มีวิธีแนะนำดีๆ
เริ่มจากการปรับสิ่งแวดล้อมในการทำงานก่อน ให้มีแสงสว่างเพียงพอ
แสงจ้า และแสงสะท้อน (Glare reflection) จากจอคอมพิวเตอร์ทั้งที่สะท้อนมายังจอภาพ หรือ
แม้แต่แสงสว่างจากหน้าต่างส่องปะทะหน้าจอภาพโดยตรง
ก่อให้เกิดแสงจ้าและแสงสะท้อนเข้าตาผู้ใช้คอมทำให้เมื่อยตาล้าง่าย
จึงต้องจัดแสงไฟและตำแหน่งจอภาพให้เหมาะสม
อย่าให้จอภาพหันหน้าเข้าหน้าต่างหรืออยู่หน้าต่อหน้าต่าง
โคมไฟที่ส่องหน้าตรงๆ ลงมาอาจทำให้เกิดแสงจ้า
น่าจะเปลี่ยนเป็นหลอดไฟที่กระจายทั่วๆ ไป
หรือโคมไฟที่ส่องเฉพาะกระดาษอย่าให้แสงปะทะกับจอภาพและตาผู้ใช้
นอกจากนี้ควรปรับคลื่นแสงที่หน้าจอ (Refresh rate)
ซึ่งเครื่องส่วนใหญ่จะปรับอยู่ที่ 60 Hg ซึ่งขนาดนี้ทำให้เกิดแสงกระพริบ
ทำให้ภาพบนจอเต้นกระตุ้นให้เราต้องปรับตาเพื่อโฟกัสใหม่อยู่เรื่อยๆ
ทำให้ตาเมื่อยล้าได้
ควรปรับความถี่ให้อยู่ระดับ 70-80 Hg จะทำให้จอภาพเต้นน้อยลง สบายตาขึ้น
ระยะของการทำงานที่ไม่เหมาะสมทำให้ตาของเราเมื่อยเพราะต้องเพ่ง
ระยะจากตาถึงจอภาพควรเป็น 0.45 ถึง 0.50 เมตร
ตาอยู่สูงกว่าจอภาพ โดยเฉพาะผู้ที่ใช้แว่นตาแบบ Bifocal (คือแว่นสายตาที่มองทั้งระยะใกล้และไกล) จะต้องตั้งจอภาพให้ต่ำกว่าระดับตาเพื่อตาจะได้มองตรงกับเลนส์แว่นตาที่ใช้มองใกล้ การตั้งจอคอมพิวเตอร์สูงกว่าระดับสายตา
จะทำให้ผู้ใช้ต้องแหงนหน้ามอง การแหงนหน้าอยู่ประจำทำให้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่ได้ง่าย
พอจัดการสิ่งแวดล้อมแล้ว ก็มาจัดการตัวเองต่อ
คนที่มีค่าสายตาที่ผิดปกติอยู่เดิม เช่น มีสายตาสั้น ยาว หรือเอียง หรือสายตาผู้สูงอายุ
ควรแก้ไขสายตาให้มองเห็นชัดที่สุด จะได้ไม่ต้องเพ่งโดยไม่จำเป็น
การทำงานจ้องจอภาพนานเกินไป ย่อมเกิดอาการไม่สบายตาได้ง่าย
ทุกคึ่รึ่งชั่วโมง ที่จ้องจอภาพควรพักสายตาประมาณ 5 นาที
โดยมองออกไปไกลๆ หรือหลับตาเฉยๆ
การหยอดน้ำตาเทียมระหว่างวันอาจจำเป็น เพราะน้ำตาระเหยมากขึ้นเวลาใช้คอม ทำให้
ตาแห้งง่ายขึ้น
ลองทำดูนะคะ เพื่อสภาพตาที่ควรถนอมของคุณ
มีอีกที่นี่เข้าไปอ่านดูสิดีนะ
www.drtulaya.com
