอยู่และเป็น สาขาที่ ๒-๓-๔ ของหนองป่าพง

ประมาณเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๑ มีญาติโยมอำเภออำนาจเจริญมานิมนต์หลวงพ่อขึ้นไปฉันภัตตาหาร และอบรมธรรมะที่วัดต้นบกเตี้ย(ปากทางเข้าถ้ำแสงเพชร) โดยมีอาจารย์โสม พักอยู่ที่นั่นและเขานิมนต์หลวงพ่อเข้าไปดูถ้ำแสงเพชร (ถ้าภูขาม) ขอนิมนต์ให้ท่านพิจารณาจัดเป็นที่ปฏิบัติธรรม แต่หลวงพ่อก็ยังมิได้ตกลงใจ ยังเฉยๆอยู่

ครั้นเมื่อออกพรรษา รับกฐินแล้ว เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ หลวงพ่อรับนิมนต์ของโยมชาวจังหวัดอุดรฯ เดินทางไปจังหวัดอุดรฯ พักที่วัดป่าหนองตุสระยะที่พักอยู่ที่นั่นหลวงพ่อ ได้พาไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มหาบัว วัดป่าบ้านตาด และท่านพระอาจารย์ขาววัดถ้ำกลองเพล และได้เดินทางไปเยี่ยมท่านเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดหนองคาย ท่านเจ้าคุณพาไปเยี่ยม วัดโศรกป่าหลวง นครเวียงจันทน์ และไปเยี่ยมวัดเนินพระเนาว์ ซึ่งล้วนแต่เป็นสำนักปฏิบัติธรรมทั้งนั้น แล้วพักอยู่วัดศรีสะเกษ กับท่านเจ้าคณะจังหวัดแล้วเดินทางกลับมาถึงอุดร และแวะเยี่ยมภูเพ็ก แล้วเดินทางมาถึงบ้านต้องแวะกราบนมัสการท่านอาจารย์กินรี ที่วัดกันตศิลาวาส และกราบลาท่านอาจารย์กินรี ลงมาถึงอำเภออำนาจเจริญ หลวงพ่อพาแวะไปเยี่ยม อาจารย์โสมที่วัดต้นบกเตี้ย วันนั้นเป็นวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ พักอยู่หนึ่งคืน

ฉะนั้นจึงพอถือได้ว่า วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ เป็น วันบุกเบิกเริ่มต้นแห่งการสร้างวัดถ้ำแสงเพชร และได้ไปพักอยู่ตรงถ้ำที่มีรูปพระพุทธองค์และปัญจวัคคีย์ (เขาเรียกกันว่า ถ้ำพระใหญ่ และเริ่มปรับปรุงตรงนั้นพอเป็นที่พักได้สะดวก)

หลวงพ่อปรารภว่ามาอยู่ถ้ำแสงเพชรนี้สบายใจดีมาก สมองไปทางไหนจิตใจเบิกบานคล้ายกับ เป็นสถานที่เคยอยู่มาก่อน นั่งสมาธิสงบดี ถ้าไม่คิดอยากพักผ่อนจะนั่งสมาธิอยู่ตลอดคืนก็ได้ วัดนี้มีพื้นที่ ๑,๐๐๐ ไร่ เป็นสาขาที่ ๕ ของวัดหนองป่าพง

พ.ศ.๒๕๑๒ ในระยะเดือนเมษายนของปีนี้ ญาติโยมบ้านสวนกล้วยได้มานิมนต์หลวงพ่อไปอบรมธรรมะและรับไทยทาน เขาได้จัดที่พักไว้ในป่าโดยปลูกกุฏิไว้ ๒ หลัง เมื่อได้ไปถึงแล้ว ญาติโยมจึงกราบเรียนขอให้หลวงพ่ออุปการะเป็นสาขาของท่าน (เป็นสาขาที่ ๖) ได้จัดส่งลูกศิษย์ไปอยู่ประจำ

เมื่อวันที่ ๒มกราคม พ.ศ.๒๕๑๓ หลวงพ่อได้รับนิมนต์จากคุณแม่บุญโฮม ศิริขันธ์ และญาติโยมทางอำเภอม่วงฯ ให้ไปร่วมงานทำบุญร้อยวันถึงหลวงตาอุย (บิดาของแม่บุญโฮม) อาศัยที่ญาติโยมเคยมาฟังเทศน์และมาถือศีลปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงพ่อบ่อยๆ และเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว จึงพิจารณาสถานที่อันเหมาะสมพอจะจัดเป็นที่พักได้ จึงตกลงจัดที่พักให้ ณ ป่าบ้านร้าง ดงหมากพริกอยู่ห่างจากอำเภอม่วงสามสิบ ๒ กม. และหลวงพ่อชา กับผู้ติดตามได้ไปพักในดงแห่งนั้น และต่อมาก็ได้กลายเป็นวัดป่า วิเวกธรรมชาน์ สาขาที่ ๗ หลวงพ่อได้ส่งลูกศิษย์ไปอยู่เป็น ประจำ

สาขาวนโพธิญาณ ในระยะเดียวกับที่ชาวอำเภอม่วงสามิบมีความประสงค์อยากให้หลวงพ่ออนุญาตให้ตั้งสาขาขึ้นในเขตอำเภอนั่นเอง ญาติโยมทางอำเภอพิบูลมังสาหาร เขื่อนโดมน้อยซึ่งมีพ่อใบ พ่อลา พ่อลือ ได้มาปรารภนิมนต์หลวงพ่อไปชมป่าหน้าเขื่อนเห็นว่าเป็นสถานที่เหมาะดีแก่การปฏิบัติธรรม เป็นระหว่างที่นายปรีชา คชพลายุกต์ นายอำเภอพิบูลมังสาหารในสมัยนั้นได้ไปเยี่ยมหลวงพ่อที่วัดป่าพงบ่อยครั้ง บางครั้งก็ได้สนทนา กับหลวงพ่อทำให้เกิดความซาบซึ้งและเลื่อมใส เมื่อได้ทราบว่าหลวงพ่อไปเยี่ยมป่าทางด้านหน้าเขื่อน ก็ยินดีสนับสนุนในการ จัดปรับปรุงป่าให้เป็นที่บำเพ็ญธรรม นายอำเภอและคุณนายได้ละทรัพย์สร้างกุฏิถาวรไว้ ๑ หลัง และเป็นกำลังในการสร้าง ศาลาการเปรียญที่วัดเขื่อนแม้แต่นายวิเชียรสีมันตรผู้ว่าราชการ จังหวัดในสมัยนั้นก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ในระหว่างเดือนกรกฎาคม ๒๕๑๓ เมื่อหลวงพ่อไปเยี่ยมป่าหน้าเขื่อนอีก ญาติโยม ขอร้องหลวงพ่อว่า พระพุทธบาทที่หอพระบาท วัดถ้ำพระ อยู่ในระดับใต้พื้นน้ำถ้าน้ำท่วมจะเสียหายจมอยู่ในน้ำเสียดายปูชนียวัตถุสำคัญ ขอให้พาอัญเชิญรอยพระพุทธบาทขึ้นไปเก็บไว้ ณ ที่น้ำท่วม ไม่ถึง หลวงพ่อจึงพาญาติโยมอัญเชิญออกจากหอพระบาทเดิม ไปเก็บไว้บนหัวหิน (โขดหิน) ที่สูงกว่าระดับน้ำ และต่อมาชาวบ้าน และวัดหนองเม็ก โดยการนำของเจ้าคณะผู้ปกครองมาเอาไปรักษาไว้ที่วัดหนองเม็ก ต.ฝางคำ อ.พิบูลฯ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เมื่อออก พรรษาแล้วในวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ หลวงพ่อจึงส่งท่านอาจารย์สี กับสามเณร ๓-๔ รูป ไปอยู่และต่อมาอีกประมาณ ๓ เดือนกว่า หลวงพ่อจึงส่งอาจารย์เรืองฤทธิ์ไปอยู่ด้วย และเมื่อออกพรรษา ปี ๒๕๑๔ ท่านอาจารย์สีกลับวัดป่าพง คงเหลืออาจารย์เรืองฤทธิ์ปกครองพระเณรอยู่เป็นประจำมาจนถึงปัจจุบันนี้ สาขาที่ ๘ นี้ครั้งแรกเรารู้กันในนามสำนักวนอุทยาน ครั้นเมื่อวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน หลวงพ่อได้รับพระราชทานเป็นพระราชาคณะนามว่า พระโพธิญาณเถร เลยเปลี่ยนชื่อสาขานี้ใหม่ว่า สำนักสงฆ์วนโพธิญาณรู้สึกว่าเป็น สาขาที่หลวงพ่อให้การสงเคราะห์เป็นพิเศษ และสาขานี้มีเนื้อที่ประมาณ ๒,๐๐๐ ไร่เศษ จึงเป็นอันได้ทราบกันว่าในปี พ.ศ.๒๕๑๓ นี้หลวงพ่อได้อนุญาตให้จัดตั้ง สาขาที่ ๗ คือ วัดป่าวิเวกธรรมชาน์ และสาขาที่ ๘ คือ วัดป่าวนโพธิญาณขึ้นในปีเดียวกัน...

เมื่อหลวงพ่อได้มาอยู่เป็นที่พึ่งทางใจของศิษย์ และญาติโยมผู้ใคร่ต่อการปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เริ่มแต่ปี ๒๔๙๗ เป็นต้นมาจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๓มีศิษย์และญาติโยมบางคนกราบเรียน เรื่องการขออนุญาตตั้ง (สร้าง) วัดเมื่อก่อนนั้นหลวงพ่อมักพูดว่า ไม่ต้องขอสร้างวัดเราก็สร้างก็ตั้งมานานแล้ว แต่เพื่อให้ถูกต้องตามกฎระเบียบ หลวงพ่อจึงอนุญาตให้มีการขอสร้างวัดขึ้น และเมื่อได้รับอนุญาตให้สร้างวัดเรียบร้อยแล้ว จึงได้รับตราตั้งดังนี้

๑)เป็นเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๑๖

๒)ได้รับพระราชทานเป็น พระราชาคณะมีนามว่า พระโพธิญาณเถร เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๑๖

๓)เมื่อปลายเดือนมกราคม ปี๒๕๑๗ ได้รับหนังสือให้เข้าไปอบรมเป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับตราตั้งพระอุปัชฌาจารย์ เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๗

หลวงพ่อได้ใช้ขันติธรรมอดทนต่อสู้กับความลำบากมานานพอสมควร ได้ผ่านทั้งคนผู้หวังดีและหวังไม่ดีมามากต่อมาก แต่ด้วยน้ำใจที่มุ่งประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ และหวังเจริญรอยตามยุคลบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเรียนและปฏิบัติด้วยตนเอง แล้วจึงนำไปสอนคนอื่นต่อไป มิได้หวังเพียงเอาตัวรอดแต่ผู้เดียว ฉะนั้นหลวงพ่อจึงได้ยอมเสียละความสุขส่วนตนอุตส่าห์แนะนำสั่งสอนศิษย์และผู้ใคร่ในธรรมให้ได้รับความซาบซึ้งใจ ซึ่งท่าน ทั้งหลายผู้ที่ได้มากราบ และได้ฟังโอวาทของหลวงพ่อ ย่อมก่อให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสเสมอมา

โยมมารดาเสียชีวิต
หลังจากหลวงพ่อชาและคณะได้เข้ามาอยู่ที่ดงป่าพงนี้เดือนกว่า คุณแม่พิม ช่วงโชติ ซึ่งเป็นโยมมารดาของท่านก็ ได้เข้ามาบวชเป็นชีอยู่ปฏิบัติธรรมตามอย่างพระลูกชาย พร้อมทั้งมีโยมผู้หญิงบวชตามอีก ๓ คน ยังผลให้คุณแม่พิมได้รับรส แห่งธรรม ทำให้จิตใจเยือกเย็นเป็นที่พึ่งแก่ตนทำให้ตรีเหล่าอื่นผู้หวังความสงบได้เข้าบวชชีเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โยมแม่ชี ได้สร้างความดี ทั้งที่เป็นส่วนอามิสบูชา และปฏิบัติบูชาตามกำลังความสามารถ ได้โอกาส อุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุสามเณรทั้งในยามปกติและคราวอาพาธเสมอมา

หลวงพ่อเองก็ได้ทำการบำรุงโยมมารดาตามสมควรแก่หน้าที่อันบุตรที่ดีจะพึงกระทำแก่ผู้บังเกิดเกล้า คอยเอาใจใส่ ทั้งอาหารกาย และอาหารใจมิได้เพิกเฉย ครั้นหลายปีผ่านๆไป หนีความผุพังไปไม่พ้น...ดังนั้นเมื่อคราวที่โยมป่วย หลวงพ่อและญาติ ตลอดทั้งบรรดาแม่ชีก็ได้เอาใจใส่พยาบาลรักษาตามความสามารถ หลวงพ่อก็หาโอกาส เข้าไปเยี่ยมและให้ติทางธรรมอยู่บ่อยๆ ผลสุดท้ายแม่ชีพิมก็ได้ทอดทิ้งร่างกายอันแก่หง่อมไปเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๗

กำหนดงานฌาปนกิจศพโยมแม่ในระยะวันมาฆบูชา ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๕มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๘ และในงานนี้ได้อนุญาตให้กุลบุตร กุลธิดาบวชเป็นสามเณร ๑๐๕ รูป บวชเป็นชี ๗๒ คน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา...

จาริกสู่ต่างประเทศ ครั้งที่๑
นับเป็นเวลา ๒๓ ปีกว่า ที่หลวงพ่อชาได้อาศัยวัดบ้านหนองป่าพง เป็นหลักชัยในการประกาศสัจธรรมอันนำสันติสุข มาสู่มวลมนุษย์ ได้มีภิกษุสามเณร และประชาชน เดินทางมา ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ เพื่ออบรมการปฏิบัติธรรม เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ขยายสำนักสาขาแยกออกไป ในต่างอำเภอและต่างจังหวัด ซึ่งในปัจจุบันนี้มีอยู่ประมาณ ๘๒ สาขา และมีชาวต่างประเทศเกิดความเลื่อมใสมาขอบวชเป็นศิษย์เพื่ออยู่ปฏิบัติธรรม เพิ่มจำนวนมากขึ้น จนกระทั่งหลวงพ่อได้อนุญาตให้จัดตั้งสำนักสาขา สำหรับชาวต่างประเทศขึ้นเป็นส่วนหนึ่งต่างหากมีชื่อเรียกว่า วัดป่านานาชาติ เป็นสาขาที่ ๑๙ ของวัดหนองป่าพง ตั้งอยู่ในเขตตำบลบุ่งหวาย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี

ในปี พ.ศ.๒๕๑๙ อาจารย์สุเมโธ ได้เดินทางไปเยี่ยมโยมมารดาที่สหรัฐอเมริกา ขากลับเดินทางมาแวะประเทศอังกฤษ พักที่สำนักธรรมประทีปแฮมป์สะเตท กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้มีเจ้าหน้าที่ของสำนักนั้นมาสนทนาธรรมจนเกิดศรัทธาเลื่อมใส เขาถามถึงสำนักที่เป็นครูบาอาจารย์ นิมนต์ให้ท่านอยู่จำพรรษาที่อังกฤษ อาจารย์สุเมโธ จึงได้บอกว่าเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อชาแห่งวัดหนองป่าพง อ. วารินชำราบ จ. อุบลราชธานี (ประเทศไทย) ถ้าต้องการอยากให้อยู่ในประเทศอังกฤษ ก็ให้ไปตกลงขอจากหลวงพ่อชาเสียก่อน ต่อจากนั้นอาจารย์สุเมโธ จึงได้เดินทางกลับมาประเทศไทย

จึงเป็นเหตุให้ชาวสังฆทรัสต์แห่งประเทศอังกฤษ ได้ติดต่อ ขอนิมนต์หลวงพ่อชาและอาจารย์สุเมโธ ให้เดินทางไปประกาศ สัจธรรม และเพื่อประดิษฐานหลักปฏิบัติไว้ในภาคพื้นตะวันตก ให้เจริญรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาล ตามสมควรแก่กาลและฐานะที่จะพึงมีพึงเป็นได้

ดังนั้น เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ซึ่งเป็นปีที่ หลวงพ่อได้มีอายุ ๕๙ ปี พรรษา ๓๘ หลวงพ่อได้ออกเดินทางจากวัดหนองป่าพง สู่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ขึ้นเครื่องบินออกจากดอนเมือง

วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ขณะที่เครื่องบิน บินมุ่งสู่เมืองการาจีประเทศปากีสถานหลวงพ่อได้บันทึกไว้ว่าเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในการเดินทาง ในวันที่ ๖ ในขณะที่บินอยู่ เครื่องบิน ได้เกิดอุบัติเหตุยางระเบิด ๑ เส้น บนอากาศ พนักงานการบิน จึงได้ประกาศ ให้ผู้โดยสารเตรียมตัวรัดเข็มขัดมีฟันปลอมก็ต้องถอดออก แม้กระทั่งแว่นตาหรือรองเท้าเครื่องบริขารทุกอย่าง ต้องเตรียมพร้อมหมด ผู้โดยสารทุกคนเมื่อเก็บบริขารทุกอย่างหมดแล้ว ต่างคนก็ต่างเงียบคงคิดว่าคงเป็นวาระสุดท้ายของ พวกเราทุกคนเสียแล้ว...

ขณะนั้นเราก็ได้คิดว่า เป็นครั้งแรกที่เราได้เดินทางมาเมืองนอกเพื่อสร้างประโยชน์แก่พระศาสนา จะเป็นผู้มีบุญอย่างนี้เทียวหรือ...? เมื่อระลึกได้เช่นนี้แล้ว ตั้งสัตย์อธิษฐานสมอบชีวิตให้พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แล้วก็กำหนดจิตรวมลงในสถานที่ควรอันหนึ่ง...แล้วก็ได้รับความสงบ เยือกเย็น ดูคล้ายกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น...พักในที่ตรงนั้นจนกระทั่งเครื่องบินได้ลดระดับลงมาถึงแผ่นดินด้วยความปลอดภัย

เมื่อหลวงพ่อกลับถึงประเทศไทยแล้วมีคนเรียนถามหลวงพ่อว่าเมื่อเครื่องบินเอียงวูบๆเช่นนั้นเจ้าหน้าที่เขาบอก ให้เตรียมตัวแล้วหลวงพ่อทำอย่างไร? หลวงพ่อตอบว่า คู้ขาขึ้นนั่งสสมาธิ หลับตา ตั้งจิตรวมลงผ่อนลมเข้าออก เพ่งๆไปที่ล้อเครื่องบินจนกระทั่งเครื่องบินมีการทรงตัว เมื่อเครื่องบินลงจอดเรียบร้อยแล้วจึงลืมตา หลวงพ่อเล่าว่า...ทางหอบังคับการบินได้ส่ง เฮลิคอปเตอร์ขึ้นคุ้มกันความปลอดภัย ทางพื้นดินก็มีรถดับเพลิงเตรียมพร้อมคอยดับ ถ้ามีการเกิดเพลิงไหม้ แต่ก็น่าแปลกใจที่เครื่องบินลงสู่นามด้วยความปลอดภัยและเรียบร้อย

วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ซึ่งนับว่าวันแรกที่หลวงพ่อ ได้ออกบิณฑบาต ที่บ้านเศรษฐีผู้นี้เขาได้ถวายอุปัฏฐากเป็นอย่างดี เขาชอบฟังธรรม สนทนาธรรม และนั่งสมาธิด้วย นับว่าเมื่อมาอยู่ อังกฤษพึ่งจะได้ออกบิณฑบาตเป็นครั้งแรก หลวงพ่อได้แสดงธรรม และอบรมกรรมฐานให้ญาติโยมผู้สนใจ ซึ่งมาประชุมกันอยู่ที่บ้านเศรษฐีผู้นั้นและพักอยู่ในบริเวณบ้านเศรษฐีซอร์ ๓ วันจึงได้กลับลอนดอน

โยมฟรีดาผู้อุปัฏฐากธรรมประทีป ได้เอารถมานิมนต์ไปชมมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง คนรู้จักดีและได้ไปชมสถานที่ต่างๆพอสมควร

วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ได้มีพระญี่ปุ่นมาพัก ด้วยกันอยู่ที่วัดธรรมประทีป หลวงพ่อได้สนทนากันตอนหนึ่ง หลวงพ่อจึงถามว่า รักษาศีลเท่าไหร่? เขาจึงตอบว่า การกระทำ ซึ่งติให้สมบูรณ์อยู่เท่านั้นเรียกว่าการปฏิบัติของเรา และให้อยู่ในปัจจุบันไม่มีต้นไม่มีปลาย เป็นอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาบอก หลวงพ่อว่าเขาเป็นคนญี่ปุ่น ได้กระทำการปฏิบัติลัทธิเฉ็นจาธิเบต

วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๒๐ ออกบิณฑบาตในลอนดอน ครั้งแรก หลวงพ่อได้เขียนไว้ในสมุดบันทึกว่า...วันนี้เป็นวันแรกที่ได้ออกบิณฑบาตในกรุงลอนดอนพร้อมด้วยพระสุเมโธ ๑ พระเขมธัมโม ชาวอังกฤษ ๑ และสามเณรชินทัตโต ๑ ซึ่งเป็นสัญชาติฝรั่งเศส พระโพธิญาณเถรเป็นหัวหน้า

ออกบิณฑบาตวันแรกได้ข้าวพออิ่ม ผลแอปเปิ้ล ๒ ใบ กล้วยหอม ๑ ใบ ้ม ๑ ใบ แตงกวาส๑ ลูก แคร์รอต ๒ หัว ขนม ๒ ก้อน

ดีใจซึ่งได้อาหารวันนี้ เพราะเราเข้าใจว่าเป็นอาหารพระพ่อ คือเป็นมูลของพระพุทธเจ้านั่นเอง และเป็นอาหารที่เกิดจากการ บิณฑบาตได้ เมืองนี้ยังไม่เคยมีพระบิณฑบาตเลย เพราะเขามีความอายกันเป็นส่วนมาก แต่ตรงกันข้ามกับเราๆ เห็นว่า คำที่ว่าอายนี้ เราเห็นว่าอายต่อบาป อายต่อความผิดเท่านั้น ซึ่งเป็นความหมายของพระองค์นี้ เป็นความเห็นของเราเอง จะถูกหรือผิดก็ขออภัยจากนักปราชญ์ทั้งหลายด้วย และวันเดียวกันนั้นโยมของเขมธัมโม ทั้งผัวเมียได้ถวายอาหารด้วย ได้ขอฟังเทศน์และฝึกกรรมฐานเป็นพิเศษอย่างเป็นที่พอใจ

หนังสือพิมพ์ได้สะกดรอยไปข้างหลัง แล้วถ่ายรูปเป็น สระยะๆ ในระหว่างการเที่ยวบิณฑบาต เพราะเป็นของแปลกๆ ประชาชนชาวเมืองลอนดอนยืนดูกันเป็นแถวๆ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

เย็นวันหนึ่งมีหญิงคนหนึ่งมาที่วัดธรรมประทีป ถามปัญหาว่า คนตายแล้วไปอยู่ที่ไหน? และวิญญาณไปอยู่อย่างไร? หลวงพ่อจึงพูดว่า...ปัญหาอย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่ทรงให้ตอบ เพราะเรื่องอย่างนี้มิใช่เหตุ (จำเป็น) ขณะนั้นหลวงพ่อนั่งอยู่บนธรรมาน์มีเทียนจุดไว้ ๒ เล่ม หลวงพ่อจึงถามว่า โยมมองเห็นเทียนนี้ไหม? เขาตอบว่า เห็น หลวงพ่อจึงถามว่า เห็นไฟนี่ไหม? เขาก็ตอบว่า เห็น ทันใดนั้น หลวงพ่อจึงเอาปากเป่าลมให้เทียนเล่มหนึ่งดับแล้วถามว่า เปลวของไฟนี้หายไปทิศไหน? เขาตอบว่า ไม่รู้ รู้แต่ว่าเปลวไฟดับไปเท่านั้น หลวงพ่อจึงถามอีกว่า แก้ปัญหาอย่างนี้พอใจไหม? เขาตอบว่า ยังไม่พอใจ ในคำตอบนี้ หลวงพ่อจึงพูดว่า ถ้าอย่างนั้น เราก็ไม่พอใจในคำถามของโยมเหมือนกัน เท่านั้นเอง กิเลสของเขาก็พุ่งขึ้น เขาทำตาถลึงขึ้น สะบัดหน้าแล้วก็หมดเวลาพอดี...

การพักอยู่ที่วัดธรรมประทีปลอนดอนนั้น ที่ทำประจำ คือ ตอนเช้าออกบิณฑบาต ตอนบ่ายถึงเย็นแสดงธรรมสอบรมกรรมฐานให้ญาติโยมที่มา และตอบปัญหาที่เขาถามเป็นประจำ แม้ไปที่เมืองอื่นๆ ก็ปฏิบัติอย่างนี้อยู่เป็นประจำ แล้วแต่เวลาและโอกาส

ในขณะที่หลวงพ่อไปประกาศสัจธรรมอยู่ในประเทศอังกฤษ ได้มีฝรั่งคนหนึ่ง เรียนถามท่านว่า ชีวิตของพระเป็นอย่างไร? ทำไมชาวบ้านถึงได้เลี้ยงดูโดยที่พระไม่ได้ทำอะไร?

หลวงพ่อจึงตอบแบบให้เขาต้องขบคิดปัญหาของตัวเองว่า ถึงบอกให้ก็ไม่รู้หรอกมันเหมือนกับนกที่อยากรู้เรื่องของปลา ในน้ำ ถึงปลาจะบอกความจริงว่า อยู่ในน้ำนั้นเป็นอย่างไร นกก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ ตราบใดที่นกยังไม่ได้เป็นปลา

คำพูดที่ซึ้งใจ จับใจของหลวงพ่อมันเข้าไปติดอยู่กับใจของคนเหล่านั้นอีกนาน ดังนั้นเมื่อหลวงพ่อกลับสู่เมืองไทยแล้ว ในระหว่างพรรษาปี ๒๕๒๐ นั้นเอง หลวงพ่อจึงได้รับหนังสือจาก คณะผู้จัดทำภาพยนตร์เพื่อการศึกษาของสถานีวิทยุ และโทรทัศน์ บี.บี.ซี. กรุงลอนดอน ติดต่อเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะวัดหนองป่าพง ตอนท้ายของหนังสือติดต่อฉบับนั้นมีข้อความอยู่ประโยคหนึ่งที่เขาพูดเน้นว่า หวังว่าท่านอาจารย์ คงจะเป็นปลาที่เห็นประโยชน์ (เกื้อกูล) แก่นก

ดังนั้นเมื่อประมาณต้นเดือนตุลาคมของปีนั้นเอง คณะของเขาจึงได้เดินทางเข้ามาเพื่อทำภาพยนตร์ดังกล่าวซึ่งเป็นเรื่องราวสารคดีเกี่ยวกับชีวิต และกิจวัตร ประจำวัน และข้อวัตรปฏิบัติทั้งปวงของพระป่า อันมีนามว่า พระกรรมฐานโดยตรง หลังจากนั้นไม่นานภาพยนตร์สารคดี เพื่อการศึกษาเรื่องนั้นก็ได้กระจายออกไปค่อนโลก

ในคราวออกไปประกาศสัจธรรมสู่ภาคพื้นตะวันตกของหลวงพ่อครั้งนี้ นอกจากที่ประเทศอังกฤษแล้วในระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ถึงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๒๐ นั้น หลวงพ่อ ยังได้แผ่เมตตาไปถึงชาวปารีสประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย ช่วยให้ คนของประเทศนั้น และผู้พึ่งย้ายเข้าไปอยู่ร่วม เขาได้ดื่มด่ำในรส แห่งพระสัทธรรม อันพรั่งพรูออกจากโอษฐ์ของหลวงพ่อเป็นเวลา ตั้ง ๙ วัน หลวงพ่อพูดให้ฟังว่า เป็นที่เกิดความสังเวชน่าสงสาร ชาวลาว เขมร ญวน อพยพเหล่านั้นบ้านแตกสาแหรกขาด เป็นคนพลัดถิ่นเหินห่างดินแดนมาตุภูมิส เพราะไฟกิเลสที่คนเราก่อขึ้นทำลายกัน คนที่เคยร่ำรวยอยู่ดีสบายมากลับกลายเป็นคนจนขัดนพลัดจากบ้านเกิดเมืองนอนมีผิวพรรณหมองคล้ำ น้ำตานองหน้า ความพลัดพรากจากของที่รักที่พอใจมันก็ เป็นทุกข์ คนตาดีเท่านั้น จึงจะมองเห็นธรรม ส่วนคนตาบอด (ตาใน) ย่อมมองไม่เห็นธรรมเลย

ตอนหนึ่งท่านได้ให้โอวาท เป็นการปลอบใจ ของผู้พลัดถิ่น เหล่านั้นว่า เลิกคิดเสีย อย่าไปคิดถึงมัน เรื่องที่ผ่านไปแล้วมัน ก็ผ่านไปแล้ว เหมือนวันวาน อย่าไปเก็บเอามาเป็นหนามทิ่มแทงตัวเองอีกเลย ให้ถือว่าเราเกิดใหม่แล้ว บ้านของเรานั้นอยู่ที่ไหนเล่า อยู่ที่นี่ตรงนี้แหละ ญาติมิตรของเราก็อยู่มีที่นี่แล้ว ที่เราจากมามันไม่ใช่บ้านของเรา ถ้าเป็นบ้านของเราจริงเราก็ต้องอยู่ได้ซิ...อย่าไปคิดอะไรมากจะลำบากตัวเองเปล่าๆ จงอุตส่าห์ทำมาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริตดำรงชีวิตสร้างความดีต่อไป ให้มีความสามัคคีเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือกันมีเมตตาอารีต่อกัน จะอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีใครอยู่ได้นานเท่าไหร่หรอก เดี๋ยวเราก็พากันจากมันไปหมดนั่นแหละ

ธรรมโอสถของหลวงพ่อ คงจะเป็นดั่งทิพย์วารีชำระล้างจิตที่เศร้าหมองระทมทุกข์มาแรมปี พอได้ร่างซาความเร่าร้อนลงได้บ้าง คงจะเป็นผ้าสำลีแผ่นน้อยๆ คอยซับน้ำตาในยามทุกข์ได้บ้าง คงจะทำให้เขาเหล่านั้นพอมีทางมองเห็นเข็มทิศชี้ทางให้เขาเหล่านั้น ไม่คิดสั้นเกินไปกระมัง...

เมื่อกลับคืนสู่วัดพระธรรมประทีป กรุงลอนดอนแล้ว หลวงพ่อก็ได้ประกาศธรรม และทำศาสนกิจประจำดังเช่นวันก่อนๆ จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๒๐ หลวงพ่อได้เขียนไว้ในสมุดบันทึกว่า

ตอนกลางคืนวันที่ ๑๔ พลอากาศโทชู พร้อมด้วยคุณนาย สุภาพและคุณทองน้อย ซึ่งเป็นคนของไทยอินเตอร์ ได้ไปรวมกับพวกทำกรรมฐาน และได้ร่วมในการเปิด สาขาที่ ๑ (ภาคพื้นยุโรป) นี้ด้วย และในวันที่ ๑๕ ก็ได้ช่วยบริการให้ความสะดวกทุกอย่างบนเครื่องบินตลอดต้นทาง ถึงปลายทางด้วย ทั้งตอนไปก็ให้ความสะดวก และตอนกลับก็ให้ความสะดวก

เราได้เดินทางไปเมืองนอก และเมืองในนอก และเมืองในใน และเมืองนอกนอก รวมเป็น ๔ เมืองด้วยกัน และภาษาที่ต้องใช้ในเมืองทั้งหลายเหล่านี้คือ นิรุตติภาษาจึงเกิดประโยชน์เท่าที่ควร ภาษาทั้งหลายเหล่านี้ ไม่มีครูสอนเป็นภาษาที่ต้องเรียนด้วยตนเองเท่านั้น เมื่อพบกับเหตุการณ์ ภาษาทั้งหลายเหล่านี้จึงจะปรากฏขึ้นเฉพาะ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงแตกฉานในภาษาทั้งปวง และได้เห็นชนชาวยุโรปนี้ เป็นดอกบัว ๔ เหล่าจริงๆ เรามีความรู้สึกอย่างนั้น

เราเป็นพระอยู่แต่ในป่ามานมนาน นึกว่าไปเมืองนอกจะมีความตื่นเต้นก็เปล่า พระพุทธเจ้าตามควบคุมเราอยู่ทุกอิริยาบถ มิหนำซ้ำยังไม่เกิดปัญญาอีกด้วย เหมือนบัวในน้ำไม่ยอมให้น้ำท่วม ฉันนั้น พิจารณาตรงกันข้ามเรื่อยไป

ได้เที่ยวไปดูในมหาวิทยาลัยต่างๆแล้วจึงคิดว่า มนุษยศาสตร์ทั้งหลายมันยิ่งเห็นได้ชัดว่ามีแต่ศาสตร์ที่ไม่มีคมทั้งนั้น ไม่สามารถจะตัดทุกข์ได้มีแต่ก่อให้เกิดทุกข์ศาสตร์ ทั้งหลายเหล่านั้นเราเห็นว่า ถ้าไม่มาขึ้นต่อพุทธศาสตร์ แล้วมันจะไปไม่รอดทั้งนั้น เมื่อเรานั่งอยู่บนเครื่องบิน มีความรู้สึกแปลกหลายอย่าง และได้วิตกไปถึงคำที่ท่านว่า สู ทั้งหลายจงมาดูโลกนี้อันตระการดุจราชรถที่คนเขลาย่อมหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ อันนี้ก็ชัดเจนยิ่งขึ้นและคำที่ท่านตรัสไว้ว่า เมื่อยังไม่รู้การประพฤติและประเพณีของชนในกลุ่มทั้งหลายเหล่านั้น เราอย่าไปถือตัวในที่นั้น อันนี้ก็ชัดเจนขึ้นถึงที่สุด

ยานที่นำประชาชนทั้งหลายไปสู่จุดประสงค์ ก็เป็นยานอย่างหยาบๆ เพราะเป็นยานที่นำคนที่มีทุกข์ในที่นี้ ไปสู่ทุกข์ในที่นั้นอีกสวนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบ และรู้สึกขึ้นว่าเรามาเมืองนอกได้ เพราะอะไรเป็นเหตุ? เพราะอะไรๆ เรา ก็ไม่ได้ศึกษาและมาได้โดยสะดวกทุกอย่างมีผู้บริการทั้งนั้น เมื่อคิดๆดูก็แปลกและรู้สึกขบขันมากๆ (เขียนบนเครื่องบินกำลังบินบนอากาศสูงสุดสองหมื่นฟุต)

ความรู้สึกในเหตุการณ์ ที่ได้ไปเมืองนอกในคราวนี้ ก็น่าขบขันเหมือนกัน เพราะเราเห็นว่าอยู่เมืองไทยมานานแล้ว คล้ายๆกับพญาลิงให้คนหยอกเล่นมาหลายปีแล้ว ลองไปเป็นอาจารย์กบในเมืองนอกดูสักเวลาหนึ่งมันจะเป็นอย่างไร เพราะภาษาเขาเราไม่รู้ ก็ต้องเป็นอาจารย์กบอย่างแน่นอน และก็เป็น ไปตามความคิดอย่างนั้น กบมันไม่รู้ภาษาของมนุษย์ แต่พอมันร้องขึ้นแล้วคนชอบไปหามันจังเลย

เลยเป็นคนใบ้ สอนคนบ้าไปอีกเสียแล้ว ก็ดีเหมือนกัน ปริญญาของพระพุทธเจ้านั้นไม่ต้องไปเรียนไปสอนกับเขาหรอก ฉะนั้นพระใบ้เลยเป็นเหตุให้ได้ตั้งสาขา ๒ แห่ง คือกรุงลอนดอน และฝรั่งเศส เพื่อให้คนบ้าศึกษาก็ขบขันดีเหมือนกันฯ...

วันที่ ๑๙ ก.ค. ๒๕๒๐ เดินทางกลับจากกรุงลอนดอน สู่ประเทศไทย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19 กุมภาพันธ์ 2011, 12:46:15 โดย todsapononline » บันทึกการเข้า

todsapononline
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 17
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 194



ดูรายละเอียด
« ตอบ #13 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2011, 12:45:10 »


ประวัติหลวงพ่อชา สุภัทโท (ตอนที่3)

การจาริกไปต่างประเทศครั้งที่ ๒
ในการจาริกครั้งที่ ๒ นี้เนื่องจากหลวงพ่อได้บันทึกไว้ ในสมุดเหมือนครั้งแรกท่านคงพิจารณาเห็นว่าครั้งที่หนึ่งบันทึกไว้ข้าง นอกเพื่อผู้อื่นได้ทราบผลงานจินตนาการบางอย่างของท่าน เหมือนกับเปิดไฟให้มีแสงสว่างหน้าบ้าน เพื่อเป็นประโยชน์แก่ คนทั่วไป ที่ใคร่ในการเดินทาง...

แต่การไปครั้งที่สองของท่านนี้ หลวงพ่อบันทึกไว้ข้างในมากกว่า ผู้รวบรวมจึงไม่สามารถที่จะนำมาเสนออย่างละเอียดแก่ผู้อ่านได้ จึงมีเพียงย่อๆ เปรียบเหมือนหลวงพ่อได้เปิดไฟสว่าง ในห้องนอน แต่แสงสะท้อนซึ่งส่องออกมา ก็ทำให้ผู้อยู่ข้างนอก ได้รับแสงสว่างส่องทางเดินแห่งชีวิตของเขาเหล่านั้น ตามสมควรแก่ฐานะภาวะของตน

ดังนั้นจึงมีชาวสังฆทรัสต์ แห่งประเทศอังกฤษ ได้ติดต่อขอนิมนต์หลวงพ่อชา สุภัทโท ให้จาริกไปเผยแพร่ธรรมะที่นั่นเป็นครั้งที่ ๒ ในปี ๒๕๒๒ หลวงพ่อจึงได้ออกเดินทางไปตามคำนิมนต์ของเขา พร้อมกับพระปภากโรอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๒ นั้นเอง เมื่อเดินทางถึงประเทศอังกฤษแล้วก็ได้ ให้การอบรมกรรมฐาน แสดงธรรมและสนทนาธรรมกับผู้มาพบเป็นจำนวนมากขึ้นกว่าการไปครั้งแรกหลายเท่า นอกจากนั้นท่านยังได้ไปดูสถานที่ที่เขาถวาย เพื่อจัดตั้งเป็นสำนักถาวรขึ้น ในที่แห่งใหม่นี้เป็นธรรมชาติน่ารื่นรมย์ใจ เหมาะสมแก่การปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เพราะบริเวณกว้างขวางดี รู้สึกว่าไม่คับแคบเหมือน แฮมป์สะเตท ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางเมืองลอนดอน ไม่เพียงพอแก่จำนวนคนผู้ใคร่ต่อการปฏิบัติธรรม ส่วนสถานที่แห่งใหม่นี้เป็นป่าธรรมชาติของเมืองหนาวมีทะเลสาบอยู่ใกล้ๆมีตึกเก่าหลังใหญ่อยู่หลังหนึ่ง ใช้เป็นที่พักพาอาศัย และประกาศสัจธรรมของพระภิกษุสามเณรซึ่งล้วนเป็นชาวตะวันตก ผู้ได้รับการบรรพชาอุปสมบท ไปจากวัดหนองป่าพง จึงเป็นอันกล่าวได้ว่าพระสงฆ์ผู้เป็นลูกศิษย์ ของหลวงพ่อคณะนั้นได้เข้ามาอยู่อาศัยที่แห่งใหม่นี้เพื่อปฏิบัติธรรม และประกาศสัจธรรมเรื่อยมา คณะกรรมการของธรรมประทีป เป็นเพียงผู้อุปถัมภ์ตามสมควรแก่ฐานะเท่านั้น ปัจจุบันนี้ได้รับความสนใจจากชาวไทยและชาวต่างประเทศ ให้การสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นับว่าท่านสุเมโธและคณะลูกศิษย์ ซึ่งเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ ในนามหลวงพ่อชาแห่งวัดหนองป่าพงได้ถ่ายทอดหลักปฏิบัติธรรม ให้ดำรงอยู่ในภาคพื้นตะวันตกนั้นได้อย่างดียิ่ง

เมื่อหลวงพ่อได้พักอยู่ที่ซัสเซ็คพอเป็นที่อุ่นใจแก่บรรดาสานุศิษย์แล้วจึงกลับมาพักที่แฮมป์สะเตทระยะหนึ่งเพื่อเตรียมตัว ออกเดินทางไปสหรัฐอเมริกา

จาริกสู่อเมริกา
หลวงพ่อชาออกเดินทางสู่สหรัฐอเมริกามีท่านปภากโร เป็นปัจฉาสมณะ ได้ไปพักที่สำนักกรรมฐานของนายแจ๊ค ผู้เป็นศิษย์ฝรั่ง ซึ่งเคยมาบวชอยู่ที่วัดหนองป่าพง หลวงพ่อได้พักอยู่ ที่สำนักนั้นเป็นเวลาเก้าวัน ท่านได้อบรมข้อปฏิบัติกรรมฐานแก่ ชนชาวอเมริกันเป็นจำนวนมาก ทำให้เขาเหล่านั้นได้รับปีติสุข เกิดความสนใจในหลักปฏิบัติตามแนวหลวงพ่อสั่งสอน แล้วจึงออกจากแมซาชูเทเดินทางไปเมืองซีแอ๊ตเติ้ล ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของท่านปภากโร ภิกขุ ออกจากซีแอ๊ตเติ้ลแล้วเดินทางเข้าสู่ชิคาโก แล้วก็เดินทางไปสู่ประเทศแคนาดา จากนั้นก็ได้ย้อนกลับมาที่แมซาชูเท แล้วเดินทางต่อไปที่นครนิวยอร์ค แต่ละสถานที่ที่หลวงพ่อได้ไปเยี่ยมนั้นๆ ท่านก็ได้แนะนำหลักปฏิบัติธรรมได้สนทนาธรรมและตอบปัญหาแก่ผู้ที่สนใจจนเป็นที่ซาบซึ้งตรึงใจของเขาเหล่านั้น

เมื่อหลวงพ่อกลับจากสหรัฐคืนสู่อังกฤษแล้ว พักที่ แฮมป์สะเตทท่านได้อยู่ดูแล การเคลื่อนย้ายบริขารของพระสงฆ์สานุศิษย์เพื่อเดินทางไปสถานที่แห่งใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ต่อจากนั้นท่านก็ได้เดินทางไปเยี่ยมบ้านของ มิสเตอร์ซอร์ เศรษฐีชาวพม่าอยู่ที่โอ๊คเก็นโฮล์ท ได้ร่วมสังฆกรรมบวชนาคกับท่านมหาสียาดอว์ ซึ่งเป็นพระเถระพม่าเป็นอุปัชฌาย์ ให้การอุปสมบทกุลบุตร

ต่อมาหลวงพ่อก็ได้รับนิมนต์ให้เดินทางไปยังสก๊อตแลนด์พักอยู่ที่นั้นสองคืน มีผู้สนใจในการปฏิบัติธรรม ซึ่งเคยมาฝึกภาวนาธรรมกับท่านสุเมโธก็มีอยู่ไม่น้อยและมีผู้สนใจคิดอยากจะให้ตั้งสำนักสาขาของหลวงพ่อขึ้นอีกที่นั่น
สักหนึ่งแห่งแต่ท่านยังพิจารณาอยู่ว่าจะมีความเหมาะสมเพียงใดหรือไม่

การเดินทางไปประกาศสัจธรรมในต่างประเทศของ หลวงพ่อชา สุภัทโท ทั้งสองครั้งนี้นั้น จึงถือได้ว่าหลวงพ่อได้นำหลักปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนา ไปเผยแพร่ยังต่างประเทศ ในนามของคณะสงฆ์และปวงชนชาวไทย ให้เป็นที่รู้จักของชนชาวตะวันตก เพื่อจะได้ดำรงคงอยู่ในภาคพื้นส่วนนั้นตลอดชั่วกาลนาน

หลวงพ่อได้เดินทางกลับคืนสู่ประเทศไทย เพื่อกลับมาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของสานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๒

[size=14pt]หลวงพ่ออาพา�
สังขารร่างกายของหลวงพ่อก็เกิดก่อมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งมีใจครอง เหมือนเราๆท่านๆนี่แหละ เมื่อสังขารผ่านมานานวัน ยิ่งใช้งานมากความทรุดโทรมก็เร็วขึ้นกว่าปกติ สมัยข้าพเจ้ามาอยู่กับท่านปีแรกๆ เคยนั่งสนทนาธรรมกับหลวงพ่อตั้งแต่สองทุ่ม จนกระทั่งถึงตี ๓ ตี ๔ บางโอกาส เคยเห็นท่านนั่งสนทนาธรรม กับญาติโยม ผู้สนใจในธรรมซึ่งเดินทางมาจากถิ่นไกล จนกระทั่งถึงรุ่งเช้าก็มีหลายๆครั้ง ชีวิตของท่านเกิดมาเพื่อผู้อื่นสมองเห็นประโยชน์เกื้อกูลแก่หมู่มนุษย์ผู้มาสู่ แม้จะอ่อนเพลียเมื่อยล้าสักปานใด ท่านก็ไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอให้เห็น เพราะอาศัยความเมตตาเป็นที่ตั้ง แม้ลูกศิษย์จะอยู่ในสำนักสาขาใดๆ จะไกลหรือใกล้ก็ตาม ท่านยังอุตส่าห์เดินทางไปให้กำลังใจและแนะนำการปฏิบัติสนับสนุนอย่างทั่วถึงแต่สังขารร่างกายทุกอย่างก็มี ความ แก่ เจ็บ ตาย ไปเป็นธรรมดา

ดังนั้นในปี ๒๕๒๐ ถึงแม้ความผิดปกติของร่างกายจะปรากฏขึ้นบ้าง แต่เพราะหลวงพ่อมุ่งประโยชน์เพื่อส่วนรวม ท่านก็ยังอดทนสู้ได้เดินทางไปประกาศสัจธรรมในต่างประเทศถึงสองครั้ง เป็นการนำธรรมโอสถจากดินแดนภาคตะวันออก ไปสงเคราะห์ชาวตะวันตก ให้ได้รับประโยชน์อย่างดียิ่ง นี่คือพลังแห่งเมตตาธรรม ซึ่งมีประจำอยู่ในหทัยของท่าน

หลวงพ่อเริ่มอาพาธ และเริ่มมีอาการปรากฏขึ้นทีละน้อยๆ จนกระทั่งได้รับการผ่าตัดทางสมอง แต่ก็เป็นที่น่ายินดีที่ได้มีคณะแพทย์หลายท่าน หลายโรงพยาบาลได้ถวายการรักษาจนสุดความสามารถ ซึ่งบรรดาคณะศิษย์ทั้งหลายขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ และตามหนังสือรายงานแพทย์ ซึ่งนายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา และนายแพทย์สุพัฒน์ โอเจริญ แห่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จ.กรุงเทพฯ ได้บันทึกไว้ว่า

หลวงพ่อชาอายุ ๖๔ ปี แข็งแรงเป็นปกติดี จนเริ่มมีอาการครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๐ ขณะเดินทางไปประเทศอังกฤษ ด้วยรู้สึกโงนเงน การทรงตัวไม่ค่อยดี ไม้เท้าซึ่งใช้ถืออยู่เป็นประจำ อยู่แล้ว รู้สึกว่าจำเป็นต้องใช้มีอาการหนักบริเวณต้นคอด้วย

ตั้งแต่นั้นมา อาการโงนเงนทรงตัวไม่ค่อยดี ก็เป็นมาตลอด บางระยะก็เป็นมาก บางระยะก็น้อย พ.ศ.๒๕๒๓มีอาการคลื่นไส้มักเป็นตอนดึกๆมีน้อยครั้งที่เกิดอาเจียนด้วย อาการโงนเงนยังเป็น เช่นเดิม ไม่เคยถึงกับล้ม

พ.ศ.๒๕๒๔ ราวเดือนกรกฎาคม เริ่มมีอาการความจำ ไม่ดี อาการโงนเงนทรงตัวไม่ดี ก็ทรุดลง มีอาการเมื่อย และอ่อนเพลียด้วยมีอาการหนักตึงต้นคอ แต่เมื่อฉันยาหม้อสมุนไพร อาการหนักต้นคอนี้หายไป ตอนนี้ตรวจพบว่าเป็นเบาหวานด้วย นายแพทย์สุเทพ และแพทย์หญิงประภา วงศ์แพทย์ ได้จัดยาถวาย ส่วนอาการอื่นยังคงอยู่ จนถึงกลางเดือนกันยายน รู้สึกอ่อนเพลียมากขึ้น และเบื่ออาหาร นายแพทย์อุทัย เจนพานิชย์ ได้ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจให้ พบว่าปกติดี

อาการทรุดมากขึ้น ในวันที่๑๔ตุลาคม๒๕๒๔จึงเดินทางไปกรุงเทพฯ เข้าโรงพยาบาลสำโรง ขณะนั้นยังเดินเองได้ แต่ต้องช่วยพยุงบ้าง ได้ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ซ้ำ พบว่า ช่องภายในสมองขนาดเล็กลงกว่าครั้งแรกจนถึงกลางเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๕ เมื่อเดินทางกลับไปยังจังหวัดอุบลราชธานียังมีอาการทรงตัวไม่ค่อยดี เดินต้องพยุงและเดินไกลๆไม่ได้ ผู้ดูแลสังเกตว่าขาข้างซ้ายยกไม่ค่อยถนัด สู้ข้างขวาไม่ได้ ความจำและการพูดบางวันดีพอสมควร บางวันเลอะเลือน บางระยะรู้สึกเพลียและ ไม่อยากพูดหรือทำสิ่งใดอาการเป็นมากขึ้นในระยะ๓สัปดาห์หลังนี้ บางวันเพลีย และพูดไม่มีเสียง เดินได้เพียงระยะไม่กี่ก้าว ต้องใช้รถนั่งเข็นไปในบริเวณวัดวันละสองครั้ง อาหารฉันได้น้อยลง

เมื่อปี ๒๕๒๕ อาการของหลวงพ่อทรุดลง ศิษย์จึง อาราธนาให้หลวงพ่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม รับหลวงพ่อไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ได้อยู่ในห้องชุดพิเศษ ที่ตึกจงกลณี อยู่โรงพยาบาลนาน ๕ เดือน มีศาสตราจารย์ นายแพทย์จรัส สุวรรณเวลา ในขณะนั้นเป็นผู้อำนวยการ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นหัวหน้าคณะแพทย์ถวายการรักษา เมื่ออยู่จนอาการทรงและพ้นระยะอันตรายแล้วแพทย์ให้พยากรณ์โรคว่าจะค่อยๆ ทรุดลงคณะสงฆ์เห็นพ้องต้องกันว่าควรจะนิมนต์ หลวงพ่อกลับวัดหนองป่า พงทางกองทัพอากาศได้จัดเครื่องบินเที่ยวบินพิเศษถวาย

ก่อนหน้านั้น ทางวัดได้จัดสร้างกุฏิหลังใหม่ไว้คอยท่า ด้วยพระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่โปรดเกล้า โปรดกระหม่อมพระราชทานให้ส่วนหนึ่ง คณะศิษย์ที่เคยอุปัฏฐากสม่ำเสมอโดยตลอด ได้ร่วมสมทบโดยเสด็จพระราชกุศลด้วยอีก ส่วนหนึ่ง ได้ออกแบบให้คล้ายไอซียู ในบริเวณป่าของวัด สร้างเป็นตึกชั้นเดียว หลังเล็ก จัดให้มีที่ทางที่สะดวกกับการถวายการ อุปัฏฐาก และมีเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นต้องใช้ จึงเอื้ออำนวยให้ถวายการดูแลได้ใกล้เคียงกับเมื่ออยู่ในโรงพยาบาล มีแพทย์จากโรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ ประสงค์มาถวายตรวจอาการเป็นประจำทุกวัน บุรุษพยาบาลเปลี่ยนเวรกันมาเฝ้า คณะพยาบาลเอื้อเฟื้อให้ความสะดวกเต็มที่และพระอาจารย์เลี่ยม ิตธมฺโม จัดเวรพระสงฆ์ศิษย์หลวงพ่อทั้งในวัดหนองป่าพงและตามสาขาต่างๆ ให้เข้าเวรวันละ ๒ ผลัดๆละ ๔ องค์ และสามเณรอีก ๑ รูป มิได้ขาด จนมีผู้กล่าว ว่ามหาเศรษฐีก็มิอาจจะจ้างบุรุษพยาบาลได้ถึงวันละ ๑๐ คน หรือผู้มีบุตร ๑๒ คน เมื่อป่วยก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ลูกมาดูแลอย่างดีเท่าหลวงพ่อ ทั้งนี้เพราะหลวงพ่อเป็นผู้เปี่ยมด้วยเมตตา เป็นที่รักและเคารพของบรรดาศิษย์ พระที่เข้าเวรปฏิบัติหลวงพ่อนั้นต่าง ถวายแรงกาย แรงใจ และอุทิศเวลาให้หลวงพ่อเป็นปฏิบัติบูชา ต่อผู้มีพระคุณยิ่งกว่าบิดาบังเกิดเกล้า คณะชีก็ผลัดเวรกันมาประกอบอาหารเหลวตามที่โภชนากรแนะให้ทุกวันมิได้ขาดเลย เมื่อถึงระยะที่หลวงพ่อมีอาการสำลักบ่อยขึ้นขณะให้อาหารทางปาก แพทย์เห็นสมควรให้เปลี่ยนให้ทางสายยางลงกระเพาะเพื่อป้องกัน โรคปอดบวมแทรกจากการสำลักอาหารหรือเสมหะ พระอุปัฏฐาก ก็เรียนวิธีใส่สายยางจนชำนาญมีการซ้อมใส่ตนเองก่อน ด้วยความหวังที่จะลดความระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อในหลอดคอ และหลอดอาหารของหลวงพ่อในการใส่แต่ละครั้งให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ท่านยังเรียนวิธีตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เพื่อดูระดับน้ำตาลเพื่อบันทึกและรายงานต่อแพทย์และปรับขนาดยา ตามสั่งได้ถูกต้องแม้หลวงพ่อจะอาพาธนานนับปีแต่ผิวพรรณก็ดูผ่องใส และไม่เคยมีแผลกดทับอย่างผู้ป่วยเรื้อรังส่วนใหญ่

มีผู้กล่าวว่าการที่หลวงพ่ออยู่เป็นขวัญให้ลูกศิษย์หลายปีนั้นมีผลให้พระสงฆ์เจริญในธรรมและสามัคคี ร่วมแรง ร่วมใจ เร่งปฏิบัติบูชาแด่หลวงพ่อ ทำให้เกิดมีสาขาต่างๆเพิ่มขึ้นทั้งในและนอกประเทศ นอกจากนี้ยังมีการรวบรวมเทปเทศนาของหลวงพ่อ ถอดความออกมาเป็นหนังสือแจกญาติโยมได้มากมายหลายเรื่อง ยังผลให้ฆราวาส ผู้สนใจในคำสอนของหลวงพ่อมุ่งปฏิบัติธรรมมากขึ้น

มีคนเป็นหมู่คณะมากราบเยี่ยมหลวงพ่อเป็นประจำทุกวัน จนต้องกำหนดเวลาเยี่ยมในภาคเช้าและเย็น เพื่อมิให้เป็นการรบกวน หลวงพ่อมากเกินไป พระอุปัฏฐากจะเข็นรถออกมาให้ญาติโยมได้กราบตามเวลาที่กำหนด รถเข็นนี้เป็นรถที่สั่งประกอบพิเศษจากประเทศอังกฤษมีการวัดสัดส่วนของหลวงพ่อส่งให้เขา (ทำนองเดียวกับการวัดตัวตัดเสื้อ) จึงใช้ได้ดีมีที่พยุงคอ แขนขาในสัดส่วนที่เหมาะเจาะ ผู้ที่ไม่เคยมากราบเยี่ยมอาจเข้าใจผิดว่าหลวงพ่อท่านนั่งได้เอง และไม่ได้เป็นอัมพาต

สำหรับโอสถที่ใช้เป็นประจำ ส่วนใหญ่เบิกได้จาก โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ประสงค์ โอสถพิเศษที่ไม่มีในจ.อุบลฯ ก็สั่งมาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้อยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์เสมอมา

ตั้งแต่ปี ๒๕๓๐ คณะพระสงฆ์ทั้งวัดป่านานาชาติ ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศ มาเยี่ยมถวายสักการะหลวงพ่อทุกวัน พระเป็นประจำมีอุบาสกอุบาสิกาโดยสาร รถสองแถวมาด้วยเสมอ พากันมาสวดมนต์บทสำคัญๆ เช่น วิปัสนาภูมิ และโพชฌงค์ เป็นต้น ถวายหลวงพ่อ เป็นภาพที่ประทับใจแก่ผู้มาพบเห็นเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาเมื่อมีคณะผู้ปฏิบัติธรรมจากกรุงเทพฯมา ก็มีการสวดทำวัตร ถวายหลวงพ่อด้วยเป็นครั้งคราว

ระยะต่อมา หลวงพ่ออาการหนักเป็นพักๆ มักจะเป็นระยะ ที่อากาศเปลี่ยนแปลงราวเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน หลวงพ่อต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ประสงค์ต้องเจาะคอเมื่อเมษายน ๒๕๓๑ เพื่อให้ดูดเสมหะได้ง่ายขึ้น

อาการของหลวงพ่อทรุดลงช้าๆ ตามวัยและสังขารที่เสื่อมลงไป เหมือนกับหลวงพ่อสาธิตให้ศิษย์เห็นภัยในวัฏสงสารเห็นความเสื่อมไปสิ้นไปของสังขารว่า เรามีความแก่ ความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่มีใครจะล่วงพ้นความแก่ ความเจ็บไข้ไปได้ พระอุปัฏฐากเล่าว่าแม้หลวงพ่อจะไม่ได้แสดงธรรมเทศนา แต่ก็ได้เรียนธรรมจากหลวงพ่อเสมอ

เนื่องจากหลวงพ่อไปเข้าไอซียู ของโรงพยาบาล สรรพสิทธิ์ประสงค์อยู่บ่อยๆ จึงมีผู้ปรารภให้คณะศิษย์ร่วมสมทบทุนสร้างตึกไอซียู.ให้แก่โรงพยาบาล ขณะนี้ก็ยังดำเนินการสร้างอยู่ยังไม่แล้วเสร็จเข้าใจว่ายังขาดงบที่จะซื้ออุปกรณ์อีก

มกราคม ๒๕๓๕ หลวงพ่อหอบมากจึงต้องเข้า โรงพยาบาลอีก แพทย์วินิจฉัยว่าหัวใจวาย ต่อมามีอาการไตวายแทรกด้วย แพทย์ให้การรักษาเต็มที่อาการไม่ดีขึ้น คืนวันที่ ๑๕ มกราคม หลังจากที่ทราบว่าอาการของหลวงพ่อทรุดลงเรื่อยๆ คณะสงฆ์เห็นสมควรนิมนต์หลวงพ่อกลับวัด เช้าวันที่ ๑๖ มกราคม เวลา ๕.๒๐ น. หลวงพ่อก็ละสังขารไปอย่างสงบ จากไปอย่าง ครูผู้ยิ่งใหญ่ในวันครู

ระยะนั้นเป็นระยะที่การก่อสร้างในวัดส่วนใหญ่สำเร็จแล้ว และพระสงฆ์ต่างชาติกำลังอบรมกรรมฐานกันที่วัดป่าวนโพธิญาณ มีพระอาจารย์สุเมโธศิษย์ฝรั่งองค์แรกของหลวงพ่อ เป็นผู้อบรมธรรมอยู่ ส่วนพระสงฆ์ไทยก็เตรียมจะประชุมกันในเวลาอันใกล้กันนั้น ศิษย์จึงต่างเตรียมพร้อมที่จะมาชุมนุมกันที่วัดหนองป่าพง อยู่แล้ว เมื่อทราบข่าวหลวงพ่อจึงมากันอย่างพร้อมเพรียงกันมากราบ สักการะร่างของหลวงพ่อที่ทอดลงสอนศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย และต่างพากันปฏิบัติบูชาหลวงพ่ออย่างเข้มแข็ง

ที่มา : วัดหนองป่าพง
บันทึกการเข้า

zekan
Verified Seller
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 47
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,340



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2011, 12:55:46 »

ขออนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ สาธุ สาธุ
บันทึกการเข้า

แหล่งรวมแบบบ้าน ราคาประหยัด รับเขียนแบบบ้าน  และยังมีแบบบ้านฟรี ให้เลือกดาวน์โหลดฟรีอีกมากมาย พร้อมทั้งแบบบ้านชั้นเดียว อีกหลายหลังให้ท่านเลือกพิจารณา และมี Application แบบบ้านฟรีอีกด้วย แถมตอนนี้เรามี ช่อง TV ใน youtube เพิ่มอีก
skyworker
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 102
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,268



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2011, 13:38:56 »

ขออนุโมทนาด้วยครับ
จะนำไปเผยแพร่ต่อได้หรือไม่
บันทึกการเข้า

todsapononline
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 17
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 194



ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2011, 16:20:21 »

ขออนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ด้วยครับ สาธุ สาธุ

สาธุ  wanwan017
บันทึกการเข้า

todsapononline
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 17
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 194



ดูรายละเอียด
« ตอบ #17 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2011, 16:26:37 »

ขออนุโมทนาด้วยครับ
จะนำไปเผยแพร่ต่อได้หรือไม่

เผยแพร่ต่อได้ครับ
บันทึกการเข้า

kookcoo
คนรักเสียว
*

พลังน้ำใจ: 2
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 192



ดูรายละเอียด
« ตอบ #18 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2011, 17:15:13 »

แก่นแท้ของพระพุทธศาสนาไม่มีวันเสื่อม คนต่างหากที่เสื่อม...




Credit: ภาพยนต์เรื่องนาคปรก wanwan017
บันทึกการเข้า
chewpong
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 160
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,065



ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2011, 18:35:21 »

พระอรหันต์ ?! wanwan044
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 4   ขึ้นบน
พิมพ์