ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

ThaiSEOBoard.com< กดยุบ (ห้องยกเลิกการใช้งาน)สาระคำถามทั่วไป (ย้ายไป cafe)เรียนรู้วิธีการเจาะระบบ Web Application Hacking ทั้ง10 วิธี ของแฮกเกอร์ และวิธีป
หน้า: [1]   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เรียนรู้วิธีการเจาะระบบ Web Application Hacking ทั้ง10 วิธี ของแฮกเกอร์ และวิธีป  (อ่าน 3033 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
gam_55
Verified Seller
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 319
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,203



ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2011, 01:49:38 »

เรียนรู้วิธีการเจาะระบบ Web Application Hacking ทั้ง10 วิธี ของแฮกเกอร์ และวิธีป้องกันอย่างได้ผล

รายละเอียดของ Top 10 Web Application Hacking มี 10 วิธี ดังนี้

1. Unvalidated Input

หมาย ถึง การที่ข้อมูลจากฝั่ง client ที่ส่วนใหญ่แล้ว จะมาจาก Internet Explorer (IE) Browser ไม่ได้รับการตรวจสอบก่อนถูกส่งมาประมวลผลโดย Web Application ที่ทำงานอยู่บน Web Server ทำให้แฮกเกอร์สามารถดักแก้ไขข้อมูลในฝั่ง client

ก่อน ที่จะถูกส่งมายังฝั่ง server โดยใช้โปรแกรมที่สามารถดักข้อมูลได้ เช่น โปรแกรม Achilles เป็นต้น ดังนั้น ถ้าเรารับข้อมูลจากฝั่ง client โดยไม่ระมัดระวัง หรือ คิดว่าเป็นข้อมูลที่เราเป็นคนกำหนดเอง เช่น เทคนิคการใช้ Hidden Field หรือ Form Field ตลอดจนใช้ข้อมูลจาก Cookies เราอาจจะโดนแฮกเกอร์แก้ไขข้อมูลฝั่ง client ด้วย โปรแกรมดังกล่าวแล้วส่งกลับมาฝั่ง server ในรูปแบบที่แฮกเกอร์ต้องการ และมีผลกระทบกับการทำงานของ Web Application ในฝั่ง web server

วิธีการป้องกัน

เรา ควรจะตรวจสอบข้อมูลที่รับมาจากทั้ง 2 ฝั่ง คือ ข้อมูลที่รับมาจาก client ผ่านทาง Browser และข้อมูลที่รับมาประมวลผลที่ web server โดยตรวจสอบที่ web server อีกครั้งก่อนนำไปประมวลผลด้วย Web application เราควรมีการฝึกอบรม Web Programmer ของเราให้ระมัดระวังในการรับ input จากฝั่ง client ตลอดจนมีการ Review Source code ไม่ว่าจะเขียนด้วย ASP, PHP หรือ JSP Script ก่อนที่จะนำไปใช้งานในระบบจริง ถ้ามีงบประมาณด้านรักษาความปลอดภัย ก็แนะนำให้ใช้ application level firewall หรือ Host-Based IDS/IPS ที่สามารถมองเห็น Malicious content และป้องกันในระดับ application layer

2. Broken Access Control

หมาย ถึง มีการป้องกันระบบไม่ดีพอเกี่ยวกับการกำหนดสิทธิของผู้ใช้ (Permission) ที่สามารถจะ Log-in /Log-on เข้าระบบ Web application ได้ ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ ผู้ที่ไม่มีสิทธิเข้าระบบ (Unauthorized User) สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เราต้องการป้องกันไว้ไม่ให้ Unauthorized User เข้ามาดูได้ เช่น เข้ามาดูไฟล์ข้อมูลบัตรเครดิตลูกค้าที่เก็บอยู่ใน Web Server หรือ เข้าถึงไฟล์ข้อมูลในลักษณะ ฏDirectory Browsing โดยเห็นไฟล์ทั้งหมดที่อยู่ใน web Server ของเรา ปัญหานี้เกิดจากการกำหนด File Permission ไม่ดีพอ และ อาจเกิดจากปัญหาที่เรียกว่า ?Path Traversal? หมายถึง แฮกเกอร์จะลองสุ่มพิมพ์ path หรือ sub directory ลงไปในช่อง URL เช่น http://www.abc.com/../../customer.mdb เป็นต้น นอกจากนี้อาจเกิดจากปัญหาการ cache ข้อมูลในฝั่ง client ทำให้ข้อมูลที่ค้างอยู่ cache ถูกแฮกเกอร์เรียกกลับมาดูใหม่ได้ โดยไม่ต้อง Log-in เข้าระบบก่อน

วิธีการป้องกัน

พยายาม อย่าใช้ User ID ที่ง่ายเกินไป และ Default User ID ที่ง่ายต่อการเดา โดยเฉพาะ User ID ที่เป็นค่า default ควรลบทิ้งให้หมด สำหรับปัญหา Directory Browsing หรือ Path Traversal นั้น ควรมีการ set file system permission ให้รัดกุม เพื่อป้องกัน ช่องโหว่ที่อาจถูกโจมตี และ ปิด file permission ใน sub directory ต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้ และ ไม่มีความจำเป็นต้องให้คนภายนอกเข้า เพื่อป้องกันแฮกเกอร์สุ่มพิมพ์ path เข้ามาดึงข้อมูลได้ และควรมีการตรวจสอบ Web Server log file และ IDS/IPS log file เป็นระยะๆ ว่ามี Intrusion หรือ Error แปลกๆ หรือไม่

3. Broken Authentication and Session Management

หมาย ถึง ระบบ Authentication ที่เราใช้อยู่ในการเข้าถึง Web Application ของเรานั้นไม่แข็งแกร่งเพียงพอ เช่น การตั้ง Password ง่ายเกินไป, มีการเก็บ Password ไว้ในฝั่ง Client โดยเก็บเป็นไฟล์ Cookie ที่เข้ารหัสแบบไม่ซับซ้อนทำให้แฮกเกอร์เดาได้ง่าย หรือใช้ชื่อ User ที่ง่ายเกินไป เช่น User Admin เป็นต้น บางทีก็ใช้ Path ที่ง่ายต่อการเดาได้ เช่น www.abc.com/admin หมายถึง การเข้าถึงหน้า admin ของระบบ แฮกเกอร์สามารถใช้โปรแกรมประเภท Dictionary Attack หรือ Brute Force Attack ในการลองเดาสุ่ม Password ของระบบ Web Application ของเรา ตลอดจนใช้โปรแกรมประเภท Password Sniffer ดักจับ Password ที่อยู่ในรูปแบบ Plain Text หรือ บางทีแฮกเกอร์ก็ใช้วิธีง่ายๆ ในการขโมย Password เรา โดยแกล้งปลอมตัวเป็นเรา แล้วแกล้งลืม Password (Forgot Password) ระบบก็จะถามคำถามกลับมา ซึ่งถ้าคำถามนั้นง่ายเกินไป แฮกเกอร์ก็จะเดาคำตอบได้ไม่ยากนัก ทำให้แฮกเกอร์ได้ Password เราไปในที่สุด

วิธีการป้องกัน

ที่ สำคัญที่สุด คือการตั้งชื่อ User Name และ Password ควรจะมีความซับซ้อน ไม่สามารถเดาได้ง่าย มีความยาวไม่ต่ำกว่า 8 ตัวอักษร และมีข้อกำหนดในการใช้ Password (Password Policy) ว่าควรมีการเปลี่ยน Password เป็นระยะๆ ตลอดจนให้มีการกำหนด Account Lockout เช่น ถ้า Logon ผิดเกิน 3 ครั้ง ก็ให้ Lock Account นั้นไปเลยเป็นต้น การเก็บ Password ไว้ในฝั่ง Client นั้น ค่อนข้างที่จะอันตราย ถ้ามีความจำเป็นต้องเก็บในฝั่ง Client จริงๆ ก็ควรมีการเข้ารหัสที่ซับซ้อน (Hashed or Encrypted) ไม่สามารถถอดได้ง่ายๆ การ Login เข้าระบบควรผ่านทาง https protocol คือ มีการใช้ SSL เข้ามาร่วมด้วย เพื่อเข้ารหัส Username และ Password ให้ปลอดภัยจากพวกโปรแกรม Password Sniffing ถ้ามีงบประมาณควรใช้ Two-Factor Authentication เช่น ระบบ One Time Password ก็จะช่วยให้ปลอดภัยมากขึ้น การใช้ SSL ควรใช้ Digital Certificate ที่ได้รับการ Sign อย่างถูกต้องโดย CA (Certificate Authority) ถ้าเราใช้ CA แบบ Self Signed จะทำให้เกิดปัญหา Man in the Middle Attack (MIM) ทำให้แฮกเกอร์สามารถเจาะข้อมูลเราได้แม้ว่าเราจะใช้ SSL แล้วก็ตาม (ข้อมูลเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับ SSL Hacking ดูที่ http://www.acisonline.net )

4. Cross Site Scripting (XSS) Flaws

หมาย ถึง แฮกเกอร์สามารถใช้ Web Application ของเรา เช่น ระบบ Web Board ในการฝัง Malicious Script แฝงไว้ใน Web Board แทนที่จะใส่ข้อมูลตามปกติ เมื่อมีคนเข้า Refresh หน้า Web Board ก็จะทำให้ Malicious Script ที่ฝังไว้นั้นทำงานโดยอัตโนมัติ ตามความต้องการของแฮกเกอร์ หรือ อีกวิธีหนึ่ง แฮกเกอร์จะส่ง e-mail ไปหลอกให้เป้าหมาย Click ไปที่ URL Link ที่แฮกเกอร์ได้เตรียมไว้ใน e-mail เมื่อเป้าหมาย Click ไปที่ Link นั้น ก็จะไปสั่ง Run Malicious Script ที่อยู่ในตำแหน่งที่แฮกเกอร์ทำดักรอไว้ วิธีการหลอกแบบนี้ในวงการเรียกว่า ?PHISHING? ซึ่งโดนกันไปแล้วหลายองค์กร เช่น Citibank, eBay เป็นต้น (ข้อมูลเพิ่มเติมดูได้ที่ http://www.acisonline.net )

วิธีการป้องกัน

อย่าง แรกเลยต้องมีการให้ข้อมูลกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป ที่ใช้ e-mail และ web browser กันเป็นประจำให้ระมัดระวัง URL Link แปลกๆ หรือ e-mail แปลกๆ ที่เข้ามาในระบบก่อนจะ Click ควรจะดูให้รอบคอบก่อน เรียกว่า เป็นการทำ ?Security Awareness Training? ให้กับ User ซึ่งควรจะทำทุกปี ปีละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้รู้ทันกลเม็ดของแฮกเกอร์ และไวรัสที่ชอบส่ง e-mail มาหลอกอยู่เป็นประจำ สำหรับในฝั่งของผู้ดูและระบบ เช่น Web Master ก็ควรจะแก้ไข source codeใน Web Board ของตนให้ฉลาดพอที่จะแยกแยะออกว่ากำลังรับข้อมูลปกติ หรือรับข้อมูลที่เป็น Malicious Script ซึ่งจะสังเกตได้ไม่ยาก เพราะ Script มักจะมีเครื่องหมาย ?< > ( ) # & ? ให้ Web Master ทำการ ?กรอง? เครื่องหมายเหล่านี้ก่อนที่จะนำข้อมูลไปประมวลผลโดย Web application ต่อไป

5. Buffer Overflow

หมาย ถึง ในฝั่งของ Client และ Server ไม่ว่าจะเป็น IE Browser และ IIS Web Server หรือ Netscape Browser และ Apache Web Server ที่เราใช้กันอยู่เป็นประจำ ล้วนมีช่องโหว่ (Vulnerability) หรือ Bug ที่อยู่ในโปรแกรม เมื่อแฮกเกอร์สามารถค้นพบ Bug ดังกล่าว แฮกเกอร์ก็จะฉวยโอกาสเขียนโปรแกรมเจาะระบบที่เราเรียกว่า ?Exploit? ในการเจาะผ่านช่องโหว่ที่ถูกค้นพบ ซึ่งช่วงหลังๆ แม้แต่ SSL Modules ทั้ง IIS และ Apache web server ก็ล้วนมีช่องโหว่ให้แฮกเกอร์เจาะผ่านทาง Buffer Overflow ทั้งสิ้น

วิธีการป้องกัน

จะ เห็นว่าปัญหานี้มาจากผู้ผลิตไม่ใช่ปัญหาการเขียนโปรแกรม Web application ดังนั้นเราต้องคอยหมั่นติดตามข่าวสาร New Vulnerability และ คอยลง Patch ให้กับระบบของเราอย่างสม่ำเสมอ และลง ให้ทันท่วงทีก่อนที่จะมี exploit ใหม่ๆ ออกมาให้แฮกเกอร์ใช้การเจาะระบบของเรา สำหรับ Top 10 Web Application Hacking อีก 5 ข้อ ที่เหลือผมขอกล่าวดังในฉบับต่อไปนะครับ

6. Injection Flaws

หมาย ถึง แฮกเกอร์สามารถที่จะแทรก Malicious Code หรือ คำสั่งที่แฮกเกอร์ใช้ในการเจาะระบบส่งผ่าน Web Application ไปยังระบบภายนอกที่เราเชื่อมต่ออยู่ เช่น ระบบฐานข้อมูล SQL โดยวิธี SQL Injection หรือ เรียก External Program ผ่าน shell command ของระบบปฎิบัติการ เป็นต้น

ส่วน ใหญ่แล้วแฮกเกอร์จะใช้วิธีนี้ในช่วงการทำ Authentication หรือการ Login เข้าระบบผ่านทาง Web Application เช่น Web Site บางแห่งชอบใช้ ?/admin? ในการเข้าสู่หน้า Admin ของ ระบบ ซึ่งเป็นช่องโหว่ให้แฮกเกอร์สามารถเดาได้เลยว่า เราใช้ http://www.mycompany.com/admin ในการเข้าไปจัดการบริหาร Web Site ดังนั้นเราจึงควรเปลี่ยนเป็นคำอื่นที่ไม่ใช่ ?/admin? ก็จะช่วยได้มาก

วิธี การทำ SQL injection ก็คือ แฮกเกอร์จะใส่ชื่อ username อะไรก็ได้แต่ password สำหรับการทำ SQL injection จะใส่เป็น Logic Statement ยกตัวอย่างเช่น ? or ?1′ = ?1 หรือ ? or ?1″= ?1

ถ้า Web Application ของเราไม่มีการเขียน Input Validation ดัก password แปลกๆ แบบนี้ แฮกเกอร์ก็สามารถที่จะ bypass ระบบ Authentication ของเราและ Login เข้าสู่ระบบเราโดยไม่ต้องรู้ username และ password ของเรามาก่อนเลย

วิธี การเจาะระบบด้วย SQL injection ยังมีอีกหลายแบบจากที่ยกตัวอย่างมา ซึ่งแฮกเกอร์รุ่นใหม่สามารถเรียนรู้ได้ทางอินเทอร์เน็ตและวิธีการทำก็ไม่ยาก อย่างที่ยกตัวอย่างมาแล้ว

วิธีการป้องกัน

นัก พัฒนาระบบ (Web Application Developer) ควรจะระมัดระวัง input string ที่มาจากทางฝั่ง Client (Web Browser) และไม่ควรใช้วิธีติดต่อกับระบบภายนอกโดยไม่จำเป็น

ควร มีการ ?กรอง? ข้อมูลขาเข้าที่มาจาก Web Browser ผ่านมาทางผู้ใช้ Client อย่างละเอียด และ ทำการ ?กรอง? ข้อมูลที่มีลักษณะที่เป็น SQL injection statement ออกไปเสียก่อนที่จะส่งให้กับระบบฐานข้อมูล SQL ต่อไป

การ ใช้ Stored Procedure หรือ Trigger ก็เป็นทางออกหนึ่งในการเขียนโปรแกรมสั่งงานไปยังระบบฐานข้อมูล SQL ซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่าการใช้ ?Dynamic SQL Statement ? กับฐานข้อมูล SQL ตรงๆ

7. Improper Error Handling

หมาย ถึง มีการจัดการกับ Error message ไม่ดีพอ เวลาที่มีผู้ใช้ Web Application หรืออาจจะเป็นแฮกเกอร์ลองพิมพ์ Bad HTTP Request เข้ามาแต่ Web Server หรือ Web Application ของเราไม่มีข้อมูล จึงแสดง Error message ออกมาทางหน้า Browser ซึ่งข้อมูลที่แสดงออกมาทำให้แฮกเกอร์สามารถใช้เป็นประโยชน์ ในการนำไปเดาเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมจากระบบ Web Application ของเราได้ เนื่องจากเมื่อการทำงานของ Web application หลุดไปจากปกติ ระบบมักจะแสดงค่า Error Message ออกมาแสดงถึงชื่อ user ที่ใช้ในการเข้าถึงฐานข้อมูล, แสดง File System Path หรือ Sub Directory Name ที่ชี้ไปยังไฟล์ฐานข้อมูล ตลอดจนทำให้แฮกเกอร์รู้ว่าเราใช้ระบบอะไรเป็นฐานข้อมูลเช่น ใช้ MySQL เป็นต้น

วิธีการแก้ปัญหา

ควร มีการกำหนดนโย บายการจัดการกับ Error message ให้กับระบบ โดยทำหน้า Error message ที่เตรียมไว้รับเวลามี Bad HTTP Request แปลกๆ เข้ามายัง Web Application ของเราโดยหน้า Error message ที่ดีไม่ควรจะบอกให้ผู้ใช้รู้ถึงข้อมูลระบบบางอย่างที่ผู้ใช้ทั่วไปไม่ควร รู้ และถ้าผู้ใช้คนนั้นเป็นแฮกเกอร์ซึ่งย่อมมีความรู้มากกว่าผู้ใช้ธรรมดา การเห็นข้อมูล Error message ก็อาจนำไปใช้เป็นประโยชน์สำหรับแฮกเกอร์ได้

8. Insecure Storage

หมาย ถึง การเก็บรหัสผ่าน (password), เบอร์บัตรเครดิตลูกค้า หรือ ข้อมูลลับของลูกค้า ไว้อย่างไม่มีความปลอดภัยเพียงพอ ส่วนใหญ่จะเก็บแบบมีการเข้ารหัส (Encryption) ไว้ในฐานข้อมูลหรือ เก็บลงในไฟล์ที่อยู่ใน Web server และคิดว่าเมื่อเข้ารหัสแล้วแฮกเกอร์คงไม่สามารถอ่านออก แต่ สิ่งที่เราคิดนับว่าเป็นการประเมินแฮกเกอร์ต่ำเกินไป เนื่องจากอาจเกิดข้อผิดพลาดในการเข้ารหัส เช่น การเข้ารหัสนั้นใช้ Algorithm ที่อ่อนเกินไป ทำให้แฮกเกอร์แกะได้ง่ายๆ หรือมีการเก็บกุญแจ (key) หรือ รหัสลับ (Secret password) ไว้เป็นไฟล์แบบง่ายๆ ที่แฮกเกอร์ สามารถเข้าถึงได้ หรือ สามารถถอดรหัสได้โดยใช้เวลาไม่มากนัก

วิธีการแก้ไข

ควร มีการเข้ารหัสไฟล์ โดยใช้ Encryption Algorithm ที่ค่อนข้างซับซ้อนพอสมควร หรือแทนที่จะเก็บรหัสผ่านที่เข้ารหัสไว้ ให้หันมาเก็บค่า Message Digest หรือ ค่า ?HASH? ของรหัสผ่านทาง โดยใช้ Algorithm SHA-1 เป็นต้น

การ เก็บกุญแจ (key), ใบรับรอง ดิจิตัล (Digital Certificate) หรือ ลายมือชื่อดิจิตัล (Digital Signature) ควรเก็บไว้อย่างปลอดภัย เช่น เก็บไว้ใน Token หรือ Smart Card ก็จะปลอดภัยกว่าการเก็บไว้เป็นไฟล์ในฮาร์ดดิสค์ เป็นต้น (ถ้าเก็บเป็นไฟล์ก็ควรทำการเข้ารหัสไว้ทุกครั้ง)

9. Denial of Service

หมาย ถึงระบบ Web Application หรือ Web Server ของเรา อาจหยุดทำงานได้เมื่อเจอกับ Bad HTTP Request แปลกๆ หรือ มีการเรียกเข้ามาอย่างต่อเนื่องจำนวนมาก ทำให้เกิดการจราจรหนาแน่นบน Web Server ของเรา โดยปกติ Web Server จะจัดการกับ Concurrent session ได้จำนวนหนึ่ง ถ้ามี HTTP Request เข้ามาเกินค่าที่ Web Server จะสามารถรับได้ ก็จะเกิด Error ขึ้น ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเข้า Web Site เราได้ นอกจากนี้ อาจจะทำให้เครื่องเกิด CPU Overload หรือ Out of Memory ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของ Denial of Service เช่นกัน กล่าวโดยรวมก็คือ ทำให้ระบบของเรามีปัญหาเรื่อง ?Availability?

วิธีการแก้ไข

การ ป้องกัน DoS หรือ DDoS Attack นั้นไม่ง่าย และ ส่วนใหญ่ ไม่สามารถป้องกันได้ 100% การติดตั้ง Hardware IPS (Intrusion Prevention System) เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ก็มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง หากต้องการประหยัดงบประมาณก็ควรต้อง ทำการ ?Hardening? ระบบให้เรียบร้อย เช่น Network OS ที่ใช้อยู่ก็ควรจะลง Patch อย่างสม่ำเสมอ, Web Server ก็เช่นเดียวกัน เพราะมีช่องโหว่ เกิดขึ้นเป็นประจำ ตลอดจนปรับแต่งค่า Parameter บางค่าของ Network OS เพื่อให้รองรับกับการโจมตีแบบ DoS /DDoS Attack

10. Insecure Configuration Management

หมาย ถึง เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากผู้ดูแลระบบ หรือ ผู้ติดตั้ง Web Server มักจะติดตั้งในลักษณะ ?Default Configuration? ซึ่งยังคงมีช่องโหว่มากมาย หรือบางครั้งก็ไม่ได้ทำการ Update Patch ระบบให้ครบถ้วนจนถึง Patch ล่าสุด

ปัญหา ที่เจอบ่อยๆ ก็คือมีการกำหนดสิทธิในการเข้าถึงไฟล์ต่างๆ ใน Web Server ไม่ดีพอทำให้มีไฟล์หลุดออกมาให้ผู้ใช้เข้าถึงได้ เช่น แสดงออกมาในลักษณะ ?Directory Browsing? ตลอดจนค่า default ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Default Username และ Default Password ก็มักจะถูกทิ้งไว้โดยไม่ได้เปลี่ยนอยู่เป็นประจำ

วิธีการแก้ปัญหา

ให้ ทำการแก้ไขค่า ?Default? ต่างๆ ทันทีที่ติดตั้งระบบเสร็จ และทำการ Patch ระบบให้จถึง Patch ล่าสุด และ ตาม Patch อย่างสม่ำเสมอ เรียกว่า ทำการ ?Hardening? ระบบนั่นเอง Services ใดที่ไม่ได้ใช้ก็ไม่ต้องเปิดบริการ เราควรตรวจสอบสิทธิ File and Subdirectory Permission ในระบบว่าตั้งไว้ถูกต้อง และ ปลอดภัยหรือไม่ ตลอดจนเปิดระบบ Web Server log file เพื่อที่จะได้สามารถตรวจสอบ (Audit) HTTP Request ที่ส่งมายัง Web Server ได้ โดยดูจาก Web Server log file ที่เราได้เปิดไว้ และ เราควรหมั่นติดตามข่าวสารเรื่องช่องโหว่ (Vulnerability) ใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ และ มีการตรวจวิเคราะห์ Web Server log file, Network log file, Firewal log file และ IDS/IPS log file เป็นระยะๆ

จะ เห็นได้ว่าแฮกเกอร์ในปัจจุบันสามารถเจาะระบบเราโดยผ่านทะลุ Firewall ได้อย่างง่ายดาย เพราะ เรามีความจำเป็นต้องเปิดให้บริการ Web Server ในทุกองค์กร ดังนั้นการตรวจสอบเรื่องของ Web Application Source Code และ Web Server Configuration จึงเป็นทางออกสำหรับการแก้ไขปัญหาทางด้านความปลอดภัยของระบบให้รอดพันจาก เหล่ าไวรัสและแฮกเกอร์ซึ่งนับวันจะเพิ่มจำนวนและเพิ่มความสามารถขึ้นเป็นทวีคูณ.

ที่มา http://www.naitam.com/naitam-webdesign/view.php?id=22

บางวิธีอาจจะเก่าไปแล้ว เช่น SQL injection เพราะคนเริ่มระวังกันมากขึ้นจร้าา
 wanwan020 wanwan020
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 กุมภาพันธ์ 2011, 01:50:27 โดย gam_55 » บันทึกการเข้า

adaaugusta
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 109
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 466



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2011, 02:54:55 »

อ้างถึง
บางวิธีอาจจะเก่าไปแล้ว เช่น SQL injection เพราะคนเริ่มระวังกันมากขึ้นจร้าา

รู้สึกว่าถ้าเป็น PHP5 จะฉีดไม่ได้แล้วน่ะครับ พอเจอโค้ดที่มีการฉีด มันจะไม่ทำ แม้จะใช้ง่ายๆ เช่น ' or 1=1; ก็ไม่ทำ
บันทึกการเข้า

namspitez
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 246
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 725



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2011, 03:03:45 »

อ้างถึง
บางวิธีอาจจะเก่าไปแล้ว เช่น SQL injection เพราะคนเริ่มระวังกันมากขึ้นจร้าา

รู้สึกว่าถ้าเป็น PHP5 จะฉีดไม่ได้แล้วน่ะครับ พอเจอโค้ดที่มีการฉีด มันจะไม่ทำ แม้จะใช้ง่ายๆ เช่น ' or 1=1; ก็ไม่ทำ

SQL injection ยังมีอยู่ครับ เยอะด้วย  wanwan004 wanwan004
บันทึกการเข้า

Reality
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 51
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 757



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2011, 03:57:31 »

การแฮกไม่เกี่ยวกับ version หรืออะไรครับ เกี่ยวกับโค๊ดล้วนๆ
แฮกผ่าน SQL ยังมีอยู่นะครับ แพร่หลายขึ้นเยอะด้วย เพราะเดี๋ยวนี้มีโปรแกรมแฮกสำเร็จรูปมาแล้ว ถึงไม่รู้วิธีแฮกมือก็สามารถคลิกๆๆ แล้วเข้าไปอ่าน db ได้
บางโฮส มือใหม่เพิ่งจบหมาดๆ ก็โดนอ่านไฟล์ ผ่าน SQL นี้แหละครับ
บางคนรหัส ftp กับรหัส db เหมือนกันอีก
บางโฮสสามารถ bypass directory ได้ ก็ปั่นป่วนกันทั้งโฮส

พวกที่โดนแฮกง่ายๆ ก็เช่น ทาง server เปิด magic_quote เอาไว้
แต่โปรแกรมเมอร์ชอบปิดครับ ชอบรับ input เอง
ถ้ารับไม่ดีจริงก็ต้องเจ็บตัวครับ

การแฮกที่หายไปแล้วน่าจะเป็น RFI เพราะตัว PHP กับ apache ป้องกันไว้ให้เองครับ (แต่ LFI ป้องกันไม่ได้)
SQL ป้องกันบางคำสั่งครับ ถ้าจะป้องกันทั้งหมดจริงๆ คงจะลดความสะดวกสบายในการใช้คำสั่ง SQL ไปเยอะจนน่าตกใจ

ปล. สคริปที่ขายๆ กันในไทยเสียวก็มี sql injection หลายตัวนะครับ
อย่าเพิ่งคิดว่ารู้จัก sqli ทั้งหมดแล้ว ถ้าคิดว่า sql injection มันมีแต่ใส่ ' or 'z'='z

นานๆ พิมพ์ยาว ก็อยากฝากให้ระวังตัวเอาไว้ และอย่าดูถูกคนที่คิดจะแฮกครับ (อย่าท้า) wanwan017
fb twitter google youtube appstore โดนมาหมดแล้วครับ ขึ้นอยู่กับบั๊กไหนแค่นั้นเอง ถ้าคนที่ตามอ่านข่าว security จะรู้ครับ
บันทึกการเข้า

*You walk right into reality, While my heart's still wild and free.. 

Midnight Adventure
picharnan
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 90
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,400



ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2011, 04:08:11 »

คุณ Reality ครับ  ผมเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่อยากจะศึกษาเรื่อง security ครับ  อยากจะทราบว่าผมจะหาควาามรู้เหล่านี้ได้ที่ไหนครับ

ปล. sql injection ใช้ได้หลายเว็บเลยครับ  Tongue
บันทึกการเข้า
Reality
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 51
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 757



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2011, 04:34:20 »

คุณ Reality ครับ  ผมเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่อยากจะศึกษาเรื่อง security ครับ  อยากจะทราบว่าผมจะหาควาามรู้เหล่านี้ได้ที่ไหนครับ

ปล. sql injection ใช้ได้หลายเว็บเลยครับ  Tongue
อ่านข่าว security ครับ

ไม่มีที่ไหนสอนฟรีๆ หรอกครับ พวกสัมมนาก็เอาไส้ติ่ง มาสอน (แฮกได้ แต่ไม่มีเว็บไหนให้แฮกได้อีกแล้ว)

ถ้าอยากศึกษาจริงๆ ต้องตามข่าวพวกนี้ครับ แล้วก็เรียนรู้จากบั๊ก
หาดูได้ตามเว็บหมวกเทาทั่วไป พวกเว็บ report bug
อ่านไปเรื่อยๆ ก็จะจับจุดได้

เช่น
Seo Panel 2.2.0 SQL Injection Vulnerabilities

Vulnerability Details:
The vulnerability exists due to failure in the "/websites.php" script to properly sanitize user-supplied input in "url" variable.
Attacker can alter queries to the application SQL database, execute arbitrary queries to the database, compromise the application, access or modify sensitive data, or exploit various vulnerabilities in the underlying SQL database.

บั๊กอยู่ในไฟล์ websites.php ในตัวแปรที่ชื่อว่า url
hacker สามารถสั่งคำสั่ง mysql ได้ บลา บลา บลา..

คือถ้าส่ง
POST /websites.php HTTP/1.1

sec=create&name=123&url=http%3A%2F%2F123'%2Cversion()%2C1%2C1%2C2%2C1)%2
0--%20&title=1&description=1&keywords=1

ก็จะสามารถอ่าน version ของ mysql ได้ครับ


ส่วนตัวผมก็ลองมั่วกับเครื่องตัวเองนี้แหละครับ โหลดสคริปที่บั๊กมาอ่าน

อ่านสคริปเยอะๆ ครับ เหมือนงานฝีมือ..
บันทึกการเข้า

*You walk right into reality, While my heart's still wild and free.. 

Midnight Adventure
onlyones
Verified Seller
เจ้าพ่อบอร์ดเสียว
*

พลังน้ำใจ: 329
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,825



ดูรายละเอียด
« ตอบ #6 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2011, 08:04:30 »

ถ้าจำไม่ผิดลองไปดูที่ cite หรือ thaishadow อะไรสักอย่างนั้นแหละ(ของไทย)
สำหรับข้อมูื่ลเรื่อง hack

และเว็บหมวกเทาต่างประเทศจำไม่ได้ละ
บันทึกการเข้า
picharnan
หัวหน้าแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 90
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,400



ดูรายละเอียด
« ตอบ #7 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2011, 10:26:13 »

CITEC ผมไม่ค่อยชอบสังคมเท่าไหร่ครับ  มันต้องทำตามกฎแบบเคร่งครัดมาก  คงต้องศึกษาเองจริงๆหล่ะครับงานนี้  Tongue
บันทึกการเข้า
jomynn
Verified Seller
สมุนแก๊งเสียว
*

พลังน้ำใจ: 75
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 762



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2011, 10:40:43 »

แล้ว จะ ลอง ได้ที่ไหน เว็บใคร ดี
มีใครมีประสบการณ์บ้าง ครับ
บันทึกการเข้า

แน่น
ก๊วนเสียว
*

พลังน้ำใจ: 19
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 450



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2011, 10:43:45 »

ความรู้ท่วมหัวไปหมดแล้ววววว  Lips Sealed
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]   ขึ้นบน
พิมพ์