เห็นเขาแฉก็อยากจะแฉมั่ง อิอิ
จิงๆ ตั้งใจมาตั้งนานแล้ว ว่าจะส่งอะไรกลับให้เพื่อนๆบ้าง แต่ก็ยุ่งๆๆๆงานเหลือหลาย
แต่ตอนนี้ก็ยุ่งๆๆอยู่ แต่ถ้ามามัวผลัด มันก็มะได้เริ่มซะที
เลยตัดสินใจ
เอาล่ะวะ
แต่ที่โชคร้ายก็คือ ยังไม่ได้คิดโครงสร้าง ha อะไรเลยว่าจะเริ่มยังไง สอนไปในแนวทางไหน
มาเปิดกระทู้ จั่วหัวไว้ก่อน เพื่อขอความคิดเห็นแบบ brain storm ว่าสอนแบบไหน ถึงโดนใจ และได้ประโยชน์กันทุกคน
แต่ที่แน่ๆ ผมจะมาสอนแบบ
1. rewrite ยังไงให้ไม่โดนฟ้อง
2. rewrite ยังไงให้โดนใจ user (อ่านรู้เรื่อง และ เป็นประโยชน์)
3. rewrite ยังไงให้โดนใจ SE
4. นำไปใช้กันได้ทุกคน ไม่ว่าเพื่อนๆ จะมีความรู้ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับไหนก็ตาม ทุกเพศทุกวัย และยังสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาทักษะของตัวเองได้ (ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาก็เพราะวัตถุประสงค์นี้)
แนวๆนี้
ผมจะแอบมาสอนให้เรื่อยๆ เวลาไม่แน่ไม่นอน แล้วแต่โอกาสจะอำนวย แต่งานนี้ไม่มีกั๊กแน่นอน กอบโกยกันไปให้มากที่สุดละกันเด้อ ตอนนี้ brain storm กันมาก่อนเลย อยากให้สอนแบบไหน
ช่วยกันเสนอแนวทางกันหน่อยนะครับผม เอาแบบสอนแล้วน่าสนใจไม่เบื่อ อยากให้ได้ประโยชน์กันทุกคนครับปล. ผมอาจพูดมะค่อยเพราะนะครับ ลูกทุ่งๆ แต่ไม่หยาบมากนะ อิอิ
---------------------------------------------------------------------------------------------
ทำความเข้าใจกันก่อน ก่อนที่จะเริ่ม
ไม่ได้เรื่องมาก ไม่ได้ลีลา ไม่ได้บ้าน้ำลาย แต่ไม่อยากให้้เพื่อนๆ เสียเวลาอันมีค่า แล้วมาด่าผมทีหลังว่า ไม่เห็นได้ดั่งใจเลยบทความนี้เหมาะกับใคร1.ท่านที่ต้องการศึกษาการเขียน อย่างเป็นระบบ จริงจัง และต้องการพัฒนาทักษะของตัวเองในการเขียน เพื่อจะได้ไม่ต้องมาจ้างผมแพงๆ
2.ผู้มีความรู้ภาษาอังกฤษทุกระดับ เพศทุกวัย
3.ผู้ที่พอมีเวลาในการฝึกฝนบ้าง ซักวันละ 15-20 นาทีในการทำการบ้านที่ผมจะให้ สอดแทรกในแต่ละบท
บทความนี้ไม่เหมาะกับใคร1.ท่านที่คิดว่าบทความนี้จะอุดมไปด้วยข้อความภาษาอังกฤษชนิดพร้อมใช้ มาเป็นปึ๊ง แล้วให้เลือกก็อบไปแปะกันอย่างสบายใจ อาจจะพอมีบ้างเพื่อประกอบการสอน และนำไปลองใช้ทดสอบดัดแปลง แต่ไม่มากอย่างที่ท่านคิดแน่นอน
2.ท่านที่ไม่เห็นความสำคัญของการ rewrite เช่น rewrite ทำไม จะ unique อะไรกันนักหนา แค่ สลับ พาราก๊าบ หยิบโน่นนิด นี่หน่อย ปนๆกันไป ก็โอแล้ว ไม่ต้องยุ่งยาก เวบก็ยังอยู่ดี สบายๆ ไม่เห็นจะต้อง rewrite
3.ท่านที่คิดว่าชีวิตนี้กูไม่มีทางเก่งได้ ในเรื่องการเขียน snake snake fish fiish ไปก็พอทน แต่ให้มานั่งศึกษา มานั่งฝึก คงไม่ทันรับประทาน
ซึ่งถ้าเพื่อนๆ เป็นคนที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ ท่านจะเบื่อกับบทความของผมตั้งแต่เริ่มอ่าน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
Introductionทำความเข้าใจเรื่องชนิดของบทความกันก่อนแยกตามวัตถุประสงค์แล้วมันก็มีอยู่แค่สองแบบ คือ rewrite เอามาทำ เนื้อหาของเวบ กับ rewrite เพื่อเอามาซับมิท ซึ่งผมอนุมานเอาเองว่าจำนวนเพื่อนที่อยากจะเอาไปทำเป็นเนื้อหาเวบน่าจะมีมากกว่า ซึ่งการเขียนทั้งสองแบบจริงๆ แล้วมันก็ไม่ต่างกันเลย เพียงแต่ว่า การ rewrite เพื่อเอามาทำเนื้อหาเวบ เราอาจจะไม่ต้องเอามายำจนเละเทะซะขนาดแม่จำหน้าไม่ได้ เพียงแต่เราต้องการหลอกบอท ว่านี่มันไม่ใช่บทความที่เราไป dup มา ซึ่งก็แน่นอนว่าการหลอกบอท ย่อมง่ายกว่าการหลอกคน และผมเชื่อว่าเพื่อนๆ หลายคนก็คงทำวิธี แนวๆนี้อยู่และประสบความสำเร็จกันมิใช่น้อย
ต่างกับการหลอกคน ซึ่งก็คือฝรั่ง ยิ่งถ้าเป็นบทความที่เราจะเอาไปซับมิทเพื่อโปรโมทเวบด้วยแล้ว ต้องขอบอกว่านรกมากๆ ฝรั่งมันตรวจกันแบบถึงกึ๋นจริงๆ ผมเคยเจอชนิดที่เรียกว่าแอบก็อบลงไปโดยที่ไม่ได้ดัดแปลงเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้นนอกนั้น ยำจนจำไม่ได้ แม่งยังตามจนเจอ
ดังนั้นก็สรุปได้ว่า การ rewrite เพื่อเอามาทำเนื้อหา อาจจะไม่ยากเท่ากับการ rewrite เพื่อเอามาซับมิท ซึ่งเพื่อนๆก็อาจจะเริ่มจากมีเนื้อหาเป็นของตัวเองบ้างซักอันสองอัน แล้วค่อยๆ พัฒนาไป
แต่ แต่ แต่ แต่
การ rewrite เพื่อเอามาทำเนื้อหา แต่ถ้าหากว่าเราทำลวกๆ ไม่เนียน ถึงแม้ว่าจะสามารถหลอกบอทได้ แต่บางครั้งก็ยังโดนเจ้าของตามาเล่นงานอยู่เนืองๆ ใครทำบุญมาเยอะก็อาจโดนน้อยหน่อย อิิอิ
บทที่ 1 แหล่งที่มาของต้นฉบับ คุยกันหน่อย เรื่องลิขสิทธิ์ ฟ้อง ไม่ฟ้อง คำตอบอยู่ที่นี่อันนี้คงไม่ต้องบอกกว่าอะไรกันมากมาย เพราะผมเข้าใจว่าเพื่อนๆคงพอจะรู้มาบ้าง ว่าแหล่งที่จะไปเอาต้นฉบับมายำ ก็คือ
1.แหล่งฟรี article ทั้งหลาย แต่ว่า มันก็มีข้อจำกัดอยู่เหมือนกัน คือ บทความที่มีในเวบ free article โดยส่วนใหญ่ สิ่งที่หลายๆ คนเข้าใจผิดกันมาตลอดคือ เราสามารถจะเอามาทำบู้ยี่บู้ยำอะไรก็ได้ โดยที่ไม่ผิดกฎหมาย
ซึ่งอันนั้นผิดถนัด เพราะความจริง มันหาเป็นเช่นนั้นไม่ บทความทุกบทความ ตามกฎหมาย เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเอามาดัดแปลงแก้ไข ยกเว้นแต่ว่าเจ้าของจะระบุไว้อย่างชัดเจน ว่าให้เอามายำได้ ดังนั้น เราอาจจะต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ ไม่ใช่ว่าเห็นมันโผล่อยู่ในเวบ free article แล้วจะเอามายำยังไงก็ได้ ไม่ถูกต้องนะครับ
แต่จริงๆแล้ว ผมก็ทำแบบนี้อยู่แหละ แต่อาศัยว่าส่วนใหญ่ จะไม่ได้ลอกเนื้อหามาเลย เพียงแต่แค่เอามาเป็นไอเดียในการเขียนเท่านั้น ดังนั้นตัวผมและลูกค้าผมจึงอยู่รอดปลอดภัยมานับจนปัจจุบัน (หรือเขาโดนมาแล้วแต่ไม่บอกเราหว่า) อิอิ
2.ตามเวบต่างๆ ที่ไม่ฟรี อันนี้ผมหมายถึง เอา content ในหน้าเวบของคนอื่นมาเลย ซึ่งอันนี้ต้องขอบอกเลยว่าเสี่ยงเหลือหลาย และยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ผมไม่แนะนำเลย คือการไปเอาบทความของเวบที่มีลักษณะเป็น commercial มา เช่น เวบข่าว, หนังสือ, magazine, ebook, หรือบริษัทห้างร้านต่างๆ ซึ่งพวกนี้มันโหด ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปยุ่งกะมันจะดีที่สุด
3.
จ๊าบสุด ชัวสุด ต้อง PLR article บทความประเภทนี้อธิบายกันง่ายๆคือคือเป็นบทความที่เราเอามาต้มยำทำแกงอะไรก็ได้ จะเนียนไม่เนียนกูไม่สน ไม่มีการเอามาฟ้องร้องไม่ว่าในกรณีใดๆ แต่ข้อเสียของบทความประเภทนี้คือ ไม่ฟรี แต่จะมีขายในราคาที่ถูกมากๆ เคยเห็นแว้บๆ ว่า 50 บทความขายกันแค่ดอลเดียวเท่านั้น แต่เราก็ต้องทำใจ ว่าถ้าไม่เนียนพอ ก็อาจจะโดน dup ได้อีก เพราะมันก็ตะบี้ตะบันขายกันไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่ยังไงถ้าพอมีทุนรอน ผมก็ยังแนะนำ PLR article อยู่ดี เพราะมันปลอดภัย หมดปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์
4.นอกจากนี้ ก็อาจจะมีแหล่งต้นฉบับอื่นๆ เช่น พวกหนังสือ นิตยสารต่างๆ ที่เป็นกระดาษ ซึ่งก็พอทนที่จะเอามาใช้ไ้ด้ แต่ก็ต้องเสียเวลามานั่งหากันหน่อย และก็ยังอาจมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์กันอยู่
กฏ (หมาย) เหล็กที่ทุกคนต้องรู้
ทรัพย์สินทางปัญญาทุกชนิด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีระบุเป็นลายลักษณ์อักษร หรือการจดสิทธิบัตร แต่ก็ถือว่าเจ้าของเป็นผู้มีสิทธิ์ เป็นเจ้าของและมีสิทธิ์ฟ้องร้อง ได้ตามกฏหมาย ดังนั้น การลอก คัด ดัดแปลง ในทุกกรณี ล้วนเข้าข่ายผิดกฏหมายทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าบทความในเวบนั้นๆ จะไม่มีข้อความ ว่า copyright หรือ อะไรก็ตาม---------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทที่สอง
ดุ๊บ ไม่ ดุ๊บ ดูยังไง ใครฟันธงดุ๊บ = dup = duplicate = ซ้ำกันความหมายเดียวกันนะครับ เดี๋ยวจะงง
มีคำถามอยู่เนืองๆ ว่า แบบไหนดุ๊บ แบบไหน ไม่ดุ๊บถ้าในแง่ ของ seo หรือในแง่ของ บอท ของ search engine ก็คงมีแต่บอท หรือคนที่พัฒนา อัลกอ ขึ้นมาเท่านั้นแหละครับ ที่ฟันธงได้ ว่าซ้ำ หรือไม่ซ้ำ ซึ่งดูๆ แล้วมันก็เหมือนจะยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่า แบบไหนถึงเรียกว่าซ้ำ ต่างคนต่างก็คิดกันไปต่างๆนานา
แต่ถ้าถามผม ผมก็มีความเชื่อส่วนตัวอยู่ว่า คำว่า dup หมายถึงการซ้ำแบบ เป๊ะๆ คือลอกมาทั้งดุ้นๆ แบบนั้น ไม่มีการดัดแปลงอะไรเลย อันนี้คือความเข้าใจของผมส่วนตัว
แต่ก็อีกอ่ะแหล่ะ เราก็ไม่รู้ว่า อัลกอของ se มันพัฒนาไปถึงขึ้นไหน มันอ่านหนังสือออกมากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ผมว่าคงไม่ใช่แค่ ดูว่าลอกมาทั้งดุ้นหรือเปล่าแน่ๆ ไม่งั้นเราคงเจอบทความเดียวกันซ้ำๆ ขึ้นมาหน้าแรกเต็มพรึ่บไปหมดในการใช้ คีเวิดตัวเดียวกันค้นหา เสียชื่อตายห่า
เอาล่ะ แต่เอาเป็นว่า ในสายตาผม คำว่า dup ก็คือการเอามาทั้งดุ้น เช่น
บทความที่ก็อบมาจากแหล่งต่างๆ แล้วเอามาแปะในเวบเราทั้งดุ้น โดยที่ไม่มีการดัดแปลงแก้ไข
Feed ที่เราไปดึงมา โดยไม่มีการแก้ไข
คืออะไรก็แล้วแต่ ที่ไม่ได้แก้ไข ลอกเขามา ผมเรียกว่า dup หมด แต่ถ้าเอามาแก้ไขแล้ว ปรับแต่งแล้ว ถือว่า ไม่ dupอย่างที่บอกไปว่าเราเอาแน่เอานอนไม่ได้ว่า บอทมันมองยังไงว่าซ้ำหรือไม่ซ้ำ ดังนั้น เพื่อนๆ หลายคนจึงมีประสบการณ์แตกต่างกันไปต่างๆนานา
- บางคนเอาามาแก้ไขนิดหน่อย ก็ยังอยู่ได้ดี
- บางคนก็ เอามาทั้งดุ้น เวบก็ยังอยู่ดี ทราฟฟิกก็ยังมี ไม่โดนแบนเวบ
ซึ่งอันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องทดลองกันต่อไป
แต่ว่าผมเองก็ยังมีความเชื่ออีกอย่าางคือ ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่รู้แน่ชัดว่าบอทมันอ่านออกมากน้อยแค่ไหน แต่ผมเชื่อว่า ความ dup ของ content น่่าจะมีส่วนกับ serp หรือตำแหน่งของผลการค้นหาบ้างอยู่เหมือนกัน เช่น
คนที่มี content แบบเป็นของตัวเองไม่เหมือนใคร
น่าจะ มีตำแหน่งในผลการค้นหาที่ดีกว่า เวบที่เอามาทั้งดุ้น
อะไรแนวๆนี้
ทีนี้ การเอามาแก้ไขดัดแปลงมันก็มีหลายแนวหลายวิธี ต่างคนต่างก็ทำตามวิธีของตัวเอง จนบางคนได้สูตรสำเร็จ ขนาดที่ว่าความรู้ภาษาอังกิด เข้าขั้น วิกฤติ แต่สามารถหาวิธีสร้าง content ของตัวเองขึ้นมาได้ อาจจะไปจ้างเขียน ซื้อเครื่องมือเทพๆมา หรือว่ามีเทคนิคส่วนตัว อันนี้ก็สุดแท้
เฮ้อ
--------------------------------------------------------------------------------------------------
บทที่สามโครงสร้างของบทความ และ หลักการเลือกต้นฉบับมาคราวนี้เริ่มเข้าเนื้อซะทีหลังจากที่ผมพล่ามไร้สาระมาสองบท
ทีนี้ เราจะว่ากันด้วยเรื่อง โครงสร้างและบทความและหลักการเลือกต้นฉบับ
จากประสบกามที่ผ่านมา ผมขอสรุปว่าโครงสร้างบทความส่วนใหญ่ที่เราจะเอามารีไร้ท์ จะประกอบไปด้วย
Title = ชื่อเรื่อง
Introduction หรือ Heading = บทนำ
Closing = บทสรุป หรือ ย่อหน้าปิดท้ายแต่ทีนี้ รูแบบของบทความมันก็สามารถแบ่งแยกย่อยออกไปได้อีก 2 ลักษณะใหญ่ คือ ตามตัวอย่าง
แบบที่ 1 จะเป็นโครงสร้างแบบรรมดาที่เราเจอกันมากมาที่สุด
แบบที่ 2 จะเป็น แบบ ไล่ลงมาเป็นหัวข้อ 1,2,3,4,5,6,7 เป็น pattern ส่วนมากเราจะเจอบทความประเภท tips, techniques ที่มักจะมีโครงสร้างแบบนี้
จะว่ากันไปแล้ว ผมไม่ค่อยชอบเอาต้นฉบับแบบที่สองมารีไร้ท์ เพราะมันเป็น pattern เกินไป ต้นฉบับมา เป็นข้อๆ 1,2,3,4,5,6,7 เราก็ต้องเขียนใหม่เป็น 1,2,3,4,5,6,7 อยู่เหมือนเดิม ซึ่งผมมองว่ามันยังสามารถเปรียบเทียบกับต้นฉบับได้ไม่ยาก เลยไม่ค่อยอยากเอามาเขียนเท่าไหร่ แต่ถ้าหากจำเป็น ก็ต้องเอามาเขียนใหม่ แต่จะไม่เหลือโครงสร้างเดิมไว้แล้ว สมมุติต้นฉบับมาเป็น ข้อๆ 1,2,3,4,5,6,7 ผมก็จะเอามารีไร้ท์ให้เป็นย่อหน้า เหมือนกับแบบที่ 1 แทน พวกตัวเลขข้อๆ ตัดออกให้หมด และใส่คำเชื่อมเทพๆลงไป
เรามาดูรายละเอียดของแต่ละแบบกัน เริ่มด้วยแบบที่ 1โครงสร้างตามแบบที่ 1 นี่ รีไรท์ง่ายที่สุด เพราะต้นฉบับมันมีอยู่ดาษดื่น โดยถ้าพิจารณาจากโครงสร้าง ตัวสำคัญที่ต้องทำการรีไร้ทคือ intro กับ closing แต่จริงแล้วมันควรจะต้องรีไร้ทหมดทุกอันอ่ะแหละรวมทั้งตัว body แต่ผมมองว่าสำหรับคนที่มีความรู้ภาษาอังกฤษไม่มากเท่าไหร่ การเริ่ม เขียนจากสองส่วนนี้ก่อนน่าจะดีกว่า เพราะโดยพื้นฐานแล้วไอ้ข้อความพวกนี้ หน้าตาและคอนเซปต์การเขียนมันจะคล้ายๆกัน คือมันมักจะพูดถึงภาพรวม ในอุตสาหกรรมนั้นๆ ขึ้นมาก่อน ซึ่งบทความพวกนี้เราสามารถไปเอาจากที่ไหนมารีไร้ท์ก็ได้ แล้วใส่ลงไป ส่วนไอ้ตัว closing นี่ก็เหมือนกัน มันก็เป็นเพียงแค่บทสรุปสั้นบรรทัดสองบรรทัดเท่านั้นเอง ซึ่งเราก็สามารถสรุปได้จาก ไอ้ตัว introduction นั่นแหละ มีเทคนิกที่ผมใช้อยู่คือ สืบเนื่องจากว่า ตัว intro กับ closing นี่เขียนง่ายกว่าตัว body ดังนั้นหากว่าผมไม่ค่อยมีความรู้ ในเรื่องนั้นๆ หรือติ๊ต่างว่าผมไม่ค่อยเก่งอังกฤษ ผมจะร่ายในส่วนของ intro กับ closing ให้ได้ยาวที่สุด โดยเหลือเนื้อความของ body ให้น้อยที่สุด เท่านี้เราก็สามารถสร้าง unique content ได้ไม่ยากแล้ว
ผมเคยเห็นนะ มีเครื่องมือบางตัวที่พอจับต้นฉบับโยนลงไปมันก็เอาไปใส่ intro กับ closing ให้ แต่ตัว body ก็ยังเดิมๆ ซึ่งอันนั้นมันก็เวิ้กในระดับหนึ่ง แต่ไม่อยากให้ใช้มาก เพราะข้อความมันก็มีซ้ำๆ กันมากเหมือนกัน ส่วนตัวที่เป็น body นั้น อาจจะต้องคุยกันยาวหน่อย เพราะมันมีรายละเอียดพอสมควร
แต่เอาเป็นว่า สรุปของวันนี้คือ โครงสร้างบทความเป็นแบบนี้ และส่วนที่เราควรจะต้องเอามาเริ่มรีไร้ท์ เป็นอันดับแรกคือ intro กับ closing ซึ่งเราสามารถหาไอเดียมาเขียนได้มากมาย และมันก็เป็นส่วนที่เราจะมีโอกาสยำมันให้้เละได้มากที่สุด เพราะเนื้อหามันไม่ได้เฉพาะเจาะจง มันจะไปยากก็ตรงไอ้ ตัว body ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
update เมื่อ 04-09-07โอเคเรามาว่ากันต่อ
คราวที่แล้วว่ากันถึงเรื่องการรีไรท์ในส่วนของ introduction กับ closing ซึ่งผมบอกไปว่าเราสามารถจะเอาข้อมูลที่ไหนมารีไร้ท์ก็ได้ไม่จำกัด เพราะมันมักจะกล่าวถึงภาพกว้างๆ ทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น
[size=9pt][color=green]The resurfacing of the skin has become widely popular since the ungodly feeling of dermabrasion is also used as an alternative. Some lasers have also made significant results against the fight against acne also. The laser treatments only works by stimulating the growth of the collagen beneath the scarred tissue. There are simply two main types of a laser and laser treatment.[/color]
Ablative lasers and treatment
Ablative is the stronger of the two lasers that will successfully remove the outer layer of the skin that will hopefully remove any scarred skin tissue and successfully help the collagen to grow. Although, further scarring of the skin tissue is very likely and there is still the risk of an infection of the wounds. This type of laser treatment is more popular due to a lower risk.
Non ablative lasers and treatments
The non ablative laser will target the collagen far beneath the skin tissue to promote collagen growth without continuing to damage the surface of the skin. These types of lasers are highly effective for far less severe scarring. The three types of non ablative lasers are infrared lasers, N-Lite lasers and sprinkling lasers.
Infrared lasers are great for scar removal and are good for mostly all skin types since the skins pigment is hardly absorbed by the the skins pigment, melanin. Light heats the collagen to successfully promote tightening of the skin tissue while the skin is actively cooled to avoid any damage.
The N-lite laser is another non-ablative laser treatment method that is used to continue and trigger collagen growth. The side effects of this laser treatment are only short term unlike isotretinoin or any long term medications or prescription treatments.
The N-Lite laser has also been used as a find line and wrinkle removal solution.
[color=green]The Sprinkling laser treatment method is one of the most recent of the laser treatments. This method has a similar goal of producing collagen and the sprinkling laser shoots a small cluster of beams burning in dot like patterns. Then the growing collagen will in turn fill the spaces between the dots.
The skin will successfully heal a lot quicker and has a lesser chance of injury.[/color][/size]
ตอนนี้ผมขอบอกก่อนว่าเพื่อนไม่ต้องกังวลหากว่าเรายังอ่านไม่เข้าใจ หรือไม่สาามารถแปลความหมายของมันออกมาได้
เพราะผมจะพยายามเอาใจพี่ๆที่ พื้นฐานยังไม่ค่อยดีนักในเรื่องการอ่าน แต่จะทำยังไงให้สามารถรีไรท็ได้โดยใช้ความรู้ภาษาอังกฤษน้อยที่สุด ส่วนพี่ๆ ที่แปลออกบ้าง หรือเก่งแล้ว ก็จะยิ่งง่ายขึ้นไปอีก แต่อย่าเพิ่งรำคาญผมก่อนแล้วกันนะครับ
โดยในเบื้องต้นนี้ผมจะสอนหลักกการง่ายๆ ยังไม่ advance แต่เวิ้กนั่นคือจะเน้นไปที่การ
1.แทนที่คำ
2.สลับที่คำ และ ประโยค อ่ะที่นี้เรามาว่ากันต่อ เราจะเห็นได้ว่า introduction ของมันคือ
The resurfacing of the skin has become widely popular since the ungodly feeling of dermabrasion is also used as an alternative. Some lasers have also made significant results against the fight against acne also. The laser treatments only works by stimulating the growth of the collagen beneath the scarred tissue. There are simply two main types of a laser and laser treatment.ทีนี้ ผมอยากจะบอกว่า อ่านไม่ออกไม่เป็นไร แต่ที่ต้องรู้คือโครงสร้าง ของประโยคคืออะไร และคำไหน ทำหน้าที่อะไร เพื่อที่เราจะสามารถเอาคำไปแทนที่ได้ เพื่อให้เกิดประโยคใหม่ขึ้นมา ซึ่งโดยทั่วไปแล้วไม่ว่าประโยคมันจะยาว เหยียด ซับซ้อนขนาดไหน แต่มันจะประกอบด้วยโครงสร้างเหมือน กันหมด คือ
ประธาน กริยา กรรมแค่นั้น
ประธาน กริยา กรรม
ประธาน กริยา กรรม
ประธาน กริยา กรรม
ประธาน กริยา กรรม
ประธาน กริยา กรรมท่องไว้ ให้ขึ้นใจ เพราะมันมีแค่นี้จริงๆ
ทีนี้จากตัวอย่างข้างต้น ติ๊งต่างว่าผมแปลไม่ค่อยออกว่ามันแปลว่าอะไร
เอาล่ะ แต่ผมรู้ว่า ประธานต้องมาก่อน เพื่อน ตามด้วยกริยา และตามด้วยกรรม เป็นอันดับสุดท้าย
ดังนั้ผมจึงทำการพาราก๊าบข้างบนออกมาเป็นประโยคย่อยๆ เสียก่อนซึ่งก็จะได้เป็น
1.The resurfacing of the skin has become widely popular since the ungodly feeling of dermabrasion is also used as an alternative.
2.Some lasers have also made significant results against the fight against acne also.
3.The laser treatments only works by stimulating the growth of the collagen beneath the scarred tissue. There are simply two main types of a laser and laser treatment.โอเค หอกหักจริงๆ เขียนมาซะยาวยืด แบ่งออกมาได้จริงๆ แค่สามประโยคเอง งานนี้หมูในอวยแล้วครับ พี่ๆ มาร่ายกันทีละประโยคเลย
เริ่มจากประโยคที่ 1ประธาน กริยา กรรม
อ่อ ใช่ๆๆๆ ประธานแม่งต้องมาก่อนเพื่อน กูเอานี่ล่ะวะ
The resurfacingอันที่สองเอาไรดีอ่ะ กริยาๆๆๆๆ งืมๆๆ น่าจะเป็นไอ้นี่มั๊ง
the skin has become widely popular since the ungodly feeling of dermabrasion ไม่รู้โว๊ย มั่วๆ ไปก่อนละกัน มันยาว ยกมาหมดนี่แหละ เวรละกูทีนี้
อันที่สาม กรรม อ่อ อีตาคนสอนมันบอกว่า อยู่ท้ายๆ งั้นก็น่าจะเป็นไอ้นี่สินะ
is also used as an alternative โอเค ครบและ ถูกป่าวหว่า
ครับหลังจากที่พี่ๆ สามารถแยกออกมาได้ดังนี้แล้ว ผมอยากบอกว่า ไม่ต้องไปสนใจครับ ว่าการแยกโครงสร้างของเรามันจะถูกตามหลักไวยากรณ์หรือไม่ เพราะการรีไร้ท์ ไม่ใช่การทำข้อสอบ วัตถุประสงค์ของเราเพียงแค่เพื่อ เอามาเขียนใหม่โดยที่เนื้อหาเดิมมันไม่เพี้ยน (มาก) ให้มันเป็น unique content ขึ้นมา ไม่ใช่การสอบเข้ามหาลัย ดังนั้น ไม่ต้องไปอะไรกะหลักไวยากรณ์มากมาย
และคำเฉลยก็คือที่ผมแยกมานั่นน่ะ ผิด ครับ แต่ไม่มากจนถึงขนาดที่เราเอาไปทำอะไรต่อไม่ได้ และผมก็จะเอาไอ้ที่แยก ออกมาผิดๆ นั่นแหละ มาเป็นตัวอย่างในการรีไร้ท์ ทั้งนี้ผมต้องการแสดงให้เห็นว่า ผิดถูก ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทุกคนสามารถทำได้ ครับ
เรามาดูซิว่า เราจะรีไร้ท์กันได้ยังไง โปรดติดตามตอนต่อไป
การบ้านสำหรับพี่ๆ ที่สนใจอยากฝึกด้วยตัวเอง
ผมมีการบ้านครับ
คือพี่ๆ ไปตัดเอาช่วง Introduction ของบทความฟรีอันไหนมาก็ได้ครับ แล้วลองแยกออกมาเป็นประโยคย่อย พร้อมทั้งแยกประธาน กริยา กรรม ออกมาดู แล้วมาโพสไว้ที่กระทู้นี้
แล้วผมจะมาตรวจการบ้านให้ ว่าแจ๋ว ถูก ผิด ห่วย ยังไง ดีไหมๆๆ
การบ้านไม่บังคับนะครับ
ทำก็ทำ ไม่มีรางวัลให้
ไม่ทำก็ไม่เป็นไร
อิอิ
ปล
ใครช่วยเอาข้อความภาษาปะกิดใส่เป็น code ให้ทีครับ ผมทำไม่เป็น เด๋วเจ้าของตามมาเจอ